ประสบการณ์ในชีวิต
โดย จ.ส.อ.เหลือ กล่อมปัญญา
ผมรู้จักพระครูภาวนาวิสุทธิ์คุณ ตั้งแต่ท่านเป็นพระอาจารย์จรัญ วัดพรหมบุรี แต่ผมไม่ได้สนใจเข้ามาปฏิบัติกรรมฐาน จนกระทั่งกองพลที่ ๓ ได้จัดอบรมนายทหารชั้นประทวนขึ้นที่วัดอัมพวัน ผมได้เข้ารับการอบรมในครั้งนี้ด้วย เป็นจำนวน ๗ วัน ท่านพระครูได้เมตตาสอนและอบรมทุกวัน ท่านชี้ให้เห็นถึงกฎแห่งกรรมที่ได้กระทำไว้
ผมเกิดที่บ้านท่านั่ง ตำบลท่านั่ง อำเภอบางคลาน (ปัจจุบันคืออำเภอโพทะเล) จังหวัดพิจิตร เมื่อจบการศึกษาระดับประถมแล้วได้มาเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนประจำจังหวัดพิจิตรเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ ในวัยเด็กจนถึงวัยหนุ่มมีชีวิตค่อนข้างสมบุกสมบัน โดยเฉพาะสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ญี่ปุ่นเข้ามาตั้งกองทหารในประเทศไทย ผมเป็นคนมีเพื่อนฝูงมาก ตั้งแต่เป็นหนุ่มเริ่มเที่ยวเตร่มากขึ้นจนลืมการคัดเลือกทหาร เมื่อเข้าวัยเบญจเพสได้อุปสมบทที่วัดกำแพง อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๓ สิกขาลาเพศแล้วได้ไปขึ้นทะเบียนใหม่ ลดอายุเป็นเกิดปี ๒๔๗๕ (โดยการช่วยเหลือของผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง) ได้เป็นทหารเกณฑ์ เพราะให้สัจจะไว้กับเพื่อน และเพื่อนคนเดียวกันนี้ได้พาเข้าโรงฝิ่นกลายเป็นคนติดฝิ่น
เมื่อหมดภารกิจการรับราชการทหารเมื่อปี ๒๔๙๗ แล้ว ได้สมัครสอบในตำแหน่งพลขับกองร้อยพลาธิการ ประจำค่ายพระนเรศวรฯ ผมสอบได้แต่นายทหารยศพันเอกผู้หนึ่งไม่ต้องการผม ท่านบอกผมเป็นนักเลง ท่านไม่ต้องการ อีกฝ่ายหนึ่งต้องการ จนเกือบมีเรื่องกันในที่สุดร้อยเอกท่านหนึ่งปลอบผมว่าไม่ต้องเสียใจ ในเมื่อเขาไม่ต้องการเรา เราก็ไปเสียจากที่นี่ ผมปลดจากทหารแล้วไม่ได้กลับบ้านเหมือนเพื่อน ๆ ผมเช่าโรงแรมอยู่ และเที่ยวค้าขายของเถื่อน เล่นการพนันบ้างตามโอกาส แต่จะค้าของเถื่อนเสียเป็นส่วนมาก
แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ในเมื่อสายสืบของตำรวจได้บอกกับผมว่าให้ผมออกจากจังหวัดพิษณุโลก กลับบ้านภายใน ๒๔ ชั่วโมง ผมก็เลยต้องออกจากพิษณุโลกกลับบ้านเกิดที่จังหวัดพิจิตร อำเภอตะพานหิน อยู่บ้านได้เดือนเศษ ก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ พักอยู่ที่บ้านพี่แก้ว สิงห์คะเชนท์ ออกพบปะเพื่อนฝูงและเที่ยวหาลูกพี่ตามโรงยาฝิ่น ต่อมาได้เข้ารับราชการทหารอีกครั้งในตำแหน่งพลขับรถ โดยความช่วยเหลือของนายทหารท่านหนึ่ง แม้จะได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชา แต่ในทางส่วนตัวแล้ว ผมยังติดยาฝิ่นและกัญชา พอเลิกจากงานผมจะไม่กลับบ้าน บางครั้งนอนที่โรงฝิ่นเลย
ครั้งหนึ่งถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ ๑๕ วัน เพราะติดยาเฮโรอีนอย่างหนัก ผมเห็นว่าชีวิตราชการจะไปไม่รอดแน่ พอออกจากเรือนจำจึงลาราชการ ๗ วัน เพื่อไปเลิกยาเสพติดที่วัดถ้ำกระบอก การรักษาได้ผลคือเลิกเฮโรอีนได้ แต่ยังกินเหล้าและสูบกัญชามาก ในเวลาต่อมาได้ไปเรียนพลขับรถสายพานลำเลียงพลที่จังหวัดกาญจนบุรี เป็นเวลา ๑ เดือน และในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ได้ย้ายจากกรุงเทพฯ มาอยู่ที่กองร้อย ข.ส. ที่ ๖ จังหวัดพิษณุโลก ในตำแหน่งพลขับรถ
พ.ศ. ๒๕๑๑ ทางราชการได้ส่งผมขึ้นไปประจำที่ทุ่งช้างซึ่งกำลังมีศึกหนัก งานประจำคือการคุ้มกันฐาน และออกปฏิบัติการคุ้มกันการสร้างทาง เหตุการณ์ขณะที่ผมปฏิบัติหน้าที่อยู่เพียง ๒ เดือนเศษ ฝ่ายเราถูกส่งกลับจากหน่วยคุ้มกัน และผมได้ถูกส่งกลับหน่วยปกติเมื่อปี ๒๕๑๓ และถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจต่อที่จังหวัดเพชรบูรณ์
ในทรรศนะของผม เห็นว่า ช่องว่างระหว่างบุคคลสมัยใหม่มีมากเหลือเกิน การกินเหล้า สูบกัญชา เป็นของประจำของชีวิต ผมไม่เคยคิดจะเลิกเรื่องความเมาจากอบายมุขเหล่านี้เลย ต่อมาทางราชการได้มีการริเริ่มพัฒนาทางด้านจิตใจ ผมก็มาอบรมตามคำสั่งของทางกองทัพ ภาคที่ ๓ จุดแรกรู้สึกว่าจะยุ่ง ๆ เวลาท่านผู้ให้การอบรม จุดหมายปลายทางคืออยากให้ทหารทุกคนทำความดี ละความชั่ว จิตใจสงบ ทำใจให้มีความสุขสดชื่นและเบิกบาน ส่วนตัวผมเองนั้นพอฟังแล้วรู้สึกใช้ความคิดมากว่า ความสุขทางใจนั้นต้องมีความมึนเมาจึงจะมีความสุข สุขที่มีองค์ประกอบจากการหาความชั่ว จากการสิ้นเปลืองทรัพย์ เพื่อจับจ่ายใช้สอยหามาซึ่งเครื่องดองของเมา ความไม่สำเร็จในขั้นต้นและความวิบัติต่าง ๆ จะเกิดขึ้นเสมอเมื่อมีความมึนเมา
ผมเริ่มจะมีธรรมะจากท่านพระครูภาวนาฯ วัดพรหมบุรี พระคุณท่านเป็นผู้ปรุงแต่งให้เกิดอรรถรสแห่งธรรมะ ผมจึงฝึกจิตตามที่พระคุณท่านแนะนำ พยายามทำจิตตามที่เราตั้งใจไว้ ปฏิบัติได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่แล้วผลของการปฏิบัติจะสำเร็จผลตามที่เราตั้งใจไว้ ตามที่ผมว่าสำเร็จนั้น ไม่ใช่ว่าจะรู้นรก-สวรรค์ หรือพบเห็นนรก-สวรรค์ หาใช่ไม่ สิ่งที่ผมว่าสำเร็จนั้นคือ การปฏิบัติที่เราทำจิต บังคับใจให้เกิดสติ แล้วจะเกิดปัญญา ทำให้ผมละเลิกสิ่งที่ผมต้องการ สิ่งนั้นคือเหล้า-กัญชา-บุหรี่ การที่ผมละเลิกนั้น ผมละเลิกเองโดยใช้ธรรมะเข้ามาช่วยบังคับจิตให้รู้ถึงผลได้ผลเสีย ปัญญาจะก่อและเกิดขึ้น พิสูจน์ได้จากตัวเราเอง นี่คือความสำเร็จในการปฏิบัติธรรมกับพระคุณท่านหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณ แห่งวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี
คติ – พอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้