นกไม่เคยเห็นฟ้า ปลาไม่เคยเห็นน้ำ
โดย บุญส่ง อินทวิรัตน์
วันหนึ่งใกล้ค่ำแล้ว ข้าพเจ้า”ยืนหนอ” กำหนดสติ ไล่ตามกลางกระหม่อมผ่าซีก เก้าสิบองศาทะลุกลางลงระหว่างหัวแม่เท้าทั้งสองข้าง แล้วก็ให้สติ ไล่ตามจากหว่างเท้าทั้งสองขึ้นกลางกระหม่อม ทำไป ๆ ทำอยู่นานหนักเข้าสติมันไปหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับลมหายใจไปเลย ไม่ต้องไปไล่กวด วิ่งไล่จับกันวุ่นวาย ให้สติและลมหายใจเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน แหม! ก็ทำยากอีกนะแหละ ไม่ใช่เขาจะยอมลงเอยกันง่าย ๆ วิ่งหนีวิ่งไล่ตามกันอยู่นั่นแล้ว ลำบากยากแท้หนอ
ยืนหนอ ๕ ครั้งหลายชุดอยู่พักใหญ่ ใกล้ค่ำวันหนึ่ง แว้บเดียว อ้าว! กายละเอียดข้างในของข้าพเจ้า หลุดไปยืนมองพิจารณากายเนื้อกายหยาบอยู่ข้างนอกเสียแล้ว เห็นชัดเลย ไม่ได้เห็นด้วยตา แต่มันคล้าย ๆ เห็นหมดพร้อมกันทันที ไม่ใช่เห็นทีละส่วนเหมือนใช้ตาเนื้อมอง เจ้ากายทิพย์นี่สามารถเห็นแบบ ปรุโปร่งทั่วตลอดหมดในพริบตาเลย ไม่ได้นึกดีอกดีใจอะไร รู้สึกเฉย ๆ จากนั้น ก็ไปเดินจงกรม ตามที่หลวงพ่อเจ้าคุณฯ สอนไว้ว่า ให้ ยืน เดิน นั่ง ต่อเนื่องเหมือนกรอด้ายเข้ากระสวย อย่าให้ขาดช่วงขาดจังหวะทั้งสามอาการนี้ กำลัง ย่างซ้าย ย่างขวา เดินไปช้าที่สุดเท่าที่จะช้าได้ ไม่ใช่เดินวันเดียวเดี๋ยวเดียวแล้วได้นะขอรับ เล่นกันนานเชียว ก็ค่ำวันหนึ่งเดินจงกรม ไปเรื่อย ๆ ไม่ได้หวังอะไร วันเดียว กายเนื้อมันหายไป มองเห็นเท้าตนเอง ยก ย่าง เหยียบ เห็นชัดเลย เอ๊ะ! มันเห็นได้ยังไง ก็เวลาเดินจงกรม เราไม่ได้เดินมองฝ่าเท้านี่นา แล้วกายส่วนบนมันหายไปไหน นึกรู้ตลอดก็ไม่ได้ตกใจ ไม่ได้ดีใจ รู้สึกเฉย ๆ
จากนั้น ก็ไปนั่งกำหนดในท่าอาสนะ อันว่า อาสนะ นี่ออกจะนั่งยากหน่อยนะครับ นั่งท่าอาสนะ หรือท่าดอกบัวนี่ จิตมันดิ่งลงได้เร็วมาก และทั่วตลอดหมดของร่างกาย จะอยู่ในลักษณะเตรียมพร้อมทั่วตลอดหมด ข้าพเจ้าชอบนั่งท่าอาสนะนี่มาก ฝึกมาตั้งแต่เยาว์วัย เลยทำได้สบาย ๆ เหมือนนั่งธรรมดาไปเลย นั่งท่านี้มันจะช่วยให้พลังกุลดาลินี ที่จะเคลื่อนไหวจากบริเวณกระดูกเชิงกราน ระหว่างกระดูกสันหลังข้อสุดท้าย ไล่ตามไขกระดูกสันหลัง ขึ้นกลางกระหม่อม แผ่ซ่านพลังไปเปิดสวิตช์ดวงตาที่สาม ที่สำคัญ เมื่อพลังกุลดาลินี ได้ถูกปลุกให้ตื่นแล้ว ไขกระดูกสันหลังจะถูกเปลี่ยนสีและแผ่รังสีได้อีกด้วย มันจะฟอกไขกระดูกสันหลังทั่วตลอดหมด ไปถึงกลางกระหม่อมจนถึงเปิดดวงตาที่สาม ที่หลวงพ่อเจ้าคุณ พระราชสุทธิญาณมงคลเคยชี้ให้นักปฏิบัติสติปัฏฐาน กำหนดเห็นหนอ ระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง กลางหน้าผากนั่นเอง
อันนี้ได้ประโยชน์เหลือจะกล่าวได้ถ้วนถึง เอาไปใช้ มองอะไรได้อย่างชนิดถูกต้องตามที่เป็นจริง เช่น เห็นว่า คนที่นั่งสนทนากับเรานี่ คดในข้องอในกระดูก เล่เหลี่ยม หลอกลวง หรือเป็นคนซื่อตรง ปากกับใจตรงกัน ก็เห็นได้ เห็นว่าคนที่กำลังเดินเข้ามาหาเรานี่ เขามีปัญหาอะไร เดือดร้อนอะไร เป็นทุกข์เรื่องอะไร ยังเอาไปช่วยเหลือปัดเป่าปัญหาได้ตั้งมากมาย ไม่รู้หมดอีกด้วย มันเกิดประโยชน์มหาศาล “เห็นหนอ” กำหนดรู้ลงไป คนที่เดินมาหาเรา คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเรา เป็นคนอย่างไร มีอะไรอยู่ในตัวบ้าง นึกรู้ตามไปจนกระทั่ง หยั่งรู้จิตคนที่นั่งสนทนากับเรา เขากำลังนึกคิดอะไร หลอกลวง หรือซื่อสัตย์ จริงใจ ไม่จริงใจ มันรู้ได้อัตโนมัติไปเลย
อ้อ! เกือบลืมไปเลย เรื่องศัพท์คำว่า กุลดาลินี เดี๋ยวจะงงกันยกใหญ่ ไม่ใช่ศัพท์ใหม่นะครับ เป็นคำโบราณของท่านโยคี ดาบสแถบเชิงเขาหิมาลัย ท่านกล่าวถึงเอาไว้ห้าพันปีล่วงมาแล้ว เป็นอาการลักษณะของพลัง จะเรียก ลึกลับก็ใช่ จะเรียกว่า ไม่ลึกลับก็ใช่ มันหล่อหลอมรวมเอาพลังเกิดจากฝึกสมาธิ ไปผนึกรวมพลังดิน น้ำ ลม ไฟ ดวงดาว มวลสารทั้งหมดของจักรวาล หลอมไหลเลื่อนเข้าสู่ไขกระดูกสันหลัง บริเวณกระดูกเชิงกราน แล้วฟอกไขสันหลังให้เปลี่ยนสีจากสีไขวัวธรรมดา ให้เปลี่ยนสีและเกิดรังสี เกิดพลังคลื่นมหาศาล ไหลเลื่อนฟอกไขกระดูกสันหลังไล่ตามไปเรื่อย ๆ ถึงกลางกระหม่อม ไปกดสวิตช์เปิดดวงตาที่สาม ที่เรียกว่า ตาทิพย์ อยู่ระหว่างเหนือหว่างคิ้วทั้งสองข้าง กึ่งกลางหน้าผาก ทำให้เห็นอะไรตาที่ธรรมชาติมีอยู่ เป็นอยู่ เข้าใจยากหน่อยนะครับ เพราะปกติทุกวันคนเราไม่เห็นอะไรตามที่ธรรมชาติเขาเป็นอยู่จริง ๆ เลย เห็นอะไรปลอม ๆ หลอก ๆ กันทั้งนั้น แต่เราไม่รู้ตัว เพราะไม่ได้ฝึกสมาธิ สมถกรรมฐาน ไม่ได้ ฝึกสติปัฏฐาน ๔ เลยทึกทักเอาว่า ที่ตาเนื้อมองเห็นนั่นแหละของจริง ถึงได้ถูกหลอกถูกต้มถูกตุ๋น ถูกคดโกงมาสารพัด
นั่งทำสมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน พอเข้าที่ลงตัวเหมะเหม็ง เอาอีกละ เจ้าตัวกายละเอียดข้างในหรือกายทิพย์ เขาออกมานั่งประจันหน้า มองกายหยาบกายเนื้อของตนเอง มองบ้านเก่า ๆ เรือนผุ ๆ พัง ๆโทรม ๆ มองอยู่พักใหญ่จึงกำหนดรู้ ดึงกลับ แล้วจึงไปเดินซ้ำอีกชุด ก่อนจะไปอาบน้ำ สวดมนต์ เข้านอน ทำอยู่อย่างนี้สม่ำเสมอ ได้ผลดีมากทีเดียว แต่ก็ไม่เคยดีอกดีใจ ไม่รู้สึกอะไรเฉย ๆ เพราะปกติฝึกฝนมาตั้งแต่เยาว์วัย
สมัยเด็ก เคยฝึกเพ่งกสิณมาก่อนแล้ว ธรรมกายก็ฝึกมาโชกโชนแล้ว แต่ค้นลึกเข้าไป ค้นลึกเข้าไป ตามแบบฉบับ กาลามสูตรบัญญัติที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน คือ ต้องรู้จักเลือกเฟ้น เกิดเป็นคนถ้าไม่รู้จัก เลือกเฟ้น จะเลื่อนระดับไปเป็นมนุสส เห็นจะหมดหวังกันทีเดียว
ที่วัดอัมพวัน สิงห์บุรี หลวงพ่อเจ้าคุณพระราชสุทธิญาณมงคล ซึ่งข้าพเจ้าไปกราบเท้าขอฝากตัวเป็นศิษย์ บอกสอนเรื่อง ทุกขณะจิตอยู่ในปัจจุบัน ปัจจุบันแบบนามธรรม จับต้องไม่ได้ ก็ไปกำหนดรู้ด้วย สติปัฏฐาน ๔ กำหนดยืนหนอ ๕ ครั้ง ทำหลาย ๆ ชุด สติมันจะดิ่งลงสู่ศูนย์กลางที่ตั้งได้เร็ว และทำแบบสบาย ๆ ที่จะไม่สบายก็เห็นจะเป็นตอนยืนหนอ นี่ ยืนกันชาเมื่อยปวดขา เป็นตะคริวจนขาสั่น ขามันจะระเบิด บางครั้งมีอาการตัวโยกโคลงได้อีกด้วย ยืนหนอให้ดี ๆ เป็นวิธีเรียบ ๆ ง่าย ๆ ได้ผลเร็วมาก ทำให้จิตเราไม่ฟุ้งซ่าน แว้บเดียว ยืนหนอ ๕ ครั้ง กำหนดลมหายใจ กำหนดสติ ให้ดี ๆ แว้บเดียว พลิกแผ่นดินเลย แผลงฤทธิ์อิทธิบาทแว้บฉับพลัน ตัวข้างในกายทิพย์ หลุดออกมายืนมองกายหยาบ กายเนื้อ พิจารณาไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเรายืนกำหนดได้อย่างนี้ มันจะไปอยู่ในปัจจุบัน ทุกขณะจิต และยังดับสนิท เรื่องที่จะก่อภพก่อชาติของกระบวนการปฏิจจสมุปบาทไปพร้อมกัน เพราะมันดับสนิท ขันธ์ ๕ นิวรณ์ ๕ ไม่เหลือ กระบวนการ ๑๒ อาการ ที่จะปรุงแต่งขึ้นวงกลมรอบก่อภพชาติ ตามวิถี ของปฏิจจสมุปบาท ฟันฉับเดียว ข้อโซ่ถูกตัดขาด ไม่สามารถก่อภพก่อชาติได้ ขันธ์ ๕ จิต เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เหลืออะไรอยู่ให้ปรุงแต่งอีกเล่า ภพชาติจะไปก่อขึ้นได้อย่างไร นิวรณ์ ๕ ดับสนิทไปพร้อมด้วย ในโอกาสเดียวกัน แล้วพร้อม ๆ กันนี้ยังอยู่ ในปัจจุบันทุกขณะจิตไปอีกด้วย เลยหยุดก่อสร้างภพชาติ ทุกข์ชรา มรณะ โสกะที่ไหน มันจะเกิดได้เล่า สิ้นภพชาติ ดับสนิทไปแล้ว ไฟดับแล้ว ขาวสะอาดบริสุทธิ์ไปแล้ว ทำไมต้องแต่งชุดดำไปงานเผาศพด้วยเล่า คนจีนเขาทำถูก คนตายให้ใส่ชุดขาวสะอาดไปร่วมงาน แต่ประเพณีข้างไทยเราแต่งชุดดำ ดำทำไมอีกเล่า ไฟดับไปแล้ว มันสว่างแล้ว ภพชาติถูกเผาสลายไปแล้ว ขาวสะอาดซะที ไม่ได้หรือ
สติปัฏฐาน ๔ นี่ เป็นทางสายเอกแท้จริง ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทิ้งไว้ เป็นมรดกให้แก่มนุษย์ชาติทั้งหมด วัตถุดิบทำเหมืองทองสุดขอบฟ้า ก็ไม่ต้องไปหาที่ไหน วัตถุดิบคือ ลมหายใจเข้าออก ที่หายใจทิ้งไปวัน ๆ เปล่าประโยชน์นี่แหละ จับเอาลมหายใจมากำหนดรู้ด้วยสติตัวเดียวเท่านั้น ทำได้เมื่อใดนกเห็นฟ้า ปลาเห็นน้ำเมื่อนั้น เฉียบพลันทันที
หลวงพ่อเจ้าคุณพระราชสุทธิญาณมงคล กล่าวถ้อยคำลุ่มลึก เรียบ ๆ ง่าย ๆ เอาไว้ ทุกขณะจิต อยู่ในปัจจุบัน อยู่กับปัจจุบัน อดีตไม่ต้องไปอาลัยเก็บเอามาคิด เป็นขยะไปแล้ว เน่าไปแล้ว เอามาคิดทำไม อนาคตไม่ต้องไปจับตัววางตาย เอาตรงนี้ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น ให้จิตอยู่ในปัจจุบันทุกขณะจิต ถ้าเมื่อจิตอยู่ในปัจจุบันทุกขณะจิต แน่ชัดอยู่แล้วว่า กระบวนเพลง ๑๒ อาการของขบวนการปรุงแต่งภพชาติ ของวงกลมปฏิจจสมุปบาท ถูกฟันฉับเดียว ม้วนเดียวจบ ขาดสะบั้น ข้อโซ่ก่อภพก่อชาติ ถูกฟันฉับเดียวขาดสะบั้นหั่นแหลกดับสนิท ฝังไปแล้ว จะเหลืออะไร ให้ทุกข์ ชรา มรณะ อีกต่อไปล่า หลุดพ้นเสียทีไม่ได้หรือ ไฟมันดับสนิทไปแล้ว แต่งชุดขาวไม่ได้หรือ ทำไมต้องไว้ทุกข์อีกเล่า ทำไมต้องแต่งชุดดำด้วยเล่า ข้าพเจ้ากำลังเน้น ๆ จี้จุดมรณสติชัด ๆ แฝง ๆ ในคำกล่าวอยู่ในเชิงให้ชัดอยู่แล้วนั่นเอง
ข้าพเจ้ากล่าวกับทุก ๆ ท่านที่มาพบข้าพเจ้า เกือบจะครบหมดทุกจังหวัดในภาคอีสานที่มาสัมผัส กับชีวิตงานของข้าพเจ้า มักกล่าวฝากไว้เสมอ ๆ ว่า ปี พ.ศ. ๒๕๓๖ นี้เป็นปีที่ข้าพเจ้า นายบุญส่ง อินทวิรัตน์ ถึงกำหนดต้องตายแล้วนะ ขอผลัดเขาได้เท่านี้จะได้รับการผัดผ่อนต่อระยะเวลาออกไปอีกหรือเปล่า สุดแล้วแต่ฟ้าดิน ไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว ตายเสียทีก็ดีเหมือนกัน เหนื่อยมากจริง ๆ การมีชีวิตอยู่ ก็ช่างเป็นสิ่งดีงามหาสิ่งใดเสมือนเหมือนเป็นไม่มีอีกแล้ว แต่น่าเสียดาย ทำไมต้องจบลงด้วยตายจริงทุกรายอีกด้วยเล่า สร้างขึ้นมาแล้วทำไมต้องถูกทำลาย ก็เพราะ มันเป็นเช่นนี้เอง มัน ตถตา มันเหลือแต่ ๓ พยางค์ เท่านั้นเอง ทั้งหมดในพระธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ย่อ และย่อยและกรองแล้วกรองอีกเหลือแค่ ตะ-ถะ-ตา สามคำเท่านี้เอง ใบประดู่ในฝ่ามือตถาคตกำมือเดียวแท้ ๆ ที่พระพุทธองค์หยิบมาบอกสอนมนุษยชาติให้หลุดพ้นทุกข์
ถ้าสมมุติว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หยิบเอาใบประดู่ลายมาหมดทั้งป่า มาบอกสอน จะ เสมือนยกเอาจักรวาลทั้งหมดมาบอกสอนหรือเปล่า แค่กำมือเดียวก็เรียนกันหลายพันชาติกว่าจะหลุดพ้น ถ้าไม่ได้พบทางสายเอก สติปัฏฐาน ๔ ที่พระตถาคตวางเป็นมรรค เป็นวิถี เอาไว้ให้ เมื่อข้าพเจ้าไปได้เคล็ดวิธี กำหนดยืนหนอ ๕ ครั้ง ได้มาจากหลวงพ่อเจ้าคุณพระราชสุทธิญาณมงคล เอามาใช้ฝึกสติปัฏฐาน ๔ พลิกแผลงฤทธิ์อิทธิบาท ได้ผลมหาศาลรำพันไม่หมด ข้อที่รู้แน่ ๆ คือ รวบรัดตัดตรงฟันฉับเดียว กระบวนการ กระบวนเพลง ๑๒ อาการ ของกระบวนการปฏิจจสมุปบาท ถูกฟันแบเดียว ชกตูมเดียว ฝังดับสนิทไปเลย
ดิฉัน นางพรศรี อินทวิรัตน์ ขอเล่าพ่วงท้ายเรื่องราว ที่ไม่ค่อยรู้เรื่องของคุณ บุญส่ง อินทวิรัตน์ นิดเดียว ของดิฉันอ่านเข้าใจไม่ยากเลย เรื่องของดิฉันคือ ปกติ ดิฉันป่วยเป็นโรคไมเกรน ปวดศีรษะข้างเดียว ปวดประจำ รักษาประจำสม่ำเสมอ อยู่กับคุณหมอ แพทย์หญิง อรทัย พาชีรัตน์ และแพทย์หญิง ทรงขวัญ ศิลารักษ์ ก็หายบ้างเป็นบ้าง พอไปหาหมอก็หาย พอไกลหมอหน่อย มันปวดขึ้นมาก็ทรมานเหมือนกัน
อยู่มาวันหนึ่ง ปวดศีรษะมาก โทรศัพท์ไปถามหาแพทย์หญิง อรทัย ท่านไปต่างประเทศ แพทย์หญิง ทรงขวัญ ศิลารักษ์ ท่านก็ไปต่างประเทศ เอ! จะทำยังไงเอาละ วันนี้ลองดูสักครั้ง สู้กับโรคปวดศีรษะโดยไม่ใช้ยาดูสักทีซิ ก็กำหนดจิต สวดมนต์ อโหสิกรรม แล้วแผ่เมตตา ทำอย่างแบบที่หลวงพ่อเจ้าคุณพระราชสุทธิญาณมงคลสอนไว้ คือ อโหสิกรรมก่อนทุกครั้ง ก่อนจะแผ่เมตตา จากนั้น ข้าพเจ้าก็ลงนอนกำหนดปวดหนอ ๆ เรื่อยไป กำหนดไปช้า ๆ
สักพักเดียว ปรากฏหลวงพ่อเจ้าคุณพระราชสุทธิญาณมงคล ปรากฏองค์หลวงพ่อ นั่งอยู่เบื้องเหนือศีรษะดิฉัน หลวงพ่อเป่าศีรษะ ลมเย็นวูบผ่านสรรพางค์กาย รู้สึกสัมผัสได้แท้จริง ไม่หลับไม่ฝัน เป็นอาการรับรู้อย่างมีสติสัมปชัญญะจริง ๆ ดิฉันยังไม่ได้นอนหลับ แค่กำหนดรู้ปวดหนอ ๆ ทำเท่านี้ ลงเอนกายนอนปวดหนอ อยู่ตามลำพัง คุณบุญส่งสามีดิฉันไม่อยู่ มีแต่ น.ส. ภาสวรรณ และ ด.ช. ภิญโญ บุตรสองคนนี้อยู่เป็นเพื่อน ตอนแรกที่ปวดศีรษะ รู้สึกจิตใจไม่ค่อยสบายเลย หวาดกลัวอะไรบางอย่างลึกลับบอกไม่ถูก เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านหลังไหน ดิฉันเคยจับสังเกตว่า คุณบุญส่ง มีอะไรแปลก เช่นไม่มีตัวตนอยู่ในบ้านเลย เขาอยู่ไกล ๆ แต่กลับมาได้ยินเสียงเดินหรือชงกาแฟ หรือหยิบสิ่งของเปิดตู้กับข้าว หยิบถ้วยรินน้ำ ได้ยินอาการเหล่านี้ของเขาเสมอ ๆ ก็ทำให้อุ่นใจ ถ้าคุณบุญส่งไม่อยู่บ้าน มันเหมือนอะไรขาดหายไปที่สำคัญยิ่งใหญ่บอกไม่ถูก วันใดเธอไม่อยู่ ลูกเต้าจะไม่ยอมลงมาเปิดประตูบ้าน สวดมนต์หน้ารูปฉายาลักษณ์ หลวงพ่อเจ้าคุณฯ วัดอัมพวัน แล้วปิดห้องใครห้องมัน นอนเงียบหมด
เมื่อหลวงพ่อเจ้าคุณฯ มานั่งอยู่เบื้องเหนือศีรษะ เป่าศีรษะให้เท่านั้น หายปวดศีรษะเป็นปลิดทิ้งเลย ดิฉันเชื่อมั่นว่า หลวงพ่อเจ้าคุณฯ มาเยี่ยมบ้านดิฉันบ่อย ๆ เพราะดิฉันสัมผัสได้ว่า ท่านรักเมตตาคุณบุญส่ง และครอบครัวเหมือนบุตรหลานแท้จริง ท่านเป็นที่เคารพรักบูชาของครอบครัวดิฉัน เป็นหลักชัยไปตลอดชีวิต จะไม่มีวันลืมได้เลย จะอยู่ไกลแค่ไหน รำลึกนึกถึงด้วยเคารพบูชา ในเมตตาของหลวงพ่อเจ้าคุณฯ สถิตไว้ในเรือนใจอย่างไม่รู้แปรปรวน ทุกครั้งที่ดิฉันบ่นปวดศีรษะ คุณบุญส่งมักจะบอกให้ไปปฏิบัติกรรมฐานแก้กรรม บอกอย่างนี้ทุกที ดิฉันไปแน่นอน มีโอกาสเมื่อใด จะต้องไปปฏิบัติกรรมฐานทดแทนพระคุณหลวงพ่อ ที่มาเป่าศีรษะให้หายปวด แสดงว่า หลวงพ่อเจ้าคุณฯ แยกกายทิพย์ มาจากวัดอัมพวัน สิงห์บุรี ได้แน่นอน เวลาลูกศิษย์ คนใดอยู่ในภาวะลำบากถึงที่สุด หลวงพ่อเจ้าคุณฯ จะแยกกายทิพย์ ถอดกายทิพย์ ไปช่วยเหลือได้แน่นอน ดิฉันพิสูจน์มาแล้ว เห็นมาแล้ว ด้วยตนเอง จึงยอมเชื่อว่าเป็นความจริง
ทำอดีตให้เป็นปัจจุบัน
หลวงพ่อเจ้าคุณพระราชสุทธิญาณมงคล สอนให้ทุกขณะจิตเป็นอาการอยู่ในปัจจุบัน อดีตลบทิ้งไปเลย อนาคตอย่าไปฟุ้งซ่น ทำปัจจุบันให้อยู่ในอาการมีสติพร้อมเท่านี้
เอาลำพังแค่ว่า หาปัจจุบันให้พบ แล้วอย่างอื่นได้มาหมด เพราะปัจจุบันเป็นด่านสำคัญยิ่งยวด สำหรับผ่านไปสู่ความสำเร็จในการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔
เมื่อไม่รู้ต้องยอมโง่ หลวงพ่อเจ้าคุณฯ บอกให้โง่เข้าไว้ แล้วจะได้ดี อย่าเอาตัวฉลาดมาเป็นครูนำหน้า พังทลายไม่สำเร็จมรรคผลในชั้นเชิงปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ ต้องให้โง่เข้าไว้
ก็มาตรงกับสุภาษิตจีนบทหนึ่ง เขาสอนไว้ว่า โง่ไม่เป็น ฉลาดไม่ได้ ยืนหนอ ๕ ครั้ง นี่ทำบ่อย ๆ ทำสม่ำเสมอ ทุกวัน ทีเด็ดของหลวงพ่อเจ้าคุณวัดอัมพวัน สิงห์บุรี ตรงยืนหนอ ยืนหนอ ๕ ครั้ง วันละหลายหน ทำเข้าเถอะ ยืนหนอ ๕ ครั้ง ทำให้ถูกจังหวะ ลงอาการเคลื่อนของสติให้เข้าจังหวะให้ดี ๆ ยืนหนอ ๕ ครั้งนี่นะทำให้ช้าเข้าไว้ ช้าที่สุดเลย ไล่จากล่างขึ้นกลางกระหม่อม กดจากกลางกระหม่อมลงมาผ่ากลางกาย ลงศูนย์ถึงพื้นเลยนะ เด็ดขาดจริง ๆ
มีอยู่วันหนึ่ง กำลังทำอาหาร ยืนหนอ ตอนค่ำ ๆ ปรากฏ อยู่ ๆ กายทิพย์หรือธรรมกาย หรือ กายในกายของข้าพเจ้ามันหลุดออกไป ยืนหันหน้ามองดูกายเนื้อเข้าให้ละซิ ระยะห่างขนาด ๑ วา ยืนหันหน้ามองกายเนื้อของตนเอง อ้าว! นั่นตัวตนของเรา แล้วนี่ละตัวตนของใคร ก็จำได้ สัญญามันบอก นี่แหละกายแท้จริงของดั้งเดิมของเราละ มันโปร่งใส่โปร่งแสง รู้สึกได้เลย
ตอนนั้นค่ำประมาณเกือบ ๕ ทุ่ม ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตามแบบฉบับหลวงพ่อเจ้าคุณ ฯ สอน คือให้ยืนหนอ แล้วไปเดิน แล้วไปนั่ง ต้องให้ต่อเนื่องกัน ๓ อิริยาบถ นี้จะต้องให้ต่อเนื่องเหมือนกรอด้าย เข้ากระสวย ทิ้งช่วงไม่ได้
สติมั่นคงดีมากตอนนี้ ก็เดินจงกรมเรื่อยไป จากนั้นถึงค่อยย่อตัวลงหนอ ตามอาการไล่ระดับย่อลงจนถึงพื้นหนอสุดท้าย จากนั้นก็พองหนอ ยุบหนอ เรื่อยไปเกิดเรื่องเลยทีนี้ เจ้ากายข้างในของข้าพเจ้าที่มันโปร่งแสงไร้เนื้อ ไร้กระดูก จะเรียกว่า กายทิพย์ หรือธรรมกายคงไม่พลาด มันออกมานั่งหันหน้ามองกายเนื้อของข้าพเจ้า ห่างประมาณ ๑ วา เหมือนตอนยืนหนอ
พอถอนออกจากสมาธิ ก็มานึกทบทวนอาการที่เกิดขึ้น ลำดับมาอย่างไร ก็นึกย้อนไปถึงของเก่า ๆ ที่เคยค้นลึก ๆ มาจากอิทัปปัจยตาและปฏิจจสมุปบาท และตถตา ในคัมภีร์ของสมเด็จเจ้าประคุณหลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ ท่านเขียนและสอนชาวโลกเอาไว้
ทุกขณะจิตเคลื่อนไหลไปนั้น ถูกกำหนดด้วยสติควบคุมตลอดไม่คลาดเลย รูปกับนาม เขาทำงานธรรมชาติของเขาล้วน ๆ เข้าให้แล้ว ในเมื่อทุกขณะจิตเคลื่อนไหลของลมหายใจเข้าออกด้วยสติกำกับ อยู่ไม่คลาดแบบล้วน ๆ อยู่อย่างนี้ อดีตที่ไหน อนาคตที่ไหนจะลอยหน้าขึ้นมาได้ ก็ทุกขณะจิตกำหนด ลมหายใจอยู่ในปัจจุบันล้วน ๆ แล้วอย่างนี้ สติกับลมหายใจมันหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว มันเป็นของคี่ไปแล้ว ไม่มีอะไรคู่ในโลกนี้ ในการฝึกสติปัฏฐาน ๔ ต้องไล่เรื่องประเด็นความหลงเคยชินอะไร ๆ ที่มันเป็นของคู่ ให้เหลือแต่ของคี่เท่านั้น
เมื่อทุกขณะจิตของลมหายใจ เข้าออกมีสติผนึกหล่อหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวอยู่ล้วน ๆ อย่างนี้ เบญจขันธ์ และนิวรณ์ ๕ ถูกฟันฉับดับสนิท ไม่เหลือซากเลย ตรงจุดนี้ ขันธ์ ๕ และนิวรณ์ ๕ ไม่เหลือซากไปแล้ว ในเมื่อทุกขณะจิตของลมหายใจเข้าออกเหลือแต่สติล้วน ๆ อยู่อย่างนี้แล้ว ดับไม่เหลือซากในแว้บเดียว ฉับไวกว่าฟ้าแลบด้วยซ้ำไป
ถึงตรงจุดนี้ อยากจะวิ่งไปกราบเท้าหลวงพ่อเจ้าคุณพระราชสุทธิญาณมงคล ท่านสอนประยุกต์รวบรัดดีเหลือเกิน ยอดเยี่ยมจริง
นี่แหละ งานปลุกคนให้ตื่น สอนคนให้เป็นงาน
เอ้า! มาถึงตอนทำอดีตให้เป็นปัจจุบัน จะทำอย่างไร เพราะหลวงพ่อเจ้าคุณพระราชสุทธิญาณมงคล เน้นมากเรื่องฝึกสติปัฏฐาน ๔ ต้องให้อิริยาบถ ยืน เดิน นั่งให้ต่อเนื่อง เหมือนกรอด้ายเข้ากระสวย ต้องต่อเนื่องอย่าให้ขาดช่วง อย่างทิ้งจังหวะ ยืนครึ่งชั่วโมง เดินครึ่งชั่วโมง แล้วไปนั่งครึ่งชั่วโมง เอาให้ต่อเนื่อง ทำอย่างนี้หลวงพ่อเจ้าคุณบอกว่า จะได้ผลแน่นอนและเร็วด้วย
ข้าพเจ้าเล่นมุมกลับย้อนศร คำกล่าวสอนของหลวงพ่อเจ้าคุณฯ เอาด้ายหลอดมาหนึ่งหลอด ขึ้นไปยืนชั้นบนของตัวบ้าน แกะปลายเชือกที่เสียบหลอดด้ายออก แล้วกระตุกหลอดด้าย วืดเดียว หลอดด้ายถูกกระตุกวื้อ มันหลุดหวือลงไปสุดปลายด้าย เป็นหลอดด้ายห้อยตุ้งติ้ง ๆ ทำอดีตให้เป็นปัจจุบัน เอาชนิดอย่างให้เห็นเป็นหุ่น เป็นตุ๊กตา ให้เห็นชัด ๆ กันเลย ไม่เชื่อลองทำดู วิธีทำอดีตให้เป็นปัจจุบัน ขณะกระดุกหลอดด้ายหวืดหวือ วืดลงไปนั้น ท่านกำลังทำอดีตให้เป็นปัจจุบันแล้วใช่หรือไม่
บุญส่ง อินทวิรัตน์