ทางสายเอก

โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
๖ พ.ค. ๓๔

การปฏิบัติเราใช้ สติปัฏฐานสี่ ทางสายเอกของพระพุทธเจ้า อาตมาปฏิบัติมาทุกอย่าง เช่น มโนมยิทธิ เราก็ไม่รู้หลักการปฏิบัติมาแต่ต้นเดิมที่ก็อยากมีอภินิหารของมโนมยิทธิ ให้เกิดมโนภาพ ให้เกิดอภินิหารของจิต ให้เกิดฤทธิเดชานุภาพ เรียกมโนมยิทธิ ยังไม่เข้าใจลึกซึ้ง อาตมาก็ปฏิบัติมโนมยิทธิมาก่อน

แล้วก็ไปเรียน ไสยศาสตร์ เวทย์มนต์พระคาถาทุกหมู่เหล่าแล้ว ยังเรียนวิชา ธรรมกาย กับ หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ เมื่อสมัย พ.ศ. ๒๔๙๓ สมัยเรือแดง เรือเขียว ฝึกพระธรรมกาย ๖ เดือนเต็ม และก็ได้ธรรมกายสมควรแก่การปฏิบัติจากนั้นยังไปเรียนต่อ เพ่งกสิณ ดินน้ำลมไฟ เป็นต้น เอาโน่นมาประสม เอานี่มาประสาน เรียนไสยศาสตร์ วิชาการทางเวทย์มนต์ ต่อมาจึงได้มีโอกาสพบ พระในป่า ที่อยู่เลยขอนแก่นไป จึงได้ของแท้ มิใช่ของเทียม ดังที่กล่าวมา ท่านก็ถามว่า

คุณบวชใหม่ เป็นภิกษุนวกะสอบนักธรรมตรีได้ไหม?

ได้ครับ  

สติปัฏฐานสี่อยู่ในนักธรรมตรีบทนั้น คุณทำได้หรือ

ได้ครับ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ

ทำได้ จะถามมั่งนะ

ถามเราก็ทำไม่ได้ เราตอนนั้น ได้วิชาการ ไม่ใช่ทำได้ ทำได้ต้องลงมือทำในสติปัฏฐานสี่ ท่านว่าอย่างนี้

กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

ข้อที่ ๑ วิชาการจะบอกว่า กายสักแต่ว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน

ข้อที่ ๒ เวทนาก็สักว่าเวทนา ไม่มีตัวตน สัตว์ บุคคล เราเขา เรียกว่า เวทนาสุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นหลักวิชาการ

 จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน

ข้อที่ ๓ จิตสักว่าแต่จิต ธรรมดาเราพิจารณาไม่มีตัวตน คือคลำไม่ได้ ธรรมชาติของจิตต้องคิดอ่านอารมณ์ รับรู้อารมณ์ไว้ได้เป็นเวลานาน เหมือนเทปบันทึกเสียง ไม่มีตัวตนจะคลำได้แต่ประการใด ก็ยังไม่ทราบว่าจิตอยู่ตรงไหนแล้วจะคลำได้อย่างไร นี่คือวิชาการ

ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน

ข้อที่ ๔ ธรรมสักว่าแต่ธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขาอีก เรียกว่า ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน แต่เราก็ไม่รู้ว่ากระไร

ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึงธรรมที่เราทำแล้วเป็นกุศลหรืออกุศล จิตถูกต้องเป็นธรรม ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง หรือเป็นการถูกใจ เป็นกิเลสเป็นอกุศลหรืออาจจะเป็นกุศลกรรมก็ได้ แล้วแต่ถูกต้องหรือถูกใจอยู่ในธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานเชิงปฏิบัติการ นักปฏิบัติธรรมต้องท่องข้อนี้ให้ได้

พูดง่าย ๆ เรียกว่า เราเรียน สันโดษ กัน ไม่ใช่เรียน อันดับ เราก็ป่านฉะนี้แล้ว งานการก็เยอะ จะต้องมานั่งเรียนนักธรรมตรีกันอยู่ได้หรือ เรียนนักธรรมโท ภาวนา ๒ ก็เรียนไม่ได้ จะมาเรียนนักธรรมเอก วิปัสสนาภูมิอยู่ตรงไหน เรียนมากมายหลายประการ ธรรมวินิจฉัย วินิจฉัยธรรม และวินัยวินิจฉัย เราก็ไม่สามารถจะมาเรียนตามอันดับขั้นตอนนี้ได้ เราจะมาเรียนบาลีแปลหนังสือกัน ก็เห็นจะทำไม่ได้แน่นอน

เรามานั่งปฏิบัติธรรมะตามคำสอนของพระพุทธเจ้านี้ก็เรียกว่า สันโดษ เรียนเชิงปฏิบัติการทั้งหมดอยู่ในพระไตรปิฎกทั้งหมดที่เราปฏิบัตินี้

ทำไมเรียกว่าทั้งหมด ท่านทั้งหลายฟังแก่นแท้พระพุทธศาสนาดูว่า แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ พระวินัยปิฎก พระสุตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ตั้งแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์เต็มตู้เลย ๔๕ เล่ม หรืออีกนัยหนึ่ง ๘๐ เล่ม เราก็เรียนไม่ได้ให้จบครบครันทันเวลาของอายุ เราจะท่องบ่นจำทรงพระไตรปิฎก ก็คงไม่ทันกับอายุที่จะต้องตายนี่เรียกว่า ความรู้ เป็นต้นฉบับเรียก คันถะธุระ แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์  แก่นแท้พระพุทธศาสนา เชิงสันโดษ ก็ย่อใจความจากแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ เหลือไตรสิกขาสาม เป็นปฏิบัติการอยู่ ณ บัดนี้ จะเป็นพระสงฆ์องค์เจ้าหรือเป็นฆราวาสก็ตาม ต้องเข้าใจในจุดนี้ คือ ไตรสิกขา มีอยู่ ๓ ประการคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล เราก็ได้ความว่า ปกติ เราทำความเป็นปกติคือกรรมฐาน เป็นตัว ทำให้จิตเป็นปกติ กรรมฐานทำอย่างไรจิตจึงเกิดปกติ ก็มีสติสัมปชัญญะกำหนดจิตให้มีสติ ตรงนี้เป็นหลัก นักปฏิบัติต้องจำข้อนี้ให้ได้

คนที่มีศีลน่ะ ต้องคนปกติ คือมีการกำหนดจิตให้มีสติสัมปชัญญะ ศีลคือมารยาท จะเกิดเป็นผลงานของจิตของเรามีระบบ มีระเบียบมีแบบมีแปลน มีแผนผังขึ้น คนเราก็สู่ภาวะอย่างนี้จึงจะปกติได้ ญาติโยมผู้ใคร่ธรรมต้องท่องสติปัฏฐานสี่ให้ได้ว่ามีอะไรบ้าง กายจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะเหลียวซ้ายแลขวา จะนอนจะนั่งเหมือนกันหมด ต้องมีสติเป็นตัวกำหนดจิตให้มีความเป็นปกติในด้านกาย อย่างนี้แล้ว กายสักแต่ว่ากายไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา  เขา เป็นกายนอก

แต่เรามีสติอยู่ที่จิต กายในก็เกิดขึ้นเป็นกายทิพย์ เป็นทิพย์อำนาจของจิต มีกายทิพย์อยู่ด้านใน กายจะเคลื่อนไหวจะคู้หรือจะเหยียดแขนขาก็มีมารยาท มีความเป็นปกตินี่เรียกว่า กายทิพย์

มีทิพย์ คือจิตมีสติสัมปชัญญะ สติมันจะบอกจิตว่าเคลื่อนย้ายอย่างไร เราจะวางท่า วางที่ให้มีปัญญาตรงไหน ให้มีมารยาทเป็นศีลประการใด คนนั้นจะมีศีล เกิดความเป็นปกติของคนสมบูรณ์แบบ เรียกว่าคุณสมบัติมนุษย์ มันเกิดขึ้น โดยอย่างนี้

เราก็กำหนดยืนหนอ ยืนหนอ ห้าครั้ง ยืนนี้ทุกคนไม่เข้าใจ กายานุปัสสนาสติปัฏฐานข้อนี้สำคัญมาก ก่อนที่จะนั่งกำหนดจิต ใช้สติปัฏฐานสี่ต้องเดินก่อน คือเดินจงกรม  ทำไมต้องเดินก่อน เพราะเดินนี้มีภาวะดีกว่านั่ง มันรวมจิตได้ดีกว่านั่ง จึงต้องเดินเคลื่อนย้ายอิริยาบถ ให้เข้าสู่ปรารภของการมีสติดีที่สุดด้วยการเดิน

คนโบราณเดินไปไถนา เดินไปทำไร่ วันละหลายกิโลเมตร จะเห็นได้ว่าสุขภาพจิตก็ดีขึ้น การเดินก็ไม่เหนื่อยอ่อนใจแต่ประการใด มีสมาธิดีด้วย ร่างกายจะเคลื่อนย้ายและไฟธาตุจะย่อยง่าย ความเป็นภาวะปกติก็ดีขึ้น  อาหารก็ย่อยง่าย น้ำดีก็กลั่นกรองได้ดี น้ำไตก็กลั่นกรองได้ดีด้วย อาพาธก็น้อยลง มีความอดทนสูง เดินทางไกลได้ดีมาก จึงต้องเดินจงกรมก่อน แล้วจึงนั่งสมาธิ จิตสมาธิจะรวบรวมไว้ได้ดีกว่านั่ง เก็บไว้ได้นานกว่านั่ง จึงต้องเดินก่อนนั่งเสมอ มีเหตุผลดังนี้

นักปฏิบัติต้องจำข้อนี้ก่อน แล้วจึงมาพัฒนาจิตในสติปัฏฐานสี่ เรียกว่า ทางสายเอก ทำไมเรียกว่าทางสายเอก เพราะทางเดินมีหลายทาง ทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ แต่ทางบกเดินเท้าก็ยังมีหลายทางเดินทางมีขวากหนาม เดินทางทุรกันดาร เดินทางเรียบ ถ้าไม่มีทางเดินจะไปถึงจุด

หมายปลายทางได้อย่างไรเดินทางมีขวากหนาม  เดินทางทุรกันดาร  เดินทางเรียบ  ถ้าไม่มีทางเดินจะไปถึงจุดหมายได้อย่างไร

ถ้าเราเหยียบหนามเข้าไปในป่าดงพงไพร  พระองค์จึงบอกเดินทางสายเอก  ข้อนี้สำคัญมากอาตมาปฏิบัติมาทุกอย่างแล้ว   ก็มาสรุปได้ข้อนี้เองคือ สติสัมปชัญญะ อย่าลืมว่าไตรสิกขา ศีล  สมาธิ  ปัญญา  ข้อปฏิบัติสรุปเหลือ  ๒ คือ  แก่นแท้พระพุทธศาสนา คือ สติสัมปชัญญะ   ไม่ลดละภาวนา  มีสติเข้าไว้ทุกอิริยาบถ  มีสัมปชัญญะรู้ตัวรู้ทั่ว   รู้นอก   รู้ใน  รู้ตาชั่งขึ้นมาดู   เอาตราชูขึ้นมาชั่ง

รู้อย่างนี้จึงจะเรียกว่ารู้ตัว   รู้ทั่ว   รู้การแก้ปัญหา   เหลือ  ๒  ประการคือ  แก่นแท้   คือธรรมะ  อยู่ตรงนี้แน่ ๆ  ไม่ใช่อยู่ที่อื่น  แล้วก็ทำได้    รู้ตัว   รู้ทั่ว   รู้นอก    รู้ใน   รู้จิตใจของเรา   รู้จิตใจของคนอื่นได้   มันก็ออกในรูปแบบเหลือ หนึ่ง  คือความไม่ประมาทซึ่งเป็นหลักพระพุทธศาสนา  พระพุทธเจ้าบอกว่า  ทำอะไรอย่าทำให้เป็นเหตุแห่งความประมาท  จะตายได้  จะเสียดาย  จะขาดเหตุขาดผล ขาดต้นขาดปลายอย่างนี้เป็นต้น  อยู่ตรงนี้นะ  นี่หลักแก่นแท้พระพุทธศาสนาก็ได้มาจากทางสายเอก   ก็จะจับจุดได้ว่า   เอกตรงไหน เอกที่เดินทางสายเอเชีย  ไม่มีหนาม รถยนต์ของท่านจะไม่ชอกช้ำ  ถ้าท่านเดินสายจัตวาก็เดินโขลกเขลกมีหนาม  มีหลุม  มีบ่อ   ท่านจะเลือกเดินอย่างไร  นี่เหตุผลของทางสายเอก    จงเลือกเดินทางสายเอก  ทางสายเอก  ทางบกก็แห้งตลอด  ทางน้ำก็เรือแล่นได้เลย  ไม่มีหาดไม่มีตอ   ก็เรียกว่าทางสายเอก

แต่เดินทางสายเอกหรือทางอะไรก็ตาม  ถ้าท่านขาดสติ  สัมปชัญญะ  มีความประมาทอยู่ในจิตใจของท่าน ท่านก็ไม่พบหลักพระพุทธศาสนาในตัวท่าน    กรรมฐานอยู่ตรงไหน  ไม่ใช่พุทโธนะ    ตั้งสติไว้มือสอง   เท้าสอง  สมองหนึ่ง  เป็นที่พึ่ง  เหยียบทั้งเบรก   เหยียบคลัช  มือถือเกียร์  ตาหูก็ว่องไว  จิตใจก็ดีด้วย  นี่ทางสายเอกอยู่ตรงนี้

บางคนไม่เอา  ตาดู   หูฟัง  ปากไม่นิ่ง  คนที่มีความรู้  ขาดสติ  ไม่มีทางสายเอก  เอาปากไปก่อน  พูดล่ามป้าม  ขาดสติสัมปชัญญะ  ไม่ใช่หรือ

พระพุทธเจ้าบอกทางสายเอกตรงนี้  เชิงปฏิบัติการ  ตัวสตินี่สำคัญมาก และมีสัมปชัญญะอยู่ในตัวเองขึ้นมา  จะเกิดความคิดออกมา  คือปัญญาไม่ประมาท   จะออกรถต้องดูน้ำมันเกียร์  น้ำมันเครื่อง  เบรค   ลูกล้อดูยางให้เรียบร้อย  ความไม่ประมาทอยู่ตรงนี้คือสติ นี่ทางสายเอกอยู่ตรงนี้   รถนี่สอนเราเองนะ   ขอฝากไว้

ท่านเจริญกรรมฐานได้   จะเกิดปัญญา  เกิดความรู้เหตุผล   ข้อเท็จจริงในการแก้ไข  คือศีลธรรม  ท่านจะมี สุขภาพจิตดีมาก   สุขภาพจิตท่านจะอดทนต่องานและมีขันติความอดทนตลอดไป

นอกเหนือจากนั้น การงานท่านจะดีขึ้น  ในเมื่อการงานดีขึ้นแล้วการเงินก็ตามมาเลย  การเงินตามมาแล้ว การสังคมตามมาด้วย  เข้ากับเด็กก็ได้  เข้ากับผู้ใหญ่ก็ได้  เข้ากับพระสมานพราหมณาจารย์  เข้ากับผู้บังคับบัญชาก็ได้  เหตุผลทางสายเอกอยู่ตรงนี้สรุปทางสายเอก  จะไม่หลงจะไม่ลืม  จะไม่ประมาทในชีวิต  จะไม่มีทางสายอื่นที่จะเสียหาย  ถึงจะเสียหายบ้างก็น้อยลงไป  จะลืมอะไรก็น้อยที่สุด  คนเราที่ทะเลาะกัน  พูดจาไม่เข้าใจกัน  ก็เพราะไม่มีทางสายเอก

ถ้าเรามีทางสายเอก  เราจะไม่ไปทะเลาะกับใครไม่ต้องไปขัดคอใคร  เราก็รู้ว่าเขามีทางจัตวา  เราทางสายเอกต้องเลี่ยงหนี  ไปเสียท่าเขาทำไมนะ  เอาพิมเสนไปแลกกับเกลือทำไม

ตัวเราเป็นตัวสำคัญ  คิดว่าเรานี่เป็นคนสำคัญผู้หนึ่งไม่ได้หรือ  ถ้าท่านทั้งหลายมีทางสายเอกแล้ว จะรู้ว่าตัวท่านมีความสำคัญมาก จะเป็นหน้าที่ภารโรงหรือจะเป็นหัวหน้าฝ่าย   หรือทำงานราชการ  หรือทำงานรัฐวิสาหกิจ   หรือจะทำงานธุรกิจส่วนตัวก็ตาม   ท่านจะรู้ตัวว่าท่านเป็นคนสำคัญคนหนึ่งในโลก  ท่านจะรู้ตัวได้เช่นนี้คือทางสายเอก

ถ้าท่านไม่มีทางสายเอกท่านจะไม่รู้ตัวอย่างนี้นะ  มักจะน้อยเนื้อต่ำใจเสมอ  เห็นว่าตัวเองไม่มีความสำคัญอะไรเลย  ก็ทำอะไรไม่ได้  ไม่มีทางสายเอก  ท่านก็ต้องเดินบุกป่าฝ่าดง หลงไพรเห็นได้ชัดไหม

เหมือนเราเกิดมาทุกคนพี่น้องเอ๋ย  กำลังยืนอยู่ที่กลางป่าด้วยกันทุกคน เห็นอะไรข้างหน้าไหม  มันมืดแปดด้าน ทุกคนนะ  ไม่มีอะไรเลย  เตรียมอาวุธไว้เถิดท่านทั้งหลาย

เข้าเถื่อนเตรียมพร้า  เข้าป่าเตรียมมีด  คืออาวุธ  เราทั้งหลายต้องเตรียมอาวุธคือปัญญา  “ปัญญาวุโธ” คือตัวสติปัฏฐานสี่ ที่เราปฏิบัติอยู่นี้  เตรียมอาวุธติดตัวท่านไป  เมื่อมีขวากหนามและอุปสรรคใด ๆ นำอาวุธคือปัญญาที่เก็บไว้ในจิตใจของท่านมาแก้ไขได้ทันที  ไม่ต้องพกปืน  ไม่ต้องพกมีด  พกปืนไว้ให้เขายิงเราตาย     ท่านทั้งหลายเอ๋ย  ไม่ต้องไปซื้อปืนมารักษาทรัพย์  ปกปักรักษาทรัพย์สมบัติหรอก  รับรองถ้าเรามีบุญวาสนา ขโมยไม่มาเล่นงานเราเหรอก  โจรก็ไม่มาปล้นด้วย

แต่ถ้าท่านมีอทินนาทานติดตัวท่านมา ๖๐%  เตรียมปืนก็ไม่ไหว รับรองท่านต้องโดนปล้น  ท่านต้องโดนจี้  โดนไฟไหม้บ้านแน่ ๆ  นอกเหนือจากการเจริญกุศลภาวนา แก้ไขปัญหาแล้ว จงแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร  หนักจะกลายเป็นเบา

บางคนบ้านจะต้องถูกไฟไหม้แต่แล้วเพียงแต่ขโมยลักของไปเท่านั้น ทั้งนี้เพราะเรามีการแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร  แผ่เมตตาไม่ได้  เจ้ากรรมติดตามต่อไป  และบุญก็ไม่สร้างกุศลก็ไม่ทำ  รับรองท่านไฟไหม้บ้านแน่ ๆ นี่เหตุผล  มันมีมาแล้วหลายเรื่อง  ที่อาตมาจับได้เป็น กฎแห่งกรรม

ขอฝากพี่น้องไว้  ทางสายเอกอยู่ตรงนี้นะ   ทั้งทางบก  ทางน้ำ  ทางอากาศ  ก็หาความปลอดภัยไม่ได้  รีบเตรียมหาอาวุธติดตัวท่านไปให้ได้  คือปัญญารอบรู้ในกองการสังขาร  แก้ไขปัญหาได้  เอาไปเถิดท่านจะประเสริฐในอนาคต

เดี๋ยวสติก็จะบอกว่า  ขึ้นรถไฟก็ต้องตกราง ไปรถคันนี้มันก็ต้องคว่ำ  นี่ทางสายเอกนะ  สายเอกอยู่ที่จิต นี่คือ กรรมฐาน  ที่ปฏิบัติได้  รับรองจะได้เลี่ยงทางได้ถูกต้อง  ว่ารถจะชนกันตอนนี้  เราจะได้เลี่ยงทางไปอย่างนั้น  ไม่จำเป็นต้องคนช่วยได้นะ  ผียังช่วยได้  อาตมาเคยประสบมา

 

วิญญาณกตัญญู

ท.เลียงพิบูลย์ ตอนสมัยอายุ ๓๖ ปี  ท่านยังหนุ่มอยู่ มาคุยกับอาตมาเสมอ  บอกว่า “หลวงพ่อครับ  ผมเองประสบมา  ผมไม่เชื่อกฎแห่งกรรมเลยนะ  ไม่เชื่อผี  ไม่เชื่อปีศาจราชทูตแต่ผมเจริญกุศลภาวนาแล้ว พอจะเชื่อกฎแห่งกรรมบ้าง  ผีช่วยได้”   สมัยก่อนนานมาแล้ว  ประมาณ

๓๗-๓๘ ปี  มีเด็กสาวคนหนึ่งเรียนธรรมศาสตร์  ผิดหวังเรื่องแฟน  เรื่องสอบ   เดินทางโดยรถไฟไปพักที่ลำพูนกินยาตายในห้องโรงแรม เขียนหนังสือบอกไว้  พ่อแม่ทราบก็มารับศพลูกไปบำเพ็ญกุศล

เขาบอกว่าจะกระโดดตรงถ้ำขุนตาล  พวกรถมาดึงไว้ทัน  เลยมาพักที่โรงแรม  กินยาตาย  ด้วยอำนาจจิตเป็นอกุศล  ต้องเป็นอสุรกายตรงนั้น

ตัวอย่าง   เช่นค่ายบางระจันนี่ รบทัพจับศึกตาย  ต้องเป็นอสุรกายดุร้ายมาก  เดี๋ยวนี้เลิกดุแล้ว  ถวายพระราชกุศลไปแล้วสร้างวัดขึ้นมา  สร้างค่ายบางระจัน  พวกนั้นก็ไปหมดแล้ว  ไม่มีการดุ  ไม่มีการเฮี้ยน  เหมือนเมื่อก่อนมา  บางคนไม่มีควมเข้าใจเรื่องนี้

ท.เลียงพิบูลย์เล่าว่า  “ผมไปทำธุรกิจทางภาคเหนือ  ก็ถามหาห้องพักในโรงแรม”      บ๋อยบอกว่า  “ลุงพักห้องนี้ไหม ไม่เอาตังค์”   ท.เลียงพิบูลย์  ก็ถามว่า  “ห้องไม่ดี  ไม่มีที่นอนหรือยังไง”

เขาบอกว่า  “เหมือนกันหมด  มีของบริการเหมือนกันหมด  แต่ไม่เอาตังค์”   และก็ไม่บอกว่ากระไร

ท.เลียงพิบูลย์  เป็นผู้มีปัญญา  ก็คิดว่า เอ!  ถ้าจะผีดุ  นึกไว้ในใจ  แล้วบอกว่า  “ตกลงลุงพักห้องนี้จะให้เท่าราคาเลย”  ท.เลียงพิบูลย์ก็ไปพัก ดูสะอาดสะอ้านดี   เข้าพักสวดมนต์ไว้พระเสร็จแล้วก็นอน  ตี ๑  ออกมาแล้ว  แต่ ท.เลียงพิบูลย์มีกรรมฐานสูง  ไม่กลัว  ลุกนั่งไฟฟ้ายังสว่าง  ก็นั่งดูเฉย ๆ กำหนดแผ่เมตตาพระกรรมฐาน  แผ่เมตตาไป  ย่อลงไป  เป็นสาวสวยยกมือไหว้ เห็นไหมนี่อำนาจกรรมฐานทางสายเอก

เขาร้องไห้แล้วบอกว่า “คุณน้าคะหนูมาอยู่ห้องนี้นานแล้ว”

ท.เลียงพิบูลย์ก็ถามว่า   “เออ! หนูเป็นใคร”

“หนูมากินยาตายที่ห้องนี้  ถ้วยยังอยู่ใต้ถุนเรียง เขาไม่เก็บ”

“มีเหตุผลประการใด  เล่าให้น้าฟังซิ”  เขาบอกว่า  เรียนธรรมศาสตร์ผิดหวังเรื่องแฟน

เรื่องแฟน ๆ นี้เล่าให้เด็กผู้หญิงฟังกันบ้างนะ  อย่าสนใจเลยนะ  ไปรักเขาข้างเดียวทำไม  สอนเด็ก ๆ ไว้บ้างนะ

ท.เลียงพิบูลย์ก็บอกว่า   “หนูทำอะไรเช่นนั้น”

“หนูผิดไปแล้ว  แก้ไม่ได้เสียแล้ว หนูจะกระโดดรถไฟที่ถ้ำขุนตาล   แต่การ์ดรถเขามาดึงไว้ได้ เพราะมีตาแป๊ะแก่นั่งอยู่ตรงนั้น เขาไปบอกการ์ดรถว่า เด็กคนนี้จะโดดให้รถไฟทับ  การ์ดรถเลยรีบปิดประตูให้นั่ง  เดี๋ยวจะเสียชื่อรถไฟ เลยคุมตัวไปลงสถานี  ตามตั๋วที่ตีไว้จนได้”

แล้วบอกต่อไปว่า  “ใครมาพักที่นี่ หนูก็ออกมาอย่างนี้  ออกมาให้ช่วยถวายสังฆทาน  แล้วแผ่เมตตาให้หน่อย แต่ไม่มีใครแผ่ได้เลย  หนูขอกราบเท้าคุณน้า กรุณาช่วยหนูด้วย  หนูขอขอบพระคุณ”

ท.เลียงพิบูลย์ บอกว่า  “จะให้น้าช่วยอย่างไร”  เขาบอกว่า  “ถ้าหากคุณน้านั่งกรรมฐาน  แผ่เมตตาและถวายสังฆทานให้หนูแล้ว  หนูจะไปจากที่นี่ได้”   เวลากินยาตาย เกิดโทสะเป็นอสุรกาย  ไม่ใช่เปรตนะ

อย่างนี้ไม่ใช่เปรตดุร้าย  เหมือนคนที่ถูกรถชนตายดุร้าย  ทะเลาะกันมารถชนตาย  เฝ้าถนนเลย  ดุร้ายเป็นอสุรกายเช่นนี้  ไม่ใช่รถชนตายเป็นคนไม่ดี  โดนฆ่าตายเป็นคนไม่ดี  ไม่ใช่ โปรดทำความเข้าใจทุกคน  อย่าเข้าใจผิด  แต่แล้วไม่มีใครแผ่เมตตาได้  มาพักก็ไม่รู้จักทำบุญกัน

อุทิศส่วนกุศลด้วยการเจริญกรรมฐานดีที่สุด  ไม่ต้องเอาสตางค์ไปถวายพระก็ยังได้  ขอให้สวดมนต์พุทธคุณ  ธรรมคุณ  สังฆคุณ  พาหุงมหากา  เสร็จแล้วสวดมนต์อะไรก็ได้แล้วเจริญกุศล  ใช้สติปัฏฐาน ๔  ใช้ทางสายเอกขึ้นมา  แล้วรวมทุนบุญกุศลแผ่ให้คนนั้น  ให้เปรตชน  ให้อสุรกาย  ให้มีความสุขความเจริญดังที่กล่าวมาฉะนั้น  ได้ผลแน่

ท.เลียงพิบูลย์  บอกว่า  “เอาละหลาน  น้าจะช่วยจัดการให้”

เขาขอกราบเท้าเลย  และบอกว่า “ขอบพระคุณ คุณน้ามาก”    “หนูจะได้ไปจากที่นี่เสีย”   ท.เลียงพิบูลย์บอกว่า พอกราบเท้าเสร็จแล้ว ขอบพระคุณแล้วนั่งยิ้ม  รูปค่อย ๆ จางหายไป

ท.เลียงพิบูลย์ ก็ตั้งสติไม่เคยกลัวนักกรรมฐานไม่มีกลัว  มีสติมีทางสายเอกไม่กลัวใคร  กล้าทำความดี  จึงได้เรียกว่ากรรมฐานทางสายเอก ไม่กล้าทำความดี  กลัวคนโน้น  กลัวคนนี้  ไม่ใช่ทางสายเอกนะ  เป็นทางสายจัตวา

หลังจากนั้น  ท.เลียงพิบูลย์ก็เริ่มสวดมนต์  ธูปเทียนก็ไม่มี  ก่อนสวดก็เข้าไปอาบน้ำใหม่  อาบน้ำให้สะอาด  เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว  มีเสื้อขาวอยู่ ๓ ตัว  กางเกงขาว ๑ ตัว  ติดกระเป๋าไป  ก็เอาเสื้อขาว  กางเกงขาวมานุ่ง

เริ่มสวดมนต์ทำวัตร  แล้วสวดพุทธคุณ  ธรรมคุณ  สังฆคุณ   เรียบร้อย  แล้วนั่งเจริญกรรมฐาน   ประมาณ  ๑๕ นาที  ขอแผ่เมตตาให้เด็กสาวคนนี้  นึกให้เห็นมโนภาพออกมา  แล้วบอกว่าขอหนูจงมีความสุขความเจริญ  ขอเจ้าจงไปสู่สุคติเถิด   ด้วยอำนาจกรรมฐานเป็นได้ทันที ชั่วพริบตาเดียว

พอตี ๕ ท.เลียงพิบูลย์  ก็อาบน้ำแต่งตัวใหม่  เปลี่ยนชุดขาวออกเดินลงจากโรงแรม  พวกโรงแรมถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ท.เลียงพิบูลย์  บอกว่าไม่เห็นเป็นอะไร  แต่ไม่เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง   แล้วก็เดินทางไปตลาด  ไปซื้อปิ่นโต ๒ เถา  ใส่อาหารคาว ๑ เถา  หวาน ๑ เถา  เข้าไปในวัด  ไปบอกหลวงตาองค์หนึ่งบอกว่า  จะถวายสังฆทานอุทิศให้คนตาย  แต่ก็ไม่ได้บอกว่าใคร  พระท่านรับสังฆทาน  รับศีลเสร็จ

สังฆทานต้องรับศีล  จำไว้นะ  ต้องรับศีลด้วย  ไม่ใช่ประเคนแล้วเป็นสังฆทาน  เดี๋ยวนี้สังฆทานเวียนกันอีกหรือ  ต้องใช้ของจริงซิ  ใช้เงินผิดประเภทได้หรือ  รับราชการก็ถูกถอดนะ   ใช้เงินผิดประเภทได้หรือ  โกหกนะ  เขาบอกให้ใช้ตรงนี้  กลับไปใช้ตรงโน้น    ไม่ใช่เงินวัด  เราขอยืมก่อนได้ของวัดนี่ไม่เป็นไร   นี่เงินสร้างส้วม  เขาจะซื้อขัน  ขอยืมไปก่อน  แต่พรุ่งนี้ นำมาให้ได้  เอามาแทนเสียไม่มีปัญหา

แต่ราชการไม่ได้นะ  ถ้าใครฟ้องถูกถอดเลยนะ  ทางการเขาหาว่าใช้เงินผิดประเภท  เอาออกเลย  จะเป็นซี ๗- ซี๘   ก็ตาม   แค่ค่าเช่าบ้านทางราชการ  ตัวเองไม่ได้เช่า  แต่อยู่กับเพื่อน  เพื่อนไม่เอาเงิน  แล้วทำบัญชีว่าเช่าเพื่อน  พรรคพวกจับได้  ขนาดจะย้ายไปเป็นอธิบดี ยังโดนออกเลย  ไม่ได้โกงนะ  แต่ต้องออกตามกฎหมายกำหนดไว้  นี่ไม่มีทางสายเอกอีกเช่นเดียวกัน

เช้านั้น  ท.เลียงพิบูลย์ถวายสังฆทานเสร็จแล้ว  กลางคืนอยู่อีกคืนหนึ่ง รุ่งขึ้นถึงจะไปเชียงใหม่ต่อไป   ตี ๑  ออกมาอีกแล้ว  แต่งตัวสวย มีผ้าขาว  กราบไหว้  ท.เลียงพิบูลย์  อย่างสวยงาม กล่าวว่า

“หนูมาขอกราบขอบพระคุณและขอกราบลา  หนูจะไปแล้ว  มีทางไปแล้ว  หนูก็ทำบุญวาสนามามากแต่ต้องไปรับกรรมในป่าอีกชั่วคราว  หนูซาบซึ้งน้ำใจมากที่คุณน้าช่วยหนู ออกมาจากนรกในวันนี้”

กรรมฐานนี่แผ่ได้เลย  ถ้ามีญาติพี่น้องฆ่าตัวตาย   มีทางเดียวที่จะแผ่เมตตาให้คือ  กรรมฐาน   ถ้าทำบุญให้ไม่ถึง ผูกคอตาย  ยิงตัวตาย  ทำบุญให้ไม่ถึง มีตำราอยู่ที่หลายราย

ขอฝากพี่น้องที่มากรรมฐานที่นี่ ทุกคน  โปรดจำทางสายเอกไว้ให้ได้ มันเอกจริง ๆ ไม่มีจัตวา  ไม่มีชั้นตรีเลย  ตรงไปตรงมาแน่ ๆ พระพุทธองค์สอนไว้ชัดเจน

เด็กสาวคนนั้นก็บอกว่า   “หนูจะไม่ลืมพระคุณ  หนูจะตามช่วยคุณน้าต่อไป”      ท.เลียงพิบูลย์ บอกว่า  ไม่ต้องหรอก  น้าจะไปเรื่องธุรกิจการค้าที่เชียงใหม่   นี่เห็นไหมนี่  ไม่หวังผลตอบแทน คนทางสายเอกไม่หวังผลตอบแทนกับใครนะ  ทำอะไรฟรี  ขอฝากญาติโยมไว้ด้วย

เลี้ยงลูกอย่าหวังผลตอบแทนจากลูกนะ  ถ้าหวังผลตอบแทนจากลูกจะเสียใจ   รักลูกคนนี้มาก  เอาใจใส่มาก  ไม่ได้พึ่ง  จะเสียใจ  แต่ลูกที่เกลียด กลับมาอาศัยได้  ดังที่กล่าวนี้  นี่เหตุผลกฎแห่งกรรมฝากไว้ในวันนี้  วันนี้ วันพระ

ต่อจากนั้น  ท.เลียงพิบูลย์ ก็เดินทงไปเชียงใหม่ ทำธุรกิจเสร็จแล้ว  ไปตีตั๋วรถยนต์ผ่านทางอำเภอเถิน  ทางยังไม่ดี  สมัยก่อนนี้ต้องผ่านเขา   ตีตั๋วตอนเย็น ๆ  รถออกพรุ่งนี้เช้าจากเชียงใหม่ไปกรุงเทพฯ  ตอนนั้นมีรถแดง  หลังคาต่ำ ๆ รถบัสยังไม่มี

พอกลางคืน ตี ๑  ออกมาอีกแล้ว สวยกว่าเก่าอีก  ท.เลียงพิบูลย์ จำไม่ได้บอกตรงนี้มีอีกแล้วหรือนี่  เฮ้อ!  สวยกว่าเก่านี่สวยจริง ๆ และถามว่า

“หนูมาทำไมอีกล่ะ”

“หนูจะมาช่วยคุณน้า”

“ช่วยอะไร  ไม่ต้องช่วยจ้ะ”

“ไม่ใช่ค่ะ  เชื่อหนูหน่อยได้ไหมคะ พรุ่งนี้อย่าไป”

“อ้าว! ตีตั๋วแล้ว

“นี่คุณน้าไปดูหน้าโชเฟอร์   ถ้ามีแผลเป็นตรงนี้ ใส่หมวก  อย่าไปนะ  หนูต้องรีบไปแล้ว  หนูขอกราบลา คุณน้าเชื่อหนูนะคะ” เลยกราบแล้วก็หายวับไปกับตา

ท.เลียงพิบูลย์  ก็ไปคืนตั๋ว  ผีมาบอกจะเกิดอะไรขึ้น  เจ้าหน้าที่ก็ไม่ยอมรับคืน  เขาบอกว่า คืนไม่ได้เสียที่นั่ง    ท.เลียงพิบูลย์ก็กลุ้มใจ  กลับมาที่โรงแรม  ตอนบ่ายได้ข่าวแล้ว  รถไฟตกเขาที่อำเภอเถิน!  ลงไปเลย ตายหมด ๔๐ ศพ   คนที่มีแผลเป็นตายคาที่  โชเฟอร์ถูกอัดกระเด็น  ไม่ได้ชนกับใครลงเขาเอง     มีคนเขาร่ำลือกันและมาบอกว่า   คุณน้าครับ  รถที่คุณน้าจะไปน่ะ  คว่ำไปแล้วตาย ๔๐ ศพ  เหลือบ้างก็กะร่องกะแร่งไป   เลย  ท.เลียงพิบูลย์  กลับมาโรงแรมแต่งตัวใหม่  นุ่งชุดขาวสวดมนต์นึกในใจว่า  แหม!  หนูเอ๋ย  ถ้าน้าไม่เชื่อ  คงเหลือแต่กระดูกแล้ว   และสวดมนต์ให้เด็กคนนั้นอีก

ขอฝากไว้ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล

ฉะนั้น  ยืนหนอให้ได้   ยืนหนอ ๕ ครั้งนี่  ยืนเอามือไพล่หลัง  จับมือไว้  ถ้าเมื่อยจะเลื่อนขึ้นสูงก็ได้  ทำไมถึงเอาไว้ข้างหลัง  คนหนึ่งเป็นโรคปอด  คนหนึ่งเป็นโรคหืด   เป็นโรคหัวใจ  เอามือไว้ข้างหน้า  เดินไปนาน ๆ  รัดหน้าอก  เลยหายใจไม่ออก  เป็นลมหวิวไป

เอาไว้ข้างหลัง  มือขวาจับมือซ้าย  เดินไปมันจะปวดหัวไหล่   ปวดก็ให้กำหนด  มันจะกดกระเบนเหน็บ  จะไม่เป็นโรคไต  ไม่ใช่เดิน ๑๐ นาทีนะเดินเป็นชั่วโมงซิแล้วถึงจะรู้  หลังจะไม่งอด้วย  มีประโยชน์ด้วย  บริหารลมหายใจได้ดีด้วย  ขอฝากไว้ ผู้ทำกรรมฐานโปรดทำตามนี้

เอามือมาข้างหน้าบ้างได้ไหม  ก็เป็นบางครั้ง  หนัก ๆ ก็เอาลงไปให้ตรงกับกระเบนเหน็บ  ส่วนมากเราจะปวดสันหลังกัน  ถ้าโยมผู้ชายปวดหลังมาก ๆ นะ  อย่าลืมโรคไตมาแล้ว   กษัยไตพิการ  ยิ่งอั้นปัสสาวะมาก ๆ เข้า  ไม่ช้าเป็นโรคไตนะ  โรคไตไม่หายนะ  ร้ายกว่ามะเร็งอีก

โรคไตวายล้างไตไม่พัก  มันยังไม่มีทางหาย   โรคมะเร็งยังมีทางหายกว่านะ   ขอฝากไว้ด้วยอย่างนี้อีกประการหนึ่ง

ยืนตั้งสติไว้ให้ดี   ยืน….. ถึงสะดือ หยุด   ถอนหายใจพับ  รวมสติอยู่กับจิต   หนอ….ลงไปที่ปลายเท้าให้ได้  ทำให้มันได้จังหวะ  และสำรวมปลายเท้าด้วย  การยืนหลับตา  ต้องการให้สติอยู่กับจิตให้ได้  ถ้าเราไม่ถอนหายใจ  กว่าจะถึงเท้า  ถอนหายใจแย่  สะดือเป็นจุดสำคัญ

ขอให้ทำตามนี้  อย่าไปนอกคอกหลับตายืนหนอ ๕ ครั้ง  ดูมโนภาพของเรา  ถ้าสติตามจิตได้ทันแล้วจะคล่องแคล่ว  ถ้าสติตามจิตไม่ทันจะอึดอัด   หายใจพอดี  ยืน….ถอนหายใจแล้ว   หนอ…..  อย่าเอาจิตไว้ที่จมูก  อย่าเอาจิตไว้ที่ลมหายใจ  ต้องอยู่ตรงสะดือนี่   ถอนหายใจแล้ว

หนอ…..ถึงปลายเท้าพอดีเลย

หลับตาใหม่   ตั้งสติตามจิต   จากปลายเท้าถึงสะดือ   หยุดหนอ…..ถึงกระหม่อมพอดี   แล้วกำหนดยืน…..หยุดดูซิ  สติจะตามจิตทันไหม    ถ้าตามทันจะคล่องว่องไวขึ้น   และมีปัญญาขึ้น  ส่วนมากว่าแต่ปาก   จิตมันไม่ถึง   สติตามไม่ได้  ไม่ได้ผล   จะไม่พบทางสายเอกนะ

พอครบ ๕ ครั้งแล้ว   ลืมตาดูปลายเท้า   ขวา…. ยกนิดเดียว   ย่าง….หนอ  อย่าเพิ่งอยากเดิน  ทำหยาบ ๆ ไปหาละเอียด   ไม่ใช่อยากเดิน  อยากนั่ง  แต่ก็ถูก   ใหม่ๆ ให้ทำอย่างนี้ก่อน   จากหยาบไปหาละเอียด   จากง่ายไปหายาก   ไม่ใช่ยากที่สุด   กำหนดหมดทุกอย่าง  แล้วไปหาง่าย ๆ  มันจะมากไป   เอาอย่างนี้ไปใช้

อาตมาสอนมาตั้งแต่อยู่วัดพรหมบุรีหลายปีแล้ว   ตั้งแต่แม่สุ่มยังเป็นสาว ๆ  นั่งผลสมาบัติได้  ๔๐ กว่าชั่วโมง   มีคู่กับแม่สุ่มคือ  หมอชลอ นั่งได้  ๘๔ ชั่วโมง   รู้เวลาตาย  ว่าต้องไปตายที่กาญจนบุรี   ต้องโดนฆ่าตายที่น้ำตกเอราวัณ  อ.ศรีสวัสดิ์  จ.กาญจนบุรี   เป็นเวลานานมาแล้ว

เพราะเมื่ออดีตชาติ  หมอชลอไปฆ่าเขาตายขณะแม่ลูกอ่อนบนกระดานไฟ  บ้านแตกสาแหรกขาดหมดเลย  ไม่มีเหลือเลย  หมอชลอรำลึกเหตุการณ์ในอดีตได้ว่าเป็นลูกมอญที่ราชบุรี  มีพี่น้อง ๒ คน  มาชาตินี้ก็มี ๒ คน  แต่ต้องพากันไปตายตรงนั้น  ที่พาไปปล้นเขา  เมื่อเป็นลูกมอญ อยู่ราชบุรี อาชีพขายโอ่ง

เป็นมอญแล้วมาเกิดเป็นไทยได้  ไทยเราก็ไปเกิดเป็นฝรั่งได้  เรืออากาศโทอเมริกาโดนยิงตายที่ตาคลี  ไปเกิดเป็นพม่า  เลยแม่น้ำเมยไป ๑๖ กิโลเมตร  ยังอยู่เดี๋ยวนี้    นายสิบโท ตายตอนสงครามโลกครั้งที่สอง  อเมริกามาทิ้งบอมบ์ที่ตาคลี  สมัยทหารพันแข้ง  ใส่หมวกกะโล่  มาเกิดใหม่เป็นนักศึกษาที่วิทยาลัยครูนครสวรรค์  เดี๋ยวนี้ได้ด๊อกเตอร์แล้ว  เขาเคยฝึกสติปัฏฐานสี่มาทางสายเอกต้องรู้อย่างนี้

ขอฝากพี่น้องไว้  จะไปห้องน้ำ  เดินจงกรมไว้  อย่าเที่ยวเดินแชแหม  มานั่งกรรมฐานอย่าไปเดินเที่ยวที่ริมแม่น้ำ  เดินไปห้องสมุด  อย่าไป  เวลามีค่าเหลือเกิน  เอาของดีไปให้ได้  มีประโยชน์มาก  เวลาจะกลับนิดหน่อย จึงไปเดินดูตรงนั้นตรงนี้

ห้ามไปกุฏิพระนะ  จะไปกุฏิพระองค์โน้น องค์นี้ไม่ได้  พระมีหน้าที่อะไรไหมในห้องกรรมฐาน   มีหน้าที่ไปช่วยซ่อมแซมให้ไม่เป็นไร   ถ้าจะไปคุยสอนกรรมฐานตามโน้นตามนี้   ตามกุฏิพระไม่ได้  ขอฝากหลักกติกาของวัดไว้ด้วย  อย่าทำนะ  อาตมานั่งอยู่กุฏิก็รู้  โยมฝ่าฝืนก็ตามใจนะ  โยมจะไม่ขลังเพราะพูดไม่จริง   ทุกสิ่งที่เรารับปฏิญาณตนต่อหน้าพระสงฆ์องค์เจ้าจะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

เดินจงกรม  เดิน ๆ ไปได้จังหวะแล้วก็นั่ง  เดิน ๑ ชั่วโมง   ต้องนั่ง ๑ ชั่วโมง    เดิน ๑๐ นาที   ต้องนั่ง ๑๐  นาที   แล้วนอนไม่ใช่ห้ามนอนนะ  นอกหงายลงไป  แล้วกำหนดพองหนอยุบหนอ  เอามือจับท้องดูซิ  หายใจเข้าเป็นอย่างไร   หายใจออกเป็นอย่างไร  หายใจยาว ๆ ก่อนสักพักหนึ่ง  แล้วเอามือคลำท้องดู  นี่สำคัญผู้ฝึกใหม่

หายใจเข้าพอง……หนอ    ให้ได้จังหวะ   บางทีไม่เข้าใจ    พอง……สุดพองแล้ว   จะลงหนอได้อย่างไร   ก็ยุบเลย  ยุบยังไม่ทันหนอก็พองอีกแล้ว   จึงไม่ได้จังหวะอย่างนี้   ต้องคนละครึ่ง คนละครึ่งไม่ได้คนละเสี้ยว

เอาพองยุบเสียเสี้ยวหนึ่งหนอ ๓ เสี้ยวได้เลย   พองหนอยาว ๆ สูดลมหายใจ ก็เหมือนกันกับอานาปาณสติ   หายใจออกท้องยุบ   พอยุบแล้วหนอ…..ยาว ๆ   พองยุบ….ไม่ลงหนอ    มันก็พอง   มันจึงไม่ได้จังหวะ   อยู่ตรงนี้   ต้องเอาไปให้ได้นะ

บางคนมาถามว่า  ดิฉันญาณชั้นเท่าไรแล้ว  ญาณอะไร?  พองยุบยังทำไม่ได้   เดินจงกรมยังทำไม่ได้   จะเอาญาณอะไร   เดินจงกรมขวาเป็นซ้าย   ซ้ายเป็นขวานี่ยังทำไม่ได้  แล้วจะได้ญาณอย่างไร

นี่ เดินช้า ๆ เพื่อไว   เสียเพื่อได้   เสียเวลาให้ได้บุญ  เดินให้ช้าที่สุด   เพื่อไวเร็วทันใจ    ถูกต้องเป็นธรรม  ทำอะไรคล่องแคล่วว่องไว

ถ้าเราทำช้าได้   มันมีสติดี   มันได้คิดได้อ่าน  ได้ตรึกตรอง   ได้โยนิโสมนสิการ   ถูกต้องทันเวลาที่คิด   เพราะเดินช้าคิดอะไรช้า ๆ ไว้ก่อน   อย่าใจเร็วด่วนได้มิใคร่ดี   จะเอาดีไม่ได้    คิดไม่ทัน  ท่านจะเสียผลงานของท่าน

เดินช้าเพื่อต้องการฝึก  พอฝึกได้เรียบร้อยดีแล้วจะวิ่งไปทางไหน   ไปทำงาน  สติจะบอกเลยว่าก้าวไปทางไหน โดดตรงไหน   เดี๋ยวจะต้องรับอย่างไร  นี่ทางสายเอกอยู่ตรงนี้  ช้าเพื่อไว   เสียเพื่อได้   เสียเวลาเพื่อได้บุญกุศลอย่างนี้       เสียเงินไปต้องลงทุนการค้า  เพื่อได้กำไรที่เขาทำการค้าไป   มีไหมค้าขายไม่ต้องลงทุน   ไม่ต้องใช้สตางค์  มาวัดไม่ต้องมีทุน  ไม่ต้องมีบุญกุศล

ขอเจริญพรว่า  ท่านทั้งหลายที่มานี่ มีบุญทุกคน  ถ้าไม่มีบุญวาสนา  ไม่มีทางมา   คนที่ไร้บุญวาสนา   เอาช้างไปฉุดไปลาก   ไม่มีทางมา  จนชีวิตหาไม่     พยายามเดินจงกรมหน่อย  เรื่องเก่าอย่ามาคิดกัน   อย่าปรารถเรื่องนั้น   เรื่องสามี   เรื่องครอบครัว   เรื่องทุกข์ยาก   อย่าเอามาคิดตรงนี้    กำหนดอิริยาบถ  ต้องกำหนดเรื่อย ๆ  เก็บเข้าไว้  เวลามีทุกข์มันจะออกมาแก้เอง

มีทุกข์ตรงไหนกำหนดคิดหนอ ๆ รู้หนอ ๆ มันจะออกมาแก้เอง เดี๋ยวโยม จะบอกว่ามานั่งไม่เห็นได้ปัญญา มันจะได้อะไรล่ะ  มันสะสมหน่วยกิต  สะสมบุญกุศลไว้ที่ใจ  ถึงเวลามีทุกข์มันจะออกมาแก้ทันที  นี่อยู่ตรงนี้  ขอฝากไว้

ไม่ใช่พระที่บวชทุกองค์มีบุญนะ คนละเรื่องกันมันอยู่ที่ตัวปฏิบัติ ไม่ใช่นุ่งเหลืองห่มเหลือง  อย่างอาตมามีบุญถึงได้บวชนะ   อย่างโยมที่มาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน  จัดว่าเป็นนักบวชนะ  เพราะอยู่ในขอบเขตของนักบวชด้วย บวชกาย  บวชวาจา   บวชใจ   บวชนอก   บวช ใน  บวชจิตใจเป็นพระ  ทำจิตใจให้ประเสริฐ

นักปฏิบัติไม่ต้องไปดูพระ   พระองค์นั้นเป็นอย่างนี้  พระองค์นี้เป็นอย่างนั้น  อย่าวิจัยนะ   วิจัยตัวเองเถิด  พระองค์อื่นช่างท่านประไรเล่า   ท่านเป็นอะไรก็ช่างชี   ดีช่างสงฆ์   เรื่องของท่าน

ท่านจะไปเลือกวัดทำบุญทำไมกัน   พบพระก็ตักบาตรไปเถอะ  เจอเณรองค์ไหนก็ตักบาตรไป  ดีชั่วอย่างไรเราก็ได้บุญอยู่แล้ว  แต่เรื่องของท่านที่ทำบาป  มันคนละเรื่องกัน  คนละทางสายเอก  นี่แหละการปฏิบัติธรรมจึงมีประโยชน์

มีอะไรก็กำหนด  สำรวม  สังวร ด้วย   เวลาโยมกลับจากนั่งกรรมฐาน  เอาไปใช้ด้วย  เอาไปแก้ปัญหา   เสียงหนอเขาด่าเรา   เสียดสีเราเหลือเกินนี่  แหม!  บังคับเราเหลือเกิน  ก็ตั้งสติไว้ที่หู   นี่วิธีแก้ก็นั่งกรรมฐาน  เป็นการแก้ปัญหา

แต่เราไปทิ้งเสีย  พอกลับแล้ว  เลิกกำหนดเลย   ทิ้งเลยท่านจะได้อะไร  ท่านเดินสายจัตวาตามเดิม   จะพบป่าเขาลำเนาไพร   พบขวากหนามคืออุปสรรค  ตลอดทาง  ไม่เกิดประโยชน์นะ

พอได้ยินเสียงเขาด่าเขาว่า   ตั้งสติเลย   เสียงหนอต้องเอาอย่างนี้แก้  เสียงหนอ ๆ  ๆ  ๆ   รับรองเสียงที่หูเราจะดับวูบลงไป   เสียงกับหูคนละอัน   แล้วจะไม่เก็บเสียงที่เขาด่าไว้ในจิตใจ ให้เราเศร้าหมองทำไม

อาตมาชอบพูด  มึงด่าใครวะ   พูดภาษาอย่างภาษาไทยให้ฟัง   มึงด่าใคร    กูด่ามึง  ดีแล้ว! นึกว่าด่ากู   ด่ามึงหรือเอาไป    นี่เห็นชัดแล้ว  แล้วจะไปโกรธเขาอีกหรือ  ทางสายเอกอยู่ตรงนี้

ก็ขอให้เอาไปแก้ไขปัญหาในงานใครจะว่าอย่างไรตั้งสติไว้อย่างเดียว  เราจะทำงานในฝ่ายไหน   แผนกอะไรก็ตามสำคัญอยู่ที่ตัวเรา  ชีวิตคืองานบันดาลสุข   มีกรรมฐานสายเอกแล้ว  จงทำงานให้สนุก  มีความสุขกับการทำงาน  นี่กรรมฐานทางสายเอก  งานเราจะเดินด้วย

ไม่ใช่ทำงานด้วยการกอดอก  กลุ้มใจ  งานจะเดินได้อย่างไร  ไปโทษคนโน้นเขาว่า  คนนี้เขาเสียดสี  ตอบทันทีเลิกกัน   อย่าไปสนใจกับคนอื่น  สนใจกับตัวเองเถิด

ขอฝากรายการกรรมฐานไว้   สอนแล้วก็เอาไปใช้   กลับไปบ้านแล้วก็เอาไปกำหนด  ใครด่าใครว่าก็นั่งกำหนดไปเรื่อย ๆ ตั้งสติ   เดี๋ยวก็ดีมีปัญญา พวกที่ว่าด่าเรามันก็กลับไปหาเขาเอง เขาไม่รำคาญก็แล้วไป  เราอย่าไปรับเข้ามาไว้ในจิต

ทวาร ๖   เป็นประตูสำคัญ   ประตูรับโจรเข้าบ้าน  ปิดประตูเสียมิได้หรือ  อย่าให้โจรเข้ามาในห้องนอน คืนจิต  ถ้าถึงห้องนอน  ท่านจะเสียท่าเขาแน่ ๆ เป็นขี้ข้าเขาตลอดไป  เป็นขี้ข้ากิเลส เป็นขี้ข้าในการทำงาน  แล้วเสียใจตลอดกาล

จงใช้ทางเดินสายเอกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  โกรธก็กำหนดโกรธหนอ  อย่าไปโกรธใครต่อไป  สติมันจะบอกว่า  จะไปโกรธเขาทำไม  เสียเวลาทำงาน  เสียสมองมาก  ทำให้สมองเครียด  ทำให้ตัวเราเครียดต่อเหตุการณ์  ดังที่กล่าวแล้วเช่นเดียวกัน

ฉะนั้นท่านอย่าให้เสียเวลามาเปล่ามีเวลาจำกัดนะไปไหนให้เดินเป็นแถว  กำหนดไปเรื่อย ๆ อย่าให้เวลาผ่านไปโดยใช่เหตุ  กำหนดไปเรื่อย ๆ ไปห้องน้ำ  ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ  กำหนด  ตั้งสติให้เคย   ทานอาหารก็กำหนดเคี้ยวให้ละเอียด  ตั้งสติไว้  รับรองท่านได้ผล

อาตมาไม่สอนให้โยมทำบุญอย่างโน้นอย่างนั้น  แต่สอนให้เอาบุญมาใส่ไว้ในใจ  ให้เกิดความสุข  มีความสนุกอยู่ในบ้านของตน  สามีภรรยารักกันอย่างดี  รักพี่รักน้องประคองไว้   รักงานในหน้าที่รับผิดชอบ  รับรองท่านจะรวยมหาศาล

บางคนก็มีศรัทธามาก   แต่ไม่มีความเพียร  มันก็เป็นไปไม่ได้  มีศรัทธามากต้องมีความเพียรมากด้วย  ต้องเพียรตั้งสติไว้ให้มากที่สุด   มีวิริยะ  อุตสาหะ   ตั้งสติสมาธิ   จับจุดงานกรรมฐาน  อย่าทิ้งงานในกรรมฐาน   ปัญญาจะเกิดขึ้นในพละ ๕ ประการ  ดังกล่าวแล้ว

ขอความเจริญรุ่งเรืองจงเป็นของท่านนักกรรมฐาน  และขอทุกท่านจงเจริญด้วย อายุ   วรรณะ   สุขะ   พละ   ปฏิภาณ  ธนสารสมบัติ   จะนึกคิดสิ่งหนึ่งประการใด  จงสมความปรารถนาด้วยกันทุกรูปทุกนาม  ขอเจริญพร