ประสบการณ์การปฏิบัติธรรม
โดย โสภา ปัทมดิลก
ดิฉันเกิดที่จังหวัดนราธิวาส อำเภอสุไหงโกลก เมื่อ ๒๘ มกราคม ๒๔๖๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เกิดได้ ๓ เดือนก็มาอยู่กรุงเทพฯ ที่อำเภอคลองสาน ข้างวัดทองนพคุณ เป็นบ้านของคุณปู่คุณย่า จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ จะตามคุณย่าไปวัดเป็นประจำ และคุณย่าจะทอดกฐินทุกปี ไปทางเรือ แถวอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี
ตอนอายุ ๗-๘ ขวบ ฝันเห็นเทวดา ท่านยืนอยู่บนต้นไทร ต้นไทรนั้นใหญ่มาก ขึ้นอยู่หน้าบ้านริมคลอง เทวดาบอกว่ามีอะไรให้บอกจะช่วย ไม่ได้พูดออกเสียงแต่เราเข้าใจ เทวดาท่านนุ่งผ้ายกลายทองสดใส แต่ไม่ใส่เสื้อ มีแต่สังวาลและทับทรวง สวมชฎาด้วย ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง ไม่รู้ว่าเทวดามีจริงหรือไม่ พอกลางวันก็ลงไปว่ายน้ำเล่น เอามือสอดไปที่คอกระตุกสร้อยตกน้ำไป น้ำก็ลึกมาก คลองก็กว้างประมาณ ๕-๖ เมตร เมื่อกลับมานั่งที่ท่าน้ำใต้โคนต้นไทร ไม่กล้าขึ้นบ้านกลัวจะโดนตี แต่เหมือนมีอะไรดลใจให้ว่ายไปกลางน้ำ น้ำตรงนั้นลึกมาก ยืนไม่ถึง และดำลงไปกำดินขึ้นมากำหนึ่งมีใบสนเต็มกำมือ และมีสร้อยขึ้นมาพร้อมกับพระที่ห้อยด้วย จึงจำได้ติดตาจนเดี๋ยวนี้
พอปี พ.ศ. ๒๔๘๖ ได้ทำการสมรสกับคุณดิเรก ปัทมดิลก เมื่ออายุ ๑๘ ปี มีบุตร ๔ คน และย้ายมาอยู่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี อยู่ดี ๆ ตาก็มองอะไรไม่เห็นเลย ยิ่งข้างซ้ายมืดสนิท ดิฉันตอนนั้นกลุ้มใจและคิดมากแอบร้องไห้ทุกวัน จนคืนหนึ่งมีคนมาเข้าฝันว่าไม่ต้องไปรักษา ๖ เดือนก็หายเอง ตาข้างขวาก็พอมองเห็นบ้างจึงต้องใส่แว่นช่วย เพราะใช้ตาข้างเดียวมาตลอด พอปี พ.ศ. ๒๕๑๒ คุณดิเรกก็ย้ายไปอยู่จังหวัด
สุรินทร์ เป็นนายอำเภอที่อำเภอจอมพระ อยู่ ๓ ปี ก็ย้ายมาเป็นนายอำเภอเมืองสิงห์บุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕
พอมาอยู่สิงห์บุรีก็รู้สึกไม่สบายใจ กายก็ไม่สบายด้วยเป็นโรคนิ่ว กินยาไทยและฝรั่งก็ไม่หาย จิตใจร้อนรนบอกไม่ถูก ทั้งเป็นห่วงอะไรไปหมด ลูกสาวคนโตเป็นพยาบาล อยู่บ้านสมุทรปราการคนเดียว ลูกชายกำลังเรียน ลูกสาวคนเล็กเรียนอยู่ปีหนึ่ง บ้านพักก็เย็นดีแต่ไม่อยากจะอยู่ พอดีรู้จักกับพรรคพวกที่ตลาดสิงห์บุรี มี เจ๊เตียง ปริปุณนะ ร้านพูนทรัพย์สินเป็นหัวหน้าจัดรถ ก็มีคุณป้าสุ่ม พี่ยุพิน ประมาณ ๒๐ คน จะมาที่วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ทุกวันพระ ตั้งแต่บ่าย ๒ โมงจะกลับเที่ยงคืน ทำอยู่ได้ ๑ เดือน รู้สึกจิตสงบและอยากให้ถึงวันพระไว ๆ พระครูภาวนาวิสุทธิ์ท่านได้เมตตาสอนพวกดิฉันด้วยตัวท่านเอง
สำหรับตัวดิฉัน นับว่าพระครูภาวนาวิสุทธิ์ท่านมีพระคุณอย่างใหญ่หลวง และเป็นบุญกุศลของดิฉันอย่างมาก เพราะท่านเมตตาตลอดจนถึงครอบครัวของดิฉันด้วย เมื่อตอนอยู่สิงห์บุรีจะขยันปฏิบัติมาก แม้เวลานอนรู้สึกตัวเมื่อไร ตี ๑ ตี ๒ จะลุกขึ้นล้างหน้าปฏิบัติทันที และได้ผลมาก แม้แต่โรคนิ่วที่เป็นอยู่ก็หายได้ และเมื่อนั่งปฏิบัติจะมีเสียงดังเหมือนเสียงปืนและมีลูกไฟวิ่งเข้าไปในดวงตาข้างซ้าย นั่งแล้วเห็นถึง ๒
ครั้ง จึงรู้ว่ากรรมอันนี้เองที่ทำให้ตามองไม่เห็นมา ๓๐ กว่าปี ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะตามกันขนาดนี้ เพราะในชาตินี้ไม่เคยทำไว้เลย แต่เดี๋ยวนี้หายเป็นปกติ ไม่ต้องใช้แว่นแล้ว
หลวงพ่อท่านจะถามว่าก่อนปฏิบัติกับตอนนี้รู้สึกเป็นอย่างไร ดิฉันมาคิดดู ก่อนปฏิบัติเหมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ ปล่อยตามกระแสคลื่นลม เสียดายเวลาที่ผ่านไป แต่พอปฏิบัติแล้ว เรารู้ตัวและมีสติอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ความฝันก็ยังเป็นนิมิตบอกล่วงหน้าและย้อนไปในอดีตได้ เช่นเมื่อดิฉันสงสัยตัวเอง ว่าตอนมาเกิดมาอย่างไร เพราะบ้านที่เกิดก็ไม่เคยเห็นเลย จึงนิมิตเห็นเป็นรถรางเล็กไม่มีหลังคา มีคนนั่งอยู่เต็ม รถวิ่งเร็วมาก วิ่งอยู่ในป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ ๆ ทั้งนั้น พอไปเห็นบ้านเป็นเวลากลางคืนเดือนหงาย รถก็เหวี่ยงแว้บเข้าไปเลย เป็นบ้านสถานีรถไฟตามในป่า เพราะคุณพ่อทำงานที่สถานีรถไฟ
บางครั้งดิฉันมีเรื่องที่ทุกข์มาก ก็จะกราบพระพุทธเจ้าและระลึกถึงหลวงพ่อ และปรารภกับท่านว่า ชาตินี้ไม่เคยสร้างทุกข์ให้ใคร ทำไมมีทุกข์อย่างนี้แล้วก็เข้าปฏิบัติธรรม จึงนิมิตเห็นว่ากรรมนั้นต่อเนื่องมาแต่อดีตชาติ เมื่อชาติที่แล้วเคยเกิดมาเป็นผู้หญิง และมาสร้างพระพุทธรูป หน้าตักกว้างประมาณ ๓๐ นิ้ว มาถวายไว้ที่วัดอยุธยา แต่ดิฉันไม่ทราบว่าวัดไหน กราบเรียนหลวงพ่อตามที่เห็นให้ท่านทราบ และอีกชาติเห็นตัวเองเป็นผู้ชายที่กำลังเมาเหล้า และทะเลาะกับเมียที่มีลูกเล็ก ๆ อีก ๒ คน เห็นแล้วน่าสงสาร แต่ชาตินี้ดิฉันมีกุศลในเรื่องนี้ ดิฉันกลัวคนกินเหล้า แต่สามีและลูกชายก็ไม่กินโดยไม่ได้บังคับหรือขอร้องกันเลย และลูกเขย ๒ คนก็ไม่เคยกินเหล้าให้เห็นสักที
พอปี ๒๕๑๗ ทางการก็ย้ายคุณดิเรกไปเป็นนายอำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง ตัวดิฉันเองไม่อยากไป เสียดายที่ต้องไกลครูบาอาจารย์และพรรคพวกที่มาวัดด้วยกัน ดิฉันรู้สึกสนิทสนมและรักกันเหมือนญาติพี่น้อง ท่านที่เป็นผู้ใหญ่ก็เมตตาเด็ก เด็กก็ให้ความเคารพผู้ใหญ่ เมื่อมาอยู่ที่จังหวัดระยองแล้ว พอมีโอกาสก็กลับเข้าไปปฏิบัติในห้องกรรมฐานที่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรีทุกครั้ง ๗ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง บางครั้งก็เดือนครึ่ง ตอนนั้นยังมีคนไม่มากเหมือนเดี๋ยวนี้ ห้องกรรมฐานมี ๙-๑๐ ห้อง ข้างหลังเป็นป่า ต้นไม้ใหญ่ ๆ ทั้งนั้น โดยมากจะมาเข้าอยู่คนเดียว ไฟฟ้าจะมีแต่เฉพาะในห้อง เปิดจะสว่างมาก เวลาไปถวายสอบอารมณ์ หลวงพ่อท่านจะถามว่าขาดอะไรบ้าง ไฟสว่างไหม ดิฉันกราบเรียนว่า ไม่ได้เปิดไฟเพราะนกจะตื่นร้องกันเจี๊ยวจ๊าวไปหมด พอมืดเปิดไฟดูไม่มีนก ร้องสักตัว ปรากฏว่าไปอยู่ที่กุฏิหลวงพ่อหมด ท่านคงเรียกไป
ตามปกติเป็นคนที่ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ เมื่อมาอยู่ในห้องกรรมฐาน เวลาเย็น เวลา ๑๘-๑๙ นาฬิกา จะได้กลิ่นหอม ๆ มาก และไม่เคยได้กลิ่นที่ไหนมาก่อน จะมีเสียงมโหรี มีฆ้องให้จังหวะนาน ๆ ครั้ง ได้ยินถึง ๓ วัน ดิฉันจะคอยสังเกตว่าเสียงและกลิ่นมาจากไหน จะว่าใครมาเปิดวิทยุก็ไม่มี ตั้งแต่คราวนั้นจนถึงเดี๋ยวนี้ ๒๐ ปีแล้วไม่เคยได้กลิ่นและเสียงนั้นอีกเลย อยู่วัดก็มีอะไรแปลก ๆ ให้เห็นหลายอย่าง เมื่อปฏิบัติอยู่ในห้องกรรมฐาน ได้ยินคนสวดมนต์ดังมาก สงสัยว่าใครมาสวด อยากจะเห็น จึงปรากฏให้เห็นมานั่งเสียติดเลย เป็นผู้หญิงอายุราว ๘๐ กว่า กราบเรียนหน้าตาให้หลวงพ่อทราบ ท่านว่าแม่ชีก้อนทอง เป็นเทพไปแล้ว ดิฉันไม่เคยเห็นแกมาก่อน
อยู่มาตอนหลังหลวงพ่อท่านสร้างห้องกรรมฐานขึ้นมาเรื่อย ๆ จนเต็มไปหมด มีอยู่แถวริมรั้วติดกับโรงเรียน เดี๋ยวนี้เป็นหน้าวัด มีอยู่ห้องเป็นของเจ๊เตียง แกจะปิดเอาไว้ แต่ถ้าดิฉันมาปฏิบัติ แกจะเปิดให้และขอให้อยู่ห้องแก พอดิฉันเข้าไปอยู่เรียบร้อย แกก็เล่าให้ฟังมีคนเข้าทรงว่าห้องนี้แรงปลูกสร้างทับประตูเมืองโบราณ มีทหารอยู่เต็มไปหมด ได้ยินแล้วชักใจไม่ดี แต่พูดกับ เจ๊เตียงว่า ไม่มีอะไรหรอก เรามาสร้างความดีคงไม่เป็นไร แต่ใจชักจะเสียว ๆ เพราะตอนนั้นมาเข้าอยู่คนเดียวไม่มีใครอยู่เลย แต่พอเข้าปฏิบัติก็เห็นทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่แต่งตัวเรียบร้อยตรงที่อยู่ก็สะอาด เข้ามานั่งยกมือโมทนากันเสียอีก อย่างเช่นบ้านพักข้าราชการที่อำเภอเมืองสิงห์บุรี มีแต่ไม้เก่า ๆ ทั้งนั้น ตอนที่ยังไม่ได้เข้ามาปฏิบัติก็ไม่รู้ คงจะเดินชนกันบ้าง พอมาเข้าปฏิบัติแล้ว เห็นมานั่งกันตั้ง ๘-๙ คน เขามาโมทนากันทั้งนั้น แต่ก็ดีอย่างเจอแต่วิญญาณใจดีทั้งนั้น
พอปี ๒๕๒๑ คุณดิเรกมาเป็นนายอำเภอเมืองระยอง และในปีเดียวกันนั้นก็ย้ายไปเป็นนายอำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี อยู่ได้ ๗-๘ เดือน คุณดิเรกก็ป่วยเข้าโรงพยาบาล และเป็นเวลาใกล้เคียงที่หลวงพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ท่านได้เมตตาไปเยี่ยมถึงจังหวัดจันทบุรี ทั้งที่คอท่านยังใส่เฝือกอยู่ ดิฉันเห็นแล้วตื้นตันใจ และสำนึกเป็นพระคุณเป็นอย่างยิ่ง จังหวัดจันทบุรีเวลานั้น จะมีพวกเขมรเข้ามาทางจังหวัดตราด จะเผาบ้านเรือนราษฎรตามเขตชายแดน และอยู่บริเวณเขาสอยดาวเป็นทางลัด ข้าราชการที่อำเภอและดิฉันไม่อยากให้ท่านกลับทางนั้น แต่ท่านเห็นว่าใกล้ดี จะได้ถึงไว ๆ จึงถูกเขมรกักรถไว้ แล้วก็อนุญาตให้ไปพร้อมกับถวายของท่านมาอีก ในเดือนเมษายน คุณดิเรกก็ถึงแก่กรรม หลวงพ่อท่านก็จัดรถพาพรรคพวกที่สิงห์บุรีมางานพระราชทานเพลิงศพคุณดิเรกด้วย นับว่าเป็นพระคุณอย่างสูง
ในปัจจุบันนี้ดิฉันก็ปฏิบัติอยู่เสมอ และก็มีเรื่องที่จะเล่าอีก ดิฉันมีญาติผู้ใหญ่ที่สนิทอยู่คนหนึ่ง มีศักดิ์เป็นอา และท่านปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดมหาธาตุ และเสียชีวิตไป แต่ดิฉันไปไม่ทันรดน้ำศพบรรจุศพ แต่ไปฟังพระสวดจนกระทั่งเผา แล้วในราว ๆ ๖-๗ วัน ท่านก็มาเข้าฝันบอก หนูช่วยไปหยิบผ้ามาให้อาเปลี่ยนที เขาเอาผ้าขาดให้อานุ่งมา ตอนนั้นดิฉันอยู่ที่บ้านสมุทรปราการ แต่บ้านคุณอาอยู่บางไผ่ อำเภอภาษีเจริญ พอบอกดิฉันก็ไปที่บ้านท่านเลย ไปในฝัน ขึ้นไปข้างบนในห้องนอนเปิดตู้เสื้อผ้าไม่มีอะไรเลย มีแต่ตู้เปล่า ๆ และเดินลงไปในห้องน้ำชั้นล่าง เห็นมีผ้าโสร่งตากอยู่ ๒ ตัวยังเปียกอยู่ พอ ๒-๓ วัน น้องของคุณอาก็มาหาดิฉัน ท่านเป็นอาเหมือนกัน ถามว่าเขาเอาผ้าอะไรนุ่งให้คุณอา ท่านว่าผ้าขาดจริง และถามว่าในตู้ทำไม ไม่มีเสื้อผ้าเลย ท่านบอกว่าลูกสะใภ้เขาเก็บเอาไปแจกญาติของเขาหมด จึงสงสัยว่าเอาไปจริงหรือเปล่า และก็ถวายผ้าสบงทำสังฆทานให้
ไม่กี่วันก็มาบอกอีก ว่าเวลานี้โจรมันขึ้นบ้านอาขนข้าวของจะหมดแล้ว ท่านมีพวกเครื่องลายคราม โถ ชามโบราณมาก และท่านก็บอกว่าของพวกนี้ช่างมัน แต่เสียดายพระพุทธรูปมาก และก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ โจรก็ไม่ใช่ใคร บุตรบุญธรรมของท่านเอง เมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ ท่านประหยัดและหวงข้าวของมาก พอเสียชีวิตแล้ว พวกญาติมาตรวจบัญชีเฉพาะเงินสดก็หลายล้าน ดิฉันกรวดน้ำและอุทิศส่วนกุศลไปให้บอกว่า อย่าเป็นห่วงอะไรเลย ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ตั้งแต่นั้นหายเงียบไปไม่มาอีกเลย
พอวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๓๓ ลูกชายของดิฉัน พ.ท.เด่นศักดิ์ ปัมทดิลก ก็เสียชีวิตและก็เป็นอย่างที่เห็นทุกประการ เป็นเหตุการณ์ที่บอกล่วงหน้า เป็นความทุกข์และสะเทือนใจเป็นอย่างมาก กินไม่ได้นอนไม่หลับไปหลายวันดีว่า ดิฉันมีพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เป็นสรณะที่พึ่งจึงคลายทุกข์ไปได้ คือยิ่งทุกข์ยิ่งปฏิบัติ นอนไม่หลับก็นั่งภาวนาไปตลอดทั้งคืน จึงดับทุกข์ไปได้มาก
ดิฉันจึงบอกแต่แรกว่า เป็นบุญกุศลอย่างใหญ่หลวง ที่ได้พบครูบาอาจารย์ที่ท่านเมตตาต่อศิษย์และผู้ที่ทุกข์ยาก อย่างท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อภาวนาวิสุทธิคุณ และบัดนี้ นับเป็นโอกาสดีในการเขียนเล่าถึงการปฏิบัติ และข้อความที่เป็นประโยชน์ เกิดบุญกุศล ดิฉันขอกราบบูชาพระคุณ ท่านเจ้าคุณพระภาวนาวิสุทธิคุณ เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี