อานิสงส์การปฏิบัติธรรม
โดย สุวรรณา ดารามาศ
ดิฉัน นางสุวรรณา ดารามาศ เป็นข้าราชการบำนาญ ดิฉันเป็นชาวสิงห์บุรีโดยกำเนิด เมื่อเด็ก ๆ ไปเรียนหนังสือตามจังหวัดต่าง ๆ เพราะย้ายตามบิดาซึ่งเป็นข้าราชการ เมื่อโตขึ้นก็เข้ารับการศึกษาในกรุงเทพฯ และเมื่อมีครอบครัวก็ต้องติดตามสามีซึ่งย้ายไปรับราชการจังหวัดต่าง ๆ อีก จนกระทั่งสามีและดิฉันเกษียณอายุแล้ว เราจึงกลับมาอยู่บ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้งหนึ่ง
ทางครอบครัวสามีของดิฉันรู้จักคุ้นเคยกับหลวงพ่อจรัญเป็นอย่างดี ส่วนดิฉันซึ่งเป็นสะใภ้ก็พอจะรู้จักหลวงพ่อและวัดอัมพวันมาบ้างเหมือนกัน ระหว่างรับราชการอยู่ในกรุงเทพฯ ก็ได้ทราบกิตติศัพท์ของท่านว่าเป็นวัดพัฒนาจิตใจอยู่เหมือนกัน จนกระทั่งเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นรุ่นพี่เป็นผู้ใหญ่กว่าดิฉัน เขาเคยมานมัสการท่านถึงวัด และได้ชมมักกะลีผล กลับไปเล่าให้ฟัง และถามดิฉันว่ารู้จักวัดอัมพวันไหม จนกระทั่งวันหนึ่งดิฉันได้พบท่านที่วัดบวรนิเวศโดยบังเอิญ เนื่องจากท่านไปบรรยายที่นั่น ถามท่านเรื่องที่มีชาวกรุงเทพฯมาขอชมมักกะลีผล ท่านก็เอารูปภาพให้ดู ดิฉันยังนึกเสียดายว่าพี่ ๆ เขาว่าดิฉันว่าใกล้เกลือกินด่างนั้น จริงดังที่เขาว่าเพราะเขาอยู่ไกลยังได้ชม ส่วนดิฉันซึ่งเป็นชาวสิงห์บุรีแท้ ๆ กลับไม่ได้ชม
ประมาณปี ๒๕๒๗ หรือปี ๒๕๒๘ ดิฉันเริ่มมีอาการเหนื่อยและหอบเป็นบางครั้ง เวลาเป็นหวัด ไปให้แพทย์ตรวจ แพทย์บอกว่าดิฉันเป็นโรคภูมิแพ้ บางครั้งต้องนอนคว่ำหน้าเพราะหายใจไม่ออก วันหนึ่งเพื่อนถามดิฉันว่าหน้าอกของดิฉัน (ตรงบริเวณต่ำกว่าคอหอยลงมาก ๓ นิ้วมือ) บวมเป็นอะไรหรือ ซึ่งดิฉันไม่เคยสังเกตมาก่อน เมื่อไปส่องกระจกดูจึงเห็นว่า เนื้อบริเวณนั้นนูนสูงขึ้นมาผิดปกติ ดิฉันไปพบแพทย์ ๆ ให้เอ๊กซเรย์ดูก็พบว่า ด้านในคล้ายเนื้องอกโตประมาณเหรียญห้าบาทขนาดใหญ่ แพทย์สงสัยว่าจะเป็นมะเร็งหรือไม่ก็วัณโรคต่อมน้ำเหลือง จึงตัดเนื้อเอาไปตรวจก็ปรากฏว่า ไม่ใช่มะเร็งและไม่ใช่วัณโรค ลักษณะเนื้อคล้ายฟองน้ำ ไม่มีอาการเจ็บปวด ดิฉันจึงไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก แต่ยังรักษาอาการโรคภูมิแพ้อยู่
จนปี ๒๕๓๒ หลังจากกลับมาอยู่บ้านได้ประมาณ ๓ ปี ดิฉันได้มีโอกาสได้เข้าอบรมปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อที่วัดอัมพวัน โดยการนำของ พ.อ.ปาน จันทรานุตร ในรายการของพุทธสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ในเดือนตุลาคม ๒๕๓๒ อยู่ ๑๐ วัน ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งและสนใจตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สุขภาพของดิฉันเริ่มเปลี่ยนแปลงและเจ็บป่วยบ่อย ๆ และเป็นไม่ซ้ำแบบ ในปี ๒๕๓๒ ไหล่ทั้งสองข้างปวดและยกแขนไม่ค่อยขึ้น หมอบอกว่าข้อไหล่ติด ต้องไปทำกายภาพบำบัดอยู่หลายวันจึงหาย มาปี ๒๕๓๓ ราว ๆ เดือนพฤษภาคม-มิถุนายน หัวเข่าดิฉันเกิดปวดทั้งสองข้างเดินไม่ถนัด เป็นแบบกะทันหัน โดยไม่ได้ล้มหรือทำอะไรมาก่อนเลย เท้าทั้งสองข้างบวมและปวดทรมานมาก นั่งคุกเข่า พับเพียบ แม้แต่นั่งขัดสมาธิ
ก็ไม่เข้า ต้องเหยียดเท้า ดิฉันไปหาหมอที่ศิริราช หมอบอกว่าข้อเข่าเสื่อมเนื่องจากอายุมาก จะไม่หายเป็นปกติ จะเป็น ๆ หาย ๆ จ่ายยามาให้
รับประทาน จ่ายผ้ายืดสวมเข่าให้เวลาเดิน แนะนำให้ทำกายภาพบำบัด ดิฉันขอกลับมาทำที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี ทำอยู่ ๑๕ วันพร้อมทั้งรับประทานยาไปด้วยก็ทุเลาปวดไปบ้าง แต่เดินยังไม่ถนัด จะเรียกว่าเสียศูนย์เลยก็ได้ เพราะดิฉันต้องใช้ไม้เท้าช่วยค้ำเวลาเดิน ต้องเดินช้า ๆ ยกเท้าขึ้นที่ชันไม่ได้ปวดท้องน่องมาก ดิฉันเสียกำลังใจมากเมื่อหมอบอกว่าจะหายไม่เป็นปกติ จะเป็นอีกถ้าไม่ระวังเวลาใช้งาน คือถ้าไปเดินมากหรือยกของหนักมากจะกลับเป็นอีก ให้ใช้ไม้เท้าช่วย ตัวดิฉันจะโยกส่ายไปซ้ายทีขวาทีเวลายกเท้า ดิฉันรู้สึกเวทนาตัวเองที่ต้องเดินเสียบุคลิก ไปอย่างนั้น รับประทานยาจนหมดและทำกายภาพบำบัดจนครบ อาการปวดบวมก็ยังคงมีอยู่ ดิฉันแปลกใจที่ว่าทำไมเข่าเสื่อมจึงเป็นอย่างกะทันหัน ข้อเข่าลั่นเวลาเดิน
ดิฉันเคยอ่านหนังสือเรื่องกฎแห่งกรรมของหลวงพ่อ ก็นึกว่าเราอาจจะได้รับกรรมจากการกระทำอะไรของตัวเองสักอย่างก็เป็นได้ ซึ่งเราลืมไปแล้ว ดิฉันจึงพยายามนึกทบทวนดูตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าเคยทำอะไรมาบ้าง ตามปกติดิฉันชอบไปวัดกับมารดาเสมอเมื่อเล็ก ๆ จึงไม่เคยเล่นซุกซนหรือฆ่าสัตว์ตัดชีวิต นึกย้อนขึ้นมาเรื่อย ๆ จิตใต้สำนึกเตือนให้ระลึกขึ้นได้ว่าเมื่อประมาณ ๒๐ กว่าปีมาแล้ว ระหว่างดิฉันรับราชการอยู่ที่กรุงเทพฯ สามีไปรับราชการอยู่ที่ภาคใต้ ดิฉันกลับมาอยู่กับลูก ๆ ที่กรุงเทพฯ เพราะลูก ๆ เริ่มเรียนชั้นมัธยมกันแล้วมีอยู่วันหนึ่ง ลูก ๆ บ่นอยากรับประทานปูทะเลผัด ดิฉันเห็นเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ จึงไปซื้อปูทะเลมาตัวหนึ่งอ้วนใหญ่พอสมควร ก็เริ่มทำปูโดยแม่ค้าแนะนำมาว่าให้ใช้ปลายมีด
แหลม ๆ ตอกที่อกปูให้ตายเสียก่อนค่อยตัดเชือกที่เขามัดไว้ ดิฉันจึงแข็งใจเอามีดบางปลายแหลมจ่อที่อกปู โดยจับหงายขึ้นแล้วใช้ไม้สี่เหลี่ยมตอกด้ามมีดลงไป “โป๊ก” พอสิ้นเสียงดังโป๊ก ดิฉันรู้สึกเจ็บแปลบที่ฝ่ามือข้างซ้ายที่จับมีดไว้ คงเป็นเพราะความเจ็บปวดของปู มันจึงดิ้นจนเชือกที่เขามัดขาไว้หลุด แล้วใช้ก้ามหนีบฝ่ามือของดิฉันติดเลย ด้วยความเจ็บของดิฉันรวมกับความตกใจที่เห็นปูมาห้อยต่องแต่งอยู่ที่มือ ดิฉันสลัดมือข้างหนึ่งเต็มแรง ปูที่หนีบอยู่กระเด็นไปกระแทกกับพื้นปูนซีเมนต์ ปรากฏว่าตัว ขา ก้ามหักออกจากกันหมดเป็นชิ้น ๆ แล้วตายสนิท ฝ่ามือของดิฉันก็เลือดโชก ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ดิฉันไม่ยอมแตะต้องปูทะเลอีกเลย ดิฉันยังจำเหตุการณ์ครั้งนั้นได้เป็นอย่างดี และอาจเป็นบาปกรรมที่ดิฉันเคยทำกับปูทะเลไว้กระมัง ดิฉันจึงมาได้รับความทรมานจากแขนบ้าง ขาบ้างอย่างนี้
ดิฉันเล่าถึงการรำลึกถึงปูให้สามีฟังและบอกว่าอยากไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน เพื่อเหตุสองอย่าง คือหนึ่งถ้าเข่าของดิฉันไม่หายขาดอย่างที่หมอบอก ดิฉันขอไปอยู่วัดสักพักเพื่อทำใจยอมรับสภาพที่ตัวเองจะต้องเดินย้ายไปโยกมาเสียบุคลิกอย่างนั้นไปตลอดชีวิต สอง ถ้ากฎแห่งกรรมมีจริงอย่างที่หลวงพ่อท่านเล่า ดิฉันก็ขอไปปฏิบัติธรรมเพื่อใช้หนี้เวรกรรมนั้นด้วย เมื่อตั้งใจแน่วแน่แล้วดิฉันก็รีบจัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ที่จะไปใช้สอย สามีดิฉันก็ช่วยจัดหาแล้วพาไปส่งวัดอัมพวัน เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๓๓ แจ้งความจำนงกับผู้ควบคุมและเขียนใบสมัครตามระเบียบของวัดแล้ว เย็นนั้นแม่ชีสมคิดก็พาไปรับศีลแปดจากพระ และเริ่มปฏิบัติตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ดิฉันนั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบไม่ได้ จึงขออนุญาตไปนั่งในห้องโดยใช้นั่งเหยียดเท้าแทนการนั่งขัดสมาธิ
เวลาผ่านไป ๑๐-๑๑-๑๒ สิงหาคม ดิฉันพยายามปฏิบัติอย่างเต็มกำลังความสามารถ ทั้งเดินจงกรม และนั่งสมาธิ วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๓๓ ระหว่างนั่งปฏิบัติช่วงบ่ายอยู่ในห้อง (เวลาประมาณ ๑๔.๓๐-๑๕.๓๐) มีความรู้สึกว่าตัวชาเหมือนไม่มีท่อนล่าง มีความรู้สึกไกล ๆ เหมือนไม่ใช่มือเท้าของเรา มีความรู้สึกอยู่แค่ลิ้นปี่ที่สูบลมหายใจเข้า-ออก ไปเล่าให้ป้าสุ่มฟัง ป้าสุ่มบอกว่าเป็นอาการที่เรียกว่า “ตัวเบา” ดิฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก ไม่ได้ซักไซ้อะไรท่านมาก กลับมาปฏิบัติต่อ
วันที่ ๑๓ สิงหาคม ตอนกลางคืนหรือจะนับว่าเป็นวันที่ ๑๔ ก็ได้เพราะเกือบตี ๕ แล้วเป็นวันพระ ขณะที่ฉันนั่งเหยียดเท้าปฏิบัติอยู่ในห้องโดยเปิดไฟไว้ จิตกำลังนิ่งสงบ ได้ยินเสียงดังมาจากหน้าต่างด้านหลังห้องดิฉันนั่งหันข้างไปทางหน้าต่าง เสียงคล้ายเล็บตะกายมุ้งลวดดัง “แกรก” หลายครั้ง ครั้งแรกคิดว่าแมว แต่ทำไมไม่ได้ยินเสียงร้อง ดิฉันขนลุกไปทั้งตัว ไม่กล้าลืมตา ตั้งสติสวดมนต์ แผ่ส่วนกุศลอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรและสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง พอสวดได้จบแรกเสียงแกรก ๆ ยิ่งดังมากขึ้นถี่ขึ้น ดิฉันหลับตาสวดได้ ๓ จบ แล้วตัดสินใจลืมตาดูทันที เสียงนั้นเงียบไป ดิฉันเดินไปดูที่หน้าต่าง ๆ ก็ไม่เห็นมีอะไรเลย ดิฉันแน่ใจว่ามันคงเป็นเจ้ากรรมนายเวรเขามาทวงส่วนบุญแล้ว เมื่อดิฉันแผ่ส่วนบุญให้จึงเงียบไป
วันที่ ๑๔ สิงหาคม เป็นวันพระทุกคนต้องไปปฏิบัติในโบสถ์และรับฟังหลวงพ่อท่านเทศก์อบรมสั่งสอนด้วยระหว่างนั่งฟังท่าน ดิฉันเกิดปวดเข่าอย่างรุนแรง นั่งไม่ติด เปลี่ยนท่านั่งบ่อย ๆ ก็ไม่หาย จนต้องแอบไปนั่งห้อยเท้าที่เก้าอี้ เกรงใจท่านทั้งหลายก็เกรงใจ แต่ทนปวดไม่ไหวต้องนั่งหลบ ๆ เอา ในใจคิดว่าเราคงหมดบุญที่ทำให้จะปฏิบัติไม่ดังที่ตั้งใจไว้เสียแล้วถ้ายังขืนปวดไม่หยุดอยู่อย่างนี้ คงทนไม่ได้ พอหลวงพ่อเทศน์จบเป็นเวลาพัก พวกเรากลับไปดื่มน้ำปานะ เพื่อน ๆ ที่ปฏิบัติด้วยกันต่างถามกันว่าจะต้องกลับไปโบสถ์อีกไหม อาจารย์ผู้ควบคุมได้ยินบอกว่าต้องกลับไปอีกเพราะยังไม่ ๓ ทุ่ม ดิฉันแข็งใจเดินตามเขาไป แข็งใจเดินจงกรมแทบว่าจะก้าวไม่ออก ปวดเหมือนเข่าจะแตกเสียให้ได้ ขณะเดินอยู่จิตสำนักแวบขึ้นมาว่าทำไมดิฉันไม่ใช้การเดินนี้ให้เป็นประโยชน์เหมือนกับการทำกายภาพบำบัดไปด้วย ดิฉันจึงตั้งสติเดินให้ช้าลง ตั้งใจเน้นทุกก้าวย่างทั้งยก ทั้งเหยียบ เกร็งบริหารกล้ามเนื้อไปในตัว เดินจงกรมจนหมดเวลา เมื่อกลับห้องพักดิฉันคิดว่าพรุ่งนี้คงเดินไม่ไหวแน่ เพราะระบมไปทั้งสองเท้า รีบสวดมนต์และนอนกำหนดจนหลับ
๑๕ สิงหาคม ๒๕๓๓ วันนี้เป็นวันเกิดของหลวงพ่อ ขณะรับประทานอาหาร ผู้ควบคุมมาแจ้งให้ทราบว่าให้คณะผู้ปฏิบัติรีบขึ้นหอประชุมแต่เช้าเพื่อรับแจกหนังสือก่อนที่ญาติโยมจะมา พวกเราก็รีบขึ้นไปคอยสักครู่หลวงพ่อก็ขึ้นไปแจกหนังสือ ดิฉันช่วยจัดให้คณะของเราเข้ารับหนังสืออย่างเป็นระเบียบโดยเดินเข่าเข้าไปเป็นแถว ดิฉันก็ร่วมเดินเข่าด้วย นึกเอะใจว่าทำไมเรา เดินเข่าได้คล่องแคล่วโดยไม่ปวดเลย หรืออาจจะเป็นเพราะพื้นปูพรม เพราะก่อนมาถึงวัดดิฉันคุกเข่าไม่ได้เลย เมื่อเสร็จแล้วพวกเราก็ไปปฏิบัติบนศาลาใหญ่ ในช่วงปลายขณะที่เดินจงกรมแล้วเปลี่ยนท่าเป็นนั่งสมาธิ ดิฉันทดลองนั่งสมาธิดู เมื่อจับเท้าขวา ทับเท้าซ้าย ก็ทำได้ดีมีขัดบ้างเล็กน้อย ดิฉันลองพับเพียบดูอีกก็ทำได้และนั่งเรียบร้อยเสียด้วย คือเก็บเท้าได้มิดชิดทั้งซ้าย-ขวา ดิฉันเกิดปีติอย่างยิ่งแปลกใจ ดีใจ จนน้ำตาไหล นั่งสมาธิไปด้วยน้ำตาแห่งความปีติก็ไหลไปด้วย ดิฉันพยายามกลั้นไว้ด้วยเกรงว่าจะมีคนเห็น ในใจนึกกราบเรียนหลวงพ่อว่าดิฉันหายแล้ว ดิฉันทำได้แล้ว ไม่นึกเลยว่ามาปฏิบัติเพื่อรักษาจิตใจ ทำใจให้ยอมรับสภาพของร่างกาย กลับได้ผลเกินคาดคือดิฉันสามารถนั่งในท่าต่าง ๆ ได้เกือบเป็นปกติ นอกจากท่าเดียวคือ ท่าเบญจางคประดิษฐ์ ยังนั่งไม่ได้ ดิฉันนึกปวารณาไว้ว่าถ้าดิฉันสามารถนั่งท่าเบญจางคประดิษฐ์ได้เมื่อใด ดิฉันจะขอรับใช้หลวงพ่อแล้วแต่ท่านจะใช้ให้ช่วยงานด้านเผยแผ่ของท่านอะไรก็ได้เท่าที่ความรู้ความสามารถของดิฉันจะช่วยได้
เมื่อกลับไปที่พักเก็บความดีใจไว้ไม่ได้ รีบเล่าให้ผู้ควบคุมฟังและบอกว่าอยากจะหาโอกาสกราบเรียนให้หลวงพ่อทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับดิฉันอย่างนึกไม่ถึงนี้ด้วย ผู้ควบคุมแนะนำถึงน้ำมันของหลวงพ่อว่าใช้นวดใช้ทารักษาโรคได้ ดิฉันจึงหาโอกาสไปกราบเรียนหลวงพ่อเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟังว่าดิฉันตั้งจุดประสงค์มาปฏิบัติเพื่อทำใจยอมรับสภาพร่างกาย ไม่นึกเลยว่ามาทำแล้วจะได้ผลเกินคาด คือได้รับทั้งความสบายใจ และเข่าที่ปวดก็ทำท่าว่าจะหายไปด้วย ดิฉันรักษากับหมอเกือบเดือน แต่มานี่เพียง ๕ วัน อาการดีขึ้นเกินคาดเป็นไปได้อย่างไม่น่าเชื่อเลย ขณะเล่าให้ท่านฟังดิฉันยัง เกิดปิติจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ แล้วขอให้ท่านช่วยแผ่เมตตากับน้ำมันของท่านที่ดิฉันขอไปนวดเข่าด้วย ท่านก็กรุณาทำให้ และบอกกับดิฉันว่าให้ตั้งใจปฏิบัติต่อไป ดิฉันกราบลาท่านกลับที่พัก เนื่องจากมีแขกอีกหลายคนด้วยคอยพบท่านอยู่
ตั้งแต่วันนั้น ดิฉันก็ตั้งใจปฏิบัติอย่างมีความสุข อิ่มเอิบใจ จนกระทั่งกลับบ้านคือ วันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๓๓ รวมปฏิบัติอยู่ ๑๑ วัน เมื่อกลับไปอยู่บ้านแล้วเข่าทั้งสองข้างของดิฉันก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนท่าคุกเข่าในท่าเบญจางคประดิษฐ์นั้นยังทำไม่ค่อยได้ นั่งได้เพียงชั่วครู่ก็ต้องรีบไปเปลี่ยนท่า เพราะยังตึงและปวดอยู่ ทั้งหมดนี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับดิฉันระหว่างไปปฏิบัติธรรม จะเรียกว่าเป็นอานิสงส์จากการปฏิบัติธรรม หรืออาจจะเป็นกฎแห่งกรรมก็เป็นได้ ซึ่งดิฉันจะไม่ลืมเหตุการณ์ครั้งนี้เลย