อุบัติเหตุ
โดย ธัญญรัตน์ ประสิทธิ์แสงอารีย์
ข้าพเจ้าได้รู้จักหลวงพ่อและวัดอัมพวันจากคุณแม่ของข้าพเจ้าเอง โดยคุณแม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อและวัดนี้จากโทรทัศน์และจากน้องสาวของท่าน ปกติท่านเป็นคนที่สนใจทางด้านธรรมะอยู่แล้ว จึงตัดสินใจมาปฏิบัติกรรมฐานพร้อมกับน้องสาว ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ เป็นครั้งแรก เป็นเวลา ๓ วัน ช่วงนั้นตรงกับวันครบรอบ วันเกิดของหลวงพ่อพอดี ท่านจึงได้รับแจกหนังสือ “กฎแห่งกรรม เล่ม ๙” มาอ่าน หลังจากท่านอ่านแล้วก็เกิดความศรัทธาในตัวหลวงพ่อมากขึ้นๆ ท่านจึงไปปฏิบัติกรรมฐานทุกๆ เดือน และหลังจากท่านกลับมาจากกรรมฐานแต่ละครั้ง ท่านจะมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติกรรมฐานให้คนในครอบครัวฟัง ข้าพเจ้าจึงเริ่มเกิดความสนใจที่จะมาปฏิบัติบ้าง จนกระทั่งวันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๓๙ ข้าพเจ้าก็ได้มาปฏิบัติกรรมฐานดังตั้งใจ โดยมาพร้อมกับคุณแม่และคุณน้าเป็นเวลา ๗ วัน และข้าพเจ้าบอกกับตัวเองว่า ข้าพเจ้าจะตั้งใจปฏิบัติอย่างดี จะอดทน ต่อความเจ็บปวด ต่อเวทนา เพราะทราบจากคุณแม่ว่าเป็นอย่างไร และข้าพเจ้าคิดว่าสามารถปฏิบัติได้ หลังจากนี้ข้าพเจ้าคิดว่า ถ้ามีเวลา ข้าพเจ้าจะมาปฏิบัติกรรมฐานอีกแน่นอน โดยที่ก่อนข้าพเจ้าจะมาปฏิบัติกรรมฐาน ข้าพเจ้าได้สวดมนต์บท “พาหุง มหากาย” ก่อนนอนทุกคืน และปฏิบัติเช่นนี้จนถึงปัจจุบัน ครอบครัวของข้าพเจ้าก็เช่นกัน จะสวดมนต์และปฏิบัติกรรมฐานมาแล้วทุกคน เช่น พี่ชายของข้าพเจ้าก็อุปสมบทที่วัดนี้ และน้องชายของ ข้าพเจ้าก็บรรพชา ในโครงการสามเณรใจเพชร รุ่น ๒ ที่วัดนี้เช่นกัน เหล่านี้เป็นผลมาจากความศรัทธาในตัวหลวงพ่อ และวัดอัมพวันทั้งสิ้น
ในวันเกิดเหตุ เป็นวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๓๙ ตอนเช้าข้าพเจ้าตั้งใจจะใส่บาตรในโอกาสครบรอบวันเกิด อายุ ๑๘ ปีบริบูรณ์ ในวันที่ ๑๔ สิงหาคม แต่ข้าพเจ้าไม่ว่างใน วันนั้น จึงใส่บาตรก่อน ข้าพเจ้าต้องไปใส่บาตรที่วัดใกล้บ้าน เพราะพระไม่ออกบิณฑบาต หลังจากใส่บาตรแล้ว ข้าพจ้าก็ออกไปกับเพื่อนๆ เพื่อไปบ้านเพื่อนอีกคนหนึ่งโดยที่เพื่อนของข้าพเจ้าเป็นคนขับรถพาพวกเราไปตามถนนปิ่นเกล้า-บางบัวทอง และเมื่อใกล้จะถึงบ้านเพื่อนคนนั้น ก็เกิดเหตุไม่คาดฝัน รถคันข้างหน้าได้เปลี่ยนเลนอย่างกระทันหัน และแซงเข้าเลนหน้ารถยนต์ที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ รถที่ข้าพเจ้านั่งซึ่งก็ขับมาด้วยความเร็วพอสมควร จึงต้องเบรคกระทันหัน แต่เบรคไม่ทัน จึงชนรถคันหน้าอย่างแรง ข้าพเจ้ามาทราบภายหลังว่า ชนพร้อมกันเป็นทอด ๆ ถึง ๕ คัน มันเป็นช่วงเวลาที่รวดเร็วมาก ข้าพเจ้าไม่ทันได้ตั้งตัว คาดว่าหน้าของข้าพเจ้าคงพุ่งไปโดนกระจกหน้ารถอย่างแรง เพราะข้าพเจ้านั่งข้างคนขับด้วย รู้สึกตัวอีกที ก็เหมือนมีเลือดไหลออกจากหน้ามากๆ และตาก็ไม่สามารถมองเห็น เท่าที่รู้สึกตัว เพื่อนที่ไปด้วยกันซึ่งไม่เป็นอะไรมากนำข้าพเจ้าส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด คือ ร.พ. รัตนา-ธิเบศน์ โดยที่ข้าพเจ้ายังรู้สึกตัว ตลอดเวลาข้าพเจ้านึกถึงหลวงพ่อพร้อมๆกับสวดมนต์ไปด้วย จนกระทั่งเข้าผ่าตัดหลังผ่าตัดเสร็จ คืนนั้นคุณแม่และพี่สาวคนโตมาอยู่เฝ้า ข้าพเจ้า เมื่อออกจากห้องผ่าตัดไม่นาน ข้าพเจ้าก็เริ่มรู้สึกจะอาเจียน และอาเจียนออกมามาก ซึ่งมารู้จากคุณแม่ภายหลังว่า อาเจียนออกมาเป็นเลือด เป็นลิ่มๆ ทีเดียว ข้าพเจ้าถูกปิดหน้าอยู่ เพราะแผลใหญ่อยู่ที่หน้า คุณแม่เห็นข้าพเจ้าอาเจียนก็ตกใจ หมอบอกว่าแผลที่หัวตาของ ข้าพเจ้าเป็นแผลใหญ่ ทำให้เลือดไหลลงกระเพาะอาหาร ซึ่งเมื่อเลือดไหลออกมาจากบาดแผล ทำให้เลือดส่วนหนึ่งไหลลงหลอดลมสู่กระเพราะอาหาร แล้วไปรวมกับน้ำย่อย จึงทำให้อาเจียนออกมาเป็นลิ่มเลือด คุณแม่ไม่สบายใจมาก จึงโทรศัพท์ไปหาคุณพี่เสนอ เพื่อให้ช่วยบอกหลวง พ่อให้ช่วยข้าพเจ้าด้วย และในคืนนั้นเอง ก่อนที่ข้าพเจ้าจะหลับ กำลังเคลิ้มๆ ในความคิดข้าพเจ้าเจ้าก็ได้เห็นหลวง พ่อมา และบอกกับข้าพเจ้าว่า “อาตมาจะช่วยเอง” รุ่งเช้า วันที่ ๑๓ สิงหาคม คุณแม่มาถามว่า รู้สึกดีขึ้นไหม ข้าพเจ้าตอบไปว่าดีขึ้น และไม่เจ็บแผล เย็นวันนั้นข้าพเจ้าได้บอกคุณแม่ว่า ข้าพเจ้าเห็นหลวงพ่อมาช่วย ซึ่งระหว่าง ที่พักรักษาตัว ข้าพเจ้าไม่รู้สึกเจ็บแผลที่ใบหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว ข้าพเจ้าคิดว่าขนาดหน้าข้าพเจ้าถูกมีดบาดข้าพ-เจ้ายังเจ็บ แต่แปลกที่คราวนี้ข้าพเจ้ากลับไม่รู้สึกเจ็บเลยเหตุการณ์นี้ข้าพเจ้าเชื่อว่า หลวงพ่อได้มาช่วยข้าพเจ้าจริงๆ หลังจากนั้น อาการของข้าพเจ้าก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนหมอและพยาบาล ออกปากชมว่า อาการของข้าพเจ้าดีกว่ารายอื่นๆ ข้าพเจ้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล เป็นเวลา สัปดาห์ หมอจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ และพักรักษาตัวต่อ ที่บ้าน ๑ สัปดาห์ จึงสามารถไปโรงเรียนได้ตามปกติ โดยที่แผลที่ใบหน้าเป็นเพียงรอยแผลเป็นเท่านั้น และไม่รู้สึกเจ็บ
เลย
วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๓๙ ข้าพเจ้าได้มาที่วัดอัมพวันเพื่อมากราบขอบพระคุณหลวงพ่อ โดยนำดอกไม้ธูปเทียนมากราบ ด้วยความสำนึกในบุญคุณของหลวงพ่อที่มีแก่ข้าพเจ้าด้วยความเมตตา ข้าพเจ้าได้นำประสบการณ์ที่เกิด ขึ้นกับตัวข้าพเจ้าเอง มาเล่าให้ฟัง เพราะว่าข้าพเจ้าเคยมาปฏิบัติกรรมฐาน และแผ่เมตตาให้แก่เจ้ากรรมนายเวรเสมอ เหตุการณ์ร้ายแรงครั้งนี้จึงบรรเทาลง ซึ่งในกรณีของข้าพเจ้า หมอบอกว่า กระจกอาจทิ่มตาทำให้ตาบอดแต่ตาของข้าพเจ้ากลับมองเห็นได้ตามปกติ ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นผลจากการที่ข้าพเจ้าได้มาปฏิบัติกรรมฐานอย่างตั้งใจและอานิสงส์จากการปฏิบัติกรรมฐานทำให้ข้าพเจ้ารอด พ้นจากเหตุการณ์ร้ายแรงได้อย่างปาฏิหาริย์