ประสบการณ์การปฏิบัติธรรม

โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

วันนี้  อาตมาจะเล่าถึงชีวิประวัติ  พร้อมทั้งประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรม  ให้ญาติโยมพุทธบริษัทฟัง  ตามที่มีผู้อาราธนา  ใคร่อยากจะทราบกันพอสมควรแก่เวลา

อาตมาชื่อเดิม  จรัญ  นามสกุล  จรรยารักษ์  พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานนามสกุลนี้ให้แก่คุณปู่  อาตมาเป็นนักศึกษาเที่ยวค้นคว้าหาความรู้  ทั้งวิชาทางโลกและทางธรรม  เรียนชั้นประถมศึกษา  เรียนชั้นมัธยมศึกษา  จนเข้านักเรียนนายร้อยตำรวจตามลำดับ  แต่ไม่คิดว่าจะมาบวชในบวรพระพุทธศาสนา  เพราะไม่เคยเชื่อเลื่อมใสมาแต่เดิม

นอกเหนือจากนั้นยังเรียนวิชาช่างกลจากอาจารย์  เลื่อน  พงศ์โสภณ  และเรียนวิชาดนตรี  ดีดสีตีเป่า  จากหลวงประดิษฐ์ไพเราะ  ด้วยนิสัยชอบพอกันกับ ดร.อุทิศ  นาคสวัสดิ์  ซึ่งสิ้นชีวิตไปแล้ว  อาตมาเคยอยู่วัด  แต่ไม่ได้อยู่ด้วยความเลื่อมใส  อยู่เพื่อการศึกษา  อาศัยวัดอาศัยวา  ทั้งเป็นบ้านนอกคอกนา  เข้ามาสู่กรุงเทพมหานคร  ตามลำดับ  อาตมาไม่มีนิสัยเลื่อมใสพระมาแต่เดิมแล้วก็นิสัยกระด้าง  ไม่ชอบที่จะไหว้พระ  ก็ไหว้ด้วยความจำยอมและจำเป็น  เพื่อจะไปอาศัยพึ่งพระเท่านั้น  นี่นิสัยอาตมา

เวลากาลผ่านมาอาตมาก็จบหลักสูตรทางโลก  แต่ทางธรรมยังไม่มีเลย  อายุก็เหยียบย่างเข้า ๒๐ ปีบริบูรณ์  โยมบิดาโยมมารดาใคร่จะให้อุปสมบทในบวรพุทธศาสนา  พูดถึงเรื่องนี้แล้วอาตมาส่ายหน้าไม่สนใจใสการบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาแต่ประการใด  แต่อาตมาก็ต้องจำใจจำยอมรับ  เพราะคุณพ่อคุณแม่ก็คิดว่ามีลูกชายก็ต้องการบวช  ตามหลักและประเพณีของคนโบราณพ่อแม่ย่อมรักลูกอย่างแก้วตา  แก้วตาทั้งสองข้างนี้ทุกคนก็เข้าใจดี  หวงแหนเหลือเกิน

อาตมาคิดทบทวนโดยรอบคอบแล้ว  เห็นว่าถ้าเราจะฝ่าฝืนไม่บวชในพุทธศาสนาแล้วก็จะเป็นการอกตัญญูไม่รู้พระคุณของท่านผู้มีอุปการคุณ  จึงยอมรับเข้าบวชในรพะพุทธศาสนา  ไม่ได้เข้าไปเป็ฯเณร  บวชอายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์  อาตมาตั้งใจว่าจะบวชเพียง ๓ เดือน  ๑๐ วัน  หรือ ๔ เดือน ๑๒๐ วัน  เท่านั้น  ต้องการจะลาสิกขาลาเพศพรหมจรรย์ไปสู่เพศฆราวาสตามเดิม  ต้องการไปศึกษาหรือไปทำงานทำการทางโลก  เพราะเราต้องอาศัยโลกอยู่

อาตมาตั้งใจอย่างนี้แล้ว  อาตมาก็ได้อุปสมบท ณ พัทธสีมา  วัดพรหมบุรี  อำเภอพรหมบุรี  จังหวัดสิงห์บุรี  แต่ภูมิลำเนาบ้านเกิดเมืองนอนนั้นอยู่เขตในคลองลพบุรีต่อสิงห์บุรีนั้นใกล้เคียงกัน  เหตุที่ต้องมาบวชวัดพรหมบุรี  ก็เพราะอพยพบ้านเมืองมาอยู่ในตลาดปากบาง  เพราะขโมย ขโจร ชุกชุม  จึงได้หนีเข้าตลาดไป  ตามเหตุผลของบิดามารดา  อาตมาก็ได้ตามบิดามารดามาอยู่ในตลาดประกอบกิจการค้าตามลำดับมา  แต่อาตมาก็ไม่เคยได้ช่วยพ่อแม่ประกอบการค้าแต่ประการใด  เพราะมุ่งมาดปรารถนาการศึกษาแต่เล็กมาตามลำดับ  พอจบหลักสูตรการศึกษาพอสมควรอายุครบถ้วน ๒๐ ก็ไม่ได้ปริญญา  แต่ก็สำเร็จการศึกษาวิชาช่างกลและวิชาอื่นก็คือดนตรีดีดสีตีเป่าดังกล่าวแล้ว

ขอรวบรัดตัดให้สั้นว่าได้เคยบวชในพระพุทธศาสนาในปีพ.ศ. ๒๔๙๑  ก็เป็นเวลานานถึง ๓๔-๓๕ ปีมาแล้ว  การบวชติดต่อกันมา ๑ พรรษา  ก็ท่องหนังสือจนครบหลักสูตร  ตั้งใจว่าออกพรรษาได้กฐินแล้วสึก  อาตมาก็เตรียมเครื่องพร้อมแล้วที่จะลาสิกขาในวันนั้น

แต่ก็มีเรื่องอัศจรรย์ดลบันดาลให้เกิดเสียงประหลาดดังขึ้น  ง่วงเหงาหาวนอน  เสียงประหลาดนี้ดังมาก คุณบวชนี้นะดีแล้วจะสึกก็ไม่เป็นไร  นะโมยังไม่ได้  นะโมยังไม่ได้  ได้นะโมแล้วค่อยสึก”  อาตมาก็พิจารณาดู  เอ  ได้  นะโมตัสสะ ภะคะวะโต  นี้ได้มาตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆ แล้ว  สวดมาตั้งแต่อยู่โรงเรียนแล้ว  คิดอย่างนี้  แต่ก็ยังตอบไม่ถูกว่านะโมคืออะไร  นี่แหละเสียงอัศจรรย์เสียงประหลาดดังขึ้น  “นะโมยังไม่ได้  จะสึกหรือ  น่าเสียดายเหลือเกินนะ”  อาตมาก็ ! พะว้าพะวังกังขา  จิตใจชักไม่ค่อยจะดีแล้ว  เสียงนี้มันอยู่ที่ไหน  และก็ง่วงเหงาหาวนอนขึ้นมาอีก  เสียงประหลาดดังขึ้นอีกว่า  “นี่คุณสึกก็ไม่เป็นไร  ง่ายนิดเดียวไม่ยากอะไรนักหนา  แต่ขอถามว่าพุทธคุณได้หรือยัง  ธรรมคุณได้หรือยัง  สังฆคุณได้หรือยัง”

อาตมาก็โมโห  โกรธาอยู่ในใจ  ได้เสียงบ้าๆ บอๆ อยู่ที่ไหน  ว่าพุทธคุณเราก็ได้  อิติปิโสเราก็คล่องปาก  แต่มันอาจจะไม่คล่องใจก็อาจจะเป็นได้  อันนี้เสียงประหลาดดังขึ้นมา  ทั้งอาตมาก็ไม่สบายใจเลนึกถึงคำโบราณว่า  ถ้าจิตใจไม่ดีแล้วอย่าสึก  ถ้าสึกไปแล้วเป็นคนสุกๆ ดิบๆ เอาดีไม่ได้แล้วจะเป็นคนบ้าบอคอแตกโบราณเขาว่าไว้  เลยต้องเลื่อนการสึกออกไป  จากเดือน ๑๑  ขอเลื่อนไปเป็นเดือน ๑๒  เดือน ๑๒ สึกแน่เตรียมไว้พร้อมแล้ว  ไม่ได้ตั้งใจอยู่ในเพศพรหมจรรย์หรือบรรพชิตนี้ตลอดกาล  แต่คิดว่าเราจะต้องสึกอย่างแน่นอนเพราะงานมันรออยู่ข้างหน้า  จะต้องไปรับราชการ  จะต้องไปทำหน้าที่มากมาย  เพราะรเมีวิชาความรู้ต้องไปกลัวอะไร  คิดอย่างนี้นะ  คิดถึงหลักสุนทรภู่ที่ว่า “วิชาพึ่งตนเองได้  ไม่ต้องพึ่งใคร”  อาตมาท่องได้ตั้งแต่เป็นเด็กว่า  “อันข้าไทยได้พึ่งเขาจึงรัก  แม้ถอยศักดิ์สิ้นอำนาจวาสนา  เขาหน่ายหนีมิได้อยู่คู่ชีวา  แต่วิชาช่วยกายจนวายปราณ”

มาถึงตอนนี้ขอฝากญาติโยมเลยนะ  ถ้ามีลูกสาวกับลูกขายนี่  โยมจะเอาใจใส่ใครมาก  โยมจงเอาใจใส่ลูกสาวให้เชี่ยวชาญชำนาญการงานกว่าลูกผู้ชาย  เพราะถ้าไม่มีวิชาความรู้นี่ไม่เชี่ยวชาญเคหะศาสตร์ไม่เข้าใจแม่บ้านการเรือนไปได้สามีเขาก็แผลงฤทธิ์เอา  อาตมาเคยเห็น ตี ๔ ตี ๕  ตกใต้ถุน  นี่ไม่มีธรรมะเลย  นี่ลูกสาวเราไม่เชี่ยวชาญ  ไม่ชำนาญการ  เราไม่เคยตีลูกสาว  แต่เราไปเห็นต่อหน้า  ต่อตา  ตำตา  ตำตอ  อย่างนี้เราโมโหหรือ  ถึงไม่โกรธแต่ไม่พอใจลุกเขย  แน่นอน

อาตมาพูดมาถึงตอนนี้แล้ว  ก็ได้ความคิดว่าเอ นะโม ยังไม่ได้  ใช่แล้ว  เมื่อก่อนนี้อาตมาเถียงพ่อเถียงแม่คำไม่ตกฟาก  ไม่มีอ่อนน้อมต่อใคร  แข็งกระด้างและปากแข็ง  เถียงผู้ใหญ่นี่ซิไม่มีเพลงนะโมคิดได้ตอนหลัง  คิดได้อ้อบวชนี่เอาเพลงนะโมไปก่อนหรือ

อาตมาก็มาแปลได้ตอนหลัง  อ้อเพลงนะโมแปลให้เด็กฟังง่ายๆ  ก็แปลว่า

“อ่อนน้อม  ถ่อมตน  ปากก็หวาน  ตัวก็อ่อน  มือก็อ่อน  นอบน้อมกตัญญู  เชิดชู  ระเบียบ  เพียบด้วยวินัย  ตั้งใจศึกษา  นำมาพ้นทุกข์  เป็นสุขอนันต์  เป็นหลักสำคัญ”

อ้อนะโมอย่างนี้หรือ  โง่มาเสียนาน  อ้อเพลงนะโม  นี่มาพึ่งคิดมาได้ไม่กี่ปีนี่เอง  เมื่อก่อนใครมองหน้าไม่ได้  ดูหน้าไม่ได้โดนต่อยเลย  มันแข็งอย่างนี้  นี่ขาดบทนะโม

 

อยู่กับหลวงพ่อเดิม  เรียนตำรับพิชัยสงครามและวิชาเลี้ยงช้าง

ได้ความอย่างนั้นแล้วอาตมาก็ซักผ้าผ่อนเตรียมเดินทางเที่ยวไปในป่าเที่ยวไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอ หลวงพ่อเดิม  พระครูนิวาสธรรมขัติ  อายุท่าน ๑๐๕ ปี  ไปอยู่กับท่าน ๖ เดือน  ไปขอท่านเรียนวิชา  บทแรก  ท่านก็เล่าวิชาพิชัยสงครามให้ฟัง  แล้วก็รู้เรื่องตามลำดับพิชัยสงคราม  ท่านเก่งเพลงกระบี่  เพลงกระบอง  ท่านเป็นอาจารย์องค์ที่ ๕  ของแม่ทัพกรุงศรีอยุธยา  เมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐  แม่ทัพหนีลงเรือมุ่งสู่นครสวรรค์บรรพชาอุปสมบทหมด

อาตมาไปอยู่ที่วัดหนองโพธิ์  จังหวัดนครสวรรค์  ไปอยู่กับหลวงพ่อ  นึกว่าจะให้เราเรียนคาถามหานิยมเพื่อเราจะสึกหาลาเพศประกอบอาชีพการงาน  มีคนรักนับถือ  นิยมชมชอบ  กลับกลายเป็นว่าให้วิชาเลี้ยงช้างเสียเลย  อาตมาไม่เอา  แต่หลวงพ่อเดิมบอกว่าเอาเถอะ “ลูกเอ๋ยหลานเอ๋ย  มันจะเกิดประโยชน์ในวันหน้า”  อาตมาก็จำต้องยอมรับวิชาเลี้ยงช้างต่อช้างป่า  วิชาจับช้างตกน้ำมันอย่างไร  เลยก็มาได้ใช้ในภายหลัง        ตอนที่แม่ชีที่สมัยเมื่ออดีตชาติเป็นช้างอยู่เขาภูพานแล้วกลับกลายมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ไม่กี่ปีผ่านมาเลยซักไซร้ไล่เลียง  อาตมารู้จักนิสัยช้าง  อ้อคนนี้เป็นช้างมาก่อนแน่นอน  อยู่ในป่าภูพาน  ในภาคอีสาน  นั้นเมื่อสมัย  หลวงปู่มั่น  ภูริทัต  เมื่อสมัย  พรานทองดี  ที่ไปต่อช้างป่ามา  อันนี้ไมขอเล่าฝากไว้เท่านี้รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามต้องรู้ทุกอย่างเลยกลับกลายเป็นว่าได้ตำรับพิชัยสงครามเรียนรู้เหตุผลต้นปลายมาได้มาจากไหน  ตำรับพิชัยสงครามอยู่ที่วัด  เรียนต้องเรียนกระบี่  กระบอง

สมัยโบราณกาล  ประเทศชาติอยู่รอดมาได้  เพราะนิสัยไทยชาวพุทธนี้เป็นทหารของพระพุทธเจ้าก่อนแล้ว  จึงจะเป็นทหารของพระราชา  เรียนเพลงกระบี่กระบองมาก่อนในวัด  ต้องเข้าใจนะ  สมัยก่อนในวัดมีราชบุรุษ  สาขานานาประการในสถาบันนี้

  • ราชบุรุษที่เราเรียกกันทุกวันนี้ว่ารัฐศาสตร์ปกครองตัวเอง ปกครองตนและปกครองคนอื่นได้  นี่ราชบุรุษในวัด
  • นิติศาสตร์ครบ ประเพณีวินัยครบจากวัดและยังมีข้อคิดในหลักธรรม  และคิดคำนวณในการสาขาประกอบอาชีพการงานเรียนที่วัดครบ  มีสถาบันการเรียนในพระไตรปิฎกนี้ครบ  นอกเหนือ  จากนั้นแล้วเวชศาสตร์  แพทยศาสตร์  ฝนยาทา  เรียนที่วัดนี้  ๕๐ ปีก่อนนี้มา  นี้ท่านทั้งหลายโปรดคิดดูเถอะ

นอกเหนือจากนั้น  ได้แก่  ศิลปะ  หัตถกรรม  ช่อฟ้า  หน้าบรรพ  คันทวย  วิชาช่าง  เรียนจากวัดและก็ศิลปหัตถกรรมนี้เอามาจากวัดแล้วถ่ายทอดให้กรมศิลปากรไปแล้ว  เช่น  วิจิตรศิลป์  หรือภาคศิลปะต่างๆ ที่วัดพระแก้วเอามาจากไหนไม่ใช่เอามาจากวัดหรือ  อนึ่งวิชาดนตรีดีดสีตีเป่า  และตำรับพิชัยสงคราม  เพลงกระบี่กระบองออกจากวัดครบถ้วนนานาประการเลย  เรียกว่า  วัดเป็นสถาบันพัฒนาคุณธรรมพัฒนาอาชีพและพัฒนาสังคมพร้อมที่วัดหมด

 

เรียนวิชายืดเหรียญ

ต่อจากนั้นอาตมาคิดว่าจะเดินทางไปพบพระในป่าเลยขอนแก่นไปเดี๋ยวนี้เป็นบริเวณน้ำท่วม  ต้องการจะไปเรียนยืดเหรียญเป็นหวย ๓ ตัวเขาล่ำลือกัน  อาตมาก็ตื่นกับเขาบ้าง  อยากจะไปเรียนยืดเหรียญ

ไปเจอโยมคนหนึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านอายุ ๘๔ ปี  ไปพักบ้านนี้  และอาตมาก็ถามโยมว่าพระองค์ไหนที่ยืดเหรียญได้อยู่ที่ไหนพาไปที  โยมผู้นี้เล่าว่าพระองค์นี้นะถึงปีท่านจะมาอยู่ที่ต้นไทรนี้ปีละครั้ง  ครั้งละหนึ่งเดือนแล้วท่านก็หายไป  ตั้งแต่ผมเป็นเด็ก  แก้ผ้าแก้ผ่อนไปเลี้ยงวัวกับพ่อ  แล้วอาศัยกินข้าวในบาตรของท่านมาจนผมอายุ ๘๔ ปี  เดี๋ยวนี้ท่านก็ยังอยู่แต่ไม่ทราบว่าอายุเท่าไหร่  อาตมาก็ให้โยมนี้พาไป  ต้องเดินไปไกลมา  ตอนเช้าท่านไปบิณฑบาต  จากต้นไทรไปหมู่บ้านประมาณ ๓-๔ กิโลเมตร  ท่านอยู่ที่ต้นไทรใหญ่ต้นไทรสาขา  เดี๋ยวนี้ไปไม่ได้แล้วเป็นเขตน้ำท่วมมีเขื่อนเลยขอนแก่นขึ้นไป

โยมผู้ใหญ่บ้านอายุ ๘๔ ปี  นี้เล่าให้ฟังว่า  ดยมมีกล่องยาอยู่หนึ่งกล่อง  กล่องยานี้เป็นทองเหลืองและก็มีหูมีเชือกร้อยผูกเอวและมีฝาเปิด-ปิด  และก็มีบุหรี่เป็นมวนอยู่และมีไฟแชกคือมีหินอยู่ก้อนหนึ่งมีเหล็กตีไว้จุดสำหับสูบ  ตั้งแต่ครั้งพ่อเป็นกำนันหรือเป็นผู้ใหญ่บ้านเก่าเขาเรียกเป็นขุนบรรดาศักดิ์  แต่เหรียญอันนั้นมีอยู่เหรียญหนึ่งอยู่ก้นกล่องยาน้  โยมนี้ลืมไปแล้ว  ตั้งแต่ขอพ่อคือ  ไม่ใช่เหรียญบาทที่เขาไปเช่ากันหรอก  ที่เขาจะไปยึดกันที่แท้จริงเป็นเหรียญพระราชทานขององค์พระราชาหรือจะเป็นรัชกาลที่ ๔ หรือ รัชกาลที่ ๕  อะไรจำไม่ได้  ไม่มี ร.ศ.

หลวงพ่อองค์นี้ท่านไม่พูดนะ  วันนั้นเกิดพูดขึ้นมา  บอกโยม “มีของดีในกล่องยาไม่น่าจะมาทิ้งนะ”  โยมนี่ลืมไปแล้วเพราะมันอยู่ก้นกล่องนี่นานแล้วยาหมดก็ใส่ยา  เลยไม่ได้ดู  หลวงพ่อองคืนั้นพูดว่า “เอาไปบูชาเสียลูกหลานจะได้อยู่เย็นเป็นสุขเป็นเหรียญพระราชทานนะ”  ขององค์พระราชานะที่ให้บำเหน็จรางวัลแก่ผู้ใหญ่บ้านกำนันที่ทำงานดี  ปกปักรักษาราษฎรดีอยู่เย็นเป็นสุขในหมู่บ้านน้น  จึงพระราชทานเหรียญนี้  มีเลขอยู่ ๓ ตัว  ผลสุดท้าย  โยมเลยมาเล่าให้ลูกหลานฟังว่า  “โอ้หลวงพ่อนี่เกิดพูดขึ้นมาแล้ว  ตามปกติท่านไม่พูด  ท่านนั่งทำสมาธิอยู่ใต้ต้นไทรนั้น ๑ เดือนแล้วก็หายไปทุกปี”

อาตมาก็ไปบ้านโยมขอดูเหรียญพระราชทานมี ร.ศ.อยู่มีเลข ๓ ตัว  แล้วก็เดินทางไปพบท่าน  พอไปถึงก็กราบท่าน  ท่านก็นั่งหลับตาอยู่เสมอไม่พูดไม่จา  ร่างกายสังขารของท่านประมาณ ๗๐ ปี  ฟันดีครบ  และผมไม่หงอกเลย  ผมดำ  และร่างกายของท่านดำ  ร่างกายสมบูรณ์แบบไม่ใช่คนอ้วนทรวดทรงสมส่วนทุกประการ  อาตมาก็ไปกราบท่านตอนเมื่อราว ๒๔๙๓

อาตมาไปกราบแล้วพูดกับท่านว่า  หลวงพ่อครับ  หลวงพ่อทำไมไม่พูด  หลวงพ่อครับอยู่วัดไหน  หลวงพ่อครับผมเดินทางไกล  อุตสาห์ลำบากลำบนมาจากสิงห์บุรี  เพื่อเดินทางมายังต้นไทรนี้  ต้องมาพักบ้านโยมอยู่ในหมู่บ้านเก่าซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน  กว่าจะเดินทางมาถึงนี่ต้องลำบากลำบนเหลือเกิน  กระผมใคร่จะมาเรียนยืดเหรียญ  กระผมทราบจากชาวกรุงเทพฯ  อยากจะยืดเหรียญเป็นหวย ๓ ตัว  คิดว่าผมยังอยู่ในทางดลกเป็นพระภิกษุใหม่อยากจะมาเรียนยืดเหรียญ  เพื่อไปให้ทางโยมรวยสักหน่อย  จะได้ไปแทงหวย  นี่ตั้งใจอย่างนั้นจริงๆ

แต่ท่านก็ไม่พูดเลย  ทำเฉยนั่งสมาธิของท่านอยู่เรื่อยอยู่ที่โคนต้นไทรนั้น  ดูแล้วมีทรัพย์สมบัติอะไรบ้าง  มีบาตรอยู่ลูกเดียวและผ้าอยู่ผืนหนึ่งและผ้าสังฆาฏิท่านคาดอกตลอดเวลา  ท่านมีปักกลดอยู่ยอดไทรและมีอะไรอีก  มีกาน้ำมีกระบอก  กระบอกนั้นเป็นแทนแก้ว  กระบอกขัดซะเป็นมันเลยแทนแก้วสำหรับรินน้ำ  เท่านั้นเองไม่มีอะไรเลย  อาตมาก็กราบนมัสการต่อไป  เอไม่เอากับเราแน่   ไม่ลืมตาดูเราเลยน่ะ

อาตมาก็เปลี่ยนคำพูดใหม่ว่า  “พระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพ  ผมเป็นพระภิกษุนวกะพึ่งบวชได้นี่พรรษา ๓ แล้วก็ยังอยากจะมาเรียนมาศึกษาทางธรรม”  เปลี่ยนคำพูดใหม่ “กระผมยังเป็ฯภิกษุนวกะยังไม่รู้ทางธรรมว่าข้อปฏิบัติ  ข้อวัตรเจริญสมาธิภาวนา  ก็อยากจะมากราบเรียนพระเดชพระคุณหลวงพ่อแนะแนวทางบ้างครับ”  ขยับตาหน่อยขยับตาแล้วคือเราพูดไปตั้งนาน  ไม่เคยลืมตาและไม่ได้มองเลย  พอพูดจะมาศึกษาธรรม  ให้หลวงพ่อแนะแนวเท่านั้นท่านก็ลืมตาขึ้น  ลืมตาขึ้นมาแล้วก็ไม่ยิ้มแย้ม  หน้าบึ้งไม่ยิ้มเลย

ท่านลืมตาขึ้นมาท่านบอก “ดีแล้วอุตสาห์สนใจธรรม”  ในเมื่อท่านพูดแล้วอาตมาก็ถามว่า “จะมีแนวอย่างไร”  ท่านพูดสั้นมาก  จนตีความหมายไม่ได้เลยบอก “คุณรู้ไหมพระพุทธเจ้าสอนอะไร”  “ไม่ทราบบวชมุ่งมาทำอะไรอยู่ล่ะ  บวชมุ่งอยู่ที่ไหนล่ะ”  เราก็ยอมรับ  บอกเรียนนวโกวาท  เรียนธรรมะ  เรียนวินัย  “อย่าลืมน่ะเรียนหมดเลยเรียนเลยไปหมด  รู้มากไป  คุณรู้มากคงใช้ไม่ได้”  คำที่สองของท่าน “รู้มากคงใช้ไม่ได้เลย  ไม่ได้ผล”  “เธออย่าลืมนะว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร  สอนทุกข์และสอนวิธีดับทุกข์”  นี่ท่านสอน “ท่านสอนอะไรอีกคุณรู้ไหม”  “ไม่ทราบครับ”  “เอาล่ะจะบอกให้สอนไม่ให้เบียดเบียนตน  สอนไม่ให้เบียดเบียนคนอื่น  พร้อมกับไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วย”  “หาที่มาของทุกข์ให้ได้  ศึกษาข้อนี้ในตัวเรา  มีอะไรมีทุกข์  หาที่มาของทุกข์แล้วปฏิบัติ”  “วิธีปฏิบัติอย่างไรหรือ  ศีล  สมาธิ  ปัญญา”

ได้ความแล้ว  อ้อไอ้นี่เราก็เรียนมานี่  เรานึกไว้ในใจ  โถ! แค่นี้เองหรือ  เรานึกว่าจะมีอภินิหารมากกว่านี้ดีกว่านี้  เราก็เรียนเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา  นี่แค่นึกนะ  เพียงนึกน่ะ  ท่านชี้หน้าเลย  “คุณมันอย่างนี้เรียนเลยไปหมด  ไอ้ที่จะทำไม่ทำ  เสือกผ่าเอาที่ไม่ได้ความ  ได้ที่ได้ความไม่เอาไป  เอาไอ้ที่ไม่ได้  ไอ้ที่จริงไม่ชอบ  ไปชอบเอาที่ไม่จริง”  ท่านว่า  อาตมาถึงจำที่ท่านพูดมานี่  คำพูดนี่พูดบ่อยด้วยนะ  ไอ้ที่จริงไม่ชอบ  ไปชอบไอ้ที่ไม่จริง  ไอ้ที่ได้ไม่เอา  เสือกไปเอาไอ้ที่ไม่ได้  เลยไม่ได้กันเลย  ไอ้ที่ไม่ได้ปล่อยไว้ก่อนสิ  ไอ้ที่อยู่ที่จะได้ไม่เอา  ท่านด่าให้แสบเลยนะ  อาตมาแสบไส้เหลือเกินวันนั้น  เราก็เจ็บในกลอน  วันนั้นกลับไปนอนไม่สบายเลย  นอนไมสบายจริง  นี่ละพระในป่า  แหลมคม  อาตมาดูสังเกตท่านคมกริบ  คมคาย  มีทั้งคมสัน  ท่านชี้แจงหลายเรื่องหลายอย่าง

วันนั้นมันก็เย็นแล้ว  อาตมาก็บอกโยมผู้ใหญ่บ้านเก่า  บอกโยมไม่ต้องรอฉันขอนอนที่นี่  อาตมาจะรอดูว่ากลางคืนจะพูดมากกว่านี้ไหม  กลางวันไม่พูด  ท่านอาจจะพูดกลางคืน  นึกในใจนะเลยต้องกราบท่านใหม่  บอกพระเดชพระคุณหลวงพ่อกระผมขอถวายตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อนะ  ท่านก็ลืมตาขอบใจมากที่จะฝากตัวเป็นลุกศิษย์เป็นลูกศิษย์จริงนะ  สำหรับวันนี้นะท่านชี้หน้าเลย “ความขลังของพระอาจารย์แต่ย้อนกลับไปเป็นความคลั่งของศิษย์คือเธอ”  ท่านชี้หน้าเลย  ตายจริงท่านด่าได้เจ็บเหลือเกิน  หาว่าเราคลั่ง  นึกไม่พอใจเลยนะ  ท่านพูดแหลมคมมาก  อาตมาดูท่านอยู่ในป่ายังพูดแหลมลึก  อาตมายังจำได้ท่านพูดแหลมคม ๓ ข้อ  คมกริบ  พูดหรือถามไม่เข้าเรื่องเข้าราว  ไม่ตอบ  เก็บอยู่ข้างใน  คมคาย  ท่านเอาด้ามมาแทงเราซะเจ็บใจเลย  คมสัน  ของท่านยังแน่นอน  เอาขวานตอกเราเสียแล้วนะ  นึกว่าตอกตะปูไม่ต้องใช้คมสันตอกเราเสียแย่เลยอย่างนี้  จึงจับได้ว่าองค์นี้มีทั้งคมกริบ  มีทั้งคมคาย  มีทั้งคมสัน

อาตมาก็คิดได้ต่อไป  อาตมาขอพักผ่อนที่นี่  ท่านไม่ยอมจะถึงเวลา ๕ โมงแล้วจะถึงเวลา ๑๘ นาฬิกาแล้ว  จะมืดแล้วดวงอาทิตย์ก็คล้อยใกล้เวลาอัสดงแล้ว  เราก็จะเดินกลับไปถึงบ้านโยม  มันต้องใช้เวลาเดินหลายกิโล  ราวๆ ประมาณ ๓-๔ กิโล  เดินกันพักใหญ่ๆ เชียว  ท่านไม่ยอมและอาตมาก็พูด  ในเมื่อท่านไม่ยอมเลย  ก็ขอฝากตัวว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพ  ผมมาจะเรียนยืดเหรียญแล้วก็ไม่ได้ผล  แล้วก็จะขอฝากตัวเข้าหาทางธรม  แล้วขอตั้งสัจจะอธิษฐานว่าขอติดตามหลวงพ่อไปจะกรุณาหรือไม่  เมตตาเกล้ากระผมหรือเปล่า

ท่านนั่งนิ่งอยู่สักครู่ก็ลืมตาพูดว่า “คุณรอให้คุณอายุ ๔๕ ก่อนนะ  แล้วจะมาพบเราอีกครั้ง  อายุเธอยังน้อยนัก  ยังไม่แน่นอน  ยังหละหลวมอยู่อยู่อย่างนี้จะรับได้อย่างไร  รับได้ต้องเป็นคนหนึ่ง  ไม่ใช่สอง  มีสัจจะมีเมตตาสามัคคีแล้วหรือยัง  สัจจะก็ไม่มีจะเกิดเมตตาได้อย่างไร  แล้วเมตตาไม่มีจะเกิดสามัคคีได้ทั้งใจทั้งจิตจะเกิดรูปนามได้หรือ”  แหมพูดแหลมลึกสะกิดหัวใจนี่  ท่านบอกว่าอายุถึง ๔๕ ให้มา  แล้วบอกเคล็ดลับ ๓ ข้อ  ต้องการพบท่านแล้วทำอย่างนี้  อันนี้บอกโยมไม่ได้นะ

อาตมากลับมาค้างบ้านโยมและลูกหลานมาคุยกันจนรุ่งเอาเหรียญมาอวด  บอกนี่ฉันถูกหวย๓ ครั้ง  แล้วนามี ๒๐ ไร่  เดี๋ยวนี้มีตั้ง ๔๐๐,  ๕๐๐  ไร่  แต่ด้วยการบูชาแล้วเจริญสมาธิที่ท่านบอกมาอย่างนี้ถูกหวย ๓ ครั้ง  เห็นจะเป็นลูกคนโง่  เลยไปซื้อส่งเดชเลยถูกถึง ๓ ครั้ง  ไอ้เลข ๓ ตัว  อันนี้อาตมาไม่ติดใจในเรื่องนั้น  ติดใจในเรื่องนี้  นี่ดูสิจะไปเรียนยืดเหรียญแต่ไปได้เรื่องธรรมะทีแรกไปหาธรรมแมะเลยไปพบธรรมะ  ท่านบอกแนวอาตมาดังนี้  บอกให้ไปทำศีล  สมาธิ  ปัญญา  ให้ทำวิปัสสนากัมมัฏฐาน  แต่ท่านไม่ได้บอกวิธีทำ  ท่านบอกให้ทำที่ศีล  สมิ  ปัญญาและแนะแนวพระพุทธเจ้าสอนอะไรจำไว้  สอนทุกข์  ไม่ได้สอนความสนุกนะ  สอนวีดับทุกข์ทำอย่างไร  ท่านว่าอย่างนี้สั้นๆ

อาตมาก็กลับวัดตั้งหน้าศึกษาธรรมแล้วก็เดินทางต่อไปเรียนกัมมัฏฐานจากองค์โน้นองค์นี้  อาตมาก็ไปเรียนกัมมัฏฐานกับหลวงพ่อลี  วัดอโศการาม  เมื่อสมัยยังไม่สร้างวัดบางปิ้ง  ท่านเดินธุดงค์ไปสู่จันทบุรี  ไปเมืองลพบุรี  อาตมาตามท่านไปเลยนะ  ตามไปภาคอีสาน  ไปภาคเหนือ  เดี๋ยวนี้อาตมาไม่ได้ไปติดต่อ  ไม่รู้จักใครแล้ววัดบางปิ้ง  ท่านมรณภาพแล้ว  เจริญภาวนา  พุทธหายใจเข้า  โธหายใจออก  ตามหลักไป  แล้วไปเจอกระอีกองค์หนึ่ง  กสิณเก่ง  กสิณขยายดวงไฟ  ได้แล้วไปเจอกระอาจารย์อีกรูปหนึ่งเรียนมโนมยิทิ  ไปคุยกับเทวดาก้ได้นะ  เอ  เข้าท่านะดีนะสนุกดีจัง  แล้วก็ไปคุยกับเมืองนรกได้นะ

ไปเจอยมบาล  อาตมาก็บอกจะเอาค่าแป๊ะเจี๊ยะมาให้  ขอให้ญาติอาตมาขึ้นจากเมืองนรก  ยมบาลก็เอ่ยว่า  “พระคุณเจ้าที่เคารพ  นับประสาอะไรที่จะช่วยญาติของพระคุณเจ้าเล่า  แค่แม่ยายผม  ผมยังช่วยไม่ได้  ช่วยไม่ได้จริงๆ  ภรรยาผมนี่นะเขาบอกว่าให้ช่วยแม่เถอะนะพี่นะ  นึกว่าสงสารแม่  แม่ฆ่าเป็ด  ฆ่าไก่มามากมาย  ฆ่าหมู  ฆ่าไก่  โหดเหี้ยม  ใจดำ  ทารุณดุร้าย  ฆ่าเพื่อกินกันตาย  ช่วยแม่เถอะ”  นี่ยมบาลเล่าให้อาตมาฟัง  ว่าจะพยายามช่วยแม่เสียหน่อย  แต่โจทก์มันมากันเยอะ  ห่านมันก็มาร้อง  เป็ดก็มาร้อง  หมูก็มาร้อง  ว่าไม่ได้นะ  ยมบาลไม่ได้นะ  นี่ทำฉันให้ทุกข์ทรมานเหลือเกิน  ยมบาลเห็นท่าไม่ดี  ช่วยไม่ได้

มโนมยิทธิอาตมาลองทุกอย่างนะแล้วก็ยังผิดทางอยู่ไม่รู้ว่าทางไหนมันจะแน่นอนที่จะช่วยตัวเองได้  เอาทุกอย่างมโนมยิทธินี้เกิดประโยชน์ไหม  ช่วยตัวได้ไหม  ก็ไม่ได้  ให้พ้นทุกข์ได้ไหม  ก็ไม่ได้  ลองแล้วนะ  อาตมาที่พูดนี่อาตมาเป็นพระนะ  ไม่ได้โกหกโยมนะ

ในกาลเวลาผ่านมาอายุอาตมาพอ ๔๕  แล้วก็ตั้งเข็มต้องการปรารถนาไปพบหลวงพ่อองค์นี้ให้ได้  แล้วอาตมาก็สวดมนต์  ภาวนา  ตามลัทธินี้  ก้ได้ไปพบหลวงพ่อนี้ที่เขาใหญ่  จะต้องเดินทางไปด้วยทางเท้าและไปถึงที่ต้นไม้ต้นใหญ่  เลยที่เขาใหญ่ไประหว่างจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดสระบุรี  เรียกกันว่าดงพระยาไฟ  ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไปตั้งใหม่เปลี่ยนดงพระยาไฟเป็นดงพระยาเย็น

อาตมาไปพบท่านที่นั่น  อาตมาค้างอยู่กับท่าน ๑ คืน  และท่านสนทนาธรรมสอนอาตมาตั้งแต่ ๔ ทุ่ม ถึง ตี ๔ พอดี  แนะแนวทุกอย่าง  แล้วทีนี้หลวงพ่อในป่านี้ท่านสอนตามหลัก  บอก  “นี่เธอ  ที่เธอทำมานั้น   ทำมาแล้วนั้นดีเป็นวิปัสสนาได้  แต่เธอโปรดฟังหันมุมกลับ  ได้ช่วยเธออะไรได้บ้าง  ช่วยเธอดับทุกข์อะไรได้บ้าง  ไม่มีเลยนะ”  ท่านก็เริ่มชี้แจงแสดงบรรยายสอนทางสายนี้ทันที  “อย่าลืม  สติปัฏฐาน ๔”  ว่าอย่างนี้เลย  ท่านบอกที่ไปเรียนมโนมยิทธิ  ไม่ใช่ไม่ดี  แต่เธอนึกคิดช่วยเธอไม่ได้นะ  ดับทุกขืเธอไม่ได้นะ  เธอไปเพิ่มทุกข์  เธอไปคุยกับยมบาลน่ะ  เข้าใจไหมด้วยอำนาจปีติอย่างแรงกล้าและอำนาจศรัทธาอุปทานยึดมั่นเอกัคคตารมณ์แล้วจะแสดงอภินิหารของมโนยิทธิได้ทันที  อาตมาทำมาแล้ว  เลยท่านก็สอนว่าเอาหนทางพ้นทุกข์เถอะให้เจริญสติปัฏฐาน ๔

อันดับแรก  ก็เริ่มสอนดังต่อไปนี้  ยืนอยู่กับที่มือขวาจับมือซ้าย  ยืนอยู่เฉยๆ ๑  ชั่วโมง  ยืนอยู่เฉยๆ ๑ ชั่วโมง  โดยไม่กระดุกกระดิก  ตายเสียแล้วคราวนี้  เราไม่เคยยืนอยู่เลย ๑ ชั่วโมง  นี่ในคืนวันนั้นมันเรื่องแปลกยืน ๑ ชั่วโมง  มือขวาจับมือซ้ายไขว้หลัง  น้ำหนักของมือทั้งสองจะถ่วงที่กระเบนเหน็บทันที  ยืนอยู่ ๑ ชั่วโมง  ตายแล้วเราคราวนี้แขนกางแน่  อย่าไปเอามือไขว้ข้างหน้ามันห่อทรวงอก  หายใจไม่ปกติที่มักจะเป็นโรคปอด  สอนละเอียดเสียด้วย

แล้วก็สอน  เกศา  โลมา  นะขา  ทันตา  ตะโจ  ตะโจ  ทันตา  นะขา  โลมา  เกศา  ให้สำรวจจิตตั้งสติ  ตั้งแต่ปลายผมลงมา  เบื้องบนตั้งแต่ปลายเท้าไปถึงปลายผม  เบื้องล่างตั้งแต่ปลายผมไปถึงปลายเท้า  นี่เริ่มตั้งแต่อาตมาจะเข้าถึงพุทธธรรม  ที่เราจะบวชครบครันมาถึงบัดนี้  อาตมาก็ยืน ๑ ชั่วโมง  พอถึง ๔๐ นาที  อาตมาก็ขาสั่น  ตายจริงไม่เข้าท่าเสียละมั่งนี่  ขาสั่นเอาแล้วมาเอาเรื่องแล้ว  ท่านบอกพิจารณายืนมีสติ  ศรีษะลงปลายเท้านับหนึ่งลงไป  สำรวจจากปลายเท้านับสองขึ้นไปบนศรีษะ  สำรวมสติจากศรีษะลงสู่ปลายเท้า ๓ สำรวมสติอย่างที่คุณเคยบวชรพะอุปัชฌาย์บอกไหมตั้งแต่เบื้องต่ำไปถึงเบื้องบน  เบื้องบนไปถึงเบื้องต่ำ  สมกับที่เคยด่าเราบอก “คุณนี่มันเลย  เลยวิชา  เลยภาคปฏิบัติของพระพุทธเจ้า  เลยไม่ได้เอาไหนไง”

อาตมาก็ยืนกำหนด  ตั้งสติมโนภาพพระจกฉายแสงว่าข้าพเจ้ายืน ๑ ชั่วโมงให้หลัง  เราก็รู้ตัวเองเลยว่ายืนมีสติ  อ้อยืนมีสติ  อ่านตัวออกบอกตัวได้  ใช้ตัวเป็น  แสดงอภินิหารนาทีนั้นว่าเรายืนมีมารยาท  มีสติครบในการยืนเลย  อ้อกายานุปัสสนา  สติปัฏฐาน  ฐานของจิตแผลงฤทธิ์ให้เรารู้สึกนึกคิดเป็นตัวปัญญาจากการยืนนี่เกิดประโยชน์มาก  อาตมาได้มาอย่างนี้จากในป่า และก็ยืนมีสติดี  อ้อใช่แล้วว่า  เกศา  โลมา  นะขา  ทันตา  ได้ประโยชน์อย่างไร  ยืน  เดิน  นั่ง  นอน  ๔  อิริยาบถ  บทใดบทหนึ่งในสติปัฏฐาน ๔  ยืนได้อย่างนี้มีสติเห็นคนเดินมาแล้ว  เห็นตั้งแต่ศรีษะลงมาปลายเท้าแล้วเราจะรู้ทันทีว่าคนนี่มีนิสัยอย่างไร  มันสัมพันธ์ให้เรารู้โดยตาปัญญาเท่านี้เอง  เกิดประโยชน์มาก

อันดับที่ ๒  ท่านให้เดินมีสติเยื้องเท้าก้าวเท้าอย่างมีสติครบ  นี่สอนที่เขาใหญ่บอกอาตมาเมื่อครั้งที่อายุ ๔๕  พอดี  แล้วก็เอาสมถะ  สมาธิของอาตมาที่เคยได้มาแต่เดิม  เอามาเป็นบาทพลิกแผ่นดินเลย  เอาสภาวะรูปที่ยึดบัญญัติเป็นอารมณ์เอาไปกำหนดตั้งสติ  บัญญัติเป็นอารมณ์เอาไปกำหนดตั้งสติ  บัญญัติเป็นอารมณ์หายวับไปกลายเป็นรูปนามขันธ์ ๕  ขึ้นมาแทนที่ได้ทันที

แล้วสอนท่านต่อไป  นก็สอนอาตมาว่า  “นี่คุณรู้ไหมอารมณ์นี้เป็นอย่างไร”  “ไม่ทราบครับหลวงพ่อ” จำอารมณ์  ตื่นนอนขึ้นมามีอารมณ์อย่างไร  วสีเข้าออก  ไปได้สตางค์  เสียเงิน  อารมณ์ค้าง  แบบนี้ไปเกิดอะไรขึ้นมา  เหมือนเราเป็นนักธุรกิจ  นี่พระในป่านะสอนประยุกตฺจริงๆ  เข้าใจคำพูดท่านได้มาก  รู้จักอารมณ์ไหม  บอกไม่ทราบ  ท่านว่าอย่างไร  อารมณ์คืออะไร  คือลมหายใจยาว  สั้น  อารมณ์จิต  จิตเป็ฯธรรมชาติคิดอ่านอารมณ์  รับรู้อารมณ์ได้นานๆ เหมือนเทป  บันทึกเสียง  คลำไม่ได้  ไม่มีตัวตนเป็นนามธรรม  และอารมณ์แบบนี้ไปได้อารมณ์อะไรขึ้นมา  ถ้าอรมณ์ฉุนเฉียว  แบบนี้เป็นนักธุรกิจไปทำการค้า  ใช้อะไรไม่ได้เลย  แล้วจำอารมณ์นี้ไว้ให้ได้  สัมผัสกับอารมณ์ต่างๆ จากบุคคลที่เดินเข้ามา  สัมผัสกับอารมณ์ไปกระแสอารมณ์ที่ทำให้ได้อยู่ทีหลัง  ถ้าสติเราครบแล้ว  เราจะรู้กระแสของคนโน่นก่อน  เบา   หนัก  ละเอียดถี่ถ้วนประการใดจะรู้ได้อย่างไร

และก็สอนต่อไปว่าให้รู้  อายตนะ  เรียนที่ไหน  เรียนที่ตัวเรา  ท่านบอกอย่างนี้เลยนะ  เอาสั้นๆ  ง่ายๆ  เลยนะ  ตาเห็นรูป  มีศีลไหมที่ตา  หูได้ยินเสียงมีศีลที่หูไหม  จมูกได้กลิ่นมีศีลที่จมูกไหม  ลิ้นรับรสอาหารมีศีลที่ลิ้นไหม  กายสัมผัสร้อนหนาวอ่อนแข็งมีศีลไหม  อาตมาฟังท่านบอกเห็นรูปก็แล้วมีสติไหม  มีครับหลวงพ่อ  อ้อนั่นแหละสติ  ศีลต้องมีเรือนให้เขาอยุ่  บอกเธอต้องมีกุฏิอยู่ใช่ไหม  เหมือนญาติโยมต้องมีอาคารสถานที่  จะนั่งตากแดดตากฝนอยู่คงไม่ได้  มันต้องมีเรือน  เพราะฉะนั้นมันต้องมีเรือน  ตาเห็นรูป  มีสติไว้

แล้วท่านบอกว่า  ไปไหนเอาตาหูเป็นใหญ่  อย่าเอาปากไปนะ  ปากนี่เป็นครูน้อย  ไม่ใช่ครูใหญ่  ส่วนมากเราเอาปากไปเสียนะ  ตาดู  หูฟัง  จิตคิดประดิษฐ์สร้างสรรค์  ริเริ่มดำเนินงานทางวาจาทีหลัง  นี่สอนดีเหลือเกิน  อาตมาได้ตรงน้  บอกตามีศีล  มีศีลแล้วทรัพย์มา  ฟังเขาด่าแล้ว  ถ้าหูไม่มีศีล  ในเมื่อขาดสติเดี๋ยวเถอะ  เดี๋ยวได้เรื่อง  ด่ามาคำ  เราก็สองคำบอกไป  เลยเอาปากออกไปแล้ว  นี่หูไม่มีศีล  ตั้งสติไว้  หูมีสติ  แล้วหูมีทรัพย์  เพราะมีศีลทรัพย์มา  พูดไปแล้วปัจจุบันธรรมปากมีศีล  พูดเป็นเงินเป็นทองเลย  ทรัพย์มาพูดเป็นเงินเป็นทองเลยด้วยมีสติ

โยมโปรดจำไว้เถอะ  ซื้อรถสีอะไรจะดีแล้วก็แบบไหนดี  โอ๊ยรถสีนี้มันชนเก่ง  สีดีโฉลกดีแล  ไม่ชนไม่มีที่ไหน  อย่าลืมนะมันอยี่จิตใจ  มันฝากความห่วงใยและฝากชะตากรรมอยู่ที่เจ้าของรถและเจ้าของรถดวงไม่ดี  เคราะห์ไม่ดี  เคราะห์หามยามร้ายรถมันจะไปรู้เรื่องรู้ประสาอะไร  เจ้าของรถจะต้องเสียแหลกราญเพราะเจ้าของ  ไม่ต้องไปเลือกสีหรอก  ชอบไหมไม่ต้องไปหาหมอดู  ชอบสีอะไรสีไหนสบายใจเอาสีนั้น  ไม่ต้องไปบอก  หมอดูสีแดงแต่โยมชอบสีเขียว  ไม่ต้องไปฝืนใจซื้อสีแดงมา  ซ่อมแล้วก็ไม่สบายใจเลิกเชื่อหมอดูได้แล้ว  เชื่อความสบายใจของโยมดีกว่า

สุนักขัตตัง  สุมังคะลัง  สุปะภาตัง  เป็นต้น  สะดวกไหม  ฤกษ์คิอโอกาสดี  ยามดีต้องเวลาว่าง  ถ้าโยมไม่ว่างยามดีไม่ได้  จะดำเนินงานต้องเครื่องพร้อม  เครื่องอุปกรณ์พร้อม  พอพร้อมแล้วฤกษ์โอกาสดีเวลานี้ว่างเสาร์อาทิตย์ว่างไม่ได้ไปทำงานอื่น  ดำเนินการเลย  พร้มแล้วรีบดำเนินงานรวดเร็ซทันใจถูกต้องเป็นธรรมเรียบร้อยทุกอย่างทุกประการ  โยมจงจำไว้ถ้าหมอดูบอก  โยมชอบสีแดงแต่ไปซื้อสีเขียว  เอาสีแดงมาไม่สบายใจไปซื้อมาทำไม  ก็เอาสีสบายใจไม่ได้หรือ  นี่ตำราพระพุทธเจ้า

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ขอฝากญาติโยมนะ  การเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานก็ดี  การทำสมิก็ดี  ทาศีลภาวนานี้  ต้องรู้จักวิธีบริจาคทานด้วยพระเจตนา  โยมรู้จักหมดทุกคน  โดยไม่ต้องอธิบายนะ  ดูพระเจตนา  ก่อนทำสบายใจทำไปแล้วสบายใจ  ทำไปแล้วนานก็ยิ่งสบายใจ  นี่เอาหลักนี้มาตั้งญาติโยมทำบุญ  ญาติโยมกระเป๋าขาดเลย  เลยได้บุญหรือนั่น  นี่วิธีปฏิบัติการทำบุญ  นอกเหนือจากนั้นแล้วงานต้องเสียเงินต้องเสียเสียเวลาแต่ไม่เสียเงิน  แค่ภาวนาจิตประจำ  แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้โดยไม่ต้องใช้เงิน  แต่ต้องใช้เวลา  ทำได้ทุกขณะจิต  เวลาออกจากบ้านโยมมีปัญหานะ  แก้ได้ระหว่างทาง  นี้ซิแก้ได้ทางตา  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  ปัญหาเกิดขึ้นมาแก้ได้เลย  เข้าบ้านมีปัญหานะ  ไปถึงที่กำหนดไปถึงนักธุรกิจไปถึงการค้ามีปัญหาทั้งนั้น  แต่เรามีสติปัญญาดีไม่มีการสร้างปัญหาสามารถจะแก้ปัญหาได้ทันท่วงที  ปัจจุบันนี้  หากว่าโยมมีปัญหาอะไร  แก้ไม่ได้  มีแต่สร้างปัญหา  ทำให้เดือดร้อนขึ้นมาอย่างนี้เรียกว่ามีสติ  มีสมาธิ  อย่างไร

ไม่จำต้องกล่าวว่าไปนั่งที่วัด  ไปวัดของเราดีกว่า  วัด  อาคาร  สถานที่นั้นเมื่อไม่มีเวลาจะไปก็เอาวัดของเรา  เราก็เอาวัดของเรา  วัดขระหยิบ  จะยืน  เดิน  นั่ง  นอน  จะหยิบอะไร  จะขายอะไร  ให้กำหนดสติจะขายดีตลอดกาล  นี่อย่าลืมนะ  โยมจได้ไหมพระพุทธเจ้าสอนสติปัฏฐาน  งสายเอกชื่อเมืองอะไร  ชื่อเสียงอะไรโยม?  กายนคร  ถูกแล้วในตัวเรา  ถ้าคนใดมีสติสัมปชัญญะครบ  อุดมคติอุดมการณ์จากสติปัฏฐาน๔  แล้วเงินไหลนองทองไหลมา  หมายความว่าอุดมสมบูรณ์  ถ้าใครมีสติอุดมสมบูรณ์  จึงเรียกว่าสติปัฏฐาน ๔  อย่างนี้คนนั้นอุดมสมบูรณืแน่  ถ้าเป้นพ่อค้าแม่ค้ารวยมหาศาล  เพราะอุดมสมบูรณ์ด้วยสติ  ค้าขายมีสติ  ปัญญาเกิด  รู้ว่าขาดทุนได้กำไรรู้ล่วงหน้าเสียด้วยนะนี่  จึงเรียกว่าอุดมสมบูรณ์

สรุปว่าธรรมสติปัฏฐาน ๔ นี้  อุดมสมบูรณ์พร้อมมูลบริบูรณ์ดีด้วยสติทุกประการ  มีสติดีแล้วสตางค์มา  ถ้าคนไหนไม่มีสติสตางค์หนี  สตางค์หนีหมดแน่นอนนะ  วิระทะโย  วิระโคนายัง  โยมสวดคาถาให้เงินมา  แล้วสวดแล้วเงินมาไหม  ถ้าฝรั่งถามอย่าไปตอบว่าสวดแล้วเงินมานะ  สวดไปทำไมโยม  เดี๋ยวไปสวดเงินไม่มา  ด่าเราแหลก  สวดแล้วจิตงอก  พอจิตงอกแล้วเงินมันก็งอก  ถ้าหากว่าเราวดแล้วจิตมันหดเงินมันก็หดด้วย  ไม่ใช่สวดแล้วได้เงินเลน  โยมพอจิตมันงอกนะ  จิตก็แตกก้านสาขาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของจิต  แล้วเงินก็มา  ถ้ายิ่งสวดไปจิตหดนะ  จิตหดเงินหดด้วย  ข้าวในหม้อก็หดด้วยหดหมด  เพราะฉะนั้นตอบได้เลยว่า  วิระทะโย  วิระโคนายัง  สวดให้จิตขึ้น  พอจิตสบายอุดมการณ์เกิดขึ้นมีสติครบ  รับรองนึกเงินได้เงิน  นึกทองทองไหลมา

โยมจะไว้สวดไว้จิตงอก  ถ้าจิตของท่านทั้งหลายงอกทุกคนนะ  รับรองสำเร็จตามเป้าหมายและจุดประสงค์ทุกประการ  ถ้าจิตหดแล้วนะหม้อแบตเตอร์รี่หมดไฟ  รถทำอย่งไรถึงจะไปได้  คุณโยม  ไม่เอาใจใส่แบตเตอร์รี่ในเมื่อเราไม่ใช้มัน  ไม่สตาร์ทมันก็หมดไฟไปนะ  ต่อไปอะไรเสียแผ่นผ้าเสีย  ในเมื่อแผ่นผ้าเสียแล้วต่อไปทำอย่งไร  ต้องโยนหม้อแบตเตอร์รี่ทิ้งซื้อใหม่เสียเงิน  นี่กำลังใจตกนะ  ถ้าเพิ่มพลังจิตโดยใช้สติทุกประการเท่านั้นเป็นการเพียงพอ  เพิ่มสติเพิ่มกระแสไฟทั้งชาร์ททั้งสตาร์ท

โยมนี่สติตัวเดียวที่พระพุทธเจ้าสอน ๘๔,๐๐๐  พระธรรมขันธ์  ย่อเหลือ  สิกขา ๓  ในสิกขา ๓  ได้แก่  ศีล  สมาธิ  ปัญญา  นี่พระในป่าท่านสอนละเอียดสนอสั้นๆ เหลือ ๒ สติสัมปชัญญะครบ ๒ มากไปเสียแล้ว  เอาเหลือหนึ่งลูกแก้วพระเจดีย์ทองได้แก่อะไร  ความไม่ประมาท  สติมีศีลแล้วสัมปชัญญะคือสมาธิ  สัมปชัญญะนี่รู้ตัวเสียอีกแล้ว  จิตตั้งใจ  ถึงพร้อมด้วยสมาธิจิตตั้งใจ  ถึงพร้อมแล้วเกิดอะไร  เกิดปัญญา  พร้อมแล้วเหลือ ๑  ทำอะไรไม่มีประมาทเสีย  เหลือหนึ่งวิธีปฏิบัติ  เห็นว่ามันมากมายนักจำยากนักโยมก็ไม่ประสาท  สำคัญอีกว่าไม่ประมาทเดินไม่ได้หรอกต้องทำตั้งแต่ต้น  ทำตั้งแต่  ศีล  สมาธิ  ปัญญาและ  ศีล  สมาธิ  ปัญญา  เหลือ ๒ สติ  สัมปชัญญะ  รู้ตัวอยู่เสมออย่าประมาท  อย่าประสาทเกิดขึ้นแล้วนี่ข้อ ๑  นี่ท่านสอนมาอย่างนี้

อาตมาก็จับจุดได้  แล้วกลับวัด  อ้อนี่ได้มาอย่างนี้แล้วยังได้เคล็ดลับมาอีก  เคล็ดลับอย่างนี้  ถ้าโยมอยกาได้  อยากจะทราบต้องคุยกันเป้นการส่วนตัว  เอาเล่าสั้นๆ ไว้แค่นี้ว่าได้ไปพบหลวงพ่อองค์หนึ่งในป่านี้  แต่ก็ไม่ทราบว่าชื่ออะไร  แต่มีลักษณะอาการอายุคล้าย ๗๐  แต่คงจะกว่าเพราะโยมผู้ใหญ่บ้านนั้นคงจะแก้ผ้ากันอยู่  เห้นท่านอย่างนี้จนโยมนั้นอายุ  ๘๔ ปีแล้ว  ก็ยังเห็นอย่งนี้  แล้วโยมคนนั้นก็ตายไปแล้วด้วย  ถ้าโยมผู้ใหญ่บ้านยังอยู่นะอย่าลืมนะ  เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๓  โยมผู้ใหญ่นี้อายุ ๘๔ นะ  ป่านนี้โยมคนนี้คง ๑๐๐ แล้วนะตายไปแล้ว  ผู้ใหญ่บ้านคนนี้และตัวอาตมาเดี๋ยวนี้ก็จะ ๖๐ แล้วนะ