ประสบการณ์ที่วัดอัมพวัน
โดย ขจี เลิศดิลก
ปัจจุบัน ดิฉันเป็นข้าราชการบำนาญ กทม. ขณะที่เขียนนี้มีอายุ ๖๓ ปี ดิฉันได้ทราบกิตติศัพท์ความมีคุณธรรมสูงของหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณ เมื่อประมาณสิบกว่าปีมาแล้ว จากหนังสือกฎแห่งกรรมของ ท.เลียง พิบูลย์ ทำให้ดิฉันมีความกระหายใคร่จะได้รู้จักท่าน อยากจะมากราบท่าน
ดิฉันถามเพื่อนทุกคนว่า วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ไปขึ้นรถได้ที่ไหน และไปลงรถที่ตรงไหน ปรากฏว่าไม่มีใครทราบ จนกระทั่งเวลาผ่านล่วงเลยไปประมาณปีเศษ
วันหนึ่ง คุณวารุณี หาญสมบูรณ์ โทรศัพท์มาหาดิฉันว่า วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ หลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง จังหวัดเชียงใหม่ จะมาแสดงธรรมที่ตึก สว. วัดบวรนิเวศ แล้วเราก็นัดพบกันที่ตึก สว.
ครั้นถึงเวลาที่จะฟังธรรม ปรากฏว่าไม่ใช่หลวงปู่สิม แต่เป็นพระผอมๆ สูงๆ ซึ่งไม่มีใครรู้จัก เจ้าภาพผู้นิมนต์ท่านมาประกาศว่า ท่านคือ พระครูภาวนาวิสุทธิ์ (สมณศักดิ์ขณะนั้น) เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี
พอดิฉันได้ยินชื่อหลวงพ่อเท่านั้น รู้สึกตื่นเต้นดีใจที่สุด เพราะดิฉันอยากพบ อยากรู้จัก อยากจะไปกราบท่านที่วัดอัมพวันมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ไปไม่ถูก อยู่ๆ ก็ได้พบท่านสมดังความปรารถนา
ดิฉันคลานเข้าไปกราบท่าน เรียนถามท่านว่า ถ้าดิฉันจะไปกราบท่านที่วัดอัมพวัน ดิฉันจะไปขึ้นรถได้ที่ไหน และไปลงรถตรงไหน ท่านก็บอกว่าไปขึ้นรถที่สถานีขนส่งหมอชิต สายกรุงเทพฯ – สิงห์บุรี ไปลงที่กิโลเมตรที่ ๑๓๐ ดิฉันก็จำไว้
วันนั้นหลวงพ่อแสดงธรรมได้ไพเราะจับใจเต็มไปด้วยคติธรรมซาบซึ้งตรึงใจทุกคน ซึ่งไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย จนเวลาผ่านไปสองชั่วโมงเต็ม ก็ยังไม่จุใจ อยากให้ท่านแสดงธรรมต่อ ไม่อยากให้หยุด แต่เมื่อหมดเวลาก็จำเป็นต้องหยุด
หลังจากแสดงธรรมจบแล้ว มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง พาบุตรชายอายุประมาณ ๘ – ๙ ขวบไปกราบท่าน ให้ท่านเป่าศีรษะให้ แล้วเรียนถามท่านว่า บุตรชายดื้อมาก ทำอย่างไรจึงจะหายดื้อได้ หลวงพ่อตอบว่า
“ก็พ่อแม่มันดื้อ ลูกมันก็ดื้อตามพ่อแม่เป็นธรรมดา เปรียบเสมือนคนปลูกต้นไม้ ถ้าปลูกอย่างมีระเบียบแบบแผน ต้นไม้ก็จะขึ้นอย่างมีระเบียบสวยงาม ตามแบบแผนที่วางไว้ ถ้าปลูกอย่างไม่มีระเบียบ ปลูกตรงโน้นต้นหนึ่ง ปลูกตรงนี้ต้นหนึ่ง นึกจะปลูกตรงไหนก็ปลูกเกะกะเต็มไปหมด หาความสวยงามไม่ได้
ถ้าเป็นอย่างนี้จะไปโทษต้นไม้ว่าขึ้นไม่เป็นระเบียบจะถูกหรือ จะต้องโทษคนปลูก เพราะคนปลูกไม่มีระเบียบ ต้นไม้จึงขึ้นอย่างไม่มีระเบียบ”
หลังจากท่านเทศน์สามีภรรยาคู่นี้ฟังแล้ว ทำให้ดิฉันนึกถึงเด็กชายข้างๆ บ้านฉันคนหนึ่งอายุประมาณ ๑๓ ปี เป็นลูกคนโต ชื่อไอ้แก้ว พ่อแม่มีลูกเล็กๆ อีกหลายคน พ่อหาเงินคนเดียว ฝ่ายแม่มีหน้าที่หุงหาอาหารดูแลลูก
แต่ความจริงแล้ว หน้าที่เลี้ยงดูลูกเล็กๆ ก็คือไอ้แก้ว ลูกคนโต ทั้งๆ ที่ไอ้แก้วก็อายุแค่ ๑๓ ปีเท่านั้น ตัวผอมๆ นุ่งกางเกงตัวเดียว เสื้อไม่ใส่ ซี่โครงขึ้นเป็นลูกระนาด ไปไหนก็กระเตงน้องติดเอวไปด้วย
ถ้าน้องจะร้องด้วยความหิวหรือเจ็บไข้ได้ป่วย งอแงไม่หยุด เอาน้องไปส่งให้แม่ ไอ้แก้วจะถูกแม่ด่าและทุบตีประจำ หาว่าไม่มีปัญญา ทำให้น้องหยุดงอแงไม่ได้
ถ้าวันไหนแม่ไอ้แก้ว นำเงินค่ากับข้าวไปซื้อตั๋วดูภาพยนตร์แสดงนำโดย มิตร – เพชรา ดารายอดนิยมสมัยนั้นแล้ว เงินไม่พอซื้อกับข้าวให้ลูกกิน ก็พาลด่าไอ้แก้ว โตแล้วไม่รู้จักช่วยหาเงิน มาช่วยเหลือเจือจุนพ่อแม่บ้าง วันนี้มึงไม่ต้องแดก
ไอ้แก้วต้องทนคอยรับอารมณ์ของแม่ประจำ ชาวบ้านแถวนั้นพากันสงสาร ก็พากันจ้างไอ้แก้วไปตลาดซื้อของกิน ของใช้ แล้วให้เงินเป็นค่าจ้าง แต่ก็ไม่พอ
ไอ้แก้วจำเป็นต้องขโมย ใครเผลอ ไอ้แก้วต้องหยิบฉวยของในบ้านนั้นไปขาย ไอ้แก้วเข้าบ้านใคร ของบ้านนั้นจะต้องหาย แต่ทุกคนก็ไม่โกรธไอ้แก้ว อภัยให้แก้วเสมอ แต่พากันระมัดระวังมากขึ้น หนักเข้าก็ห้ามไม่ให้ไอ้แก้วเข้าบ้าน เพราะทนความมือไวของมันไม่ได้
ในที่สุดไอ้แก้วต้องออกหากินกลางคืน ใครตากผ้าไว้ หรือลืมของนอกบ้าน ไอ้แก้วเก็บเรียบร้อย ปิดประตูหน้าต่างไม่ดี ไอ้แก้วต้องย่องเข้าไปขโมย ทุกคนก็พากันระมัดระวังมากขึ้น
ไอ้แก้วลอยนวลอยู่ได้ ไม่ถูกตำรวจจับ เพราะความสงสารของชาวบ้าน ถ้าไอ้แก้วไม่ขโมยก็ไม่มีเงินให้แม่ แม่ก็จะทุบตีมัน เมื่อไอ้แก้วพากันระมัดระวังอย่างหนาแน่น ไอ้แก้วต้องออกหากินไกลๆ ที่ไม่มีคนรู้จัก
ในที่สุดถูกตำรวจจับจนได้ และติดคุก หลังจากนั้นไอ้แก้วเข้าคุกออกคุกเป็นประจำ เพราะไอ้แก้วเลิกอาชีพนี้ไม่ได้
ต่อมาพ่อแม่ไอ้แก้วพากันย้ายครอบครัวไปอยู่ที่อื่น ก็เลยไม่มีใครพบไอ้แก้วอีกเลยจนบัดนี้ สมจริงตามที่หลวงพ่อพูดไว้ว่า พ่อแม่มันไม่ดี ลูกมันจะดีได้อย่างไร
ต่อมาดิฉันก็พยายามมาเข้ากรรมฐานกับหลวงพ่อที่วัดอัมพวันนี้ทุกปี เพราะดิฉันยังรับราชการอยู่ มีโอกาสลาพักร้อนได้ปีละ ๑๐ วัน หลวงพ่อสอนว่า มาเข้ากรรมฐานต้องกินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ปฏิบัติให้มาก ทุกคนต้องมีสัจจะต่อตัวเอง ทำจริงก็ได้ของจริง ทำไม่จริงก็ได้ของไม่จริง
ดิฉันพยายามทำตามที่หลวงพ่อสอน แต่มันนั่งไม่ได้นาน ปวดตรงหัวเข่าที่สุด เดิน ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง ต่อมาก็เพิ่มเป็นเดิน ๑ ชั่วโมง นั่ง ๒ ชั่วโมง กว่าจะครบ ๒ ชั่วโมง ดิฉันปวดเข่าปวดขามากจนสั่นไปทั้งตัว เหงื่อแตกโซม อยากลุกขึ้นใจแทบขาด กลัวจะเสียสัจจะ จะทนนั่งดูความปวดไปเรื่อยๆ
กำหนดปวดหนอๆ ยิ่งปวดมาก เลยนั่งดูความปวด เดี๋ยวมันก็ค่อยๆ เบา เดี๋ยวมันก็ค่อยๆ ปวดหนักขึ้น หนักขึ้นจนสุดขีด ปวดจนกระทั่งสั่นเหมือนปลา คิดว่าเมื่อไรจะถึง ๒ ชั่วโมงเสียที
สังเกตดูตัวเองว่าถ้ากระวนกระวายใจมาก มันยิ่งปวดมาก ก็เลยเปลี่ยนวิธีใหม่ เป็นนั่งดูเฉยๆ พยายามสะกดกลั้นความปวดไว้ ปล่อยให้มันปวดไป ต้องทนให้ได้ เพราะหลวงพ่อบอกว่า ถ้าผ่านจุดปวดไปได้แล้ว ต่อไปจะไม่ปวด กว่าจะผ่านจุดปวดไปได้ใช้เวลาเป็นปีเลย ถ้าไม่มีความเข้มแข็งอดทน และถ้าไม่มีสัจจะแล้ว ชาติทั้งชาติจะไม่มีทางผ่าน
หลังจากนั้น ดิฉันก็ให้สัจจะว่า จะทานอาหารมื้อเดียว คือ ตอนเพล ตัดมื้อเช้าออกไป ทำให้มีเวลาปฏิบัติมากขึ้น เพราะต้องไม่กังวลกับอาหารมื้อเช้า ไม่นอนกลางวัน ไม่พูดกับใครเป็นเวลา ๗ วัน ไม่สนใจใครทั้งนั้น เดิน ๑ ชั่วโมง นั่ง ๒ ชั่วโมง กำหนดจิตไปเรื่อยๆ ทำให้จิตเป็นสมาธิ สติมั่งคง แน่วแน่ดีมาก
เช้าวันหนึ่ง ประมาณตี ๔ ดิฉันได้ยินเสียงขวดยาเล็กๆ ซึ่งวางไว้ขอบไม้ข้างฝาห้อง ตกลงมากระทบพื้น ดิฉันแปลกใจว่าตกลงมาได้อย่างไร จึงลุกขึ้นเปิดไฟดู ปรากฏมีงูตัวยาวลำตัวเป็นปล้องๆ สีดำสลับขาว เลื้อยอยู่บนขอบไม้นั้น เลื้อยกลับไปกลับมาอย่างรวดเร็ว รู้สึกขนลุกทั้งตัว เพราะไม่คิดว่าจะเป็นงู
ดิฉันมีสติดี ไม่ตกใจ คิดได้ว่าไม่ใช่งูธรรมดาแน่ๆ เพราะห้องนี้ไม่มีทางที่งูจะเข้ามาได้ แม้แต่ยุงยังเข้ามาไม่ได้ ดิฉันพูดกับงูว่า ออกไปจากห้องนี้เสีย เพราะดิฉันกลัว พอดิฉันพูดจบ งูก็ค่อยๆ หายออกไปทางฝาห้อง ปรากฏว่าไม่มีรูที่จะออกเลย แม้แต่เท่ารูเข็ม งูหายออกไปได้อย่างไร ดิฉันรู้สึกสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามใคร เพราะอยู่ระหว่างปฏิบัติ ดิฉันพยายามลืมเรื่องงูเสีย กำหนดลมหายใจไปเรื่อยๆ ยืน เดิน นั่ง ตลอดทั้งวัน
ค่ำวันนั้นประมาณสี่ทุ่มเศษ ดิฉันก็ล้มตัวลงเพื่อจะนอน ก็ได้ยินเสียงขวดยาตกลงมาอีก เหมือนตอนเช้ามืด ดิฉันรู้ว่ามีใครเข้ามาในห้องนี้อีกแน่ แต่คราวนี้ดิฉันไม่กล้าเปิดไฟ เพราะกลัวจะเห็นภาพอื่นที่ไม่ใช่งู ถ้าเป็นงูก็ไม่เป็นไร เพราะเมื่อเช้าเห็นครั้งหนึ่งแล้ว
กลัวอย่างเดียว จะเป็นคนที่หน้าตาไม่สวย เพราะห้องนี้เคยมีคนที่มาอยู่ก่อนหน้าดิฉันจะเข้ามาอยู่ พูดว่า เห็นผู้หญิงสาวนั่งอยู่ในห้องนี้
ดิฉันก็พูดขึ้นดังๆ ในความมืดว่า กรุณาออกไปเสีย ดิฉันกลัว อย่ามาเบียดเบียนดิฉันเลย แต่เขาจะออกไปหรือไม่ ดิฉันไม่ทราบเพราะมันมืดมองไม่เห็น และดิฉันก็ไม่สนใจเขา นอนกำหนดลมหายใจไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหลับไป
เมื่อครบกำหนดเข้ากรรมฐานตามที่ให้สัจจะไว้แล้ว ดิฉันก็นำเรื่องมีงูเข้ามาในห้อง ให้คุณแม่สุ่มทราบ คุณเม่สุ่มบอกว่า เขามาขอส่วนบุญ เมื่อครั้งคุณแม่สุ่มเข้ามากรรมฐานที่กุฏิหลังนี้ งูตัวนี้ก็เข้ามาหาท่านเหมือนกัน
ต่อมาดิฉันมาขอเข้ากรรมฐานอีก ๗ วัน โดยให้สัจจะว่า ทานอาหารมื้อเดียว ไม่นอนกลางวัน ไม่พูดกับใคร คราวนี้ได้ผลอีก
คืนหนึ่งประมาณสี่ทุ่มเศษ ดิฉันยังไม่นอน ฝนตกพรำๆ ตั้งแต่พลบค่ำแล้ว มองลอดหน้าต่างไปดูกุฏิหลังอื่น เห็นมืดสนิททุกหลัง เงียบเชียบ ไม่มีเสียงอื่นใด นอกจากเสียงฝนตก
ขณะที่กำลังนั่งอยู่ คิดว่าอีกสักครู่จะนอน ก็ได้ยินเสียงมีของแข็งมาเคาะหลังคา ซึ่งเป็นสังกะสี ดังปังๆ ๆ เดี๋ยวเคาะมุมโน้น เดี๋ยวเคาะมุมนี้ ดังปังๆ ๆ รอบหลังคา เดี๋ยวก็ย้ายลงมาเคาะบานหน้าต่างซึ่งเปิดแง้มไว้ เดี๋ยวก็ย้ายขึ้นไปเคาะบนหลังคา
คิดว่าเขาจะมาไม้ไหนกับเราหนอ นั่งดูอยู่ประมาณ ๑๐ นาที นอนดีกว่า ไม่สนใจแล้ว อยากเคาะก็เคาะไป นอนฟังเขาเคาะไปเรื่อยๆ
ใกล้จะหลับพอเคลิ้มๆ ปรากฏว่า แม่ดิฉันซึ่งเสียชีวิตไปแล้วเข้ามาหา ดิฉันก็พูดว่า แม่นั่นเอง นึกว่าใครมาเคาะหลังคา แม่บอกกับดิฉันว่า แม่ไม่มีบ้าน ต้องเช่าบ้านเขาอยู่ เงินก็ไม่มีใช้ ต้องทำงานแลกเงินเขา พูดแล้วแม่ก็หยิบเงินซึ่งซุกอยู่ในเอวปึกหนึ่งมาส่งให้ดิฉัน บอกว่าเป็นเงินที่รับจ้างเขาทำงานได้
ดิฉันสังเกตดูเป็นธนบัตรเหมือนธนบัตรของคนสิบสองปันนาใช้กัน พร้อมกับส่งหนังสือให้กับดิฉันเล่มหนึ่งเล่าใหญ่และหนา รู้สึกว่าจะเป็นหนังสือธรรมะ ตัวอักษรมีลักษณะเหมือนตัวอักษรของคนไทยสิบสองปันนาใช้กัน คล้ายๆ อักษรธรรม ภาพหน้าปกมีรูปเด็กผู้หญิงตัวผอมๆ ซีดๆ ยืนอยู่กับกองชิ้นส่วนของมนุษย์ ซึ่งถูกสับเป็นท่อนๆ วางอยู่
ดิฉันก็พูดกับแม่ว่า เอาคืนไปเถอะแม่ เงินนี้ลูกใช้ไม่ได้ และหนังสือก็อ่านไม่ออก แล้วลูกจะทำบุญส่งไปให้ ก่อนจากไปแม่ขอจับมือดิฉัน ครั้งแรกดิฉันไม่ยอมให้แม่จับ ดิฉันบอกแม่ว่า เราอยู่คนละภพจับกันไม่ได้ แม่บอกว่าจับได้ และอ้อนวอนขอจับมือดิฉันให้ได้ ดิฉันสงสารแม่มาก ส่งมือให้แม่จับ หลังจากนั้นก็รู้สึกเหมือนแม่ติดตามดิฉันอยู่ตลอดเวลา
การที่แม่มาหาดิฉัน เล่าความทุกข์ของแม่และส่งเงินให้ดิฉัน พร้อมกับหนังสือธรรมะนั้น ดิฉันไม่ทราบว่า หมายความว่าอย่างไร เมื่อดิฉันออกจากกรรมฐานแล้ว ไม่มีโอกาสได้กราบเรียนถามหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อกำลังป่วยอยู่ และดิฉันก็รีบกลับบ้าน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ราชการต่อไป และก็ไม่ได้เรียนถามหลวงพ่ออีกเลย
หลังจากนั้น ดิฉันก็ได้สร้างกุฏิกรรมฐานถวายวัดอัมพวันหนึ่งห้อง เป็นเงินสองหมื่นห้าพันบาท อุทิศส่วนกุศลไปให้ทั้งแม่และพ่อ และไปสร้างกุฏิสำหรับพระภิกษุเป็นเรือนไม้ทรงไทยหนึ่งหลัง ถวายวัดป่าอรัญญิ-กาวาส ต.บ้านผือ อ.บ้านผือ จังหวัดอุดรธานี มีพระครูภาวนาจิตสุนทร เจ้าคณะอำเภอบ้านผือ (ธรรมยุต) เป็นเจ้าอาวาส อุทิศส่วนกุศลไปให้พ่อกับแม่ พร้อมกับทำบุญถวายสังฆทานและทำบุญบังสุกุลไปให้อีกหลายครั้ง
ทำให้ดิฉันระลึกถึงพระคุณของหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณเป็นอย่างมาก ที่แนะนำให้ดิฉันเข้ากรรมฐาน จนกระทั่งสามารถติดต่อกับแม่ของดิฉันซึ่งล่วงลับไปแล้วได้
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่ดิฉันเข้ากรรมฐาน กำหนดลมหายใจเข้าออกอยู่ พอจิตรวม ดิฉันเห็นภาพนายทหารใส่ชุดใหญ่สีแดง มีเหรียญตราติดเต็มหน้าอก ใบหน้าของท่านสวยงาม สักครู่ภาพนั้นหายไป กลับเป็นภาพหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณแล้วก็หายไปอีก
หูแว่วๆ ว่าดิฉันเคยอยู่ที่นี่มาก่อน พอได้ยินเท่านั้น ดิฉันก็ร้องไห้ สักครู่ได้ยินเสียงดนตรีไทยบรรเลงเพลงโศก คล้ายเสียงระนาด เสียงปี่ เสียงซอ ดังโหยหวนคร่ำครวญมา รู้สึกว่าน้ำตามันไหลออกมามาก กลั้นอย่างไรก็ไม่หยุด อยากแต่จะร้องไห้ จนกระทั่งสะอึกสะอื้น น้ำมูกก็ไหล น้ำตาก็ไหล หน้าอกเสื้อเปียกปอนหมด อยากร้องไห้ให้มันดังๆ ให้สาแก่ใจ
นั่งร้องไห้อยู่พักใหญ่ ได้ยินเสียงกลองพระฉันเพลดังตุมๆ ขึ้น ดิฉันก็ออกจากสมาธิ ถ้าขืนนั่งต่อไปต้องร้องไห้ตาบวมแน่ ดิฉันไม่ทราบว่าทำไมถึงร้องไห้มากมายขนาดนั้น เนื่องจากดิฉันไม่ได้ทานอาหารเช้า จึงรีบล้างหน้าและออกไปทานอาหารมื้อเพล
คืนนั้นหลวงพ่อเรียกผู้ที่มาเข้ากรรมฐานทุกคนไปสอบอารมณ์ที่หอประชุม และได้สอบถามผลการปฏิบัติของดิฉันดิฉันก็เรียนเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับดิฉันให้ท่านทราบ
ท่านก็สอนว่า ให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน เรื่องอดีตและอนาคตอย่าเก็บมาคิด ให้จิตรู้อยู่กับตัว อย่าส่งจิตออกไปข้างนอก และท่านได้เมตตาสอนเกี่ยวกับการปฏิบัติ พร้อมทั้งยกตัวอย่างให้ฟัง ทำให้มีความรู้เพิ่มขึ้นอีกมาก พวกเราที่เข้ากรรมฐานทุกคนรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของหลวงพ่ออย่างมาก
ทุกครั้งที่ดิฉันมาเข้ากรรมฐาน ถ้าตั้งใจจริง ไม่เสียสัจจะต่อตัวเองแล้ว ก็มักจะมีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นเสมอ บางครั้งขณะเดินจงกรมอยู่ (เดินจงกรมทำให้จิตเป็นสมาธิได้เร็ว) ดิฉันจะได้ยินเสียงพระสวดมนต์ดังอยู่บนอากาศ ดิฉันก็หยุดเดิน ตั้งใจเงี่ยหูฟังว่า เสียงพระสวดมาจากไหน เสียงก็หายไป พอเดินใหม่ จิตเป็นสมาธิก็ได้ยินเสียงพระสวดมนต์อีก รู้สึกเยือกเย็นและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
การทำบุญปฏิบัติธรรม สามารถลดกรรมที่ตัวเองทำไว้ได้มาก ก่อนนี้ดิฉันเคยทุบหัวปลาช่อนเพื่อใช้ประกอบอาหารจำนวนหลายตัว เพราะดิฉันมีหน้าที่ทำครัว ครั้งแรกดิฉันก็กลัวบาป ไม่กล้าทำ ใครๆ ก็พูดว่า ทำไปเถอะ ไม่บาปเพราะปลาเกิดมาเป็นอาหารของคน
ต่อมาเมื่อถึงคราวที่กรรมให้ผล ดิฉันเริ่มปวดศีรษะทุกวัน ซึ่งก่อนนี้ดิฉันไม่เคยปวดศีรษะเลย ครั้งแรกๆ จนปวดตอนพลบค่ำทุกวัน ชาวบ้านบอกว่าเป็นลมตะกัง ซึ่งมักจะปวดตอนพลบค่ำ หลังจากนั้นก็จะเพิ่มเวลาปวดขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งปวดตลอดวันทุกวัน ทรมานที่สุด เหมือนกับลูกโป่งที่ถูกเป่าจนแทบจะแตก รู้สึกเหมือนศีรษะจะระเบิด นัยน์ตาจะถลนออกมา ที่ต้นคอก็เหมือนมีคีมเหล็กมาหนีบไว้อย่างแรง
ไปหาหมอ หมอตรวจแล้ว บอกว่าตัวไม่ร้อน ไม่มีไข้ ความดันปกติ หัวใจก็เต้นปกติ ไม่เป็นอะไร ดิฉันก็บอกว่า ขณะนี้ดิฉันกำลังปวดศีรษะแทบจะแตกแล้ว ขอได้โปรดจ่ายยาให้ดิฉันไปทานแก้ปวดด้วย หมอก็หาว่าดิฉันเป็นโรคอุปาทาน คือไม่เป็นอะไร แต่คิดว่าตัวเองเป็นโน่น เป็นนี่ หมอให้ยาไม่ถูก
ดิฉันหมดปัญญาที่จะให้หมอเชื่อ ก็ไปร้านขายยาซื้อยาทัมใจมาทานเอง (สมัยนั้นยาแก้ปวดยังไม่มีแพร่หลายมากเหมือนสมัยนี้) พอทานยาทัมใจแล้วรู้สึกหายปวด แต่พอหมดฤทธิ์ยาก็ปวดอีก ดิฉันก็ทานยาทัมใจอีก วันหนึ่งๆ ทานยาทัมใจหมดไปหลายซอง ทานมากๆ บางครั้งยาบีบหัวใจ หัวใจเต้นเร็วมาก หน้ามืดเหมือนกับจะเป็นลม ต้องนั่งพักผ่อนสักครู่
ดิฉันซื้อยาทัมใจครั้งหนึ่งๆ เป็นร้อยซอง เพราะจะได้ไม่ต้องไปซื้อบ่อยๆ คนขายสงสัยว่า ดิฉันซื้อไปทำไมทีละมากๆ เพื่อนๆ รู้ก็ห้ามไม่ให้ทาน หาว่าดิฉันติดยาทัมใจเหมือนติดยาเสพติด เขาไม่รู้หรอกว่าดิฉันไม่ได้ติดยาทัมใจ แต่จำเป็นต้องทาน เพราะมันปวดศีรษะแทบจะแตก
ปวดเบ่งเหมือนดวงตาจะทะลักออกมานอกเบ้า ที่ต้นคอก็ปวดมาก เหมือนมีคีมมาหนีบอย่างแรง และหนักศีรษะเหมือนถูกกดให้ต่ำลง ทุกครั้งที่ทานยาทัมใจมันจะหายไปชั่วคราว เพราะฉะนั้นดิฉันจึงจำเป็นต้องทาน เขาบอกว่า นั่นแหละคืออาการของคนติดยาเสพติด
ดิฉันทราบว่า การเจ็บปวดครั้งนี้ มาจากกรรมที่ดิฉันเคยทุบหัวปลาช่อนแน่นอน ดิฉันก็เลิกเบียดเบียนชีวิตสัตว์ ไม่ซื้อสัตว์มีชีวิตมาปรุงอาหารอีกเลย พยายามทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ และซื้อปลาช่อนจากตลาดไปปล่อยที่แม่น้ำประจำ หมั่นนั่งสมาธิภาวนา อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
ถึงคราวจะหาย ก็หายปวดไปโดยไม่รู้สึกตัว ไม่ได้ไปรักษาที่ไหนก็หายไปเอง สังเกตดูตัวเองว่าหายปวดแน่แล้วหรือ มันก็ไม่ปวด แสดงว่าหมดกรรมจากปลาช่อนแล้ว นี่คือผลจากการทำบุญปฏิบัติธรรม
ขณะนี้ดิฉันก็ซื้อปลาช่อนมาปล่อยอยู่เสมอ แต่เป็นที่น่าเสียใจอยู่ว่าเวลานี้ แม่น้ำเจ้าพระยาที่กรุงเทพมหานครเน่าเสียหมดแล้ว เพราะฝีมือพวกมนุษย์มักง่ายเห็นแก่ตัว ไม่สามารถปล่อยปลาลงไปได้ ขืนปล่อยลงไปก็ตายหมด จำเป็นต้องไปปล่อยตามต่างจังหวัดที่น้ำยังไม่เน่าเสีย
หลังจากใช้กรรมที่ทำไว้กับปลาช่อนหมดแล้ว ดิฉันก็มารับกรรมจากการตีแมวอีก ดิฉันเคยตีแมวนานมาแล้ว ตั้งแต่ยังไม่มาเข้ากรรมฐาน สาเหตุเพราะแมวชอบมาขโมยปลาที่ดิฉันทอดไว้เสมอๆ
วันนั้นดิฉันเห็นแมวกำลังก้มหน้าก้มตา กินปลาอยู่บนโต๊ะอาหาร ซึ่งทำไว้ใหม่ๆ ดิฉันก็ใช้ไม้ขัดหม้อข้าวตีไปที่หลังแมวอย่างแรงเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น แมวร้องด้วยความเจ็บปวดแล้ววิ่งหนีไป
ดิฉันเห็นดังนั้นก็รู้สึกเสียใจและสงสารมันมากที่ตีมันแรงไป และคิดในใจว่า ขอโทษนะแมว ต่อไปฉันจะไม่ทำอย่างนี้อีก ตั้งแต่นั้นมา ดิฉันก็ไม่เคยตีแมวอย่างนี้อีกเลย
แต่เมื่อก่อกรรมแล้ว ก็ต้องได้รับผลของกรรมเป็นธรรมดา ทำให้ดิฉันมีโรคใหม่เกิดขึ้นอีก คือ โรคปวดหลัง มันปวดรวดร้าวไปถึงตะโพก หัวเข่า และขา ตลอดถึงข้อเท้า จะนั่งจะลุกแสนจะลำบาก เวลาเดินก็ต้องลากขาเดิน
ปวดมากจนกระทั่งนั่งทำวัตรสวดมนต์ไม่ได้ ต้องยืนทำวัตรสวดมนต์ ถึงกับร้องไห้ออกมาเสียใจว่า ทำไมเราจึงต้องมารับกรรมมากขนาดนี้ ก็รู้แน่นอนว่ากรรมเพราะเราเคยตีแมวที่หลัง จึงปวดหลังตรงกับที่แมวตีพอดี
ไปหาหมอเอ็กซ์เรย์ดู ปรากฏว่ากระดูกอ่อนที่สันหลังมันแตกออกมาแทงเส้นประสาท หมอบอกว่าต้องผ่าตัด ดิฉันกลัวการผ่าตัด ก็ถามหมอว่าขอยาไปทานแทนการผ่าตัดจะได้ไหม
หมอบอกว่ามีทางหายทางเดียว คือต้องผ่าตัด ไม่เช่นนั้นจะต้องปวดทรมานไปจนตลอดชีวิต
ดิฉันหมดหนทางหลีกเลี่ยง จึงจำใจให้หมอผ่าตัด และตัดกระดูกที่มันโผล่ออกมาแทงเส้นประสาทออก ก็หายปวดเหมือนปลิดทิ้ง ทำให้มีสุขภาพแข็งแรงสบายดีอยู่หลายปี มาจนถึงขณะนี้
ขณะที่กำลังเขียนหนังสืออยู่นี้ รู้สึกว่าโรคปวดหลัง ปวดเข่า กลับมาเริ่มปวดอีก เดี๋ยวปวด เดี๋ยวหาย สงสัยว่ากรรมจากการตีแมวคงจะไม่หมดง่ายๆ อาจจะต้องเข้าผ่าตัดกระดูกอีกเป็นครั้งที่สอง
เขาเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉาน เราตีเขาทีเดียว แต่เราต้องมารับกรรมทรมานนานนับเป็นสิบปี แล้วบางท่านที่ทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเล่า กรรมจะขนาดไหน เห็นแล้วรู้สึกหวาดกลัวและขนพองสยองเกล้าจากผลกรรมแทนเขาเหลือเกิน ตราบใดที่ท่านยังไม่ประสบกับตัวเอง ท่านจะไม่มีวันรู้รสของความทุกข์ทรมานเป็นอันขาด
พระพุทธเจ้าท่านจึงทรงให้เลิกกระทำบาปทั้งปวงให้บำเพ็ญกุศลให้มาก เพราะนรกมีอยู่จริง สวรรค์ นิพพานก็มีจริง ไม่ต้องสงสัย ถ้าผู้ใดยังสงสัยว่านรก สวรรค์ นิพพานมีจริงหรือไม่ ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น ก็อย่าพึงไปกล่าวว่ามันไม่มี
ถ้าตราบใดที่ความโลภ ความโกรธ ความหลง ตัณหา ราคะ ยังมีอยู่ในตัวคน นรก สรรค์ พระนิพพาน ก็ต้องมีจริง หรือหากผู้ใดยังสงสัยอยู่ ก็จงฝึกหัดปฏิบัติจิตให้เดินตามวิปัสสนากรรมฐานตามพระพุทธบัญญัติก็จะได้รู้ ได้เห็น ด้วยตนเองว่า นรก สวรรค์ พระนิพพาน ที่พระพุทธเจ้ากล่าวบัญญัติไว้นั้นมีอยู่จริง ผลแห่งกรรมมีจริง ผู้ใดกระทำกรรมอันใดไว้ ก็ต้องได้รับผลของกรรมนั้นสืบไป
นักเรียน นักพูดนั้น ให้เรียน ให้พูดไปจนวันตาย ก็ไม่รู้ ไม่เห็น ยิ่งเรียนยิ่งเป็นวิจิกิจฉา (สงสัย) เพราะธรรมปฏิบัติจิตนี้ไม่ใช่เล่าเรียน ท่องบ่น จำเอามาพูด มาคุย อวดอ้างว่าตนรู้ ตนเห็น โดยนึกเดาเอาเอง เพราะธรรมยังไม่บังเกิดในตน ยังไม่มีในตน ว่ามีในตนนั่นเอง จึงไม่เห็นบุญ ไม่เห็นบาป เห็นภพ เห็นชาติ เห็นนรก สวรรค์ พระนิพพาน ตามพระพุทธบัญญัติ ไม่รู้กระทั่งวิญญาณของตนที่เวียนว่ายตายเกิด เพราะขาดจากวิธีปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
เสียดาย กาลเวลาผ่านพ้นจนแก่แล้ว
เสียดาย แคล้วคลาดธรรมที่คลำหา
เสียดาย ตนพ้นหนุ่มพุ่มชรา
เสียดาย เวลาลับไม่กลับคืน
เมื่อวัยหนุ่ม ลุ่มหลงสู่ดงรัก
เฝ้าแต่งองค์ วงพักตร์ให้งามชื่น
ลืมวันนี้ พรุ่งนี้มีมะรืน
จนดึกดื่น เที่ยวเตร่สรวลเสกัน
ลืมธรรมะ ละกิเลสเหตุเกิดทุกข์
แสนสนุก ตามตัณหาว่าสุขสันต์
หลงวัตถุ มุหะจิตติดอธรรม์
สำนึกพลัน พลังน้อยคอยแต่ตาย
ขจี เลิศดิลก
๒๒๐๓ ซ.วัดอนงค์ ถ.สมเด็จฯ
แขวงสมเด็จฯ เขตคลองสาน
กรุงเทพมหานคร ๑๐๖๐๐