ทุกข์
โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
๑๑ เม.ย . ๓๕
เจริญพรญาติพี่น้องทุกท่าน โยมหญิงโยมชายทุกคน วันนี้เป็นอีกวันหนึ่ง ที่ท่านทั้งหลายมาเจริญกุศลสร้างทาน ศีล ภาวนา ให้เกิดศรัทธา ความเชื่อ ความมั่นคงของชีวิต
ทำให้เราได้ศึกษาความอดทน ศึกษาชีวิตเพื่อแก้ปัญหาของตน เป็นการสร้างบุญสร้างกุศลของกรรมฐาน โปรดได้ตั้งใจฟังโอวาทสืบต่อไป ณ โอกาสบัดนี้ ขอเจริญพรทุกท่าน
โยมหญิงโยมชายก็ดี นับว่าเป็นมหากุศล ที่ท่านทั้งหลายมาสร้างบุญสร้างคุณให้เกิดในชีวิตของตน เพื่อตนเองไม่ต้องเดือดร้อนเบียดเบียนตน
ต้องการสร้างความสะดวกสบายปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ต้องการหาที่พึ่งทางใจ ต้องการสร้างกุศลผลงานของชีวิต โปรดได้คิด ณ บัดนี้
ท่านทั้งหลายถือโอกาสบำเพ็ญทาน ทานเบื้องต้นท่านได้แล้ว ตั้งแต่เดินทางออกจากบ้านท่านมา เสียสละความสุขในบ้านของท่าน ต้องการมาเอาบุญให้เกิดความสุข
แต่อย่าลืมว่าบุญนั้นนะ จะเกิดความสุขได้ ต้องชำระจิต ทำใจให้สบาย ทำใจให้เป็นปกติ ท่านถึงจะมีความสุข
แต่เรามาจากบ้านมีแต่ความทุกข์ มีแต่ปัญหา ไปถึงสำนักงานก็มีแต่ปัญหา ออกจากสำนักงาน การค้าหรือกิจการใด ๆ ก็ต้องมีปัญหาตลอดรายการ หาความสุขไม่ได้เลย
พี่น้องที่รัก เราจะไปหาความสุขที่ไหนเล่า อ๋อ มาเข้าวัด เสียสละเวลาต้องการหาความสุข แต่ก็มาพบความทุกข์ หาได้สิ้นสุดทุกข์นั้นมิได้
พี่น้องที่รักทั้งหลาย เกิดมาในสากลโลกมนุษย์นี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงอย่างชัดเจน หาความสุขไม่ได้จริง ๆ
จะเกิดเป็นเศรษฐีมีเงินเป็นพันล้าน ก็มีแต่ความทุกข์ จะทานข้าวทั้งทีก็มีแต่ความทุกข์ อยู่ในครอบครัวพัวพันอยู่ในใจ ก็หาความสุขไม่ได้หรอกจะบอกให้
เรามีเงินมีทองมากมายก่ายกองก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ที่ไม่มีหาเช้ากินค่ำ หาค่ำกินเช้า มันก็มีแต่ความทุกข์ หาคนไหนเล่ามีความสุข ไม่มีเลย
ท่านทั้งหลายเอ๋ย เกิดมาในสากลโลกนี้มีแต่ความทุกข์ความยาก มีแต่ความลำบาก เกิดมาจากท้องแม่ก็มีแต่ความทุกข์ อยู่ในท้องแม่ก็มีแต่ความทุกข์
ถ้าท่านท้าวความหลังได้ ท่านจะคุดคู้อยู่ในท้องของมารดา จะมีความสุขอะไรเล่า มารดาที่ตั้งครรภ์ก็มีแต่ความทุกข์ มีความสุขชื่นใจที่ตั้งครรภ์ ก็ชอบใจคิดได้ว่าจะได้มีบุตรชายบุตรสาว มาครอบครองสมบัติแทนเรา แต่แล้วก็มีทุกข์อีก
ทุกข์ตอนที่ครรภ์แก่ แน่เหลือเกินว่า คลอดบุตรในครั้งนี้จะอยู่หรือจะตาย มีทุกข์หรือมีสุข ท่านทั้งหลายคิดโดยละเอียดแล้ว ท่านจะมองเห็นชัด ว่าหาความสุขไม่ได้จริง ๆ
คลอดลูกออกมาแล้วก็เป็นห่วงลูก ต้องเป็นทุกข์เลี้ยงลูก ลูกเล็กเด็กแดง โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน เลี้ยงยากเลี้ยงเย็นลำเค็ญใจ ก็มีแต่ความทุกข์
พี่น้องเอ๋ย ทุกข์อะไรจะเท่าทุกข์พ่อบ้าน สมภารวัด ทุกข์อะไรจะเท่าทุกข์ขององค์พระมหากษัตริย์เล่า
พระพุทธเจ้าทรงแสดงชัดเจนมาก ท่านทั้งหลายไปพบจุดไหนเล่าที่มีความสุขที่แน่นอน มีแต่เจือปนด้วยความทุกข์ตลอดรายการ หาความสุขไม่ได้จริง ๆ
เกิดมาแล้วก็มีแต่ทุกข์ เกิดแล้วอายุมากก็มีแต่ทุกข์ เข้าโรงเรียนก็มีแต่ทุกข์ เจ็บระทวยป่วยไข้ อาพาธใด ๆ ก็มีแต่ความทุกข์
ทุกข์เอ๋ย เวทนาเอ๋ย เป็นประจำด้วยกันหมดทุกคน ใครจะรอดพ้นได้เจ็บระทวยป่วยไข้ เจ็บเมื่อยปวดในสกลกายนี้ ก็มีแต่ความทุกข์ตลอดรายการ
บางคนทุกข์มาก ทุกข์น้อยไม่เท่ากัน บางคนก็ทุกข์คนละแบบทุกข์คนละอย่าง สุขคนละทาง บางคนก็ระเริงหลงในสังคม ถือว่าเป็นความสุข
บางคนดื่มสุรายาเมาถือว่าเป็นความสุข กำลังดื่มสุขมาก หายเมาสร่างเมาท่านจะพบความทุกข์ ที่หมดเงินทองเลี้ยงเพื่อนเลี้ยงฝูงไปดังกล่าวแล้ว ก็มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น
พี่น้องที่รัก จะมองไปเห็นอันใดเล่าที่มีความสุขที่แน่นอน และปลอดโปร่งโล่งใจ มีแต่ระทมขมขื่นตลอดรายการ
ได้แก่ตัวอาตมาเอง ตอนเป็นเด็ก พ่อแม่จะมีกินมีใช้ไม่เข้าใจ ให้อิ่มไปวันยังค่ำ เที่ยวเตร่เสสรวลไปทุกเวลาก็ถือว่ามีความสุขประสาเด็ก ซุกซนไปตามสภาพของเด็ก ไม่เห็นข้างหน้าข้างหลังประการใด ความทุกข์ยาก ความลำบากของพ่อแม่ มองไม่เห็น
พ่อแม่ทั้งหลาย เลี้ยงลูกคิดปลูกฝัง ต้องการให้ลูกดีมีปัญญา มีวิชาความรู้ด้วยกันทุกคน นี้มันเป็นทุกข์
ทุกข์ร้อนใจเหลือเกิน ลูกเข้าโรงเรียนไม่ได้ ไปฝากโรงเรียนโน้นก็ไม่ได้ โรงเรียนนี้ก็ไม่ได้ เข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ พ่อแม่ก็มีแต่ความทุกข์ หาความสุขไม่ได้เลย
นี่แหละท่านทั้งหลายเอ๋ย ลูกเข้าโรงเรียนแล้ว ก็ยังมีทุกข์ว่าลูกจะเรียนสำเร็จหรือไม่ ก็มีแต่ทุกข์ระทมขมขื่น แต่ลูกเขาไม่รู้เลย เรียนสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เขาก็ไม่บอกเรียนได้อย่างไร พ่อแม่ก็เป็นห่วงตลอดรายการ ไม่มีความสุขประการใดเลย
ญาติพี่น้องที่รัก โปรดพิจารณาข้อนี้เป็นกฎเกณฑ์ไว้ก่อน เกิดมาในโลกนี้มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจึงไปแสวงหาวิชาแก้ทุกข์มาบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ชาวโลกอย่าไปหลงละเมอเพ้อพกอยู่ในความเศร้าหมองใจ
จะไปคิดอะไรเล่า วางธุระในหน้าที่ แยกรูปแยกนามแยกทุกข์ออกไปเสียจากจิตใจ จิตใจท่านจะได้ไม่เศร้าหมอง จิตใจท่านจะได้ผ่องใส จิตใจท่านจะดีได้มีปัญญา
ถ้าจิตใจเศร้าหมองมีแต่ความทุกข์อยู่ในใจแล้ว ปัญญาหมดเลย ไม่มีสติปัญญา
ขอฝากพี่น้องไว้ มัวแต่อะไรกันเล่า เศร้าหมองใจเคียดแค้นเหมือนยักษ์มาร ทะเลาะวิวาทกันตลอดเวลากาล เป็นที่น่าเสียใจ น่าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง
โลกนี้ระอุมาก สัตว์โลกที่อยู่หมู่สัตว์ แผ่นดินไหวบ้าง ล่มจมกันบ้าง ถูกลมสลาตันบ้านเมืองพังหมด
แต่ประเทศไทยบางจุดนั้นเป็นสุวรรณภูมิ เป็นเมืองพระพุทธเจ้าที่เจริญธรรมสัมมาปฏิบัติ
เกิดกลียุคแล้ว ฆ่ารันฟันแทงกันหลายประการ อุบัติเหตุกันไม่พัก
คนที่ดีมีบุญวาสนา ก็จะหลบเข้าร่มโพธิ์ร่มไทร ปรึกษาผู้ใหญ่ แล้วก็นั่งบำเพ็ญกุศลภาวนา สมาธิเป็นร่มใหญ่ภายในย่อมร่มเย็นเป็นสุข
ถ้าไม่มีสมาธิเป็นร่มใหญ่ ภายในท่านจะไม่มีความร่มเย็นเป็นสุขเลย มีแต่ความทุกข์ เจ็บระทวยป่วยไข้ก็เป็นทุกข์ เกิดทุกข์เหลือเกิน
เกิดทุกข์แล้วก็ไม่สามารถบำบัดทุกข์ให้เกิดความสุขได้ มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น หลบเข้าร่มโพธิ์ร่มไทร หลบเข้าถ้ำบำเพ็ญจิตภาวนา
โยมหญิงโยมชายที่มาครั้งนี้ ก็มาแสวงบุญ บุญอยู่ตรงไหน ปัญญาก็บอกว่า บุญอยู่ที่ความสุข ความสุขจะมีได้ต้องชำระใจให้บริสุทธิ์ ไม่มีธุลีที่จะเกาะจิตให้เศร้าหมอง ท่านถึงจะมีความสุขบริสุทธิ์ใจ อยู่ตรงนี้นะ
บางคนมานั่งกรรมฐาน เล่าความหลังกันอยู่เสมอ มีแต่ความทุกข์ ขอบิณฑบาตเสีย ตัดปัญหาได้ไหม เราเสียสละบริจาคทานชั้นสูงโดยไม่เสียสตางค์
เสียสละความทุกข์ที่มันอยู่ในจิตใจ ด้วยการบำเพ็ญจิตตภาวนาเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ให้เกิดปัญญาญาณ รู้เท่าทันกองการสังขาร รู้วิธีสัมผัสจิต รู้ข้อคิดวิธีแก้ปัญหาของชีวิต
ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาไปสวรรค์ นิพพาน ที่โยมไปกันมา เห็นพระพุทธเจ้า เห็นพระจุฬามณีเป็นต้น
ควรจะนั่งให้เห็นตัวเอง ให้เห็นอารมณ์ของตัวเองว่าตัวเองเป็นประการใด แจ้งแก่ใจหรือไม่ ประการใด
มานั่งกันหลายครั้งหลายคราวก็ยังเอาทุกข์มาอีก เอาทุกข์มาไว้ที่หัวใจ ท่านจะมีความสุขไม่ได้เลย ท่านจะมีแต่ความทุกข์ในบ้านของท่าน
ท่านเป็นพ่อเป็นแม่เขา ก็ฝากความทุกข์ให้ลูกอีกหรือ บาปต่อบาปให้ลูก ให้ลูกเดือนร้อนต่อไป เป็นที่น่าเสียดายมาก
ไปบวชชีพราหมณ์กันหลายแห่งมาแล้ว ก็น้ำลายไหลยืด ติดกัณฑ์เทศน์กันไม่พัก ที่นี่ไม่ต้องการติดกัณฑ์เทศน์นะ ไม่ต้องการเรี่ยไร ไม่ต้องการได้ปัจจัยของโยมด้วยเหตุผล
ต้องการอยากได้อยู่ข้อเดียวคือ เอาบุญไปใส่ใจโยมให้เกิดความสุขให้มีความสนุกในครอบครัว จะได้ไม่พันพัวในสังคมที่เลวร้าย อยู่ตรงนี้สำคัญมาก ไม่มีใครเข้าใจอีกหรือ
ทุกคนต้องการความสุข ไม่ใช่ความทุกข์ ทำไมไปสร้างทุกข์เล่า ต้องการความสะดวกสบาย ท่านทำไมไปสร้างความขัดข้อง ท่านต้องการไม่เดือดร้อนแต่ทำไมสร้างความเดือดร้อนเล่า ตรงนี้ไม่มีใครแก้แต่ประการใด
การเจริญสติปัฏฐาน ๔ เป็นการแก้ปัญหาชีวิต พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนว่าเป็นทางสายเอก พระองค์ได้ประสบการณ์จากหนทางเส้นนี้มาแล้ว มีความสุขแน่ ๆ มีความเจริญในมรรคมรรคา
มรรค ๘ ได้แก่สรุป ศีล สมาธิ ปัญญา สรุปสติคือ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คือสติปัฏฐาน ๔ ในมรรค ๘ ชัดเจน ทำไมโยมไปภาวนาไปสวรรค์นิพพาน
มรรคมรรคาเดินทางก็ไม่มีหนทาง เดินสุ่มสี่สุ่มห้ากันไป เลยเดินไปหาทุกข์หาความสุขไม่ได้เลย
คนเราต้องเดินไปหาความสุข เดินไปตามมรรคมรรคาเรียกว่า วิปัส ทำให้แจ้งแห่งปัญญา เดินทางไปด้วยความถูกต้อง เดินด้วยสติ ดำริชอบ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ตรงนี้ซิถึงเรียกว่าเดินทางถูกต้อง
เป็นการพิสูจน์ความถูกต้องของชีวิตโยม เป็นการพิสูจน์นิสัยปัจจัยของโยม เป็นการพิสูจน์ความคิด ความเห็นที่ถูกต้อง ไม่ใช่ผิดพลาดแต่ประการใด สิ่งนี้ เป็นหลักใหญ่ใจความสำคัญของการเจริญสติวิปัสสนาใช้
สติปัฏฐาน ๔ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มรดกธรรมมา
ที่อาตมาพูดเมื่อวานนี้ด้วยความเศร้าใจ พระสงฆ์องค์เจ้าเอามรดกของเสด็จพ่อไปทิ้ง คือกรรมฐาน พระนักเรียน นักทำกิจกรรมของพระสงฆ์ไม่สนใจเรื่องมรดกนี้เลยแก้ปัญหาไม่ได้ จึงได้สร้างแต่ปัญหาในคณะสงฆ์ สร้าง
ปัญหาให้หมู่ประชาชน สร้างปัญหาให้ประชาชนเดือนร้อน ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวมา
ถ้าบ้านไหนวัดใดมีบันไดสวรรค์ มีบันไดนิพพาน มีบันไดให้ไปสู่มนุษย์สมบัติ บ้านนั้นมีความสุข มีความเจริญตลอดกาลเวลา
หมู่ใดบ้านใดไม่มีบันไดมนุษย์ ไม่มีบันไดสวรรค์ ขาดบันไดนิพพานแล้ว บ้านนั้นจะอลหม่านยุ่งวุ่นวายเดือดร้อนนานาประการ มาเจริญกรรมฐานถึงจะรู้
บางคนทำไม่ได้เลย มาตั้งหลายครั้งแล้วไม่ได้อะไร เมื่อวานนี้พูดเปรียบเทียบ แยกรูปแยกนามออกไปอะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม แยกได้เมื่อใดโยมชื่นใจเมื่อนั้น
ถ้าเอาความทุกข์มาไว้ในใจแล้วจะแก้ที่ไหน จะไปหาผีเจ้าเข้าทรง แล้วจะไปองค์พระอรหันต์ ตามกันเป็นแถวเป็นแนวพนมไพร แล้วจะได้อะไรหรือ เลยตามไปจนแก่ตายก็ไม่ได้อะไรเลย
ต้องตามไว้ที่จิต สร้างความคิดไว้ที่ใจ คนโง่ชอบเอาจิตไว้ที่ปาก คนฉลาดชอบเอาสติไว้ที่ใจ
การเจริญวิปัสสนากรรมฐานต้องการอย่างนี้ ต้องการเอาสติมาไว้ที่ใจคือคนฉลาดปราดเปรื่องเรืองปัญญาสามีภรรยาก็เป็นคู่สร้างคู่สม เป็นเพื่อนคู่คิดมิตรคู่บ้านกัน จะไม่ทะเลาะกันเลย นี่สิความสุขของโลกมนุษย์
ลูกดีมีปัญญาไม่เถียงพ่อเถียงแม่แต่ประการใด เพราะพ่อแม่มีสติไว้ที่ใจ ควบคุมจิตอยู่ตลอดเวลากาล ลูกก็ติดนิสัยพ่อแม่ ปลูกสร้างก็ดีมีปัญญาตรงนี้ไม่มีใครคิด
บางคนมานั่งกรรมฐานไม่รู้กี่คราวแล้ว ก็ไอ้แค่นี้เอง ไม่แยกทุกข์ออกจากใจ ไม่แยกรูปแยกนามเอาความโกรธมาไว้ที่ใจ ผูกพยาบาทฆาตพยาเวรไว้ที่จิตใจ
โยมสร้างแต่ความทุกข์เอง สร้างแต่ความเดือดร้อนให้ตัวเอง สร้างแต่หายนะมาไว้ในบ้านของตน สร้างอบายมุขหาความสุขในสังคม แล้วจะได้มีความสุขประการใด
ขอเจริญพรให้คิด ให้ตั้งสติเอาไว้ที่จิตของท่าน แล้วจะแยกรูปแยกนามให้ท่าน
เสียงหนอเขาด่า เสียงหนอเขาเสียดสี เราก็ตั้งสติไว้ที่หู สร้างความรู้ไว้น่าดูน่าชม ตั้งสติกำหนดเสียงหนอ เสียงเป็นรูป เสียงเขาด่ามันก็เป็นรูป หูเป็นรูป จิตกำหนดรู้เป็นตัวนาม ว่าเขาด่ารู้อย่างนี้
เอาสติสัมปชัญญะไปรู้ไปดูเสียงว่าเสียงเขาด่าใครนะ ค่าใคร ไม่ใช่ด่าเรา ด่านาย . เป็นสมมติบัญญัติแล้วความรู้แจ้งประจักษ์ชัด รูปนามขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ แยกรูปออกไป แยกเสียง รูปนั้นเป็นอันผนวกบวกกัน
จิตที่สำนึกได้ว่า ใครหนอด่านาย ก. สมมตินามว่าเราชื่อนาย ก. อ๋อ ด่าสมมติบัญญัติ เราก็ตั้งสติสัมปชัญญะไว้ที่หู กำหนดปั๊บสติดีมีปัญญา
นี่เรียกว่าเอาสติไว้ที่จิต จิตอยู่ที่ไหน อยู่ที่หูแล้ว เพราะเราฟังเสียงที่หู หูเป็นรูป เสียงที่พูดมานั้นก็เป็นรูปตัวที่เรารู้ว่ามันด่า เป็นตัวนาม
เรามีสติสัมปชัญญะ กำหนดเสียงหนอ เสียงหนอแล้วมันก็ดับไป ผันแปรกลับกลอก หลอกไปโดยสมมติของมัน เสียงนั้นจะกลับไปหาคนด่าเอง แล้วก็ดับวูบ นี่ความทุกข์หมดไป
เราไปเอาความทุกข์มาเองมิใช่หรือ ทุกข์ก็อยู่ของมันตามเรื่องของมัน เราไปหามันเอง ตั้งสติไว้ซิ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เสียงนั้นมันก็ตกจะไม่เข้าไปผนึกในเทปของเรา
มานั่งกรรมฐานไม่เคยกำหนดเก็บเอาแต่เสียงด่ามาไว้ในใจ เก็บโน่นเก็บนี่ สิ่งนั้นคือเก็บความเดือดร้อนมาไว้ในใจ ทำให้โยมมีทุกข์ ตรงนี้ไม่มีใครแก้ ยิ่งนั่งยิ่งทุกข์ใหญ่
บางคนบอก หลวงพ่อคะ ฉันมานั่งยิ่งมีทุกข์ ก็มานั่งไม่ถูกเรื่อง นั่งอะไรกัน นั่งอยากเห็นเทวดา นั่งอยากเห็นพระอินทร์ นั่งอยากจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระจุฬามณี มันคนละเรื่องกัน
จะไปเฝ้าอย่างนั้น ไม่ต้องมาวัดนี้หรอก ไปเฝ้าเอาเลย เหาะขึ้นไปเลย เสกพระคาถาเหาะเหินเดินนภากาศ ไปเฝ้าที่จุฬามณีโน่น
เลยก็มีแต่สร้างกิเลส เป็นเหตุทำลายตนโดยไม่รู้ตัว ควักเงินทำบุญกันไม่พัก ไม่ใช่บุญนะ
บุญอยู่ที่ใจ ทำจิตให้มีความสุขไม่ได้หรือ แยกทุกข์ออกจากใจคือขันธ์ ๕ รูปนามเป็นอารมณ์เรียกว่า นามรูปปริจเฉทญาณ ข้อนี้ซิถึงจะเป็นข้อแก้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ทรงแสดงเหตุผลชัดเจนมาสร้างความดีจะไปสวรรค์ ต้องมาที่โลกมนุษย์ที่อิจฉากัน
เราต้องทนต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ต้องสู้ปัญหา อย่าหนีปัญหา การสู้ปัญหา ไม่หนีปัญหาได้มาจากการกำหนดจิต ต้องสู้อย่าหนี
พระพุทธเจ้าทรงแสดงต่อพระอานนท์ศรีอนุชา
“ดูกรอานนท์ จะหนีเขาด่าไปที่ไหนเล่า ที่ไหนไม่มีคนด่าเรา ไปเมืองนี้โดนเขาด่า หนีไปที่โน่นเขาก็ด่าเราอีก จะหนีไปไหนเล่าอานนท์ศรีอนุชาเอ๋ย”
จะทำอย่างไรพระเจ้าข้า” พระอานนท์ทรงทูลถาม
“ต้องแก้ซิ ต้องแก้ปัญหาให้มันหมดไป เหตุเกิดที่ไหนต้องแก้ที่นั่น”
นี่ชัดเจนแล้ว โยมจะไปแก้ตรงไหนกัน สร้างแต่ปัญหากันไม่พัก มีแต่ความทุกข์ระทมขมขื่นตลอดรายการ เพราะเหตุใดตอบได้เลย เพราะแยกรูปแยกนามไม่ได้ แยกสุขแยกทุกข์ไม่ได้ แยกเวทนาไม่ได้จึงปวด
ถ้าโยมเป็นอย่างอาตมาต้องส่งโรงพยาบาลไปแล้ว ๗ วันแล้วข้าวไม่ตกถึงท้องเลยนะ ต้องทนไปพูดเกิดมาเป็นคนต้องทนได้ อยู่หลายคนต้องทนมันให้ได้ ต้องทนต่อเวทนาที่ฝึก กำหนดปวดหนอ ตั้งสติเข้าไว้
วันนี้ตั้งแต่เข้าโรงอุโบสถ เป็นประธานสงฆ์อุปัชฌาย์ ปวดท้องอย่างที่สุด เพราะไม่ได้เคยฉันอะไรเลย พอฉันเข้าไป ๒ ช้อนเท่านั้น ปวดท้องที่สุดจนขณะนี้
ถ้าโยมเป็นอย่างอาตมาต้องดิ้นแล้ว ทนได้ไหม ต้องทนได้ ทำอย่างไรถึงทนได้ แยกมันออกไปเสีย อะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม เวทนาก็แยกออกไป การปวดมันก็ไม่ไปยึด
ตรงนี้ทำกันได้ไหม ทำไม่ได้อย่าบ่นว่า มานั่งไม่ได้เรื่องอะไร ถูกต้อง เพราะโยมไม่เอาเรื่องเอาราวไม่ได้กำหนดเลย ไม่ได้เอาสติไว้ที่จิต จิตมันอยู่ที่ตาก็เอาสติคุมที่ตา ดูให้เกิดปัญญา อย่าดูให้มันเสีย ไม่มีใครทำ
พระที่วัดนี้ก็เหมือนกัน ทำอย่างไรจะไปสวรรค์กันทั้งนั้น จะไปนิพพานกันหมด อาตมาก็บอกว่าอาตมาเองก็ไม่ได้ไปสวรรค์หรอก ไปนิพพานก็ไม่ได้ เมืองมนุษย์ยังไม่ครบเครื่อง ยังไม่จบประโยคมัธยมจะไปขึ้นมหาวิทยาลัย อย่างที่โยมไปได้ญาณ ๑๖ กันมานะ
ขอฝากไว้นะ แยกได้หรือยัง ถ้าแยกได้โยมไม่มีทุกข์ มีเหมือนกัน แต่กำจัดทุกข์ออกเป็นสัดส่วนจะไม่เอาทุกข์มาไว้ในใจเลย จะไม่เอาความอิจฉามาไว้ในใจ จะไม่ผูกพยาบาทเอาไว้ในใจ ให้มันเกิดทุกข์ระทมขมขื่นตลอดรายการ
มาที่วัดนี้ส่วนมาก ครอบครัวไม่มีความสุขเลย ก็เพราะเอาครอบครัวมาเป็นทุกข์ บอกให้มานั่งกรรมฐานก็บอก
“โอ๊ย! มาไม่ได้หรอกจ๊ะ”
นี่เวลาแก้ทุกข์มาไม่ได้ ก็สร้างแต่ความทุกข์กันต่อไป สร้างแต่ปัญหา คนเราก็ต้องสู้ปัญหาด้วยการแก้ปัญหาเสีย อย่าไปเอาปัญหามาไว้ในใจ ทำให้คิดไม่ออก บอกไม่ได้ ใช้ไม่เป็น แล้วตัวเองจะมีแต่ความทุกข์ กินไม่ได้นอนไม่หลับ เป็นนิดเดียวจะตาย
บางคนเป็นนิดหน่อยเข้าโรงพยาบาล ไม่มีน้ำอดน้ำทน ไม่มีการกำหนดเวทนา ไม่สู้เวทนา แพ้เวทนา ใครด่าก็แพ้เขาอีก แพ้เรื่อยไป เป็นคนไม่ชนะตนเองเลย
พระพุทธเจ้าทรงสอนการเจริญสติเพื่อที่จะชนะตนเอง
ในเมื่อโยมชนะตัวเองได้ โยมมีความสุขหมื่นเปอร์เซ็นต์
บัดนี้โยมแพ้ตัวเอง มีแต่ความทุกข์อยู่ในใจ แล้วแพ้เกมหมด จะไปชนะคนอื่นไม่ดีเท่าชนะตนเอง ตัวเองนี้สำคัญมาก ทิฐิสูงมาก เอาตัวขึ้นเหนือลมด้วยกันทุกคน ไม่มีเลยว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี มีแต่ดีกว่าคนอื่นทั้งนั้น
ถ้านั่งเจริญสติปัฏฐาน ๔ ได้ดังกล่าวมาแล้วนี้ มันจะได้รับคำคมสมส่วนกัน โยมจะมีปัญญาว่า ใช่แต่ว่าเราจะมีดี เขาก็มีดี ไม่ดีเฉพาะเขา เราก็มีดีเหมือนกัน
มันออกมาในรูปแบบนี้ มันจะไม่หมิ่นประมาทกัน จะไม่จ้วงจาบและบังอาจกันจนเกินไป มันจะได้ผลอานิสงส์ดังกล่าวมาข้างต้นนี้ประการหนึ่ง
ขอให้ทำให้ได้ อย่าไปเอาทุกข์มาไว้ในใจทำไมเล่า กำหนดแยกออกไปได้ไหม แยกไม่ออกจ๊ะ กอดความทุกข์เอาไว้ในใจ ก็ซูบผอมลงไป คนประเภทนี้แก่ไวและตายไวด้วย
โอ้อนาถวาสนานิจจาเอ๋ย เกิดมามีกรรม เกิดมาทำอะไรเล่า เกิดมาทำความดีใช้หนี้กรรมบ้างไม่ได้หรือไม่ยอมรับใช้ ยังปฏิเสธทุกข้อหาอีกหรือ สร้างกรรมมาหลายชาติแล้ว ไม่ยอมรับกรรม
พวกประเภทนี้ไร้ปัญญาขาดเหตุผล ขาดอารมณ์ที่ต้องสร้างในกรรมฐาน ขันธ์ ๕ รูปนามต้องเป็นอารมณ์ กายกับจิต รูปกับนามเท่านั้น
แล้วพัฒนาจิตที่เกิดทางตา รับผิดชอบทางตาบ้าง ดูสิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดี ก็กำหนดเห็นหนอให้มันดับไป
รูปก็เป็นรูป ตาก็เป็นรูป ผนึกกัน จิตรู้ว่าเป็นรูปอะไรคือตัวนามแล้วแยกออกไป รูปกับตาเป็นคนละอัน เป็นอันเดียวกันได้อย่างไร
เราอามาเป็นอันเดียวกันถึงได้โกรธเขา ลงโทษเขา แล้วโยมจะไปญาณ ๑๖ ไหนเล่าญาณโตงเตงแท้ ๆ ตรงนี้ไม่มีใครทำได้
ขอฝากไปคิดโดยทั่วหน้ากัน เอารูปนาม ขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ให้ได้แยกรูปแยกนามออกไป โยมจะไม่ผูกความโกรธไว้ในใจ จะแยกออกไปเป็นชิ้นส่วน ของใครของมัน เราจะเอามาปนกันทำไม่เล่า
ถ้าโยมมีทิฐิ ไม่ต้องมานั่งกรรมฐาน รับรองทำไม่ได้ ได้กฎแห่งกรรมติดตัวไป แล้วโยมจะเสียใจ ต่อไปภายหลัง เป็นที่น่าเสียดาย มาพบของดีต้องเอาไปให้ได้
“ของดีอยู่ที่ไหนหรือคะหลวงพ่อขา”
“ของดีไม่ใช่อยู่ที่อาตมา อยู่ที่โยม โยมไม่นำของดีมาใช้ โยมก็ไม่ได้ของดีในตัวเอง ของดีมีอยู่ด้วยกันทุกคน แต่ทุกคนไม่สนใจในตัวเองนะ”
จงละทิฐิเสีย ละมานะความเป็นอยู่ในชีวิตจิตใจของตน ทิ้งอารมณ์ของเก่าที่เราเคยมีนิสัยแบบนั้นมา
การเจริญกรรมฐานต้องการรู้นิสัยตนเอง ต้องการจะเปลี่ยนภาวะให้กลับร้ายกลายดี มั่งมีศรีสุข
บางคนเป็นอิสลาม มานั่งกรรมฐานสามสี่วัน บอกว่า หลวงพ่อ เดี๋ยวนี้ขายดิบขายดี เมื่อวานซืนนี้นำเงินมาถวายหมื่นหนึ่ง นำพระพุทธรูปมาถวายด้วย นี่อิสลาม ขออนุโมทนา
ชาวพุทธแท้ ๆ ก็ยังได้ดี มีสุขแก้ปัญหาที่เกิดด้วยอริยสัจสี่ ทุกข์เกิดแล้ว หาสาเหตุของทุกข์ ด้วยการกำหนดทุกข์หนอ มันทุกข์ตรงไหนจ๊ะ
สมาธิบำเพ็ญจิตภาวนา ปัญญาจะบอกทุกข์เกิดขึ้นตรงนั้น ต้องแก้ตรงนั้น อย่าไปแก้ผิดจุด ไปให้ผีเจ้ามาแก้ เอาหมอดูมาแก้ มันไม่ถูกเรื่อง
เราสร้างกรรม เราก็ต้องแก้เองไม่ใช่คนอื่นมาแก้ให้ ฝากญาติโยมไว้ต้องอดทน
บางคนนั่งไม่อดทน ปวดหนอกำหนดตายให้ตายได้ไหม เกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไป ยิ่งปวดหนัก จะได้รู้กำหนดของมันว่า ปวดขนาดนี้จะทนได้ไหม
ตั้งสติอารมณ์ เดี๋ยวก็จะแตกออกไปเป็นรูป-นาม อะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม เวทนาอาศัยรูปเกิด มันมีสังขารปรุงแต่ง มันจึงปวดรวดร้าวในสกลกาย
จิตรู้แล้วก็เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ หาเหตุที่ทุกข์เกิดได้เป็นอนัตตาแล้ว ปลอดสูญไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป พระไตรลักษณ์ก็แจ้งชัด นั่นคือวิปัสสนา
เมื่อเกิดขึ้นแก่ตัวเองแล้ว รับรองโยมจะไม่โกรธใครเลย จะไม่ลงโทษใคร จะมองคนในแง่ดีเสมอ
อย่างที่อาตมาเคยพูดไว้ จะรักใครก็รักเพียง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เอาไว้เกลียด ๕๐ เปอร์เซ็นต์ อย่ารักให้หมดตัว อย่าเกลียดให้หมดตัว เอาไว้เผื่อเราจะรักกันอีก จะได้มองหน้ากันได้ถูกต้อง
ขอให้รู้จริงสักหน่อย ไม่รู้จริงเลย เกลียดใครเกลียดให้หมดบ้าน เกลียดพ่อแล้วเกลียดลูก แล้วยังเกลียดหลานอีก น่าเสียดาย เสียใจด้วย
มาทำกรรมฐานขอให้ทำจริง ๆ สร้างบุญให้เกิดความสุขให้จริงจัง อย่าไปเกลียดใครเลย
ปีนี้ปีมะแมเข้าสู่ปีวอกอีกสองวันนี้ นี่เกิดกลียุค หลบเข้าใต้ต้นพฤกษาหลบเข้าสมาธิบำเพ็ญจิตภาวนา สมาธิเป็นร่มใหญ่ ภายในย่อมร่มเย็นเป็นสุขตลอดรายการ
ขณะที่พูดนี่อาพาธหนัก ยังพูดให้โยมฟังได้ โยมปวดเมื่อยนิดหน่อยทนได้ไหม คนนี้จะตายอยู่ในโบสถ์วันนี้แล้ว ก็ยังทนตะเกียกตะกายมาพูดให้ฟัง
แยกรูปแยกเวทนาออกไป ให้มันปวดของมันไปก่อน แล้วเราก็ฝากความปวดไว้ที่อื่นก่อน แล้วก็เอาความดีมีปัญญามาพูดให้โยมฟัง
เวทนานี่กำลังปวดหนัก แล้วเราก็แยกออกไปซิ ถ้าเอามาปนกัน เอาไข้ไว้ในใจ เอาความทุกข์มาไว้ในใจโยมจะมีทุกข์ระทมขมขื่นแค่ไหนประการใด
ถ้าท่านเป็นสามีภรรยาทะเลาะกัน ลูกจะหาความสุขไม่ได้นะ ข้อนี้ไม่มีใครคิด อาตมาพยายามคิดให้เสมอคือกรรมฐาน
ขอฝากไว้ พ่อแม่รักกันดี ปรึกษาหารือกันดี ลูกดีใจมาก มีความสุข สว่างฟ้าสว่างดิน เหมือนพระจันทร์ลอยเด่นอยู่ในนภากาศ
พ่อแม่ทะเลาะกัน ไม่เอาเหนือเอาใต้กันเลย จนกระทั่งแก่แล้วนะ ลูกบ้านนั้นไม่มีความสุขเลย เหมือนฟ้ามันมืด เหมือนเมฆหมอกมาบังพระจันทร์ฉะนั้น
จะรับราชการหรือรัฐวิสาหกิจก็ดี อย่าไปสนใจกับคนอื่น สนแต่งานในหน้าที่ ท่านจะสร้างความดีต่อไป ไม่ต้องมองใครในแง่ร้ายมองคนในแง่ดี ถึงจะอิจฉาเราอย่างไรก็กลับไปหาเขาเอง เขาสร้างความเดือดร้อนของเขาเอง
เราก็ตั้งจิตบำเพ็ญจิตภาวนากำหนดจิตด้วยการทำงาน จิตก็แสดงออกด้วยปัญญา จริงต่อการงาน จริงต่อหน้าที่ จริงต่อวาจาที่พูด จริงต่อบุคคล จริงต่อความดีที่สร้างมานานฉะนั้น
คนเราที่จิตไม่สงบมีหลายประการ ไม่ได้เคยฝึกกรรมฐานไว้จิตสงบยาก
๑. มีไม่พอ จิตไม่สงบ
๒. ถูกเบียดเบียนจิตใจ
รับรองหาความสุขไม่ได้เลยโดนเบียดเบียนจิตใจ ถ้าไม่ฝึกกรรมฐาน ท่านจะหาความสุขไม่ได้ ท่านจะไม่มีสมาธิ ถ้าท่านฝึกไว้ก่อนท่านจะไม่กลัวเลย มีแค่ไหนท่านก็เอาแค่นั้น ตามมีตามเกิด ประเสริฐจริง ๆ
ถ้ามีไม่พอ รับรองท่านหาสมาธิไม่ได้ ท่านจะไม่มีความสุขใครจะมาเบียดเบียนจิตใจอย่างไรตั้งสติเข้าไว้
๓. โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน
ท่านจะมีความสุขได้หรือ ท่านจะมีความสงบได้ไหม ถ้าไม่ได้ฝึก
๔. อวัยวะไม่ตั้งอยู่ในความปกติ
รับรองได้เลย ท่านจะไม่มีความสงบเลย มีแต่ความวุ่นวาย ไอ้โน่นก็ชำรุด ไอ้นี่ก็ชำรุด อินทรีย์ก็หย่อนยาน หน้าที่การงานก็บกพร่องหาความสงบไม่ได้หรอกจะบอกให้
๕. สิ่งแวดล้อมดึงไปในทางชั่ว
สิ่งแวดล้อมในหมู่บ้านของตนคอยจะดึง รับรองจิตไม่สงบแน่ ๆ มันคอยจะดึงไปทางโน้น ดึงไปสู่ทางนี้ จิตก็เลยพะว้าพะวัง รักพี่เสียดายน้องจิตไม่สงบ
๖. ครอบครัวไม่มีความสุข
ทะเลาะกันตลอดรายการในครอบครัวของตน ท่านจะมีความสงบได้หรือ ท่านจะมีความสุขจากความสงบไม่ได้เลย
๗. ใช้เวลาว่างเกินไป
คนไหนว่างไม่มีงานทำ จิตไม่ดี ไม่สงบ คอยจะออกไปคิดเรื่องที่เลว ๆ เรื่องดี ๆ ไม่เคยคิดเลย มันทำให้จิตไม่สงบ อย่าใช้เวลาว่างเกินไป ต้องว่างกิเลส ไม่ใช่ว่างงาน ทำงานเป็นกรรมฐานต่อไป
๘. มัวเมาอบายมุข
ท่านจะหาจิตสงบไม่ได้เลย
ขอฝากเจริญพรให้ท่านฟัง เรื่องจริงมีอยู่ในเหตุผล เรียกว่าวิทยานิพนธ์ชีวิต หาความสงบไม่ได้แล้ว ขอให้ตั้งใจกันเถิด ท่านจะประเสริฐในโอกาสต่อไป
ถ้าฝึกกรรมฐานไว้ดี จะได้มีปัญญา รับรองมีก็พอ ใครจะเบียดเบียนจิตใจก็ไม่ยั่น โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนบีฑาก็ไม่ต้องกลัวเพราะเรามีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา
ร่างกายอวัยวะไม่ตั้งอยู่ในความปกติก็ไม่กลัว ตั้งสติไว้อย่างที่อาตมาเป็นอยู่ขณะนี้ ก็ตั้งสติกำหนดได้ เพราะเราฝึกไว้ก่อน
สิ่งไหนจะเบียดเบียนไปในทางชั่ว เบียดเบียนจิตใจให้เราช้ำอกช้ำใจ เราก็ไม่ท้อ จิตก็สงบปรารภธรรม ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
ครอบครัวหาความสุขเถิด สามีภรรยาอย่าทะเลาะกันเลย สองคนตายายหมั่นสวดมนต์ไหว้พระ เจริญภาวนาให้ลูก ปลูกฝังให้หลานอยู่เย็นเป็นสุข นี่สิถึงจะถูกต้อง
ไม่ใช่ทำบุญไปสวรรค์ ทำบุญไปนิพพาน น้ำลายไหลยืด ฟังเทศน์กันไม่พัก เลยควักติดกัณฑ์เทศน์กันหมดตัว เดี๋ยวทอดกฐินผ้าป่า
ขอเจริญพร วัดนี้ไม่ต้องนะอาตมาจะทำบุญกับโยม ให้กลับไปมีความสุขในบ้าน กลับไปแล้วขอให้เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี มั่งมีศรีสุข ให้ลูกหลานเป็นดอกเตอร์ เท่านี้พอใจแล้วในโลกมนุษย์
ไม่จำต้องกล่าวว่าไปสวรรค์นิพพาน แค่ขั้นต้นก็มีแต่ความทุกข์หาความสุขไม่ได้เลย ไหนเลยจะไปสวรรค์ นิพพานกับเขาได้ ขอฝากไว้
แต่ต้องขออภัย ที่ไม่ได้รับความสะดวก กุฏิอาตมาก็รื้อ ห้องแถวกรรมฐานจะรื้อสร้างเป็นตึกสองชั้นทั้งหมด โอกาสหน้าจะบริการให้ดีกว่านี้ อาตมาจะให้ความสะดวกความสบายแก่โยมทุกประการ
ขอให้โยมตั้งใจทำกรรมฐานอย่ามาทำจิ้ม ๆ จ้ำ ๆ ต้องกำหนดกระทั่งกลับบ้าน อยู่บ้านต้องทำที่บ้านด้วย กำหนด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยืน เดิน นั่ง นอน เหลียวซ้ายแลขวา คู้เหยียด เหยียดขา กำหนดกาย เวทนา จิต ธรรมให้ครบ
เดินจงกรม เดินไปไหนก็ตั้งสติไว้ ยืนหนอ ๕ ครั้ง ก็ตั้งสติให้มันถูกต้อง จะได้รู้วาระจิตใจของตนและของคนอื่นเขา จะได้แก้ปัญหาตรงนั้น
ไม่ใช่แก้ปัญหาไปเอาเจ้ามาเข้าทรง เป็นที่พึ่ง แล้วไหว้ผีสางกัน
น่าจะไหว้ตัวเอง ว่าตัวเองมีของดีเอาของดีมาอวดเขาบ้างซิ มีของดีอยู่ในตัวเองเอาไปทิ้ง เอาของไม่ดีมาใช้น่าเสียดายนะ น่าอับอายขายหน้ามีของดีก็ไม่ใช้ เอาของไม่ดีออกมาอวดเขาเสียได้ เป็นที่น่าเสียดายมาก ขอฝากไว้