บุญพาข้าพเจ้าไปเรือเยาวชน

โดย ร.อ.หญิง สุชาวดี ไชยยันบูรณ์

ดิฉัน น.ส. กุลชลี จงเจริญ จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษา จากร.ร.พิบูลวิทยาลัย จ.ลพบุรี และศึกษาศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยศิลปากร จ.นครปฐม

หลังจากนั้นได้เข้ารับราชการอาจารย์ ๑ ระดับ ๓ สอนวิชาภาษาอังกฤษ ที่ร.ร.บุญนาคพิทยาคม จ.ชัยนาท เป็นเวลา ๒ ปีเศษ จึงได้สอบโอนมารับตำแหน่งนักวิชาการศึกษา ๔ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสิงห์บุรี ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อระดับปริญญาโท สาขาบริหารการศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เมื่อกลางปี ๒๕๓๑ ดิฉันได้มีโอกาสสมัครสอบ โครงการเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์ (ขณะนั้นดำรงตำแหน่งนักวิชาการศึกษา ๔ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสิงห์บุรี) มีผู้สมัครสอบประมาณ ๗๐๐ กว่าคน รับทั้งสิ้น ๓๕ คน

เนื่องจากดิฉันจบการศึกษาในสาขาวิชาภาษาอังกฤษ มีความต้องการเดินทางไปดูงานและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียน (มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, บรูไน และประเทศญี่ปุ่น) แต่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรไว้มาก เพราะผู้สมัครสอบมีเป็นจำนวนมาก

กุลชลี จงเจริญ (คนที่สองจากขวา) กับครอบครัวชาวบรูไน

และอีกประการหนึ่ง งานที่ดิฉันสอบโอนเข้ามาในตำแหน่งนักวิชาการศึกษา ก็ยังเป็นงานใหม่ ยังต้องเรียนรู้งานอีกมากมาย เลยไม่ค่อยมีเวลาดูหนังสือ ก็เกิดความกระวนกระวายใจมาก

ในช่วงนั้นคุณแม่ก็ให้สวดมนต์ภาวนา ในบทสวดที่ท่านพระครูจรัญ วัดอัมพวัน (พระภาวนาวิสุทธิคุณ) ให้คุณแม่สวดอยู่เป็นประจำ

ดิฉันก็สวดทุกคืน ตอนแรกๆ ก็ลำบากเอาการอยู่ เพราะใจหนึ่งไม่ได้สนใจทางนี้ (เพราะต้องสวดเท่าอายุเกิน ๑) ตอนหลังๆ ก็เคยชิน และใจก็สงบลง อ่านหนังสือได้เข้าใจง่าย

พอถึงช่วงใกล้สอบก็เริ่มไม่สบายใจอีกครั้ง เพราะวิตกกังวลกับจำนวนผู้สมัครสอบว่ามากมายเหลือเกิน ก็ไปหาหมอดู คนแรกบอก ต้องเสียเงินจึงจะสอบได้

หมอดูคนที่สองบอกว่า ไม่ต้องไปสอบหรอก สอบอย่างไรก็ไม่ได้ ช่วงนี้ดวงไม่ค่อยดี ต้องสะเดาะเคราะห์

คนที่สามก็บอกว่า ดวงเกือบจะดี ถ้าไม่มีคนปัดแข้งปัดขาก็สอบได้

ดิฉันคิดว่าเมื่อได้สมัครไปแล้ว ก็ลองไปสอบดู และก็คิดว่าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ

ช่วงนั้นก็ท่องบทสวดมนต์ให้สบายใจ แล้วก็มุอ่านหนังสืออย่างหนัก และก็บอกให้คุณแม่ช่วยสวดมนต์แผ่เมตตาให้ด้วย เป็นกำลังใจอีกทางหนึ่ง

เมื่อถึงวันสอบ คุณแม่ได้นำรูปโปสการ์ดของพระครูจรัญติดกระเป๋าไปด้วย หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีโทรเลขเรียกตัว ให้นำรูปถ่ายไปทำพาสปอร์ต

ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ดีใจมากที่สุดในชีวิต ที่ความพยายามของตัวเรา ประกอบกับการสวดมนต์ภาวนา แผ่เมตตาที่ได้ช่วยให้จิตใจสงบ ทำให้ความฝันเป็นจริงขึ้นมา

ในช่วงที่เดินทางครั้งแรก จากสนามบินกรุงเทพฯถึงสนามบินกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ประมาณ ๒ ชั่วโมงกว่าๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก จากนั้นก็นั่งรถเป็นเวลา ๕ ชั่วโมงเศษเพื่อที่จะไปขึ้นเรือที่เมืองกวนตัน รัฐปาหัง ซึ่งเยาวชน ๗ ชาติจะไปรวมกันที่นั่น

จากนั้นก็มีพิธีต้อนรับ และไปพักอยู่กับครอบครัวที่นั่นเป็นเวลา ๓ วัน (ในแต่ละประเทศ) ดิฉันก็สวดมนต์ให้พบแต่ครอบครัวที่ดีๆ และก็เป็นจริงทั้ง ๖ ชาติที่ดิฉันเข้าพัก เป็นครอบครัวที่ใจดี น่ารักมาก ซึ่งเพื่อนๆ บางคนก็พบครอบครัวที่ไม่ค่อยดี ต้องกลับมานอนที่เรือ เพราะไม่สามารถพักอยู่ได้

เพื่อนๆ ก็ถามว่า ทำไมเธอโชคดีจังเลย ทั้ง ๖ ประเทศที่เข้าพักมีแต่ครอบครัวที่นิสัยดีทั้งนั้นเลย ดิฉันก็บอกว่า ไม่มีอะไรหรอก ก็สวดมนต์ทุกคืน แล้วขอภาวนาขอให้พบสิ่งที่ดีงาม

ประเทศที่น่าประทับใจที่สุด เห็นจะเป็นประเทศบรูไน ซึ่งตอนนั้นดิฉันได้เข้าพักกับครอบครัวทหารพ่อกับแม่บุญธรรมใจดีมาก พ่อเป็นทหารยศพันตรี แม่เป็นแม่บ้าน

ในประเทศบรูไน อาชีพทหารได้รับการยกย่องและมีเกียรติมาก ตอนนั้นดิฉันพักอยู่กับเพื่อนชาวฟิลิปปินส์ (กฏของโครงการคือจะพักกันแต่ละครอบครัวได้ ๒ คน)

พ่อกับแม่บุญธรรมก็ได้พาเราทั้งสองชมประเทศด้วย การนั่งเฮลิคอปเตอร์ ชมทิวทัศน์รอบๆ เมืองหลวง ซึ่งนับว่าเป็นโชคดีมาก อีกทั้งยังให้โทรศัพท์ข้ามประเทศมาเมืองไทยและฟิลิปปินส์อีกด้วย

ตอนนั้นพ่อถามว่า คิดถึงบ้านไหม? เราทั้งคู่ (เพื่อนชาวฟิลิปปินส์) บอกว่าคิดถึงมาก พ่อบุญธรรมก็บอกว่าจะต่อโทรศัพท์ให้คุยได้ จะคุยเท่าไรก็ได้ เพราะเขามีสิทธิ์โทรฯ ข้ามประเทศฟรี

เพื่อนฟิลิปปินส์โทรฯ ก่อน เนื่องจากบ้านดิฉันยังไม่ได้ติดโทรศัพท์ (ขอไป ๓ ปีแล้ว ยังไม่ได้ ทั้งอำเภอมีโทรศัพท์อยู่ ๓ เครื่อง คือ โทรฯ สาธารณะ ถ้ามีเหตุจำเป็น ก็สามารถโทรฯ เข้าไปได้ จะมีคนรับและก็ไปตามคนที่บ้านให้)

ดิฉันเองไม่เคยโทรฯ มาที่โทรศัพท์สาธารณะเลย เพราะคุณแม่จะโทรไปคุยด้วยฝ่ายเดียว ดิฉันก็ให้เบอร์โทรฯ ของบ้านอาไป กะว่าจะคุยกับอาก็ได้ แต่เบอร์ของอาสายไม่ว่าง

พ่อถามว่ามีอีกเบอร์หนึ่งไหม ดิฉันก็บอกว่าไม่มี ใจหนึ่งก็คิดถึงบ้าน ในใจก็ภาวนาถึงหลวงพ่อ ขอให้ช่วยด้วย ก็นึกถึงโทรศัพท์สาธารณะ ยิ่งนึกไปก็ภาวนาไป ทั้งๆ ที่ไม่คิดว่าจะได้ผลเพียงไร ก็เขียนขึ้นต้นด้วยเลข ๔ เพราะจังหวัดลพบุรี จะนำหน้าเบอร์โทร ด้วยเลข ๔ ก็แวบหนึ่งขึ้นมา เขียนไป ๔๑๓๐๓๐ ในใจแวบมาให้เขียนไปอย่างนั้น

ก็บอกให้พ่อลองหมุนดู นึกในใจว่าลองดู ถ้าไม่ใช่ ก็ไม่เสียหายอะไร รออยู่สักพัก พ่อบอกว่าสายติดแล้ว! ปรากฏว่าใช่จริงๆ ด้วย!

ตอนนั้นตื่นเต้นมาก เด็กรับสายบอกว่า ต้องการพูดกับใคร ดิฉันก็บอกชื่อคุณพ่อ ซึ่งก็ปรากฏว่าคุณพ่อออกมาซื้อของที่ตลาดพอดี (บ้านดิฉันอยู่ห่างจากตู้โทรศัพท์ เวลาเดินประมาณ ๓ – ๕ นาที)

บังเอิญเหลือเกิน เพราะช่วงนั้นคุณแม่ไปงานกฐินอยู่ แต่คุณพ่อเลยต้องมาซื้อของเอง (ปกติเป็นหน้าที่คุณแม่) ขณะที่ดิฉันเขียนอยู่ ก็ยังงงไม่หายว่า เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไรราวปาฏิหาริย์

อีกช่วงหนึ่งที่ประทับใจไม่มีวันลืม คือ ช่วงจากประเทศบรูไนไปประเทศฟิลิปปินส์ ช่วงนั้นไต้ฝุ่นเข้าประเทศฟิลิปปินส์ ๓ ลูกติดๆ กัน ขณะนั้นเรือกำลังเดินทางเข้าฟิลิปปินส์พอดี เรือถูกคลื่นลูกใหญ่ซัดอยู่ตลอดเวลา โต๊ะทานข้าวล้มระเนระนาด พวกเราก็เมาเรือกันมา ๒ วัน ๓ คืน ทานอะไรกันไม่ได้เลย อาเจียนตลอดเวลา บางคนก็เป็นมาก บางคนก็เป็นน้อย ดิฉันก็สวดมนต์ภาวนาตลอดเวลา

เรือ NIPPON MARU ที่ใช้ในการเดินทาง (ถ่ายจากเฮลิคอปเตอร์ขณะที่กำลังบินวนอยู่)

เพราะช่วงนั้นเรือลำก่อนหน้าเรือที่ดิฉันอยู่ ได้จมไปพร้อมกับลูกเรืออีก ๒๐๐ กว่าคน ทำให้พวกเราเสียใจกันมาก แต่ก็เป็นที่น่าแปลก ที่สุขภาพของดิฉันหลังจากที่ทานอะไรไม่ได้ตลอด ๒ วัน ก็ไม่ได้มีอาการอ่อนเพลียแต่อย่างใด กลับมีอาการปกติ และหลังจากนั้นมา ก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรร้ายแรง จนกระทั่งเดินทางกลับ

หลังจากกลับได้ ๒ เดือน ก็สมัครสอบปริญญาโทที่จุฬาฯ ในใจคิดว่าอยากเรียนต่อเพื่อความก้าวหน้าของตนเอง ก็เลยตั้งเป้าหมายไว้ว่า ต้องพยายามสอบให้ได้

ทุกคืนก็สวดมนต์ภาวนาแผ่เมตตาเรื่อยมา จึงประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้

ดิฉันวิเคราะห์ดูว่า ประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดในชีวิตของดิฉัน กว่าจะมาถึงวันนี้ เกิดจากเหตุสำคัญ ๒ ประการคือ

ประการที่ ๑ การสวดมนต์ภาวนาทำจิตใจให้สงบ แผ่เมตตา นึกถึงคำสั่งสอนของหลวงพ่อพระภาวนา   วิสุทธิคุณ บิดา มารดา ครูอาจารย์ ทำให้มีสติในการกระทำที่ได้กระทำไป

ประการที่ ๒ ความตั้งใจกระทำในสิ่งหนึ่งๆ ประกอบกับความพยายามส่วนตน ทำให้การกระทำต่างๆ ลุล่วงและประสบผลสำเร็จไปด้วยดี

 

กุลชลี จงเจริญ
ชัชวาลย์เภสัช
๓๕ อ.ท่าวุ้ง
จ.ลพบุรี ๑๕๑๕๐