ประสบการณ์ที่วัดอัมพวัน
โดย ผศ.สุขนิจ กล่อมจันทร์
ดิฉันได้มารู้จักวัดอัมพวันอย่างแท้จริง เมื่อคราวที่พุทธสมาคมแห่งประเทศไทยฯ จัดอบรมกรรมฐานให้แก่ข้าราชการบำนาญและประชาชนทั่วไป
ดิฉันได้มากับคุณแม่ที่เป็นข้าราชการบำนาญ และท่านอาจารย์ละเอียด วิสุทธิแพทย์ เป็นผู้นำ มีอาจารย์ในวิทยาลัยครูพิบูลสงครามที่ยังไม่เกษียณ ๓ คน รวมทั้งดิฉัน
แต่เดิมดิฉันไม่รู้จักหลวงพ่อและวัดอัมพวัน ท่านอาจารย์ละเอียดเป็นอาจารย์ของดิฉัน ได้มาบอกบอกบุญพิมพ์หนังสือสวดมนต์เพื่อแจกในวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อ ดิฉันก็ทำบุญไปเพียง ๑๐๐ บาท เพราะไม่รู้จัก แต่เห็นว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์แก่ทั่วไป ดิฉันได้รับหนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติจากท่านอาจารย์ละเอียด เมื่อมีเวลาว่างนำมาอ่าน รู้สึกสนใจ
ในปีถัดมาก็ได้ร่วมทำบุญ และขอรับหนังสือมาอ่านอีก มีความเลื่อมใสใคร่รู้ และทดลองปฏิบัติธรรม ได้ทราบเรื่องราวของหลวงพ่อและลูกศิษย์ ตลอดจนวัดอัมพวัน ถึงได้เดินทางมร่วมปฏิบัติธรรมกับพุทธสมาคมแห่งประเทศไทยฯ
เมื่อเดินดูรอบ ๆ วัด ดิฉันรู้สึกว่าเป็นวัดที่สะอาด มีระเบียบ มีการอนุรักษ์ธรรมชาติ สิ่งปลูกสร้างที่เป็นของเก่าและใหม่ แบ่งแยกเขตกันโดยไม่ขัดเขิน
ที่อยู่ของพระกับฆราวาสก็แยกกันดี ไม่เห็นพระเดินออกมาปะปนกับฆราวาส ที่ประทับใจดิฉันมากคือ กุฎิหลวงพ่อ ดิฉันไม่คาดคิดว่าเจ้าอาวาสจะอยู่ที่นี่ เพราะหลังเล็ก เก่าทึม ๆ ไม่ได้ตกแต่งอะไรที่เป็นวัสดุทันสมัยเลย ผิดกับศาลาอื่น ๆ
จุดนี้เป็นจุดที่ดิฉันประทับใจอยากเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อมากค่ะ ดิฉันได้คิดว่าพบพระที่มีเมตตาสูง เห็นแก่ผู้อื่นมากกว่าตัวเอง เป็นพระที่ดิฉันไม่เคยพบมาก่อน
วัดนี้เป็นวัดที่มีลูกศิษย์มากทุกระดับ มีความเจริญทางวัตถุและแสดงถึงความเจริญทางจิตใจในหลาย ๆ เรื่อง
การปฏิบัติธรรมครั้งแรกของดิฉันเป็นการรับแค่ศีลห้า เพราะต้องรับประทานยาหลังอาหาร จึงต้องรับประทานอาหารเย็นด้วย
เรือนที่ดิฉันอยู่เป็นเรือนริมน้ำรับรองวิทยากร ท่านวิทยากร พ.อ.ปาน จันทรานุช อยู่ชั้นบน ดิฉันอาจารย์ละเอียด และเพื่อนอาจารย์อยู่ชั้นล่าง รวมทั้งคุณแม่ของดิฉัน
คืนแรกที่เรือนหลังนี้ ดิฉันฝันเห็นเด็กผู้หญิงอ้วนขาว อายุประมาณ ๖-๗ เดือน น่ารักมาก เหมือนตุ๊กตาแต่ทราบว่าไม่ใช่คน เขามาปรากฎตัวให้เห็น
คืนที่สอง ดิฉันก็ฝันอีก เป็นเด็กอีก แต่ต่างจากคนที่มาคืนแรก และฝันทุกคืน ในลักษณะที่ปรากฎให้เห็นและเป็นเด็กไม่ซ้ำคนกันทุกคืน
ดิฉันได้คุยให้เพื่อนอาจารย์ด้วยกันทราบเมื่อกลับมาถึงวิทยาลัย ไม่กล้าเล่าตอนอยู่วัด เกรงว่าเพื่อนจะกลัว พอเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง มีคนหนึ่งบอกว่าให้ไปซื้อสลากกินแบ่ง
ดิฉันก็ไปซื้อ ปรากฎว่าถูกเลขท้ายที่เพื่อนตีให้ว่า ผีเด็กต้องเป็นเลขนี้ ธรรมดาไม่มีความรู้และไม่ชอบซื้อ แต่เพื่อนยุว่าเขาคงมาขอส่วนบุญ เมื่อถูกก็ทำบุญไปให้เขา ดิฉันเลยรีบทำบุญใส่บาตร กรวดน้ำไปให้
เรื่องฝันเห็นเด็กผีนี้ พอกลับมาบ้าน ดิฉันก็ฝันอีกนะคะ แต่ฝันเพียงคืนเดียว คราวนี้เป็นเด็กผู้ชายอายุไม่เกิน ๕ ขวบ ขาพิการ
ต่อมาครั้งที่สอง ดิฉันได้อาสาช่วยอาจารย์ละเอียดพานักศึกษามาปฏิบัติธรรมกับสหวิทยาลัยพุทธชินราช มีวิทยาลัยครูกำแพงเพชร เพชรบูรณ์ พิบูลสงคราม และนครสวรรค์
การมาครั้งนี้เพราะดิฉันเคยพบความสุขจากการปฏิบัติครั้งแรกกับพุทธสมาคมฯ ดิฉันได้รับความรู้สึกเป็นสุข ปลอดโปร่ง อธิบายให้ใครฟังไม่ถูกประมาณ ๒๐ นาที ในวันที่สองของการปฏิบัติ
และคำพูดของท่าน พ.อ. ปาน ที่อธิบายเรื่องการเกิด-ดับ ประโยคที่ว่า “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป” เข้ากับสภาวะของดิฉันพอดี
ดิฉันนั่งสมาธิรู้สึกปวดมาก เมื่อกำหนดว่า ปวดหนอ ๆๆ ไปถึงจุด ๆ หนึ่งก็ไม่ปวดอีกเลย มีความว่างโล่งเบาสบาย จนอธิบายไม่ถูก แต่นั่งสมาธิอีกครั้ง ก็ไม่ได้รับความรู้สึกนั้นอีกเลย
ในครั้งที่สองที่มากับนักศึกษานี้ ดิฉันได้พักที่เรือนริมน้ำหลังเดิม ห้องเดิมอีกแล้ว อาจารย์ละเอียดถามดิฉันเหมือนกันว่าจะแลกห้องไหม ใจดิฉันอยากแลก แต่ความเกรงใจอาจารย์ที่ว่ามีของมาก จึงฝืนใจบอกไปว่า “ไม่เป็นไรค่ะ” แต่ใจนั้นกลัวหน่อย ๆ
น้องที่พักกับดิฉันชื่อ อาจารย์ชุลีรัตน์ จันทร์เชื้อ เธอสมัยใหม่มาก จิตใจของดิฉันตอนนั้นไม่ดีเลยที่ให้อาจารย์ชุลีรัตน์นอนที่เดิมของดิฉันแต่ไม่ได้เล่าให้ทราบ เกรงว่าเธอจะกลัว
ดิฉันได้สวดมนต์ บำเพ็ญสมาธิแผ่ส่วนกุศลและแผ่เมตตาไปให้ดวงวิญญาญทั้งหลาย ทุกครั้งที่ทำบุญนั่งสมาธิ และเดินจงกลม
คืนแรกดิฉันก็ฝันถึงผีเด็กอีก มาให้เห็นเหมือนเดิม ดิฉันเกิดอารมณ์หงุดหงิด บอกกับตัวเองว่า ดิฉันมาปฏิบัติธรรมเพื่อหาความสงบของจิตใจ ไม่ใช่มารับสินบนจากผีให้ถูกหวยเลขรางวัล
ดิฉันไม่ร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้ยากจน อยากให้ผีทั้งหลายรู้ว่าดิฉันกลัว ไม่อยากเห็น ไม่อยากต้องรับรู้ แล้วตัวเองจิตใจหดหู่
วันรุ่งขึ้นดิฉันก็ไปปฏิบัติธรรมตามปกติ แต่อาจารย์ชุลีรัตน์เธอบอกว่า ไม่ค่อยสบาย ขอนอนอยู่ที่ที่พัก ไม่ต้องเรียกเธอ เพราะตอนนั้นเป็นฤดูหนาว เป็นช่วงหนาวจัดมาก และต้องลุกเวลาตี ๔ ดิฉันก็ไม่ได้คิดอะไร
พอตอนพักหลังรับประทานอาหารเช้าแล้ว อาจารย์ชุลีรัตน์เล่าว่า เห็นเด็กผู้ชายอายุไม่เกิน ๑๐ ขวบ เป็นเด็กท้องนา ไม่ใส่เสื้อ ไว้ผมกละแบบเด็กโบราณ มาเมียง ๆ มอง ๆ ดูอาจารย์ด้วยความสนใจใคร่รู้
ดิฉันจึงเล่าเรื่องความฝันของดิฉันให้อาจารย์ชุลีรัตน์ทราบและออกความเห็นกันว่า เรือนนี้ทำไมหนอจึงมีแต่เรื่องของเด็ก ๆ น่าจะมีเด็กที่ตายบริเวณนี้นะ อยากจะกราบเรียนถามหลวงพ่อ แต่ท่านมีแขกมาหาตลอดเวลา
หลวงพ่อต้องเหน็ดเหนื่อยจากการรับแขก แล้วยังปลีกเวลามาพบพวกเราแม้อากาศจะหนาวมากและดึกเพียงใด พวกเราทราบและซึ้งใจในความเมตตาของหลวงพ่อ
ในคืนที่สอง ดิฉันฝันเห็นหญิงชาวบ้าน อายุประมาณ ๑๘ ปี มาชวนดิฉันไปดูอะไรกันที่ตลิ่งริมน้ำใต้ต้นพุทรา ดิฉันไปถึงเห็นกองรกและเด็กตายแล้วเป็นผู้ชาย
หญิงนั้นบอกว่า ผู้ชายทำให้เขาท้องแล้วไม่รับ จึงทำให้ลูกออกมาก่อนกำหนด ประชดผู้ชาย เขาถามดิฉันว่า
“พี่ดูสิ หน้าเหมือนพ่อของเขาไหม?”
ในฝันดิฉันก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่ทราบ ไม่เคยเห็นพ่อของเด็ก และเด็กนั้นก็เป็นตัวอ่อนที่ยังไม่เต็มวัยที่ออกมาเป็นทารก
เมื่อตื่นแล้ว ดิฉันเล่าให้อาจารย์ละเอียดฟัง อาจารย์ถามว่า “เคยแท้งบุตรไหม?” ดิฉันไม่เคยแท้ง ไม่เคยทำแท้ง และไม่เคยมีปัญหาเรื่องการท้อง หรือแท้งบุต ร ดิฉันแต่งงานกับสามีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อยู่ด้วยกันมาสองปีจึงมีบุตร
ในคืนที่สาม ดิฉันไม่ได้ฝัน แต่มาพบเลย การมาครั้งนี้ดิฉันตั้งใจแน่วแน่ที่จะถือศีลแปด รุ่นพี่ ๆ ที่เคร่งครัด น่าศรัทธา ดิฉันอยากเป็นแบบพวกเขา คือมีดวงหน้าสงบเรียบ ดวงตามีประกายสว่างสะอาด เหมือนดวงตาทารก
เขาบอกดิฉันว่า หลัวเวลาห้าทุ่มไปแล้ว ออกจากการถือศีลแปด ก็รับประทานอาหารได้ และคืนนั้นเป็นวันที่หลวงพ่อแจกวุฒิบัตร เป็นวันโกน ดิฉันจำได้แม่นมาก
ดิฉันปรารภกับอาจารย์ละเอียดว่า เพลียมาก หิวข้าว กระวนกระวาย ไม่ค่อยสงบ อาจารย์ได้ให้คนขับรถไปซื้อข้าวเตรียมไว้ให้ดิฉันรับประทานตอน ๕ ทุ่มไปแล้ว
คืนนั้นเป็นวันอาทิตย์ด้วย หลวงพ่อขึ้นช้ากว่าเวลา ๑ ชั่วโมงกว่า เพราะมีแขกมามากเหลือเกิน แต่หลวงพ่อก็ยังกรุณาแก่พวกเรา ท่านยังมีมุขตลกแหย่อาจารย์ละเอียด แหย่อาจารย์พรทิพย์ ชูศักดิ์ ให้พวกเราได้หัวเราะหายง่วง
แต่ดิฉันมักมากในการรับประทาน ใจนึกถึงแต่ห่ออาหารที่คนรถซื้อเตรียมไว้ให้ คอยดูเวลา ๕ ทุ่ม ๑ นาที ก็เลี่ยงออกไป นำห่อข้าวมาจะรับประทานที่ที่พัก
แต่พอแกะห่อข้าวออก ดิฉันรู้สึกเย็นยะเยือกทั่วไขสันหลัง เป็นความเย็นที่น่าแปลกมาก น่ากลัวเหลือเกิน ได้กลิ่นที่คิดเอาเองว่า เป็นกลิ่นน้ำมันพลาย และมีความรู้สึกว่าดิฉันไม่ได้อยู่คนเดียวในขณะนี้
เหมือนมีใครอยู่ทางเบื้องซ้ายของดิฉัน ถ้าดิฉันเงยหน้าขึ้นจะพบทันที ดิฉันตัวสั่นไปหมด กลัวสุดขีด ท่องนะโม พุทโธ ฯลฯ สลับไปสลับมา ดิฉันบอกว่ากลัว ๆๆ อย่าให้เห็น ๆ ขอให้กลับ ๆๆ จะทำบุญไปให้สลับไปสลับมาอย่างนี้
ครั้งแรกลุกไม่ไหว ขาแข็ง ก้าวไม่ออก สักพักก็ลุกได้ เดินดูแต่ปลายเท้าตัวเอง ไปยังศาลาสุธรรมภาวนาที่ทุก ๆ ชีวิตอยู่บนนั้น
ขณะนั้นหลวงพ่อกำลังแจกพระคราวที่หลวงพ่อคอหัก และกำลังถ่ายรูปกันอยู่ เป็นเวลาห้าทุ่มยี่สิบกว่านาทีค่ะ
ธรรมดาดิฉันไม่เคยเชื่อว่าผีมีจริง สอนลูกด้วยว่าไม่มี ไม่ให้กลัว ดิฉันไม่เคยห้อยพระ มีความคิดว่าพระอยู่ในใจเรา เราไม่ทำชั่ว ไม่คิดร้าย ไม่เบียดเบียนใคร มีสมอง มีสติแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าด้วยปัญญาของเราได้ ไม่เคยพะวงหรือหวาดกลัวอะไร มาถึงจนอายุ ๔๔ ปีเข้านี้ ดิฉันชักจะต้องเชื่อเสียแล้วว่าผีมีจริง
ดิฉันกลับมาเล่าให้อาจารย์กมลนาฎมาลากุล เธอสอนภาษาอังกฤษ เคยแขนหัก หลวงพ่อนำน้ำร้อนเดือดพล่านอมเป่าให้เธอ
เธอฟังแล้วบอกว่า ครั้งแรกที่ไปกับดิฉัน (ตอนพุทธสมาคมฯเป็นผู้จัด) เธอก็ฝันเห็นเด็ก ๆ มาเล่นกันเจี๊ยวจ๊าว เป็นภาพการพายเรือเล่น การเล่นสนุกสนานของกลุ่มคน มีเสียงเอะอะโวยวาย ที่ครึกครื้น ส่วนมากเป็นเด็ก ๆ แต่ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง
ดิฉันกลับจากวัดก็ได้ใส่บาตรอุทิศส่วนกุศล เวลาใส่บาตรจะอธิษฐานว่าขอให้ได้ใส่ของดียิ่ง ๆ ขึ้น ได้ใส่มากขึ้น แล้วได้อย่างอธิษฐานทุกที
ดิฉันทำบุญส่วนมากจะทำไปเฉย ๆ ไม่ค่อยอธิษฐาน เพราะสามีคอยแซวดิฉันว่า ติดสินบนพระค้ากำไรเกินควร ทำให้ดิฉันละอายไม่กล้าขออะไร
แต่คุณป้าของดิฉันเคยสอนว่า ทำบุญแล้วต้องอธิษฐาน ตอนหลัง ๆ ดิฉันก็ขอค่ะ ขอให้จิตใจแจ่มใสเบิกบาน มีปัญญา ไม่เคยขอทรัพย์สิน เงินทองอะไรเลย เพียงคิดว่าใจสงบ เข้าถึงธรรม ก็เป็นสิ่งประเสริฐสมควรแก่เวลา ศรัทธาที่เราลงไปแล้ว