ผ้าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสีมาประดิษฐาน ณ วัดอัมพวัน
โดย รศ. ทรง จิตประสาท
เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ คณะอาจารย์จากวิทยาลัยครูฉะเชิงเทรา จำนวน ๒๖ คน ได้อัญเชิญผ้าชิ้นเล็ก ซึ่งเข้าใจว่า เป็นส่วนหนึ่งของผ้าครองผืนใดผืนหนึ่งของสมเด็จโต พรหมรังสี มาถวายพระราชสุทธิญาณมงคล (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) เพื่อประดิษฐานไว้ ณ วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ให้สาธุชนพุทธบริษัทได้กราบไว้บูชากันให้แพร่หลายสืบไปชั่วกาลนาน อันเป็นการถวายสักการบูชา แด่องค์สมเด็จท่านส่วนหนึ่ง และเป็นการสืบพระศาสนาอีกส่วนหนึ่งด้วย
ผ้าสมเด็จ นี้มีประวัติที่สามารถสืบสาวได้ว่า เป็นผ้าของสมเด็จท่านแน่นอน เพราะสืบทอดกันมาเพียงคน ๒ รุ่นเท่านั้น คือ รุ่นพ่อ และรุ่นลูก
รุ่นพ่อ อันเป็นเจ้าของเดิมของผ้าสมเด็จนี้ ท่านมีพระราชทินนามว่า “พระประกาศมณเฑียร” (แม้น สุวรรณเนตร) เป็นบุตรของ หลวงภักดีภูเบศร์ (เนตร สุวรรณเนตร) พระประกาศมณเฑียรท่าน เกิดเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๔๓๓ เข้ารับราชการครั้งแรกในกรมพระราชพิธี กระทรวงวัง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๐ มีตำแหน่งเป็นเสมียนตรี ได้รับพระราชทานเงินเดือน ๒๐ บาท ในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านเจริญรุ่งเรืองในราชการมาตลอดรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จนกระทั่งถูกดุลย์ให้ออกจากราชการ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วประเทศ เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๖๙ บรรดาศักดิ์เป็น “พระประกาศมณเฑียร” ตำแหน่งเสมียนตรากระทรวงวัง เงินเดือนกว่า ๓๐๐ บาท ขณะนั้นท่านอายุเพียง ๓๖ ปี เท่านั้น นับว่าน่าเสียดายมาก ท่านมีอายุยืนถึง ๙๙ ปี เพิ่งสิ้นชีวิตเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๓๒ นี่เอง
รุ่นลูก ลูกที่เกี่ยวข้องกับผ้าสมเด็จ คือ คุณลุงพรเทพ สุวรรณเนตร คุณลุงพรเทพได้มาปักหลัก ตั้งรกรากประกอบอาชีพเป็นช่างเกี่ยวกับงานศิลปะต่าง ๆ อยู่ที่ศรีราชา จ.ชลบุรี เคยเช่าที่พี่ตุ๊ ปลูกบ้านอยู่เองหลังหนึ่ง ก่อนที่คุณลุงพรเทพท่านจะสิ้นชีวิต ได้เคยสั่งพี่ตุ๊ไว้ว่า หัวเสาเอกบ้านของท่านนั้นมีของวิเศษอยู่ชิ้นหนึ่ง คือ “ผ้าสมเด็จ” คุณพ่อคือ พระประกาศมณเฑียร ได้ให้ไว้ ท่านกล่าวว่า “ในโลกนี้ ผมไม่เอาอะไรอีกแล้ว” และก็เป็นจริง ข้าพเจ้าสนิทกับคุณลุงพรเทพมาสิบกว่าปี คุณลุงพรเทพไม่สนใจพระเครื่องรางของขลังอะไรทั้งสิ้น แต่ท่านก็เป็นคนเคร่งครัดในศีลธรรมดีมาก ท่านเสียชีวิต เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ วันที่คณะอาจารย์วิทยาลัยครูฉะเชิงเทรา อัญเชิญผ้าสมเด็จมาถวายหลวงพ่อวัดอัมพวัน จึงเป็นวันคล้ายวันเสียชีวิตครบ ๒ ปี ของคุณลุงพรเทพพอดี นี่นับเป็นอัศจรรย์อย่างหนึ่ง เพราะที่หลวงพ่อนัดให้โอกาสมากราบท่านนั้น ท่านไม่ทราบมาก่อน
เมื่อข้าพเจ้าและพี่ตุ๊ ได้ช่วยกันจัดงานศพให้ คุณลุงพรเทพแล้ว แม่บ้านของข้าพเจ้าได้ซื้อบ้านของคุณลุงพรเทพซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของพี่ตุ๊ดังกล่าว เสาเอกของบ้านหลังนี้เป็นไม้สั้น แม่บ้านจึงไม่ได้ให้ช่างรื้อมา อีกสองสามวัน พี่ตุ๊นำผ้าบนหัวเสาเอกมาให้ข้าพเจ้า บอกประวัติผ้าให้ฟังตามที่คุณลุงพรเทพสั่งไว้ คือเป็น “ผ้าสมเด็จ” พร้อมกับบอกว่า “ผ้านี้สมควรให้อาจารย์ไว้บูชา” ข้าพเจ้าดีใจจนสุดที่จะกล่าว มีใครบ้างที่ไม่อยากได้ผ้าสมเด็จ ถ้าจะพูดไปแล้ว เสาะหาพระสมเด็จของท่านมาบูชาดูว่า จะง่ายกว่าหา “ผ้าสมเด็จ” มาบูชาเสียอีก
เพื่อให้เกิดความมั่นใจยิ่งขึ้นว่า ผ้านี้เป็นผ้าสมเด็จจริง ข้าพเจ้าจึงนำหนังสือที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ พระประกาศมณเฑียร จ.ช.ต.ม. ณ เมรุวัดธาตุทอง วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๓๒ มาศึกษาประวัติของท่านเจ้าของเดิมว่า จะมีความเป็นจริงได้เพียงใด ดังที่ข้าพเจ้าได้ตัดต่อคัดย่อไว้ข้างต้นนี้แล้ว ปรากฏว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี สิ้นพระชนม์วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๔๑๕ พระประกาศมณเฑียร เกิดวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๔๓๓ ห่างกัน ๑๘ ปี แต่ถึงกระนั้นก็ยังอยู่ในรัชกาลเดียวกัน คือในรัชกาลที่ ๕ และพระประกาศมณเฑียรก็ยังทันรับราชการในปลายรัชกาลที่ ๕ อีกด้วย อีกประการหนึ่ง ผ้าสมเด็จนี้อาจเป็นของคุณปู่ (คือหลวงภักดีภูเบศร์) ของคุณลุงพรเทพก็ได้ ถ้าเป็นดังประการหลังนี้ หลวงภักดีภูเบศร์ก็ทันกราบสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี อย่างแน่นอน การที่จะได้รับผ้าสมเด็จ จนต่อทอดสืบมาถึงลูกและหลานในฐานะ ข้าราชบริพารผู้ใกล้ชิด ย่อมเป็นไปได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ข้าพเจ้าได้บูชา ผ้าสมเด็จมาเป็นเวลาเกือบสองปีเต็ม จนกระทั่งเช้าวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๓๖ ข้าพเจ้านึกถึงผ้าสมเด็จว่า สมเด็จท่านเป็นพระที่บริสุทธิ์มีคุณวิเศษ มีผู้คนกราบไหว้บูชาทั่วประเทศ เครื่องอัฐบริขารของท่านน่าจะประดิษฐานอยู่ในที่อันควรกว่านี้ และควรที่พุทธบริษัททั่วไปจักได้มีโอกาสกราบไหว้บูชากันอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่ข้าพเจ้าคนเดียวเท่านั้น ที่มีโอกาส บุญแก่ท่านเจ้าของผ้า แก่พี่ตุ๊ และแก่ข้าพเจ้าเองได้น้อยเกินไป อีกประการหนึ่ง ถ้าสิ้นข้าพเจ้าแล้ว จะมีลูกข้าพเจ้าสักคนหรือไม่ ก็ไม่ทราบ ที่สนใจกราบไหว้บูชาต่อเหมือนกับข้าพเจ้า ผ้าอันหาค่ามิได้นี้มิถูกทิ้งสูญหายไปหรือ น่าเสียดายนัก ดูกรณีคุณลุงพรเทพ เป็นตัวอย่างเป็นต้น แต่คิดแล้ว ก็จนปัญญา เพราะบารมีของข้าพเจ้าไม่มีปัจจัย พอที่จะสร้างสิ่งเคาระบูชาดังคิดได้
คืนวันที่ ๑๔ มกราคม นั้นเอง ข้าพเจ้านอนหลับแล้วฝัน เมื่อเวลาประมาณ ๒๓.๓๐ นาฬิกา ภาพฝันเป็นภาพที่แจ่มชัดมาก ข้าพเจ้านอนเล่น อยู่ในบ้านหลังคามุงจาก ปลูกอยู่ริมคลองชายน้ำ คล้ายภูมิประเทศคลองบางเกลือบ้านของพี่สาว แม่บ้านข้าพเจ้านั่งอยู่ด้านข้างซึ่งมีหับเผยเปิดอยู่ จึงมองเห็นเรือสำปั้นที่มีพระรูปหนึ่งนั่งกลางลำเรือ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงพระที่นั่งอยู่ในเรือถามแม่บ้านข้าพเจ้าว่า “ได้ข่าวว่าโยมจะทำงานหรือ” เสียงแม่บ้าน ตอบว่า “ค่ะ” พระท่านพูดต่อไปว่า “หลวงพ่อโตน่ะ ท่านไม่ได้ศักดิสิทธิ์เฉพาะของของท่านเท่านั้นนะ เพียงชื่อของท่านก็ศักดิ์สิทธิ์เหลือเกินแล้ว ไว้วันงานอาตมาจะมาบรรยายความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโตให้คนในงานฟัง” พระในเรือท่านพูดแล้วท่านก็บรรยายความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโตต่อไปอีก ทำให้ข้าพเจ้าอยากรู้ว่า ท่านเป็นใคร จึงแอบย่องออกไปดูอีกด้านหนึ่งของบ้าน ภาพเรือและพระนั่งในเรือดังกล่าว มองเห็นตะคุ่ม ๆ จำไม่ได้ว่าท่านเป็นใคร แต่ท่านก็ยังบรรยายอยู่ ดูเหมือนจะมีไมค์แบบยกพูดได้ตัวเล็ก ๆ ด้วย เสียงจึงดังชัดเจน
ช่วงนี้เองข้าพเจ้า รู้สึกตัวว่า ตื่นเต็มที่แล้ว แต่เสียงที่พระบรรยายก็ยังดังอยู่ เป็นเรื่องเดียวกันและต่อเนื่องจากในฝันเสียด้วย อ้าว! เสียงนั้นดังมาจากวิทยุที่พระวัดต้นสน จังหวัดอ่างทอง ท่านออกอากาศอยู่นี่นา ซึ่งเป็นวิทยุที่ข้าพเจ้าเปิดฟังทิ้งไว้ตลอดคืน เอ! ถ้าอย่างนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ได้ฝันไปซิ แต่ข้าพเจ้าขอยืนยืนได้ว่า ข้าพเจ้าฝันไปจริง เป็นภาพที่ชัดเจนด้วย แต่เสียงจากวิทยุวัดต้นสนก็เป็นเสียงจริง ส่วนเรื่องและเหตุการณ์ คำพูดมาต่อกันได้สนิท ด้วยวิธีใดนั้น ข้าพเจ้าไม่ทราบจริง ๆ
รุ่งเช้าวันศุกร์ที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๓๖ ข้าพเจ้ารีบบันทึกเรื่องราวความฝันไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อเตือนความจำ ตอนท้ายของบันทึก ข้าพเจ้าได้บันทึกไว้ว่า
ถ้าหลวงพ่อสมเด็จท่านต้องการอย่างไร ก็ขอได้โปรดดลจิตดลใจให้ลูกคิดและทำในสิ่งที่หลวงพ่อต้องการด้วยเถิด ซึ่งลูกคิดดังนี้ว่า ที่ไหนก็ตามที่ผ้าหลวงพ่อจะไปประดิษฐาน ที่นั้นต้องมีผู้กราบไว้บูชาจำนวนมาก บุญจึงจะแผ่ออกไปอย่างกว้างขวาง อันจะเป็นบุญแก่ข้าพเจ้าด้วย แก่เจ้าของผ้าและพี่ตุ๊ผู้นำผ้านี้มาให้ข้าพเจ้าด้วย อีกประการหนึ่ง ที่ที่ผ้าหลวงพ่อจะไปประดิษฐานนั้น ต้องมั่นใจได้ว่า เขาจะหาที่บรรจุได้อย่างสวยงามสมศักดิ์ศรีของสมเด็จท่าน ซึ่งขณะนี้ ก็เห็นมีแต่หลวงพ่อวัดอัมพวัน สิงห์บุรีเท่านั้น ที่ลูกรู้จัก หรือ ยังจะมีที่อื่นใดอีก หลวงพ่อช่วยลูกคิดทีเถิด
เมื่อบันทึกลักษณะอธิษฐานจิตเสร็จ ข้าพเจ้าก็ถือบันทึกนั้นไปนั่งลงที่ห้องภาควิชาภาษาไทย วิทยาลัยครูฉะเชิงเทรา เกือบจะเรียกได้ว่า ยังไม่ทันจะนั่งลง อาจารย์ฉลวย มัทยาท ท่านก็เดินตรงมาหาข้าพเจ้า เอาหนังสือ “กฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติ” เล่ม ๖ ของหลวงพ่อมาให้ข้าพเจ้าอ่าน ข้าพเจ้าขอบคุณ บอกว่า อ่านแล้ว ท่านก็เลยขอร้องว่า “อาจารย์ทรง พาอิชั้นไปกราบหลวงพ่อจรัญทีซิ” ฟังแล้วข้าพเจ้าขนลุก อุทานออกไปว่า “หลวงพ่อจรัญกับผมจะยังไงกันเสียแล้ว” (หมายความว่า “ผมคงต้องไปกราบท่านเสียแล้วกระมัง”) อาจารย์วันเพ็ญ ศรีวัฒนานนท์ นั่งอยู่ด้วย ทำหน้าสงสัยว่า “ทำไมล่ะ” ข้าพเจ้าก็เอาบันทึกที่ถือติดมือไปให้อ่าน ทั้งอาจารย์.ฉลวยและอาจารย์วันเพ็ญ ก็ช่วยกันตื่นเต้น และยิ่งอยากไปกราบหลวงพ่อยิ่งขึ้น ข้าพเจ้ายังติดลังเล สงสัยว่าจะเป็นไปได้หรือ จึงทดลองอธิษฐานอีกครั้ง บอกพี่หลวยว่า “ ถ้าพี่หาคนไปได้ ๑๐ คน ก็แสดงว่าผ้าสมเด็จนี้ต้องไปประดิษฐานที่วัดอัมพวันแน่ เรื่องรถผมจัดการเอง แต่ถ้าพี่หาไม่ได้ ก็แสดงว่า ผ้าสมเด็จนี้ผมจะบูชาต่อไป” พี่หลวย และอาจารย์วันเพ็ญ รับปากว่า “ได้” จากวันที่ ๑๕ ต่อมาอีก ๗ วัน คือวันที่ ๒๑ มกราคม พี่หลวยบอกว่า จัดการเรียบร้อยแล้วเรื่องคน ๑๐ คน ขอไปวันศุกร์ ให้ข้าพเจ้าดำเนินการได้
ด้วยเหตุนี้ วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๓๖ นั้นเอง ข้าพเจ้าจึงเขียนจดหมายมากราบนมัสการหลวงพ่อ เพื่อขอโอกาสวันศุกร์ ที่ท่านอยู่วัด จะพาคณะอาจารย์วิทยาลัยครูฉะเชิงเทราไปกราบท่าน แต่ก่อนที่จะลงมือเขียนจดหมายนั้น รู้สึกอ่อนเพลีย จึงเอนหลังลงนอนสักพัก งีบหนึ่งก่อน สมองจะได้แจ่มใจ ในหลับนั้น ข้าพเจ้าก็ฝันเป็นตุ เป็นตะ ต่อไปอีกว่า ตนเองได้ไปกราบและถวายผ้าสมเด็จแก่หลวงพ่อเสร็จเรียบร้อยแล้วที่กุฏิของท่าน ภาพนี้จำได้เพราะเคยไปมาแล้ว เห็นหลวงพ่ออยู่ข้างในกุฏิ ข้าพเจ้ายืนอยู่หน้ากุฏิท่าน ตรงโต๊ะที่มี หนังสือ เทป และของที่ระลึกวางอยู่ มีพระยืนอยู่ด้วยรูปหนึ่ง ในความรู้สึกนัยว่า ของที่ระลึกนั้น หลวงพ่อมอบให้ข้าพเจ้า
ด้วยความอยากรู้ว่า นั้นคืออะไร จึงหยิบขึ้นมาดู เป็นแผ่นหนังสี่เหลี่ยมสีดำ บรรจุอยู่ในซองพลาสติก แผ่นหนังแกะสลักเป็นรูปสมเด็จโต พรหมรังสี อยู่ในวงกลม รอบวงกลมเป็นอักระขอม ใต้วงกลมมีอักษรไทยคำว่า “โชคดี-หน้าที่ดี” ใต้อักษรไทยมีรูปเจดีย์เล็ก ๆ อยู่ด้วย ช่างเหมือนกับเจดีย์ที่ข้าพเจ้าตั้งใจจะบรรจุ ผ้าสมเด็จไปถวายหลวงพ่อจริง ๆ เห็นภาพชัดก็พอดีตื่น ปีติเกิดกับข้าพเจ้าเป็นล้นพ้น ที่ฝันถึงสมเด็จท่าน และฝันถึงหลวงพ่อ รีบลุกขึ้นเข้าห้องพระจุดธูปบูชา แล้วลงมือเขียนจดหมายกราบนมัสการถึงหลวงพ่อทันที
จดหมายหลวงพ่อ ลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ ส่งมาถึงข้าพเจ้าเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ นัดหมายให้โอกาสคณะของข้าพเจ้าไปกราบท่านได้ในวันศุกร์ที่ ๑๘ ภุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ ความว่า
เจริญพร อาจารย์ทรง จิตประสาท
จดหมายได้รับหลายวันแล้ว มัวยุ่งการอบรมมากมาย ตามจดหมายที่ส่งไปนั้นเป็นความฝันที่อัศจรรย์ดีมาก ถ้ามีเวลา วันศุกร์ที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ อาตมาอยู่วัด เชิญพาคณะไปค้างคุยกันที่วัดอัมพวัน อาตมาจะรอคอยพบต่อไป
คณะวิทยาลัยครูฉะเชิงเทรา ดีใจไปตาม ๆ กัน และซาบซึ้งในเมตตาหลวงพ่อ ให้โอกาสครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ นี้ ตรงกับวันคล้ายวันเกิดของอาจารย์ ฉลวย มัทยาท ท่านดีใจอย่างที่สุดที่จะได้มีโอกาสไปทำบุญกับหลวงพ่อ และรับพรจากท่าน และวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์นี้เช่นเดียวกัน ตรงกับวันคล้ายวันตายของคุณลุงพรเทพ สุวรรณเนตร เจ้าของผ้าสมเด็จที่ข้าพเจ้ารับสืบทอดมา ข้าพเจ้าก็ดีใจที่จะได้มีโอกาสทำบุญกับหลวงพ่อ เพื่ออุทิศส่วนกุศลสนองคุณท่าน คนหนึ่งเกิด คนหนึ่งตาย คนที่ไปกำลังทรงอยู่ ช่างสอดคล้องกับคำที่ว่า “ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป” เสียจริงหนอ
บันทึกข้างต้นนี้ คือที่มาของ “ผ้าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ได้มาประดิษฐาน ณ วัดอัมพวัน” ด้วยเจตนาอันเป็นกุศลที่จะสืบพระศาสนา โดยการบูชาสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ให้ยิ่งขึ้นไปก็ดี ด้วยการบูชาพระราชสุทธิญาณมงคลก็ดี ขอบุญกุศลทั้งหมดนี้ จงสำเร็จเป็นประโยชน์และความสุข แก่ท่านเจ้าของผ้าสมเด็จนี้ทุกท่าน และแก่พุทธบริษัท ที่กราบไหว้บูชาผ้าสมเด็จนี้ จงทุกท่านในกาลทุกเมื่อเทอญ
๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖
หมายเหตุ
บันทึกเพิ่มเติม เพื่อให้เรื่องสมบูรณ์ สืบเนื่องจากบันทึกข้างต้นที่กล่าวถึงความฝันว่า มีพระลอยเรือมาถามแม่บ้านข้าพเจ้าว่า “ได้ข่าวว่า โยมจะทำงาน หรือ” แม่บ้านข้าพเจ้าตอบว่า “ค่ะ” เป็นความจริงทุกประการ เพราะข้าพเจ้าและแม่บ้านได้ไปสู่ขอลูกสาวชาวกระทุ่มราย จังหวัดสิงห์บุรี ให้แก่ลูกชายของข้าพเจ้า เมื่อวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๓๖ กำหนดแต่งงานวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๓๖ วันที่ฝันนั้นเป็นคืนวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๓๖ ฉะนั้นความฝันนั้นจึงเป็นความจริง มิใช่ฝันแบบเลื่อนลอยแน่นอน
พระที่ลอยเรือท่านเล่าถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโตแล้ว ท่านยังบอกต่อไปด้วยว่า “เอาไว้วันงาน อาตมาจะมาบรรยายความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโตให้คนในงานฟัง” คำพูดประโยคนี้เองที่ข้าพเจ้ารอการพิสูจน์อยู่ และบัดนี้งานแต่งงานลูกทั้งสองก็ได้ผ่านพ้นแล้ว ผลการพิสูจน์ ปรากฏว่าเป็นความจริงทุกประการ
ในการแต่งงานลูกทั้งสองนั้น ได้จัดเป็น ๒ ครั้ง ๒ แห่ง คือ ครั้งแรกจัดพิธีแต่งงานที่บ้านเจ้าสาว เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๓๖ วันนั้นพิธีเสร็จก่อนเที่ยง ข้าพเจ้าได้พาญาติไปกราบหลวงพ่อที่วัดอัมพวันด้วย ครั้งที่สองจัดเลี้ยงฉลองมงคลสมรสที่สนามหน้าบ้าน ข้าพเจ้าที่ศรีราชา วันเสาร์ที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๓๖ วันนี้เองเป็นวันที่มีปัญหา แต่หลวงพ่อโต ท่านก็ได้เมตตามาช่วย ปัดเป่าปัญหานั้นให้จนการจัดงานได้สำเร็จ ลุล่วงไปด้วยความเรียบร้อย
วันศุกร์ที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๓๖ วันนั้นฟ้ามืดมัวดินฉ่ำไปด้วยเมฆฝน ฝนตกทั้งกลางวันกลางคืนโทรทัศน์ ประกาศว่าฝนตกทั่วไปทั้งประเทศ และจะตกอย่างนี้ต่อไปอีก ๒ ถึง ๓ วัน รุ่งขึ้นวันเสาร์ซึ่งเป็นงานจัดเลี้ยงกลางแจ้ง จะทำกันอย่างไร เป็นข้อปริวิตกแก่คุณป้า คุณแม่ และญาติมิตรที่โทรศัพท์มาถาม ด้วยวามเป็นห่วงกันทั่วไป สำหรับข้าพเจ้า ยอมรับสภาพของธรรมชาติ เป็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น จะทำอย่างไรได้ คุณแม่ถามว่า คุณป้าจะหาเต็นท์มากางดีไหม ข้าพเจ้าบอกว่าไม่ ไม่ต้องหรอก พรุ่งนี้ฝนไม่ตก แม้รุ่งขึ้นเป็นวันงานแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังบอกแม่บ้านว่า ไม่เป็นไร วันนี้ฝนไม่ตกหรอก พูดเสียจนแม่บ้านบอกว่า ข้าพเจ้าเก็บความรู้สึกกังวลได้เก่ง ที่กล้าบันทึกอย่างนี้มิได้หมายความว่า ข้าพเจ้ามีญาณพิเศษอะไรหรอกนะ เดี๋ยวเข้าใจผิด แต่ข้าพเจ้าทำใจให้ยอมรับธรรมชาติ เพราะฉะนั้นถึงฝนตกก็ร้อนใจน้อยกว่าคนอื่น มิใช่ว่าไม่ร้อนใจเลย นั้นผิดมนุษย์ธรรมดา
ที่มั่นใจอย่างยิ่ง ก็คือคุณของพระรัตนตรัย และโดยเฉพาะบารมีความศักดิ์สิทธิ์ ของหลวงโต พรหมรังสี ก็ท่านมาเข้าฝันบอกไว้แล้ว่า “เอาไว้วันงาน อาตมาจะมาบรรยายความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโตให้คนในงานฟัง” ทุกขั้นตอนของความฝันในวันนั้นได้ ผ่านการพิสูจน์ว่า เป็นความจริงมาตลอด เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ ที่พาคณะอาจารย์วิทยาลัยครูฉะเชิงเทราไปกราบหลวงพ่อ ท่านก็ยืนยันว่า ความฝันนั้นเป็นของจริงทุกประการ ถ้าไม่จริง หลวงพ่อจะยืนยันได้หรือ ในเมื่อทุกเรื่องราวต่างเป็นจริงมาตลอด แล้วทำไมเล่า ขั้นสุดท้ายของความฝันนี้ จะเป็นไม่จริงไปได้เล่า นี้เองเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าใจเย็นอยู่ได้
เหตุการณ์ในวันนั้น ประมาณ ๗.๓๐ น. พระภิกษุสงฆ์ ๙ รูปมาถึงบ้าน เพื่อเจริญพระพุทธมนต์ พระอาทิตย์เริ่มฉายแสงลอดเมฆออกมา สว่างกว่าวันที่แล้ว เพียงเท่านี้ข้าพเจ้าก็นึกมั่นใจแล้วว่า วันนี้ฝนไม่ตกแน่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อุปัชฌาย์ ครูบาอาจารย์ และหลวงพ่อโต โปรดเราแล้ว และก็เป็นความจริง วันนั้นทั้งวัน สว่างโล่งตลอดวัน จนกระทั่งเย็น จนกระทั่งค่ำ แขกมาเต็มงาน อาหารออกมาแล้ว ๒-๓ จาน นั้นแหละ หลวงพ่อโต ท่านจึงเริ่มแสดงความศักดิ์สิทธิ์ให้เห็นตามฝัน ด้วยการให้ฝนตกพรำลงมาเป็นพุทธมนต์ แล้วก็หยุด ไม่ตกอีกเลยตลอดคืน แต่วันรุ่งขึ้นวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๓๖ ฝนก็เริ่มตกต่อไปตามที่กรมอุตุนิยมได้ประกาศไว้
ค่ำนั้น เฮียเส่ง แขกที่มาร่วมงานคนหนึ่ง ขี่รถจักรยานยนต์ไปจากตลาดศรีราชา ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านข้าพเจ้าประมาณ ๓ กิโลเมตร ครึ่ง บอกว่า ที่ตลาดศรีราชาฝนตกพรำลงมาแต่หัวค่ำ เมฆฝนมืดไปหมด จนเฮียเส่งต้องจอดรถ หลบฝนอยู่ที่ตลาดเป็นเวลาประมาณ ๑๐ นาที เมฆฝนถูกลมพัดเลยไปตกทะเลหมด จึงได้ขี่จักรยานยนต์มาร่วมงาน ต่อมาอีกพักใหญ่ ฝนจึงตกพรำลงมาที่บ้านงานดังกล่าวแล้ว เฮียเส่งกล่าวต่อท้ายการให้สัมภาษณ์ว่า “การจัดงานนี้เสี่ยงมาก แต่เจ้าของงานเป็นคนโชคดี” สาธุ
เหตุการณ์ตามที่ข้าพเจ้าบันทึกมานี้ ขอยืนยันว่าเป็นความจริง ทุกประการ สอบถามได้จากผู้ที่เกี่ยวข้องดังปรากฏชื่อได้ทุกท่าน หลายคนบอกว่าหลวงพ่อโตท่านช่างศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ หลายคนบอกว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ หลายคนบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ข้าพเจ้าเชื่อหลวงพ่อ
๓๑ มีนาคม ๒๕๓๖