วิปัสสนาพัฒนาชีวิต
โดย ร.อ.หญิง สุชาวดี ไชยยันบูรณ์
เรือเอกหญิง สุชาวดี ไชยยันต์บูรณ์ ประจำแผนกบัญชีทุน กองแผนและโครงการ กรมอู่ทหารเรือ บิดาชื่อ นายชาญ มารดาชื่อ นางผ่องศรี ไชยยันต์บูรณ์ เป็นบุตรคนโตของคุณพ่อคุณแม่ มีน้องสาว ๑ คน ชื่อ น.ส. พัฒนศรี ไชยยันต์บูรณ์ และน้องชาย ๑ คน ชื่อ นายศิริชัย ไชยยันต์บูรณ์ ที่อยู่คือ บ้านเลขที่ ๘ ซอยนภาทรัพย์ สุขุมวิท ๓๖ พระโขนง กรุงเทพฯ ๑๐๑๑๐
ดิฉันยังจำวันแรกที่ดิฉันมากราบนมัสการหลวงพ่อจรัญ หรือพระภาวนาวิสุทธิคุณ ที่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรีได้ ประมาณปี พ.ศ.๒๕๒๔
ตอนนั้นครอบครัวของดิฉันประสบเคราะห์กรรมอย่างหนัก คุณพ่อและคุณแม่ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรกับปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้ดิฉันและน้องๆ รู้สึกกลุ้มใจมาก แต่อาจเป็นเพราะผลบุญจากการทำบุญใส่บาตร และสวดมนต์ไหว้พระทุกๆ วัน จึงดลบันดาลใจให้ครอบครัวของดิฉันมาที่วัดนี้
เริ่มต้นด้วยคุณแม่อ่านพบเรื่องของหลวงพ่อจรัญ และวัดอัมพวัน จากหนังสือ “คนพ้นโลก” คุณแม่บอกว่าอยากมาวัดนี้มาก และเมื่อพวกเราได้อ่านกันก็มีความคิดเช่นเดียวกับคุณแม่ว่าควรจะมากราบนมัสการหลวงพ่อและลองปรึกษาเรื่องปัญหานี้กับท่านดู ท่านคงจะชี้ทางแก้ปัญหาให้กับพวกเราได้บ้าง ดังนั้นพวกเราจึงพร้อมใจกันมาวัดอัมพวัน
พอพวกเราเข้าไปกราบนมัสการหลวงพ่อ ท่านก็ทักว่าโยมมีเรื่องเดือดร้อนใช่ไหม คุณพ่อก็ยอมรับ และกราบเรียนท่านถึงปัญหาที่ครอบครัวของเราประสบอยู่
กล่าวคือ คุณพ่อของดิฉันทำงานเกี่ยวกับการเดินเรือรับส่งสินค้าระหว่างประเทศ ช่วงแรกๆ กิจการก็ดำเนินไปด้วยดี ต่อมาคุณพ่อจึงตั้งบริษัทขึ้นมาอีกบริษัทหนึ่ง งานก็ทำท่าจะไปได้ดี เพราะมีการติดต่อจากเจ้าของสินค้า จะให้บริษัทเราเป็นผู้ส่งสินค้าให้ แต่พอตกลงเรื่องค่าขนส่ง จะต้องมีอันพลาดงานไปทุกครั้ง
ปรากฎว่าไม่มีงานเข้าบริษัทสักชิ้นเดียว เป็นเวลาเกือบ ๓ ปี ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นทุกที ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าสำนักงาน ค่าโทรศัพท์ ค่าเทเล็กซ์ ค่าลูกจ้างในบริษัท ซึ่งรายได้ที่จะนำมาจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไม่มีเลย ต้องชักทุนออกมาเป็นค่าใช้จ่ายทุกๆ เดือน
แต่คุณพ่อยังไม่ยอมแพ้ เที่ยวไปกู้หนี้ยืมสิน เพราะหวังว่าสักวันหนึ่งเราจะได้งานบ้าง แต่ยิ่งลงทุนเหมือนกับว่าทุนนั้นจมหายไปเปล่าๆ โดยไม่ได้ผลตอบแทน จนกระทั่งทรัพย์สินที่เรามีอยู่ค่อยๆ หมดลง ประกอบกับคุณพ่อนำเงินไปลงทุนเหมืองแร่ที่สุโขทัย และถูกโกงอีก จึงเหมือนกับสิ้นเนื้อประดาตัว ตอนนั้นครอบครัวของเราอยู่อย่างฝืดเคืองมาก อย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน
หลวงพ่อนั่งนิ่งสักพักแล้วก็พูดขึ้นมาว่า
“ดีแล้วนะโยม ที่โยมไม่ได้งานพวกนี้ ถ้าได้งาน โยมจะรวยเป็น ๑๐ – ๒๐ ล้าน แต่มันเป็นทุกขลาภ โยมอย่าเอาเลยนะ ถ้ารวยแล้วตายไปคนหนึ่ง โยมจะเอาไหมล่ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก โยมอย่าไปเลิกกิจการก็แล้วกัน ต่อไปจะดีเอง รับงานไม่ไหวเลยละ แต่ต้องรอเวลาหน่อยนะ อาตมาจะแผ่เมตตาช่วยให้”
แล้วหลวงพ่อก็มองมาที่ดิฉันและน้องสาว และพูดว่า “ลูกๆ ของโยมก็ดีนะ ต่อไปจะได้ดี เป็นใหญ่เป็นโต” และท่านก็แนะนำให้ดิฉันกับน้องสาวมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วัดอัมพวัน
ดิฉันและน้องสาว ตามปกติก็สนใจทางด้านนี้พอสมควร เพราะเราติดตามคุณยายเข้าวัดตั้งแต่เด็กๆ แต่ก็ยังไม่เคยเรียนนั่งกรรมฐานวิปัสสนาอย่างจริงจังเลย ดิฉันและน้องสาวก็รับปากกับหลวงพ่อว่า จะหาเวลามาเจริญกรรมฐานที่วัดอัมพวัน แต่ติดว่าช่วงนั้นดิฉันต้องเรียนหนังสือต่อให้จบก่อน เพราะเหลืออีกไม่กี่วิชา ดิฉันก็จะสำเร็จปริญญาตรีทางบัญชีจากมหาวิทยาลัยรามคำแหงแล้ว
ในปีพ.ศ.๒๕๒๕ ดิฉันได้สอบภาคการศึกษาสุดท้ายสำเร็จ แต่ไม่แน่ใจว่าสอบผ่านหมดทุกวิชาหรือไม่ ดิฉันรู้สึกกระวนกระวายใจมาก เพราะอยากรีบจบเร็วๆ และรีบหางานทำ เพื่อจะได้ไม่เป็นภาระของคุณพ่อคุณแม่ และยังสามารถช่วยเหลือทางบ้านได้ด้วย เพราะน้องๆ อีก ๒ คนกำลังเรียนหนังสือ
งานที่บริษัทของคุณพ่อที่เปิดใหม่ก็แย่ลงทุกทีๆ จนในที่สุดก็ปิดกิจการแห่งนี้ลง แต่ก็ยังเหลืออีกแห่งหนึ่ง ซึ่งคุณพ่อของดิฉันยึดถือคำพูดของหลวงพ่อไว้ว่าอย่าเลิกกิจการ ให้ทนทำไปแล้วจะดีขึ้นเอง
ช่วงนั้นดิฉัน น้องสาว และพี่สาวซึ่งเป็นลูกของคุณลุงว่างพอดี ซึ่งปรึกษากันว่าเราน่าจะมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามที่หลวงพ่อได้เคยแนะนำไว้
พวกเราจึงชวนกันมาที่วัดอัมพวัน ถือศีล ๘ และเริ่มปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน โดยมีคุณยายซึ่งอายุมากแล้วมาปฏิบัติด้วย คุณยายสุ่ม ทองยิ่ง เป็นผู้สอนให้
พวกเราปฏิบัติอยู่ ๑ สัปดาห์ รู้สึกจิตใจเบาสบายและสงบอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน พอกลับมาจากวัดก็ได้นำมาปฏิบัติที่บ้านด้วยเป็นประจำ
เมื่อมีการประกาศผลสอบภาคสุดท้าย คือ ประมาณต้นปี ๒๕๒๖ ปรากฏว่าดิฉันสอบผ่านหมดทุกวิชา ดิฉันดีใจมาก เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องรบกวนค่าลงทะเบียนจากทางบ้าน ตอนนี้ก็เหลือแต่หางานทำให้ได้เท่านั้น
ดิฉันภาวนาขอให้ได้ทำงานดีๆ มีเกียรติอยู่เสมอ ซึ่งดิฉันก็โชคดีที่ได้เพื่อนของคุณแม่ท่านหนึ่ง เมตตาดิฉัน ช่วยฝากให้เข้าทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวในบริษัท คอลเกตปาล์มโอลีฟ จำกัด
เดือนแรกที่ดิฉันได้รับเงินเดือน ดิฉันได้ แบ่งเงินออกเป็น ๓ ส่วน ส่วนแรกแบ่งไว้ทำบุญ ส่วนที่สองให้คุณแม่ไว้เป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน ส่วนที่สามเก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว ดิฉันทำงานอยู่ที่นี่ได้ประมาณ ๓ เดือน
ต่อมากองทัพเรือได้ประกาศรับสมัครบุคคลเข้ารับราชการ รู้สึกว่าจะเป็นเดือนมีนาคม ๒๕๒๖ ซึ่งดิฉันไม่ทราบเรื่องเลย แต่ทางบ้านคุณลุงโทรศัพท์มาบอกที่บ้านของดิฉันไว้ ให้รีบไปสมัคร เพราะเหลืออีก ๒ วันเท่านั้นก็จะปิดรับสมัครแล้ว
ดิฉันกลุ้มใจมาก เพราะเพิ่งทราบผลการสอบได้ไม่นานนัก หลักฐานการจบและใบรับรองผลการเรียน (Transcript) ก็ยังไม่มี ก่อนนอนคืนนั้น ดิฉันจึงอธิษฐานจิต ขอให้ท่านช่วยให้ดิฉันสมัครและสอบเข้ารับราชการได้
ในวันรุ่งขึ้นดิฉันก็ไปสมัคร โดยมีหลักฐานเพียงแค่บัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านเท่านั้น ใบรับรองผลการเรียนและหลักฐานอื่นๆ ตามที่ทางราชการกำหนดก็ไม่มี เจ้าหน้าที่จึงไม่ให้ดิฉันสมัคร
ดิฉันเสียใจมาก คิดว่าเราคงไม่มีโอกาสสมัครแน่แล้ว เพราะกว่าจะได้หลักฐานต้องใช้เวลามากกว่า ๑ สัปดาห์ เหลืออีก ๑ วัน ทางราชการจะปิดรับสมัครอยู่แล้ว
ดิฉันเดินคอตกกลับบ้านเล่าให้คุณแม่ฟัง พอดีเพื่อนของคุณแม่ ซึ่งดิฉันเคารพนับถือมากอีกท่านหนึ่ง มาหาคุณแม่ พอท่านได้ฟัง ท่านบอกว่าไม่ต้องตกใจ เพราะป้ารู้จักเจ้าหน้าที่ ที่ทำหน้าที่ออกใบรับรองผลการเรียนและหลักฐานต่างๆ
คุณป้าจึงเขียนจดหมายและแนะนำให้ดิฉันไปพบกับเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยคนนี้ ดิฉันแปลกใจมากที่พอไปหาเจ้าหน้าที่คนนี้ แล้วก็ยื่นจดหมายให้ พร้อมพูดกับขอร้องให้เขาเห็นใจดิฉัน เขาก็จัดการออกหลักฐานและเอกสารต่างๆ ให้กับดิฉันทันที โดยไม่รอช้าเลย ดิฉันจึงกลับไปสมัครใหม่อีกครั้งหนึ่งในวันสุดท้าย ซึ่งก็สามารถสมัครได้ทันเวลาพอดี
พอถึงกำหนดวันสอบ คือ ประมาณเดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๒๖ ดิฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะจำนวนของผู้สมัครสอบในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การเงิน มีเป็นร้อยๆ คน แต่ตำแหน่งที่จะรับมีเพียง ๑๖ ตำแหน่งเท่านั้น ดิฉันได้แต่กลัวว่าจะสอบไม่ได้ รู้สึกท้อแท้ใจมาก
แต่แล้วอยู่ๆ ก็นึกถึงหลวงพ่อ ที่ท่านสอนให้กำหนดจิตให้เป็นสมาธิ แล้วจะเกิดปัญญาขึ้นมาเอง ดังนั้นตอนเข้าห้องสอบ ดิฉันจึงไม่รู้สึกตื่นเต้น และทำข้อสอบได้อย่างมั่นใจ
หลังจากนั้นอีก ๔ เดือน ทางราชการก็ประกาศผลสอบ ปรากฎว่าดิฉันสอบผ่านข้อเขียน แต่ก็เหลือสอบสัมภาษณ์และตรวจโรค ซึ่งดิฉันก็เกิดความไม่แน่ใจอีก เพราะผู้สอบผ่านข้อเขียนมีถึง ๔๐ คน แต่ต้องการเพียง ๑๖ คนเท่านั้น
พอถึงวันสอบสัมภาษณ์ ดิฉันจึงทำสมาธิก่อนเข้าสอบ ปรากฎว่าได้สอบกับเจ้าหน้าที่ที่เป็นกันเอง และรู้สึกเขาจะเมตตาต่อดิฉันมาก ชวนคุยมากกว่าเป็นการสัมภาษณ์อย่างจริงจัง ไม่รู้สึกว่ามีความเครียดเลย
หลังจากนั้นก็มีการตรวจโรค แล้วจึงประกาศผลสอบรอบสุดท้าย ปรากฎว่า ๑ ใน ๑๖ ตำแหน่งนั้น มีชื่อของดิฉันรวมอยู่ด้วย ดิฉันดีใจมาก
ในที่สุดดิฉันก็ได้งานที่มีเกียรติตามที่ได้อธิษฐานไว้ โดยได้เข้ารับราชการเมื่อต้นปี ๒๕๒๗ และได้รับพระราชทานแต่งตั้งยศ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้เป็นว่าที่เรือตรีหญิงแห่งราชนาวีไทย ดิฉันปลื้มใจมาก คุณพ่อและคุณแม่ก็ภูมิใจ และปลื้มใจไปกับดิฉันด้วย
ดิฉันและครอบครัวเชื่อมั่นและศรัทธาหลวงพ่อมาก เพราะท่านได้แนะแนวทางที่ดีให้กับครอบครัวของเรา ถ้าดิฉันสามารถปลีกเวลากจากการทำงานได้ ดิฉันและน้องสาวจะมาถือศีล ๘ และเจริญวิปัสสนากรรมฐานที่วัดอัมพวันเสมอ ปรากฏว่ามีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับชีวิตของดิฉันมากมายเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจมาก
เมื่อประมาณต้นปี พ.ศ.๒๕๓๒ ดิฉันสอบชิงทุนของกองทัพเรือ เพื่อไปศึกษาอบรมและดูงานทางด้านการเงินของกองทัพบกสหรัฐฯ ได้ ๒ หลักสูตร คือ หลักสูตร FINANCE OFFICER BASIC COURSE และหลักสูตร RESOURCE MANAGEMENT INTRODUCTORY COURSE โดยมีกำหนดเดินทางในเดือนสิงหาคม ดิฉันรู้สึกวางใจว่าจะต้องได้ไปแน่นอน เหลือเพียงต้องสอบผ่านข้อเขียนภาษาอังกฤษที่ JUSMAG-THAI ให้ผ่านเกณฑ์เท่านั้น
ดิฉันได้ไปหาหมอดู หมอดูบอกว่าดิฉันไม่มีดวงเดินทางไปต่างประเทศหรอก ดิฉันยังนึกขำอยู่ในใจ ก็ในเมื่อเราสอบได้แล้ว ทำไมจะไม่มีทางได้ไปล่ะ หมอดูคนนี้ใช้วิชาเดาแน่ๆ เลย ดิฉันก็ไม่สนใจแล้ว
แต่แล้วประมาณเดือนพฤษภาคม ดิฉันแทบช็อค เพราะได้รับข่าวจากหน่วยงานที่ดำเนินงานเกี่ยวกับเรื่องทุนนี้ว่า เสียใจด้วยที่ต้องเสนอทุนที่ดิฉันสอบได้นี้ ขึ้นไปให้ทร. พิจารณาตัดงบประมาณ เนื่องจากทุนที่ดิฉันได้รับนี้มีคนไปมาแล้วหลายคน จะได้นำงบประมาณนี้ไปพิจารณาใช้สนับสนุนงานด้านอื่นของกองทัพต่อไป
ดิฉันเสียใจมาก หรือดวงของเราเป็นไปตามที่หมอดูทำนายไว้จริงๆ เมื่อกลับมาถึงบ้าน ดิฉันก็ได้ปรับทุกข์กับคุณแม่ คุณแม่เตือนสติให้นึกถึงหลวงพ่อ คืนวันนั้นดิฉันได้ทำสมาธิและอธิษฐานจิตถึงหลวงพ่อ ขอให้หลวงพ่อแผ่เมตตาช่วยให้ดิฉันได้ไปศึกษาที่สหรัฐอเมริกาด้วย
ต่อมาประมาณเดือนตุลาคม ดิฉันก็ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่คนเดิม ที่ดำเนินการเรื่องทุนนี้ แจ้งให้ดิฉันทราบว่า ดิฉันต้องไปสอบที่ JUSMAG-THAI ดิฉันขนลุกซู่ด้วยความปีติ เพราะนั่นหมายความว่าดิฉันมีโอกาสได้เดินทางไปสมหรัฐอเมริกาแล้ว ช่างน่าอัศจรรย์แท้ทีเดียว
ดังนั้นเมื่อดิฉันสอบผ่านข้อเขียนภาษาอังกฤษของ JUSMAG-THAI แล้ว ดิฉันจึงเตรียมตัวเดินทาง โดยกำหนดการเดินทางเลื่อนมาเป็นปลายเดือนธันวาคม ๒๕๓๒
การเดินทางครั้งนี้เป็นการออกนอกประเทศครั้งแรกในชีวิตของดิฉัน ดิฉันจึงเที่ยวไปสอบถามข้อมูลต่างๆ จากผู้ที่เคยเดินทางไปมาแล้ว ก็ได้รับคำตอบที่แตกต่างกันออกไป
ส่วนมากจะบอกให้ระวังจะพบเพื่อนไม่ดี ไม่เอาใจใส่เรา ทำให้เราเรียนไม่รู้เรื่อง ผลการเรียนก็แย่ แถมสุขภาพจิตก็จะเสียด้วย
ดิฉันวุ่นวายใจมาก คิดไปต่างๆ นานาว่า ภาษาอังกฤษของเราก็แค่พอใช้การได้เท่านั้น ไม่ได้เก่งไรมากมาย เวลาจะเรียนหรือสอบ เราจะทำอย่างไร เกิดวิตกจริตขึ้นมาอีก ดิฉันก็นึกถึงหลวงพ่อ อธิษฐานขอให้พบแต่คนดีๆ ประสบผลสำเร็จในการศึกษา และปราศจากภัยอันตรายทั้งปวง
เชื่อไหมคะว่า พอดิฉันไปถึงสหรัฐ ที่ FORT BENJAMIN HARISSON รัฐ INDIANA ดิฉันพบแต่คนดีๆ เป็นมิตรด้วยทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติอื่นๆ ที่ได้ทุนมาเหมือนกัน, ชาวอเมริกันที่เป็นเพื่อนๆในชั้นเรียน, Instructor (ครูผู้สอน) และ Class Advisor (ครูประจำชั้น) ต่างให้ความเมตตาแก่ดิฉันหมด ทำให้บรรเทาความคิดถึงบ้านลงได้บ้าง
เวลาที่ดิฉันไม่เข้าใจบทเรียน เพื่อนๆ ต่างก็อาสาช่วยอธิบายให้ดิฉันเข้าใจได้ง่ายขึ้น ดิฉันประทับใจในพวกเขาเหล่านั้นมาก แต่ดิฉันยังกังวลใจเกี่ยวกับการสอบ เพราะศัพท์ภาษาอังกฤษที่เรียนไม่มีใน Dictionary เพราะเป็นศัพท์เฉพาะที่เรียกว่า Technical term เกือบทั้งหมด ดิฉันหนักใจมาก ถ้าดิฉันสอบตก ฝรั่งต้องดูถูกเราแน่นอน
ดังนั้นก่อนสอบ ดิฉันจะนั่งสมาธิ ทำใจให้สงบสักพักหนึ่งก่อนท่องหนังสือ ปรากฏว่าเหมือนกับถ่ายรูปข้อความต่างๆ เหล่านั้นไว้ในสมอง พอทำข้อสอบ แค่นึกเท่านั้น คำตอบก็อยู่ในสมองดิฉันหมดแล้ว ทำให้ดิฉันทำคะแนนได้ดี
บางวิชาก็ทำคะแนนได้มากกว่าเพื่อนฝรั่งบางคนในห้องอีกด้วย เพื่อนๆ ก็ต่างทึ่งดิฉันมาก มีเพื่อนคนหนึ่งมาสารภาพกับดิฉันว่า เขาเข้าใจว่าคนเอเชียโง่กว่าพวกเขา แต่ต่อไปนี้จะไม่คิดอย่างนี้อีกแล้ว ทำให้ดิฉันรู้สึกภูมิใจที่อย่างน้อยก็ทำให้ฝรั่งยอมรับในความสามารถของเราได้
ก่อนจบหลักสูตรจะมีชั่วโมงที่ให้ทุกๆ คน ได้ฝึกพูดต่อหน้าสาธารณชน เรียกว่าการ Briefing โดยแต่ละคนจะต้องเลือกหัวข้อขึ้นไปพูดบนเวทีหน้าชั้นเรียน โดยใช้เวลา ๑๐ – ๑๕ นาที
ดิฉันเลือกเรื่อง “เมืองไทยของเรา” ขึ้นไปพูดให้ฝรั่งฟังกัน ธรรมดาแล้วดิฉันเป็นคนค่อนข้างขี้ขลาด รู้สึกประหม่าต่อหน้าสาธารณชน ยิ่งมีคนฟังมากๆ จะพาลไม่กล้าพูดเสียเฉยๆ แต่ครั้งนี้แปลก พอดิฉันกำหนดจิตให้เป็นสมาธิ ความประหม่าต่างๆ ก็หายไป พูดให้ฝรั่งฟังอย่างฉาดฉาน
ดิฉันเล่าถึงหลักยึดเหนี่ยวของประชาชนในประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยหลักใหญ่ๆ ๓ ประการ คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ว่าเป็นจุดศูนย์รวมและหลักสำคัญที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนชาวไทย สรุปตอนท้ายก็ชักชวนให้พวกเขามาเที่ยวเมืองไทย
รู้สึกว่าพวกเขาสนใจกันมาก เพราะดิฉันนำภาพของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ไปโชว์ให้พวกเขาได้ชมกัน พอพูดจบเพื่อนๆ ชอบใจกันใหญ่ และครูผู้สอนก็เรียกดิฉันไปพบและชมว่าพูดได้ดีมาก ทำให้เขาอยากมาเที่ยวเมืองไทย รู้สึกว่าเป็นประเทศที่น่าสนใจ
การศึกษาดูงานในครั้งนี้ ดิฉันประสบความสำเร็จในการศึกษามากพอสมควร และได้รับคำชมเชยจาก Class Advisor ว่าเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี พร้อมกับเรียนได้ดีด้วย โดยได้คะแนนเฉลี่ย ๘๓.๒๕% ซึ่งนำความภาคภูมิใจมาสู่ดิฉันเป็นอย่างยิ่ง
ตอนนี้กิจการของคุณพ่อค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ดิฉันก็ได้ประสบแต่สิ่งที่ดีๆ ขณะนี้ดิฉันดำรงยศเรือเอก และจะได้พระราชทานเลื่อนยศเป็น นาวาตรี ในปีงบประมาณ ๒๕๓๔ นี้
นอกจากนั้น น้องสาวของดิฉันได้ทำงานเป็นครูในสังกัดกทม. และสอบเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตรได้
พี่สาวลูกของคุณลุง ซึ่งได้ไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานด้วยกัน ก็ได้ทำงานเป็นสมุห์บัญชีในบริษัทแห่งหนึ่ง ทุกๆ อย่าง เป็นไปตามที่หลวงพ่อได้บอกเราไว้เมื่อ ๙ ปีก่อนทุกประการ
นี่คงเป็นผลจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนได้รับการแผ่เมตตาของหลวงพ่อได้ จึงทำให้ครอบครัวของดิฉันประสบความสุขและความสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด