ปฏิบัติธรรมเพราะกตัญญู

โดย ทัศนีย์ ศรีบุศย์ดี
(นักเรียนโรงเรียนสงวนหญิง สุพรรณบุรี)

ก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้มาเจริญวิปัสสนากรรมฐานนี้ แม่ของข้าพเจ้าได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ มีอาการท้องเสียเวลามีรอบเดือนซึ่งทรมานมาก จึงไปตรวจเช็คที่โรงพยาบาล ในจังหวัดสุพรรณบุรี ผลยังปรากฏไม่แน่ชัด แต่ทางโรงพยาบาลกลัวว่า จะเป็นเนื้อร้าย เลยส่งแม่ของข้าพเจ้าไปตรวจที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ

ผลออกมาคือ แม่เป็นโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ จะต้องผ่าตัด ญาติบางคนก็แนะว่าควรผ่าตัด บางคนก็ว่าไม่น่าที่จะต้องผ่าตัด เพราะไหน ๆ จะตายแล้วก็ขอให้มีอาการครบ ๓๒ ประการ เลยตัดสินใจไม่ผ่าตัด อาศัยยาหม้อไปเรื่อย ๆ ประทังชีวิตไปวันหนึ่ง ๆ

มีญาติบางคนแนะนำให้ไปหาพระซึ่งเป็นหมอดู เมื่อแม่ไปที่วัดนั้นแล้ว พระบอกว่าที่บ้านโยมนะมีสิ่งไม่ดีอยู่ ทำให้เจ็บป่วย เช่น ผีสาเร่ ไม่มีที่อยู่ ต้องทำพิธีขับไล่ โดยการเอาตะปู ๕ นิ้วไปทำพิธีที่วัดแล้วให้คนที่ไม่ใช่คนในบ้าน คือ ป้าของข้าพเจ้า เอาไปเหวี่ยงทิ้งในทิศตะวันออก แล้วไม่หันหลังกลับมาอีก อาการป่วยก็ไม่ดีขึ้น ป้าอีกคนได้แนะอีกว่า มีอาจารย์สะเดาะเคราะห์เก่งมาก มาทำพิธีสะเดาะเคราะห์ที่บ้าน การทำครั้งนี้ ก็หมดเงินไปเป็นหมื่น คือ อาจารย์ท่านบอกว่า ที่ที่บ้านของข้าพเจ้านี้ เป็นทางเข้าออกของพวกยมทูต เขาบอกว่าคนในบ้านนี้เดินเตะหัวเขาหลายครั้งเลย ทำให้คนในบ้านต้องมีอันเป็นไป แล้วมีการสะเดาะเคราะห์อีก หมดเงินอีกมากเลย

อาจารย์บอกให้ลูก ๆ และสามี บนบวชต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ถ้าแม่หายแล้วจะอุทิศผลบุญกุศลให้ ข้าพเจ้าไม่อยากบวช เพราะกลัวถูกโกนหัวอดข้าวเย็น แต่ก็จำใจบวชเพราะอยากให้แม่หาย บนไว้คนละ ๑ เดือนเต็ม แล้วอาจารย์ก็ไปหายามาให้ทานด้วย

มีคนแนะนำให้ไปทำบุญ ตักบาตรบ้าง แม่ของข้าพเจ้าไปใส่บาตรทุกวัน ได้รู้จักกับจ่าวิทย์ บอกว่าที่จังหวัดสิงห์บุรี มีวัดปฏิบัติกรรมฐานสามารถรักษาโรคได้ ชื่อวัดอัมพวัน จ่าวิทย์ก็นำหนังสือ ของวัดเรื่อง กฎแห่งกรรม มาให้อ่าน ข้าพเจ้าอ่าน ๒-๓ วันก็จบเล่ม ก็เกิดศรัทธาขึ้นมา อยากไปมากที่สุด แม่ของข้าพเจ้าก็อยากไปมาก รอประมาณครึ่งเดือนปิดเทอมแล้ว ถึงได้ไป พ่อขับรถมาส่งที่วัด

เมื่อข้าพเจ้าและแม่มาถึง ก็พบกับแม่ชีสมคิด เป็นผู้รับสมัคร ตอนที่กรอกใบสมัคร เขามีระบุวันว่าจะอยู่กี่วัน ข้าพเจ้าลงไป ๓๐ วัน แม่ชีตกใจเลย บอกว่าไม่ได้หรอก ที่นี่น่ะอยู่ได้ไม่เกิน ๗ วัน จากนั้นแม่ชีก็จัดกุญแจห้องที่ ๒๒ อาคารภาวนา ๒ ภายในห้องพัก ดีมากเลย มีห้องน้ำในตัว ข้าวของมีระเบียบดีมาก แม่ชีนัดข้าพเจ้าเวลา ๑๘.๓๐ น. เตรียมดอกไม้และธูปเทียนเพื่อขอรับศีล และรับการฝึกการปฏิบัติจากพระอาจารย์

วันแรกการฝึกเดินจงกรม นับว่ายาก พอเรายกขาขวาไป ขาซ้ายจะยกตามทันที ซึ่งผิด เพราะเราเคยชินกับการเดินแบบธรรมดา แต่ลองมาเดินจงกรม ๒-๓ ก้าว เหนื่อยเหมือนเดินเป็น ๑๐ กิโลเมตร อากาศก็ร้อนอบอ้าวนิดหน่อย ข้าพเจ้าก็เกิดเลือกกำเดาไหล ข้าพเจ้าไม่เป็นมาหลายปีแล้ว อยู่ ๆ กลับมาเป็นทั้ง ๆ ที่บ้านอากาศร้อนยิ่งกว่าที่วัดเสียอีก

จากนั้นประมาณ ๒๐ .๐๐ น. ก็ได้ขึ้นไปปฏิบัติรวมกันกับคนที่เขามาก่อนแล้ว ตามเคยข้าพเจ้าก็ทำยังไม่เป็น นั่งสมาธิก็หลับ ประมาณ ๒-๓ วัน ข้าพเจ้าปรับตัวได้ดีขึ้น คือ ตื่นก่อนตี ๔ นอนดึก งดอาหารเย็น ซึ่งเดี๋ยวนี้ สบายมากสำหรับข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าได้พบเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง น่ารักมาก เธอเป็นลูกครึ่งไทย-ฝรั่ง เธอปฏิบัติเก่งมาก ทั้งเดินทั้งนั่งกิริยามารยาทเรียบร้อย ข้าพเจ้าก็เลยเอาอย่างบ้าง ก็ประสบความสำเร็จพอสมควร ตลอดเวลา ๗ วัน ข้าพเจ้าได้อะไรมากก่อนวันที่จะลาศีลกลับ ข้าพเจ้าก็ได้คุยกับเธอคนนั้น แต่เธอไม่ค่อยคุยด้วย เพียงแต่บอกชื่อและโรงเรียน เธอชื่อ

“แคร์ แมรี่แลนด์”

เมื่อเวลาล่วงเลยครบ ๗ วันแล้ว ใกล้จะลาศีล แม่ก็พบกับพี่สมประสงค์แล้วเล่าอาการป่วยเป็นโรคให้พี่สมประสงค์ฟัง พี่สมประสงค์เลยไปขอยาของหลวงพ่อมาให้ มีฟ้าทลายโจรแคปซูล และน้ำมันมนต์ พี่สมประสงค์บอกให้ทานยาวันละ ๑๐ เม็ด พร้อมน้ำมันอีก ๑ ช้อนชา และดิฉันได้บอกพี่สมประสงค์ว่าที่มานี้บนบวชให้แม่หายจากโรคเป็นเวลา ๓๐ วัน แต่แม่ชีสมคิดให้อยู่ได้ ๗ วัน พี่สมประสงค์ถามว่า อยากอยู่ต่อมั้ยล่ะ ถ้าอยากอยู่ต่อจะฝากให้อยู่กับแม่ชีดาวเรือง ข้าพเจ้าเลยตกลงอยู่ก็อยู่ เป็นอันว่าข้าพเจ้ายังไม่กลับ กลับแต่แม่ของข้าพเจ้าคนเดียว

รุ่งเช้า ข้าพเจ้าก็ได้ย้ายไปอยู่กับแม่ชีดาวเรือง แม่ดาวเรืองพักอยู่คนเดียวที่กุฏิแม่กาหลงชั้นล่าง แม่ชีดาวเรืองใจดีมากเลย คอยสอนอะไรให้ข้าพเจ้าหลายอย่าง เช่น พวกการนั่งวิปัสสนากรรมฐาน พุทธประวัติ บางครั้งแม่ชีก็เล่าเรื่องของครอบครัว หรือ ตัวของแม่ชีให้ฟัง ซึ่งบางเรื่องก็ขำสนุกดี เป็นการคลายเครียดทางหนึ่ง แม่ชีบอกว่า ถ้าบวชให้แม่ละก็ ให้แผ่เมตตา กรวดน้ำให้ด้วยหลังปฏิบัติเสร็จ

การปฏิบัติขณะที่ข้าพเจ้าอยู่อีก ๓ อาทิตย์ การนั่งสมาธิอยู่ในขั้นต้น ๆ คือ บางครั้ง พอง-ยุบ หายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงบ่าย แม่ชีซูง้อจะต้องคอยมาตั้งสติให้เกือบทุกวัน เพราะข้าพเจ้านั่งหลับ ตัวงอเป็นกุ้ง แม่ชีซูง้อท่านมาจับ บริเวณหน้าขา แล้วข้าพเจ้ารู้สึกว่า ตัวร้อนและชาตามแขนตามขา พร้อมกับมีอาการสะดุ้งนิด ๆ พอให้รู้ว่าตื่นได้แล้ว จับพองยุบต่อ ข้าพเจ้าก็ทำตาม คุณศิษยา ธาดาสีห์ อาจารย์สอนอีกคนหนึ่ง ท่านก็สอนข้าพเจ้าไม่ให้กลืนน้ำลาย โดยบอกว่า อย่ากลืนน้ำลายหนอ-แม่ไม่หายหนอ เท่านั้นแหละไม่กลืนเลย ส่วนการเดินจงกรมข้าพเจ้าก็เดินได้พอใช้ ทำตามที่หลวงพ่อสอนว่าทำให้ช้าที่สุดเหมือนคนใกล้ตายยิ่งดี

เวลา ๑ เดือนที่ข้าพเจ้าได้อยู่ปฏิบัติธรรม ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างของชีวิต ฝึกความอดทน ใจคอหนักแน่นขึ้นกว่าเดิม ได้รู้จักหลวงพ่อมากขึ้น ว่าหลวงพ่อท่านปรารถนาดีกับทุก ๆ คน ต้องการช่วยเหลือทุก ๆ คนที่เดือดร้อน วัดอัมพวันจึงเหมือนบ้านที่สอง ที่ให้ความอบอุ่นกายอบอุ่นใจ และที่สำคัญเป็นการเสริมสร้างกำลังใจได้อย่างดียิ่ง

เมื่อข้าพเจ้ากลับมาจากวัดแล้ว ก็นำเอาหลักการปฏิบัติมาใช้ เช่น การนั่งสมาธิแผ่เมตตาจิตก่อนนอน การสวดมนต์บทชัยมงคล คาถาพาหุงมหากา ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับเรา ๆ ที่ยังเป็นนักเรียน นักศึกษา ให้มีสติสัมปชัญญะอยู่ทุกเมื่อ จะเรียนหนังสือก็เข้าใจทะลุปรุโปร่ง จากการฟังอาจารย์อธิบายในชั้นเรียนโดยการกำหนดสติ ขณะรับฟัง การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน นอกจากจะช่วยในด้านการเรียนของข้าพเจ้าแล้ว ยังทำให้ข้าพเจ้าไม่ขี้เกียจเหมือนแต่ก่อน ขยันทำงานมากขึ้น ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพ่อ แม่มากขึ้น ไม่ค่อยรั้นเหมือนแต่ก่อน

ข้าพเจ้ากลับมาปฏิบัติที่บ้านได้ประมาณ ๒ ปี อาการป่วยของแม่ก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ครั้งหลังสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม ช่วงวันที่ ๒-๙ ข้าพเจ้าก็ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอีก คราวนี้การปฏิบัติของข้าพเจ้าดีมาก ๆ กำหนดเวทนา ปวดก็หายปวด ทั้งขณะเดินจงกรม ข้าพเจ้าจะปวดไหล่และคอ พอกำหนดปุ๊บก็หายปั๊บ ยิ่งการนั่งสมาธิก็ยิ่งดี เพราะข้าพเจ้าใช้การนั่งสมาธิเพชร ซึ่งข้าพเจ้าถนัดมากที่สุด เพราะกำหนดได้ดี และที่สำคัญ การกำหนดทุกอิริยาบถซึ่งข้าพเจ้าก็ปฏิบัติอยู่ทุกวัน ทุกขณะการหายใจแล้วมันให้ผลที่น่าอัศจรรย์มาก ที่ข้าพเจ้าประสบมาแล้วคือ การกำหนดคิดดูหน้าเพื่อนที่ชื่อ

สุชาวดี ภาพเขาออกมาแว้บจริง ๆ ไม่เชื่อลองดู

ข้าพเจ้าได้มารู้จักวัดอัมพวัน ก็เพราะหนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติ ของหลวงพ่อ มีอิทธิพลต่อจิตใจของข้าพเจ้ามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสอนสั่งของหลวงพ่อทุก ๆ คำ ทุก ๆ ประโยค

ทัศนีย์ ศรีบุษย์ดี