สมบัติมนุษย์

โดย พระราชสุทธิญาณมงคล (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม)

วันนี้เป็นวันพระ ญาติโยมก็มาฟังเทศนาตามกาลเวลา การนับถือศาสนานั้นจะนับถืออย่างไรก็ไม่มีใคร บังคับ นับถือได้หลายศาสนาด้วย แต่ศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นประชาธิปไตย ไม่มีการบังคับบัญชาให้นับถือแต่ประการใด แต่เป็นที่น่าเสียดายและเสียใจที่คนนับถือพระ พุทธศาสนาไม่มีหลักในการนับถือ ได้แต่นับถือตามๆ กันมา นับถือด้วยศรัทธาเท่านั้น ไม่นับถือด้วยปัญญา จึงไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ไม่มีความเข้าใจอะไร บวชเป็นสงฆ์องค์เจ้าก็บวชตามกันมา แต่จะบวชด้วยศรัทธาและบวชด้วยปัญญานั้นหายากมาก

บางคนก็ไม่ศรัทธา บางคนก็ไม่มีปัญญา บวชตามเพื่อนมาก็มี จึงไม่ได้ดี ไม่อดทนอดกลั้นแต่ประการใด บางคนก็มาบวชเพราะ อกหัก บวชหลักลอย บวชคอยงานบวชสังขารเสื่อม

มาบวชคอยงานพอได้งานก็สึก บวชสังขารเสื่อมทำอะไรไม่ไหว ประกอบอาชีพไม่ไหวก็มาบวช บวชหากินใน วัดในพระศาสนา บวชด้วยความเชื่อความเลื่อมใส และบวชด้วยศรัทธา บวชด้วยปัญญามีน้อยมาก บวชตามกันมาเป็นแถวๆ และสึกออกไป และก็ไม่เคยกลับมาอีก บวช กันเป็นแฟชั่น น่าจะบวชด้วยศรัทธา ด้วยปัญญา มาปฏิบัติธรรมนุ่งขาวห่มขาวก็ต้องใช้ปัญญา ไม่ใช่ว่าศรัทธา หัวเต่า ผลุบเข้าผลุบออก การนับถือพระศาสนาจึงไม่มั่นคงไม่ได้นับถือด้วยปัญญาด้วยศรัทธา การถวายสังฆทานศรัทธาจริง แต่การจะปฏิบัติแก้ปัญหาชีวิตจะไม่ศรัทธาเชียวหรือ

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย โปรดพิจารณาด้วยปัญญา การนับถือตามกันมาจะตอบไม่ได้ว่านับถืออะไรพระพุทธเจ้าสอนอะไรบ้างที่จะทำให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิต กิจประจำวัน ตอบไม่ได้เลย และเรามีชีวิตอยู่ได้ด้วยเหตุใด จะอยู่ไปเพราะเหตุใด แล้วจะอยู่ไปทำไมเล่า เกิดมาทำไมเล่า น่าจะตีปัญหาให้กับตัวเอง ว่าอ๋อ เกิดมาสร้างประโยชน์ให้กับตนเองและส่วนรวม โลกมนุษย์นี้จะได้อยู่เย็นเป็นสุข ที่เกิดมาต้องการใช้หนี้เก่าเมื่อครั้งอดีตชาติเราไม่รู้จักเวรกรรมและบุญกรรมนำแต่ง บาปบุญสนองเรา เราก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจ น่าเสียดายมาก

ท่านทั้งหลายที่มากันทุกวันนี้ ท่านมาเพื่ออะไร ท่านเคยถามตัวท่านเองบ้างไหม ส่วนมากจะบอกว่ามาเพราะหยุดงานตามกาลเวลา มีน้อยมากที่จะบอกว่า มาแสดงกตัญญูกตเวทิตาธรรมต่อผู้มีพระคุณ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า บุคคลที่หาได้ยากในโลกมนุษย์นี้ คือบุคคลที่มีความกตัญญูกตเวทิตาธรรม ลูกจะนึกถึงบุญคุณพ่อแม่หายากมาก คนที่มีกตัญญูกตเวทิตาธรรม คนนั้นจะร่ำรวยจะมีบุญวาสนามาก คนที่ไม่ลืมพระคุณของท่านผู้มีพระคุณแล้วนั่นแหละ พระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญว่าบุคคลผู้นั้นมีบุญวาสนามาก คนที่ไร้บุญวาสนาลืมแม้กระทั่งญาติพี่น้อง ลืมแม้กระทั่งชาติภูมิ มาตุภูมิ ลืมแม้แหล่งให้เกิดวิชา แหล่งให้เกิดความดี ลืมทั้งเครื่องอุปกรณ์ใช้สอย ลืมทั้งเหตุผล ลืมทั้งสัตว์ที่เลี้ยงไว้เอามาฆ่ามาแกง ลืมทั้งหัวใจพ่อให้ ลืม ทั้งน้ำเลือดน้ำเหลืองที่แม่ให้ ลืมทั้งแม่ลืมทั้งพ่อ ลืมปู่ย่าตายาย

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย พระพุทธเจ้ายอดกตัญญในโลก พระองค์ทรงแสดงความกตัญญูตลอดมาแสดงยมกปาฏิหาริย์โปรดพระพุทธมารดาตลอดไตรมาส (๓ เดือน) ไม่ลืมโปรดแม่ก่อน จึงขอฝากลูกหลานไว้ด้วย วันเกิดของเราคือวันตายของแม่ อย่าลืมแม่ ไปโปรดแม่ให้ได้ ช่วยแม่เราก่อน พระพุทธเจ้าตั้งแต่เป็นพระโพธิสัตว์เจ้าเสวยพระชาติมาหลายชาติ ตั้งแต่สุวรรณสามมาตามอัน ดับ มโหสถ พระเตมีย์ใบ้ ช่วยพ่อช่วยแม่ตลอดทุกชาติกว่าจะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ใช้เวลาถึง ๔ อสงไขยกำไรแสนกับ นี่คือกตัญญูกตเวทิตา ธรรมของพระองค์ซึ่งทรงมีอยู่ลึก ซึ้ง

อาตมาสังเกตมานาน อ๋อ เราช่วยเขาไว้มากเขาก็รักเรามาก เราช่วยเขาน้อยเขาก็รักเราน้อย เรายังไม่ได้ช่วยเขายังไม่ได้รักเลย อันนี้ชัดมาก ความรักหรือความเมตตาเกื้อหนุนกันก็ยาก คนที่มีกตัญญูกตเวทีที่ใจจริงนั้นยากมาก พระพุทธเจ้าแสดงธรรมะในพระไตรปิฎกไว้ชัด บุคคลหาได้ยากอย่างยิ่งคือบุพการีที่อุปการะเรามา แต่เราไม่ค่อยจะกตัญญูกตเวที บางคนนั้นพ่อแม่พอมีเงินมีทองก็ไปมาหาสู่ พอพ่อแม่หมดเนื้อประดาตัวก็ไม่เคยไปหาพ่อแม่เลย ปู่กับย่า ตากับยายมีสมบัติ ลูกหลานก็มากันเยอะแยะ พอ ปู่ย่าตายายหมดสมบัติพัสถาน ใกล้จะตายไม่มีใครไปดูแลก็มากมาย นี่หรือกตัญญูกตเวทิตาธรรม สายโลหิตเดียวกันแท้ๆ ก็ยังลืมไปหมด ไม่มีการเข้าไปซึ้งในเหตุผลเพราะไม่ซึ้งในรสธรรมะ เพราะการนับถือพระพุทธศาสนาไม่ได้นับถือด้วยปัญญา จึงลืมความกตัญญูกตเวทิตาธรรมต่อคุณพ่อคุณแม่ของเรา

เรานับถือศาสนาด้วยศรัทธา ทอดผ้าป่าทอดกฐินทอดผ้าป่าด้วยศรัทธา ถวายสังฆทานวัดโน้นวัดนี้ ทัวร์บุญ กันเยอะแยะ นี่ทำด้วยศรัทธาทั้งนั้น แต่ไม่ใช้ดุลยพินิจว่าเงินไปทำบุญสร้างศาลาสร้างโบสถ์ได้ประโยชน์ตรงไหนบ้าง ประโยชน์นั้นได้มากได้น้อยเพียงใด พิจารณาดูบ้างไหม แต่จะไม่ขอกล่าวในที่ประชุมนี้ จะขอกล่าวแต่การ
นับถือพระพุทธศาสนาโดยไม่ได้ใช้ปัญญา ท่านมาเจริญกรรมฐานท่านมาด้วยบัญญาหรือมา ด้วยศรัทธา หรือตามกันมา หรือมาทำจิ้มๆ จ้ำ ๆ ได้มั่งไม่ได้มั่ง ท่านช่วยตัวเองได้ไหม การปฏิบัติธรรมท่านช่วยตัวเองได้ไม่จำเป็นต้องกล่าวอย่างอื่นแต่ประการใด อาตมาก็ใช้กรรมฐานให้หลักธรรมด้วยปัญญา คอหักมา ๑๙ ปี ไม่เคยเข้าโรงพยาบาล ไม่เคยไปเลย ต้องอดทน ตายให้มันตาย ดูซิเราต้องมีศรัทธาด้วยปัญญา ใช้ปัญญาเป็น ดุลยพินิจพิจารณา เอ้าตายให้มันตาย หมดลมหายใจก็เลิก ที่จะเล่นละครชีวิต หมดโอกาสเวลาแล้ว ต้องอดทน อดกลั้น นี่เป็นจุดมุ่งหมายอันสำคัญของปัญญา
การรอบรู้ในกองสังขารจะอ่านตัวออก บอกตัวได้ ใช้ตัวเป็น ก็ใช้ปัญญาญาณด้านการเจริญกรรมฐาน ไม่ใช่มา นั่งอย่างที่โยมตั้งใจมา คนจะได้ประโยชน์มากถ้าทำด้วย ปัญญาสักนิดท่านจะมีความยินดีอีกหน่อย จะได้รู้ว่าที่ทำไป มันได้ประโยชน์อะไร เงินทองเสียไปมันจะได้อะไรตอบแทนบ้าง น่าจะคิดตรงนั้น มาคิดแต่ศรัทธา เลยก็ศรัทธาหัวเต่า ผลุบเข้าผลุบออก นึกจะผลุบออกก็ออกไป นึกจะเข้าก็เข้า นึกจะไปก็ไป นึกว่าจะมาอย่างนี้ ไม่ไปลามาไหว้บ้าง ประโยชน์นั้นได้มากได้น้อยเพียงใด พิจารณาดูบ้างไหม แต่จะไม่ขอกล่าวในที่ประชุมนี้ จะขอกล่าวแต่การนับถือพระพุทธศาสนาโดยไม่ได้ใช้ปัญญา

ท่านมาเจริญกรรมฐานท่านมาด้วยบัญญาหรือมา ด้วยศรัทธา หรือตามกันมา หรือมาทำจิ้มๆ จ้ำ ๆ ได้มั่งไม่ได้มั่ง ท่านช่วยตัวเองได้ไหม การปฏิบัติธรรมท่านช่วยตัวเองได้ไม่จำเป็นต้องกล่าวอย่างอื่นแต่ประการใด อาตมาก็ใช้กรรมฐานให้หลักธรรมด้วยปัญญา คอหักมา ๑๙ ปี ไม่เคยเข้าโรงพยาบาล ไม่เคยไปเลย ต้องอดทน ตายให้มันตาย ดูซิเราต้องมีศรัทธาด้วยปัญญา ใช้ปัญญาเป็น ดุลยพินิจพิจารณา เอ้าตายให้มันตาย หมดลมหายใจก็เลิก ที่จะเล่นละครชีวิต หมดโอกาสเวลาแล้ว ต้องอดทน อดกลั้น นี่เป็นจุดมุ่งหมายอันสำคัญของปัญญา

การรอบรู้ในกองสังขารจะอ่านตัวออก บอกตัวได้ ใช้ตัวเป็น ก็ใช้ปัญญาญาณด้านการเจริญกรรมฐาน ไม่ใช่มา นั่งอย่างที่โยมตั้งใจมา คนจะได้ประโยชน์มากถ้าทำด้วย ปัญญาสักนิดท่านจะมีความยินดีอีกหน่อย จะได้รู้ว่าที่ทำไป มันได้ประโยชน์อะไร เงินทองเสียไปมันจะได้อะไรตอบแทนบ้าง น่าจะคิดตรงนั้น มาคิดแต่ศรัทธา เลยก็ศรัทธาหัวเต่า ผลุบเข้าผลุบออก นึกจะผลุบออกก็ออกไป นึกจะเข้าก็เข้า นึกจะไปก็ไป นึกว่าจะมาอย่างนี้ ไม่ไปลามาไหว้นี่หัวเต่า ฉันไม่มีศรัทธามันก็เกิดขึ้นอย่างนี้ไม่มีศรัทธา แต่ถ้ามีดวงปัญญาสักนิดจะคิดว่าศรัทธามาก่อน ปัญญามาทีหลัง มีศรัทธาแล้วปัญญาก็จะแก้ไขปัญหาทีหลัง มีศรัทธาแล้วปัญญาก็จะแก้ไขปัญหาในการศรัทธาถึงความถูกต้องพลังงานจะได้สูงขึ้น สมาธิก็จะเกิดขึ้น มันจะเกิดขึ้นกับผู้มีศรัทธาก่อน ถ้าเราไม่เจริญกรรมฐานไม่มีศรัทธาเลย มากระท่อนกระแท่น ท่านก็ได้บุญกระท่อนกระแท่นกลับไป ไม่มีอะไรเป็นหลักฐานที่ติดตัวท่านไปเลยด้วยศรัทธาอันนี้ปัญญาก็จะไม่เกิดมรรคเกิดผล เกิดอานิสงส์แต่ประการใดญาณอันใดล่ะที่จะเกิดขึ้น ญาณ ๑๖ ที่ไปโยงเป็นธรรมปฏิบัติมามันก็ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

วันนี้จะชี้แจงเรื่องภาคปฏิบัติธรรมว่าได้อะไรบ้างแก้ไขปัญหาอย่างไร โปรดได้ตั้งใจฟัง ใช้ปัญญาฟังสักนิดจะแก้ไขปัญหาชีวิตได้มาก ท่านไม่เคยใช้ปัญญาฟังท่านใช้ศรัทธาฟัง อาตมาจึงพูดคติธรรมให้ท่านพังว่า คนเชื่อง่ายสอนยาก นี่พวกศรัทธามากปัญญาไม่มี เชื่ออย่างเดียวสอนยาก คนประเภทนี้ตากระทู้หูกระทะ คนที่เชื่อยากสอนง่าย ด้วยเหตุผลข้อเท็จจริง ควรใช้ปัญญาดุลยพินิจ ใครว่ายาย ก. ยาย ข. ไม่ดี เขาจะไม่เชื่อ เขาจะเชื่อก็ต่อเมื่อเหตุผลเกิดขึ้น ใครว่าพระ ก. พระ ข. ไม่ดี เขาก็ไม่เชื่อ นี่แหละคนประเภทนี้สอนง่ายโดยเหตุผลต้องยอมรับมีเหตุมีผลไหม คนเป็นบัณฑิตต้องมีเหตุมีผล มีข้อเท็จจริง มีหลักฐาน มีพยานอ้างอิง คิดหนอ ให้มันได้ผล รู้หนอ ให้มันเกิดปัญญาผุดขึ้นมาเองได้ไหม

ทำอะไรต้องมีศรัทธาก่อนและปัญญาตามที่หลังจึงจะ ถูกต้อง ท่านทำบุญไม่มีปัญญา ทำสังฆทานใครบอกบุญทำตลอด ตายไปแล้วไปเกิดเป็นลูกเศรษฐีไม่มีปัญญาเรียนหนังสือไม่จบ เป็นลูกเศรษฐีพันล้านไม่ยอมเรียนหนังสือเวลาตั้งบริษัทก็ต้องไปจ้างผู้จัดการบริษัทมา ไม่ใช่ตัวเองเป็น ตัวเองจ่ายเป็นเงิน นี่แหละ เศรษฐีหน้าโง่ มีแต่เงินมีแต่ทอง แต่ไม่มีสติปัญญาที่จะแก้ไขปัญหา ไม่มีปัญญาที่จะเป็นเจ้าของบริษัท

ท่านทั้งหลาย อย่าเอาแต่ศรัทธา ต้องเอาปัญญาด้วยทำบุญกุศลใช้ปัญญาญาณพิจารณา มีสติสัมปชัญญะในการ พึ่งกรรมฐานถูกต้อง แต่ท่านไม่เคยใช้กำหนดจิตท่านไม่เคยใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาชีวิตของท่าน ไหนเลยจะรู้ของจริง ท่านจะกลายเป็นคนรู้ของปลอม การเจริญกรรมฐานแก้ไขปัญหาได้แน่ แต่ท่านทำตามที่อาตมาสอนได้ไหม เป็นอะไรหน่อยไปโรงพยาบาล คนโน้นจะตายคนนี้จะตาย ไม่ใช่เลย เป็นกฎแห่งกรรมจากการกำหนดจิตไม่มีสตินั่นเอง ขาดสติ นี่อาตมาตั้งหลายปีไม่เคยเข้าโรงพยาบาล ตั้งแต่คอหักมาน่ะ ก่อนคอหักไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเพราะไม่เคยไปนอนให้น้ำเกลือกับเขาแบบนั้นเราต้องอดทน ตายให้มันตาย ตั้งสติตั้งปัญญาญาณแก้ไข ปัญหา เราจะได้รู้ว่าพรุ่งนี้แล้วหรือ ตายวันที่๑๔ ตุลาคมเวลาเที่ยงสี่สิบห้านาที เราต้องถูกรถชนตาย มันก็รู้อย่างนี้ แต่สติปัญญามันก็จะบอกไปตามขั้นตอนอย่างหนึ่ง นี่คือการเจริญกรรมฐาน จะมีประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย มิใช่น้อย

ในวันนี้ขอฝากข้อคิดไว้ การเจริญสติปัฏฐาน ๔ ทำให้คนมีปัญญา ถ้าผู้ใดเจริญกรรมฐานเข้าขั้นเป็นกุศล จะไม่มีการทะเลาะกันเลย จะไม่หาเรื่องไม่เปลืองเวลา สามีภรรยาก็ไม่ทะเลาะกัน ถ้าเป็นบุตรธิดาก็ไม่ข่มเหงทำร้าย กันและกัน ไม่แย่งสมบัติกันแน่นอน ถ้าท่านปฏิบัติไม่ได้ท่านก็ไปแย่งสมบัติกันต่อไป ถ้าท่านนั่งกรรมฐานจะแก้ปัญหาได้ ท่านจะรู้ ท่านจะปลงตกว่า อย่างนี้ของนอกกายเอาไปไม่ได้ นอกเหนือจากการบันทึกเทปเข้าไปในจิตใจ จิตใจรวมเอาความดีเข้าไปได้ถึงสัมปรายภพ

ท่านทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม ท่านมีพร้อมหรือยัง ที่จะต้องแก้ปัญหา เตรียมการไว้หรือยัง เวลาศึก ต้องรบ ยามสงบต้องเตรียมพร้อมคือกรรมฐาน ถ้ามีพร้อมในเรื่องกรรมฐานแล้วรับรองว่าท่านจะต่อสู้ได้ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ ไม่มีปัญหาไปถามใคร ท่านจะต้องหมดปัญหาถาม เพราะท่านหมดสงสัย ถ้าทำกรรมฐานได้ท่านจะไม่สงสัยอีกต่อไป ไม่สงสัยอะไร ไม่สงสัยต่อพระพุทธเจ้า ไม่สงสัยต่อพระธรรม ไม่สงสัยต่อพระสงฆ์อีกต่อไปแล้ว และปัญหาชีวิตเราก็ไม่สงสัย นี่ซิสะอาด สว่าง สงบ ถ้ายังมีสกปรก ไม่สะอาด สว่าง สงบ ท่านจะมีความสงสัยตลอดไป

ถ้าท่านเจริญกรรมฐานไม่ได้ ท่านจะสงสัยไปตลอดชีวิต ไม่มีโอกาสที่ท่านจะแก้ไขปัญหาได้ ออกมาอย่างนี้ชัดเจนแล้ว จะให้อาตมากล่าวอะไรเล่า จะกล่าวว่าอะไร อีก ว่าคนไหนจะชอบ คนไหนจะดี คนไหนจะมีปัญญา ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ท่านจะรู้ในภายในของท่านเอง ถ้าท่านทำได้ ท่านจะรู้ว่าคนนี้นิสัยไม่ดี จะคบค้าสมาคมได้หรือไม่ประการใด จะบอกตรงไปตรงมา

ท่านทั้งหลาย การเจริญกรรมฐานมีแต่แก้ปัญหา ไม่สร้างปัญหา มีแต่แก้ปัญหาสะสางชีวิตให้ดี สะสางปัญหาให้สู่ภาวะความเป็นปกติให้ดีคือ ศีล สมาธิ ปัญญา มีความหมายอย่างนี้เท่านั้น ไม่ใช่มาสร้างปัญหา ไม่ใช่ไปบวชชีพราหมณ์วัดโน้นวัดนี้ ออกไปที่โน่นเดี๋ยวร้องรำทำเพลงไปแล้วร้องรำเหมือนหงส์ บอกว่าเป็นกฎแห่งกรรมบ้าง ร้องรำทำเพลงไม่ใช่กรรมฐาน พระพุทธเจ้าสอนว่ากรรมฐานต้องอยู่ด้วยความสงบ สว่าง และ เรียบร้อยสะอาดหมดจดทุกประการ ไม่ใช่มาร้องรำทำเพลงเต้นเป็นผีเจ้าเข้าทรง อย่าง นั้นไม่ถูกทางแล้ว ผิดเข็มทิศ ท่านจะปลูกเรือนก็ต้องให้ถูกเข็มทิศ ไปทางไหนก็ต้องเดินทางให้ถูกทิศให้ถูกทาง เดินทางถูกต้อง อย่าเดินที่พลาดผิดใช้ชีวิตเป็นหมัน ไร้สาระไร้สังคมต่อไป ท่านจะประเสริฐไม่ได้ ดังนั้นก็จงฟังข้อเหตุผล สักเล็กน้อยว่ากรรมฐานแก้ตรงไหน สร้างตรงไหน พูดมาจนมากมาย แต่โยมไม่เคยทำตามอาตมา ถ้าทำตามอาตมา มันจะผุดขึ้นมาในดวงหทัยใสสะอาด สว่าง สงบ ท่านปรารภธรรมและปัญหาท่านจะคลี่คลายในทางที่ดี หมด ปัญญาไปหาหมอดูหาผีเข้าเจ้าทรง จะบอกท่านด้วยตัวเองได้ว่าแก้ปัญหาอย่างไร นี่แหละถูกต้อง

บางคนมาเจริญกรรมฐาน ถ้าเจริญจริงอย่าง กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน กายจะยืน หรือเดิน นั่ง นอน เหลียว ซ้าย แลขวา คู้แขน เหยียดขา ต้องกำหนดจิตให้มีสติทางกาย เรียบร้อยสวยน่ารัก กำหนดทางวาจา พูดจาก็เพราะ พูดจาเหมาะ จะมีเหตุมีผล พูดจาเป็นเรื่องเป็นราว เป็น ปัญญา เห็นการแก้ปัญหาในตัว คือปิยวาจา พูดจาเพราะเรียกว่าคนพูดดีพูดมีปัญญา ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้ออีกต่อไป ปิยวาจาคือกรรม-ฐาน ก็คือกำหนดจิตตั้งสติตลอดรายการ แต่ผู้ปฏิบัติไม่เคยกำหนดเลย ปล่อยไปตามเรื่องตามราว ท่านจะได้อะไร ท่านจะแก้ไขปัญหากรรมได้ไหม ความเสียใจเกิดขึ้นแต่แล้วก็ไม่แก้ปัญหา ก็ไปถามหมอดู เสียใจเรื่องอะไร เลย ก็เสียทิศเสียทางเสียเข็มทิศไป แปลว่าไม่เกิดประโยชน์แต่ประการใด แล้วก็ไปหาหมอดูว่าลูกคนโตจะเรียนแพทย์เรียนหมอหรือจะเรียนวิศวกรรม ถ้าท่านปฏิบัติกรรมฐานได้ ท่านจะรู้เองว่า ลูกคนโตจะเรียนแพทย์ ลูกคนที่สองจะเรียนวิศวกรรม มันจะบอกทิศทางได้ถูกต้อง นี่ ตรงนี้ท่านทำได้หรือยัง

ขอเจริญพรถาม ท่านเคยกำหนดหรือไม่ ท่านไม่เคยกำหนดเลย อาตมาก็ช่วยท่านไม่ได้ เสียใจก็ไม่กำหนด ดีใจก็ไม่กำหนด ปวดเมื่อยที่เรียกว่าเวทนาที่มันบังคับ บัญชาไม่ได้ควรปฏิบัติดังนี้คือ กำหนด ปวดหนอ ปวดหนอ ที่เวทนานั้น ปวดกระดูกจะแตกแล้วหนอ ตายให้มันตาย ตายไปกำหนดไป พอสมาธิดี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปปวดหาย กฎแห่งกรรมโผล่เลย ไปขว้างขาหมู ไปขว้างขาหมา ซิ่งรถชนหมา ขับรถชนแมวตาย มันจะบอกทันทีเท่านี้ทำไม่ได้หรือ ต้องไปโรงพยาบาลด้วยหรือประการใด

มีพระบวชใหม่ล้มไปนิดหน่อยเท่านี้จะตายแล้ว ต้องโทรไปบอกให้พ่อแม่มา เราอยู่ในวัดไม่เคยบอก เราอยู่นะเห็นหนอ อยู่เสมอ แต่ไม่เคยบอก เป็นนิดๆ หน่อยๆ เท่า นั้นแหละก็ทำให้เรื่องใหญ่โตไปได้ คนเราน่ะเรื่องใหญ่ทำให้เล็ก กำหนดเข้าไป เช่นคนมาเลเซียปวดขามา ๗ ปี เหยียดขาไม่ออก เหยียดเข้าก็ไม่ได้ บอกให้กำหนดเข้าปวดหนอ ปวดหนอ จะตายแล้ว น้ำตาร่วงเลย เอ้าตายให้มันตายไป ปวดหนอ ปวดหนอ นี้เวทนานุปัสสนา ทำตรง นี้ให้ชินได้ไหม พอปวดเมื่อยก็เลิกแล้ว พองหนอก็ไม่ได้พอยังไม่ทันหนอ มันก็ยุบ ยุบยังไม่ทันหนอมันก็พอง เลย ก็ทำไปอย่างนี้สั้นๆ ยาวๆ ยาวๆ สั้นๆ ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร บอกให้หายใจยาวๆ ก็ไม่ทำ

กรรมฐานแก้ปัญหาได้ ความในใจของเรามีอะไร เรา รู้ตัวอยู่นะ เรามีตัวไหม เรามีความในใจอะไรบ้าง เราเจริญกรรมฐาน เดี๋ยวสติมันจะบอกที่แก้อย่างนี้ ใช้ปัญญาของตัวเอง ความตื้นลึกหนาบางว่าอะไร ใครจะรู้ดีเท่ากับตัวเราไม่มีแล้ว คนอื่นจะรู้เท่าเราคงไม่มีแล้ว ขอเจริญพรอย่างนี้แล้วจะเอาอะไรมาเป็นหลักฐาน จะไม่ประมาณการขึ้นเชียวหรือ จะมีมาหลายประเภท อาตมาไม่ว่าใครจะมีมานานแล้ว ผีเข้าเจ้าทรงนับถือหมอดูบอกว่ามีมานานแล้ว มันไม่มีที่พึ่งแล้วเขาก็บอกว่าไม่รู้จะไปหาใคร ก็ไปหาหมอ ดูบ้าง ก็หาทางออกผีเข้าเจ้าทรงก็ได้ แต่ทางออกที่ดีควรจะเดินทางสายปัญญา

สายปัญญานับถือด้วยปัญญา เริ่มต้นด้วยศรัทธาปสาทะ ทำอะไรด้วยศรัทธา ทำอะไรด้วยความตั้งใจ ทำด้วยความเคารพ ทำด้วยจิตสงบ ทำด้วยความถูกต้อง ถึงจะได้ผล ทำด้วยความเคารพคือ นึกถึงตัวเอง พูดแล้วต้องทำ พูดแล้วอย่าเอาวาจาไปทิ้ง พูดแล้วต้องทำ ประการที่สอง ต้องเคารพสถานที่ เข้าไปบ้านเขา ต้องเคารพกฎหมาย บ้านเมืองของเขาเหล่านั้นด้วย และทำอะไรด้วยจิตสงบ ทำอะไรก็ทำด้วยความถูกต้อง ไม่มีหละหลวมเหลวไหลแต่ประการใด นี่เป็นการนับถือพระศาสนามีเหตุผลไม่ใช่นับถือกันส่งเดชไป แล้วไปหาพระหลอก นี่มีข่าวมาอีกแล้ว ว่ามีพระเรียกเงินเรียกทองได้ แต่ต้องนำทองไปแลกพระอย่างนี้ก็มีด้วย พระมีหลายประเภท พระแท้ๆ ต้องใจเย็น พระเย็นแล้วมีเย็นใจ ถ้าเข้าแล้วมันร้อนอกร้อนใจถอยฉากออกไป พระเพลิงเดี๋ยวนี้มีมาก เดือดร้อนประชาชนเหลือเกิน ก็ขอฝากญาติโยมไว้ด้วย

วันนี้ขอเจริญพรว่า กรรมฐานนี่แก้ปัญหาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราไม่สบายใจแก้ไขได้โดยหายใจยาวๆ เข้า ลิ้นปี่นี้ กำหนดไว้ ไม่สบายใจหนอ เท่านี้ทำไม่ได้ ทำไปๆเกิดสว่าง เกิดสงบ จิตสงบ เกิดปัญญา จิตใสใจสะอาด เกิด ปัญญาว่าเราควรทำอย่างไร มันจะเกิดขึ้นโดย ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิ แก้ปัญหาได้ความสบายใจ เราโกรธ เราเกลียด เราไม่ชอบ จะผูกพยาบาทคาดพยาเวรกันเปล่า เราก็กำหนด โกรธหนอ ที่ลิ้นปี่ร้อยครั้งพันครั้ง พอสมาธิดีแล้วสติก็ดีขึ้นปัญญาก็เกิดขึ้น นี่แหละทำด้วยนับถือ ด้วย ปัญญาแก้ไขปัญหา โกรธหายไปเลย เลยก็นึกหันมุมกลับว่าอย่าไปโกรธเขาเลย เสียสมองเปล่าๆ ควรจะแผ่เมตตาให้เขาในฐานะที่เราโกรธเขาเป็นศัตรูกับเรา ให้ศัตรูเป็นมิตรมเราต่อไปเถิด ประเสริฐที่สุด นี่การแก้ปัญหาจะเกิดอย่าง นั้นจริงๆ แต่ท่านทำไม่จริงก็ไม่เกิดปัญญาที่จะแก้ไขได้ดังสมมาดปรารถนา

เราไม่สบายก็กำหนด ไม่ต้องไปโรงพยาบาล ยาไม่ต้องไปกิน ปวดกระดูกจะแตกแล้ว เอ้า แตกให้มันแตกตายให้ตาย ตั้งสติ ตั้งสมาธิ เดี๋ยวเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปหายเลยที่เดียว จะบอกว่าเป็นกรรมอะไร เช่นนายยงยุทธนายกพุทธสมาคมแห่งจังหวัดอุทัยธานี เมื่อสองวันก็มาที่นี่ ถูกรถชนขาเละ หมอบอกว่าต้องตัดขา จะตัดตรงตาตุ่ม ที่เละไม่ได้หรอก เพราะว่านายกเป็นเบาหวานอย่างแรงเป็นมาตั้งสิบปีสิบห้าปีแล้ว เลยต้องตัดถึงโคนขา หมอบอก ว่าอย่างนั้น เขาขอคิดดูก่อน ยังตัดสินใจไม่ได้

นายกยงยุทธก็ผัดแพทย์ไปก่อน เริ่มต้นสวดพุทธคุณ พาหุง มหากา เลยกว่าอายุไป ๑ จบ มื่อก่อนไม่เคยสวดเลย มีแต่เอาหนังสือไปแจก ไปเป็นนายกแล้วก็เจริญกรรมฐานไม่จริงจัง แต่คราวนี้ตั้งใจปฏิบัติอย่างเต็มที่ ทด้วยศรัทธามีปัญญา บอกเอ้าตายให้มันตาย ยอมตาย ถ้าจะตัดขาเช่นนี้เราก็นอนอยู่บ้าน ภรรยาก็ต้องไปป้อนข้าวเรา ไปไหนไม่ได้แล้วทำอย่างไร จะไปไหนก็ต้องนั่งรถก็ไสไปจะเอาอย่างไรดีหนอ

เขาตั้งใจสวดมนต์ใหญ่เลยสามวันสามคืน ผัด ๓ วันแล้ว จะตัดสินใจต่อภายหลัง สวดด้วยศรัทธา ปัญญาก็เกิดเกิดสมาธิภาวนาปัญญาเกิด พอปัญญาเกิด สติบอกเลยที่เป็นอย่างนี้เพราะว่าไปขว้างขาหมาเมื่อตอนเป็นเด็กๆ และ ก็โตขึ้นมาขับรถชนหมาขาหักขาเละอย่างนี้แหละ มีสติบอกมาไม่ต้องถามหมอดู หมอดูจะรู้อะไร นายกยงยุทธก็เสียใจ พิโธ่เอ๋ยเราเป็นเด็กนี่เล่ายังไม่รู้ว่าเป็นบาปเป็นกรรมแต่ประการใดมันออกมาในรูปแบบอย่างนี้ชัดเจนเลย พอครบกำหนด ๓ วัน หมอมาถามว่านายกตัดสินใจได้หรือยัง เอาละครับตัดสินใจได้แล้ว ผมมั่นคงแล้ว ตัดเป็นตัดเอ้าลองดูซิว่าเป็นอย่างไร ตรวจดูเบาหวานหายอย่างเด็ดขาด และหายมาจนบัดนี้ นี่มันแก้ปัญหาได้อย่างนี้

แต่เราไม่ทำกัน บอกก็ไม่เชื่อ ไม่เป็นไร ไม่ใช่ว่าแก้ได้ทุกคนนะ ไม่ใช่ว่ามีปัญญาได้ทุกคน ไม่ใช่มีศรัทธาเหมือนกันได้ทุกคน อันนี้ยากมากที่จะบอก นายแพทย์ก็ตัดสินใจเลยเอาละท่านนายกครับ ผมจะผ่าวันนี้เลย เอาเหล็กใส่ไม่ต้องตัดเพราะว่าเบาหวานไม่มีน้ำตาลแม้แแต่เปอร์เซ็นต์เดียว เหมือนคนปกติธรรมดา ผ่าเอาเหล็กใส่เดินได้หายวันหายคืนขึ้นมาเลย ผู้อำนวยการโรงพยาบาล อุทัยธานีบอกแปลกใจว่านายกหายได้อย่างไร เขาก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง และให้ช่วยนิมนต์หลวงพ่อวัดอัมพวันไปบรรยายที่โรงพยาบาล แพทย์พยาบาลเข้ามาฟังกันแน่นไปหมด

เรานับถือพระพุทธศาสนา ก็นับถือแบบนี้เอง นับถือ กันด้วยที่ข้อถูกต้อง ๒ ประการ ได้แก่ ศรัทธากับปัญญาคนไทยนับถือด้วยศรัทธา คนเชื่อตามบรรพบุรุษอย่างเดียว เช่นพ่อแม่สอนอย่างไรก็ทำตามโดยไม่ต้องพิจารณาเพราะยังเล็กอยู่ สอนให้ไหว้พระ ให้ใส่บาตร ให้รับศีล ให้ฟังเทศน์ เท่านี้เอง ความรู้เรื่องพระพุทธศาสนาจึงน้อยนัก แม้จะฟังเทศน์บ้างก็ไม่ติดต่อกัน ฟังเป็นกัณฑ์ ๆ มีครอบครัวแล้วก็ทำเรื่อยไป เห็นพระก็ไหว้ ใส่บาตร ไปวัด ฟังเทศน์เป็นประจำแต่ไม่รู้เรื่องรายละเอียดของการกระทำนั้น เช่นไหว้พระเพื่ออะไร ใส่บาตรเพื่ออะไร ฟังเทศน์เพื่ออะไรก็ไม่รู้อีก ฟังเทศน์ก็เพื่อให้มีความรู้แต่ก็ไม่ได้ความรู้อะไรจริง เพราะฉะนั้นต่อไปถ้าเป็นชายได้บวชได้ศึกษาธรรม เป็นหญิงได้เรียนธรรมศึกษาก็พอจะรู้เรื่องพระพุทธศาสนาบ้าง วิธีการนับถืออย่างนี้เรียกว่านับถือด้วยศรัทธา คือเกิดศรัทธา ก่อนปัญญาเกิดที่หลัง ถ้าเจริญสมาธิภาวนามันจะเกิดปัญญาขึ้นทันที

คนต่างชาติหรือคนไทยบางคนมีไม่น้อยที่ยังไม่นับถือพระพุทธศาสนาหรือนับถือศาสนาอื่นก่อน ต่อมาเมื่อมีความสงสัยในคำสอนของศาสนาที่นับถือจึงศึกษาศาสนา อื่นหรือได้อ่านหนังสือที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธ จึงเกิดศรัทธาเปลี่ยนใจมานับถือพระพุทธศาสนา อย่างนี้เรียกว่าเกิดปัญญาก่อนแล้วจึงเกิดศรัทธาที่หลัง

ท่านที่ไปศึกษาต่างประเทศเกรงว่าจะถูกถามเรื่องพระพุทธศาสนา แล้วจะตอบไม่ได้ เพราะการนับถือพระ พุทธศาสนาเกิดจากศรัทธาก่อนดังกล่าวมา จะขวนขวายหาความรู้ในทางพระพุทธศาสนาก็หาหนังสือมาอ่าน เพื่อให้เกิดความรู้ในทางพระพุทธศาสนาในเวลาเล็กน้อยไม่ได้แต่ว่าบัดนี้กองอนุศาสนาจารย์กองทัพบกได้เรียบเรียงหนังสือขึ้นเล่มหนึ่งดูเหมือนชื่อว่า คู่มือศีลธรรม ใช้เวลาสอน๒๔ ชั่วโมง แต่ถ้าอ่านก็ไม่เกิน๔ ชั่วโมง มีความรู้ทั้งศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม และเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างอีกด้วย ผู้สนใจใคร่หาอ่านดูโดยเฉพาะผู้ไป ศึกษาต่างประเทศและเกรงจะถูกถามควรมีไปสักหนึ่งเล่ม อาตมาเคยบอกอยู่เสมอว่าหนังสือเล่มนั้นดีมากมี ๓ ศาสนา มีนายแพทย์คนหนึ่งเคยถามเรื่องพระพุทธศาสนาย่อๆ เพราะต้องไปต่างประเทศ ไปปรารภกับ พลเอกปิ่น มุทุกันต์ อดีตหัวหน้ากองอนุศาสนาจารย์ กองทัพบก จึงได้มีหนังสือคู่มือศีลธรรมขึ้น

การนับถือพระพุทธศาสนามี๒ อย่างคือ การนับถือเพียงพิธีการเนื่องด้วยทางพระพุทธศาสนา และ การนับถือเพื่อปฏิบัติธรรม การนับถือเพียงพิธีการ เช่น การทำบุญ บ้าน การทำบุญแต่งงาน แต่เรื่องฆราวาสธรรมนั้นไม่รู้หรือรู้แต่ก็ไม่สนใจที่จะปฏิบัติ วิธีปฏิบัติที่ว่าด้วยหน้าที่ก็ไม่รู้ ถึงรู้ก็ไม่ปฏิบัติ ก็เกิดขึ้นแต่ผู้นั้นเอง ไม่ได้เรียนไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ปฏิบัติธรรม

พิธีบางอย่างเป็นเรื่องสมมุติว่าเป็นมงคล ก็เป็นจริงตามสมมุติเช่น แต่งงานต้องมีน้ำมนต์ แต่งงานมีด้ายมงคล มีด้ายสายสิญจน์ มีสังข์รดน้ำเป็นมงคลภายนอกโดยอาศัยวัตถุ ต้องปฏิบัติธรรมด้วยจึงจะเป็นมงคลภายในได้ผลแน่นอน ยกตัวอย่างเช่นการแต่งงานของชาวต่างชาติฝรั่งเขาไม่ได้ทำเหมือนอย่างคนไทยก็เจริญได้ เพราะปฏิบัติถูกต้องตามหลักธรรมแล้ว

ธรรมะเป็นของกลางๆ ใครปฏิบัติก็ได้ผล เหมือนน้ำใครถูกก็เย็น ไฟใครถูกก็ร้อน ถ้าต้องการผลที่จะได้จากพระพุทธศาสนาแล้ว จะต้องปฏิบัติด้วย คือ ทำตาม ไม่ใช่เพียงแต่รู้

มีภาษิตว่า ธัมมจารี สุขัง เสติ ผู้ประพฤติธรรมย่อมนอนเป็นสุข ธัมโม หเว รักขติ ธัมมจาริง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธัมโม สุจิณโณ สุขมาวหาติ ธรรม ที่ประพฤติดีแล้วย่อมนำสุขมาให้ธรรมเหมือนยารักษาโรค เพียงแต่รู้จักยาโรคก็ไม่หาย ต้องกินด้วย ยาจึงจะช่วยรักษาโรคให้หายได้

คำว่า นับถือ แยกออกได้สองคำคือ นับ กับ ถือ คำว่า นับ หมายความว่า ยอมรับว่าเป็นของดี คำว่า ถือหมายความว่า เอามาไว้ในตัว คือปฏิบัติ เพราะฉะนั้นคำว่า นับถือ จึงหมายความว่า ยอมรับว่าดีและปฏิบัติตามการนับถือพระพุทธศาสนา หมายความว่า ยอมรับว่าพระ พุทธศาสนาดีและปฏิบัติตามพระพุทธศาสนา

พระพุทธศาสนา แปลว่า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า คำสั่งคือ คำบังคับ อันได้แก่ พระวินัย คำสอนคือคำแนะนำอันได้แก่ พระธรรม รวมเรียกว่า ธรรมวินัย

คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามีมากมายถึง ๘๔,๐๐๐ ข้อ ที่พูดกันว่า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เมื่อกล่าวโดยย่อก็มีอยู่ ๓ ประการคือ
๑. สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง การไม่ทำบาปทุกอย่าง
๒. กุสะลัสสูปะสัมปะทา การทำกุศลให้ถึงพร้อม
๓. สจิตตะปริโยทะปะนัง การทำใจให้ผ่องใสเรียกสั้นๆ ว่าการละบาป การทำบุญ และ การทำใจให้บริสุทธิ์ เพียงเท่านี้ก็ยังทำได้ยาก นี่คือกรรมฐานที่แท้จริง อันนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์

เรื่องของการไม่ทำบาปมีข้อปฏิบัติอยู่ ๒ ประการคือ
๑. การละบาปที่ทำมาแล้วด้วยการไม่ทำต่อไปอีก
๒. การระวังไม่ทำบาปที่ยังไม่เคยทำ ๑๐ ประการ

เรื่องของการทำกุศลให้ถึงพร้อมมีข้อปฏิบัติอยู่ ๒ อย่างคือ
๑. พยายามทำบุญกุศลที่ยังไม่เคยทำ
๒. จงพยายามรักษาบุญ คือความดีที่ทำมาแล้วมิให้เสื่อมไป

เรื่องของการทำใจให้ผ่องใสบริสุทธิ์มีข้อปฏิบัติอยู่ ๔ ประการ
๑. ระวังใจไม่ให้กำหนัดในอารมณ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
๒. ระวังใจมิให้ขัดเคืองในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง
๓. ระวังใจไม่หลงใหลในอารมณ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความหลง
๔. ระวังใจไม่ให้มัวเมาในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา ก็คือการเจริญพระกรรมฐานทั้ง ๔ การระมัดระวังทั้ง ๔ คือการระวังใจไม่มัวเมานั่นเอง

ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะดีแล้ว จะไม่หลงงมงาย ท่านจะมีศรัทธา ท่านจะมีตัวปัญญา แก้ไขปัญหาได้สมปรารถ-นาทุกประการ

อาตมาภาพขออนุโมทนาสาธุการในส่วนกุศลที่ท่าน ตั้งใจมาบำเพ็ญพระกรรมฐานให้ได้ความสุขความเจริญ รุ่งเรื่องวัฒนาสถาพรในครอบครัวของท่าน ถ้าท่านมีการเจริญกรรมฐานถึงขั้นตอนแล้ว ท่านจะหายสงสัย จะไม่มีความสงสัยต่อพระพุทธเจ้า จะไม่มีความสงสัยต่อพระธรรมคำสอนอีกต่อไป จะไม่มีความสงสัยต่อพระสงฆ์องค์เจ้าที่ประพฤติปฏิบัติชอบและสอนประชาชนให้ปฏิบัติตาม จิต ท่านก็จะผ่องใส ใจก็สะอาดหมดจด เหมือนทองคำธรรมชาติที่หล่อเหลา ท่านจะได้มีสติปัญญาแก้ไขปัญหาดำเนินชีวิตถูกต้องตามครรลองของชีวิตต่อไป รักษาความ ดีรักษาจิตไว้เหมือนเกลือรักษาความเค็ม ตั้งแต่บัดนี้เป็น ต้นไป

ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย บุญกุศลทั้งหลายที่ท่านได้มาบำเพ็ญในเทศกาลมหาสงกรานต์ มหากุศลด้วย บุพการีกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ ขอกุศลบุญราศีดล บันดาลให้ทุกท่านทั้งหญิงและชาย ทั้งบิดามารดา ปู่ย่าตายาย จงเจริญรุ่งเรืองวัฒนาสถาพรโดยทั่วหน้ากัน ขอทุก ท่านจงเจริญไปด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณธนสารสมบัติ นึกคิดสิ่งหนึ่งประการใดสมความมุ่งมาดปรารถนาด้วยกันทุกรูปทุกนาม ณ โอกาสบัดนี้เทอญ.

๑๓ เมษายน ๒๕๔๐