คนเก่าเล่าให้ฟัง
โดย พลตรี วสันต์ พานิช
เรื่องที่ ๑ เสริมพลังพัฒนาวัดอัมพวัน
ในเดือนกันยายน ๒๕๐๗ ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งจากกองทัพบกให้ย้ายไปรับราชการในตำแหน่งหัวหน้าแผนก ศูนย์การทหารปืนใหญ่ ข้าพเจ้าได้เดินทางไปรายงานตัวยังหน่วยใหม่ตามระเบียบภายใน ๗ วัน เรียบร้อยแล้วก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่เพียงระยะเวลาไม่กี่วัน เพราะจะต้องเดินทางไปศึกษา และดูงานในต่างประเทศในเดือนตุลาคม ๒๕๐๗ และเมื่อจบการศึกษาเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๐๘ ข้าพเจ้าจึงเดินทางกลับมาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งดังกล่าว อย่างเต็มที่ เพราะถือว่ามีโอกาสมาพัฒนาเหล่าฯ เป็นครั้งที่สอง ข้าพเจ้าได้อุทิศตนเสียสละทั้งกายและใจ เพื่องานพัฒนาศูนย์ในขอบเขตตามหน้าที่ ตลอดจนโครงการพิเศษต่างๆ จนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
วันหนึ่งในปี ๒๕๐๙ ข้าพเจ้ามีเวลาว่าง เพื่อเป็นการคลายเครียดต่องาน ข้าพเจ้าได้ถือโอกาสไปชมตลาดพระเครื่องซึ่งวางแผงให้เช่าอยู่บริเวณโรงแรมทหารบกใกล้ศาลพระกาฬ เมื่อเดินชมพระตามแผงที่วางอยู่ ก็ได้รู้จักกับชายคนหนึ่ง ซึ่งเดินดูพระเหมือนกัน เขาชื่อ ละเอียด ขุนทอง เป็นคนจังหวัดสิงห์บุรี คุณละเอียดได้บอกว่า…มีบ้านอยู่ใกล้วัดชาลอน (ปัจจุบันคือ วัดพรหมเทพาวาส อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี) มีเจ้าของบ้านอยู่แพหน้าวัด อดีตเคยเป็นสมภารเก่า มีพระมากมายหลายอย่าง ถ้าท่านสนใจก็จะพาไป…ข้าพเจ้าสนใจเรื่องนี้อยู่แล้ว เลยตกลง และนัดหมายกันจนเรียบร้อยเป็นอย่างดี
เมื่อเสร็จธุรกิจแล้ว ข้าพเจ้าจึงเดินทางกลับที่พัก และในคืนนั้นเองข้าพเจ้าได้ฝันไปว่า ได้เดินทางไปวัดๆ หนึ่ง และได้ชมพระพุทธรูปที่ประทับเรียงรายรอบโบสถ์ และมีเสาเหลี่ยมค้ำเชิงชายอยู่ด้วย ข้าพเจ้าสนใจพระองค์หนึ่งสีเหลืองอร่ามตา จึงจ้องดูพระพักตร์ของท่านอย่างไม่กระพริบเลย เมื่อข้าพเจ้าเดินเข้าไปใกล้ จะผ่านองค์พระไปด้านข้างเท่านั้น พระพักตร์ขององค์พระได้เปลี่ยนเป็น ใบหน้าตาแป๊ะ มีหนวดเครายาว แล้วกวักมือพูดว่า “ว่างๆ ให้มาเยี่ยมกันบ้างนะ” ข้าพเจ้าตกใจตื่นและรู้สึกดีใจ ว่าคงได้พระศักดิ์สิทธิ์ไว้บูชา แต่ใจหนึ่ง ก็คิดว่าคงจะไม่เป็นความจริง เราคิดมากเกิดจิตประวัติ หรือธาตุเสียก็เป็นได้
เมื่อถึงวันเสาร์ตามที่ได้นัดไว้ ข้าพเจ้าได้ขับรถจี๊ปไปรอพบคุณละเอียดที่ รร.ทหารบก เมื่อได้พบกันแล้ว คุณละเอียดได้เอ่ยขึ้นว่า “วันนี้ผมพาท่านไปที่บ้านเรือนแพไม่ได้เสียแล้ว เพราะเมื่อคืนเขาปล้นเอาพระกัน และเขาหาว่าผมเป็นสายให้พวกปล้น มันจำเป็นจริงๆ หากผมไปคงตายแน่ๆ” ข้าพเจ้าได้ฟังคุณละเอียดเล่าให้ฟังเช่นนี้ จึงเกิดความผิดหวัง เพราะตั้งใจแล้วว่าจะไปดูพระที่บ้านนั้น คราวนี้ก็ไม่ได้พระดีตามที่ฝัน แต่วันนี้จิตใจมันรุ่มร้อนชอบกล จะไม่ยอมกลับค่าย ต้องมุ่งหน้าเดินต่อไปที่ไหนก็ได้ จึงตัดใจเกลี้ยกล่อมคุณละเอียดว่า “เอาเถอะ ผมเห็นใจ แต่ขอร้องให้คุณช่วยพาไปหาอาจารย์ของคุณที่ว่าเก่งๆ วัดไหนก็ได้ เพราะได้ตั้งใจไว้แล้ว ”
คุณละเอียด นิ่งอยู่ชั่วครู่แล้วพูดว่า “มีอยู่องค์หนึ่งอยู่วัดอัมพวัน ไปทางปากบาง ถ้าจะไปผมจะนำทางให้ ” ข้าพเจ้าก็ตกลงทันที และได้ซื้อใบชาไปถวายท่าน ข้าพเจ้าขับรถพร้อมด้วยคุณละเอียด เดินทางตามถนนสาย ลพบุรี – ปากบาง และเข้าวัดอัมพวัน มองดูบริเวณวัดยังเป็นป่า มีเถาวัลย์พันธุ์ไม้เลื้อยเป็นธรรมชาติ สงบ เงียบสงัดดี กลางคืนไม่ค่อยมีคน น่ากลัวมาก
พวกเราถึงวัดประมาณ ๑๑.๓๐ น. เมื่อลงจากรถก็เดินเข้าไปในกุฏิของหลวงพ่อ ข้าพเจ้ามองเข้าไปในบริเวณชั้นล่าง เห็นพระสงฆ์กำลังฉันภัตตาหารเพล เจ้าภาพกำลังประเคนอาหาร ข้าพเจ้ากระซิบถามคุณละเอียดว่า องค์ไหนเป็นสมภารวัดนี้ คุณละเอียดก็ชี้ให้ข้าพเจ้ามองไปที่หลวงพ่อ แล้วก็สังหรณ์ใจว่า เคยได้พบที่ไหนมาก่อน แต่ก็นึกไม่ออก ข้าพเจ้าพิจารณามองดูรอบๆ บริเวณภายในกุฏิแล้วเปรียบเทียบกับความฝันเมื่อคืนที่ผ่านมา รู้สึกมีสภาพที่ละม้ายคล้ายคลึงกันมาก พิจารณาตู้กระจกสี่เหลี่ยม สร้างล้อมเสากุฏิไว้ ๒ เสา ภายในใส่ถ้วยน้ำร้อนน้ำชาของใช้ในวัด มองลึกเข้าไปเห็นพระพุทธรูปหน้าปรก ก็นึกในใจเข้าท่าแน่ๆ เมื่อพระจากวัดอื่นกราบลาท่านเจ้าอาวาสไปแล้ว ท่านได้เข้ามานั่งสนทนากับข้าพเจ้า ท่านกล่าวทักข้าพเจ้าว่า ชื่ออะไร ยศอะไร พบกันที่ไหน แล้วจากกันไปเข้าศึกษาในโรงเรียนเสนาธิการ จากนั้นไม่ได้พบกันอีกเลย ข้าพเจ้าฟังแล้วก็ยังงง ตั้งตัวไม่ติด พอได้สติก็นึกได้ว่ามันเป็นความจริงตามที่ท่านกล่าวทุกประการ จึงมีปัญหาเกิดขึ้นในใจว่า ท่านจำได้อย่างไร เพราะข้าพเจ้าเองลืมเรื่องที่ผ่านไปนานแล้ว
ข้าพเจ้าจึงได้เล่าความฝันให้ท่านฟังโดยตลอด และซึ้งใจที่ได้มาพบหลวงพ่อ ที่เคยมีสัมพันธ์อันดีในอดีต (๒๔๙๘) และได้เยี่ยมเยียนท่านโดยบังเอิญ ซึ่งเป็นไปตามที่องค์เทพได้สั่งไว้ในฝัน
พระคุณเจ้าได้พูดเรื่องต่างๆ ปัญหาการพัฒนาวัดที่ได้ทำมา ความไม่สะดวก ยังขาดปัจจัยและคนที่สนใจ ชาวบ้านข้างวัดก็ยังไม่สามารถช่วยตนเองได้ ต้องอาศัยจากชาวบ้านต่างถิ่น การพัฒนาจึงค่อยเป็นค่อยไป
ข้าพเจ้าได้ฟังปัญหาของท่าน จึงปวารณาตัวรับใช้ท่าน ซึ่งถ้าหลวงพ่อต้องการสิ่งใดสามารถบอกได้ ข้าพเจ้าได้นำพรรคพวกมาช่วยกันพัฒนาวัด ให้มีความรุ่งเรืองเท่าที่จะทำได้
ข้าพเจ้าได้ขับรถแวะเวียนมากราบนมัสการท่าน เพื่อปรึกษาหารือในเรื่อง กิจการงานของวัด ของทางราชการ และเรื่องส่วนตัวอยู่เป็นประจำ
ในระหว่างที่ข้าพเจ้ารับราชการอยู่ที่ศูนย์การทหารปืนใหญ่ ได้ร่วมเป็นกรรมการของวัด ซึ่งมีหลวงพ่อเป็นประธาน ซึ่งงานที่ได้ดำเนินการไปแล้วมี
๑. ให้เจ้าหน้าที่ของศูนย์กาทหารปืนใหญ่ มาทำรังวัดสอบเขตพื้นที่ทั้ง ๔ ทิศ ให้แน่นอน พร้อมทั้งกั้นรั้ว และพูนดินโดยรอบ
๒. กำหนดจุดที่ตั้งโบสถ์ ศาลา กุฏิ เรือนครัว อาคารที่พักอาศัย เมรุ ถนน ภายในภายนอก โรงเรียน ฯลฯ
๓. บูรณะปฏิสังขรณ์ที่พัก สาธารณูปโภค
๔. ปักเสาติดตั้งเดินสายไฟ (คุณสมเจตน์ วัฒนสินฐ์ เป็นเจ้าภาพ)
๕. ติดตั้งประปา วางท่อไปสู่อาคารต่างๆ
๖. ทอดกฐินสามัคคี เมื่อ ๒ – ๓ พฤศจิกายน ๒๕๑๑
๗. จัดงานฉลองสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร พระครูภาวนาวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๑๑
๘. จัดงานวางศิลาฤกษ์โบสถ์ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๑๒
๙. ช่วยเหลืองานสังคม และกิจกรรมต่างๆ
ในเดือน มกราคม ๒๕๑๓ ข้าพเจ้าได้ย้ายกลับมารับราชการ ในกรมส่งกำลังบำรุงทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด ทำให้การไปนมัสการพระคุณเจ้าก็ค่อยๆ ห่างออกไปตามลำดับ แต่ก็ยังรำลึกนึกถึงพระคุณท่านอยู่เสมอ
กาลเวลาผ่านไปข้าพเจ้าได้มีโอกาสเดินทางไปหาท่าน เมื่อได้มา ได้รู้ ได้เห็น ความเจริญ และถาวรวัตถุ แปลกๆ ใหม่ๆ ซึ่งได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมากมาย นับว่าพระคุณเจ้ามีบารมีสูงส่ง เป็นศูนย์รวมพลังของเจ้าศรัทธาที่หลั่งไหลมาทุกสารทิศ เพื่อมาสนับสนุนส่งเสริมพระพุทธศาสนา และพัฒนาจิตของบุคคลทุกระดับชั้นให้สูงขึ้น เป็นไปตามเจตนาที่ท่านได้อธิษฐานจิต(หลังจากอุบัติเหตุ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑) ไว้ว่า “จะใช้หนี้โลกมนุษย์ ด้วยการเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จะไม่ขอสร้างวัตถุต่อไปอีกแล้ว”
ข้าพเจ้าปลื้มใจและซาบซึ้งใจที่ท่านทั้งหลายได้ร่วมเสริมพลังพัฒนาวัดอัมพวัน และร่วมสร้างกุศลกับพระคุณเจ้าอย่างมาก ผลบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้สั่งสมมาของแต่ละท่าน จงส่งเสริมให้ทุกท่านจงประสบความสุข ตามที่ปรารถนาเทอญ…
เรื่องที่ ๒ เหินฟ้าใช้กรรม
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปกับคณะตรวจเยี่ยมหน่วย โดยมี รองเสธ.ทหาร (๓) พล.อ.อ. วีระ ไทยกล้า เป็นหัวหน้าคณะเดินทาง จุดมุ่งหมายเพื่อเยี่ยมหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ จังหวัดน่าน (นพค.๒๒) และชุดแพทย์เคลื่อนที่ทหารบก ซึ่งกำลังปฏิบัติงานรักษาพยาบาลประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบของหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่จังหวัดเพชรบูรณ์ (นพค.๒๖) คณะของเรา (๗ คน) ได้ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ วันที่ ๗ มกราคม ๒๕๒๖ ระหว่างเดินทางได้แวะวัดอัมพวัน เพื่อขอพรท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์ จะได้เดินทางมีโชคดีปลอดภัย ทุกคนเห็นด้วยจึงให้พลขับเลี้ยวรถเข้าวัดดังกล่าว มองดูเวลาประมาณ ๐๘.๔๕ นาฬิกา และพวกเราก็ได้พบท่านตามที่ตั้งใจไว้ ได้เล่าจุดมุ่งหมายในการเดินทางและขอพรจากพระคุณเจ้า เพื่อจะได้เป็นสิริมงคลเดินทางปลอดภัย หลวงพ่อท่านยิ้ม และมอบพระเครื่องเนื้อผงขนาดเขื่อง ๆ ใหญ่กว่ากลักไม้ขีดไฟเล็กน้อย ภายในมีรูปปางประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน สวยงามมาก ท่านสั่งให้ติดตัวไว้ ได้พรมน้ำพระพุทธมนต์และให้พรเดินทางโชคดีจงปลอดภัย ท่านมิได้พูดเป็นเลศนัย แต่อย่างใดเลย เมื่อได้เวลาพวกเราก็กราบลาท่านเพื่อเดินทางต่อไปยังจังหวัดน่าน
ระหว่างปฏิบัติงานอยู่ที่น่าน วันหนึ่งข้าพเจ้าและคณะได้เดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ บินลัดเลาะไปตามแนวถนนสายนายาว-บ่อเกลือใต้ เป็นเส้นทางบินที่เคยปฏิบัติการส่งกำลังบำรุงให้หน่วยทหารที่ตั้งอยู่ตามฐานยอดดอยต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ เมื่อ ฮ. บินไต่ระดับได้ระยะสูงประมาณ ๕,๐๐๐ ฟุต มาได้ไม่นานนัก ทหารที่นั่งอยู่ใกล้กับข้าพเจ้า ได้ยินเสียงคล้าย ๆ พลุแตก มีอะไรมาโดน ฮ. ทำให้มีอาการสั่นสะเทือน เจ้าหน้าที่ ฮ. ได้มองลงเบื้องล่างเห็นกลุ่มควันปืน และเสียงปืนที่ยิงขึ้นมาเป็นชุด ๆ จึงตะโกนบอกนักบินว่า “ฮ. ถูกยิง” “ฮ. ถูกยิง” จุดที่ถูกซุ่มยิงคือ บริเวณบ้านหลักลาย ประมาณ กม.ที่ ๓๓ นักบินมีสติดีจึงรีบดึงคันบังคับเพิ่มระยะความสูงและตีวงเลี้ยวกลับ เพื่อจะไปลงสนามที่ศูนย์อพยพนายาว ในระหว่างถูกยิง พวกเราเป็นเป้าเคลื่อนที่อยู่นั้น เราหมดหนทางสู้ เพราะไม่มีอาวุธอะไรติดตัวหรือติดเครื่อง ฮ. เลย ก็ได้แต่นึกภาวนาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หลวงพ่อทั้งหลาย เจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าที่เจ้าทาง ช่วยคุ้มครองป้องกันให้พวกเราทั้งหมด ตลอดจน ฮ. ที่นั่งอยู่นี้จงปลอดภัยเถิด พวกเราไม่ชอบจะอยู่เป็นเจ้าพ่อในแถวถิ่นนี้ เมื่อ ฮ. แล่นลงแตะพื้นแล้วพวกเราโล่งอกโล่งใจไปตาม ๆ กัน นักบินได้ตรวจ ฮ. จนทั่วลำ ปรากฏว่าตอนท้ายลำตัวถูกกระสุนเจาะทะลุ ๒ รู เฉียดลวดสลิงบังคับเลี้ยว อีกนัดหนึ่งถูกเหล็กแกนหางทะลุ ไม่สามารถจะบินต่อไปได้ เป็นอันว่าหมดโอกาสไปเยี่ยมเจ้าหน้าที่ฐานพัฒนาการย่อยที่ ๒ ตามความตั้งใจไว้ได้ และในวันรุ่งขึ้นก็ได้ข่าวจากชาวบ้านหลักลาย (กม.๓๓) ว่า ผกค.ได้ปีนขึ้นต้นไม้สูง ใช้อาวุธปืนอาร์ก้ายิง ฮ. ที่บินผ่านมาพอดีและเข้าใจว่า ฮ. ได้ตกคนที่โดยสารมาเสียชีวิตหมดแล้ว
นักบินได้นำ ฮ. มาส่งพวกเราที่ฐานบินและได้ขึ้นรถไมโครบัสคู่ชีพ ไปซื้อเครื่องสังฆทานนำไปถวายเจ้าอาวาสวัดสถารศ เป็นการอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร วัดนี้เป็นวัดเก่า รองเสธ.ทหาร (๓) ได้เคยมาสร้างโบสถ์เอาไว้คราวมาสร้างสนามบินที่จังหวัดน่าน ในตอนค่ำได้ร่วมรับประทานอาหารกับเจ้าหน้าที่ พวกเรามีอารมณ์แจ่มใสเหมือนกับว่าได้ต่ออายุให้ยืนยาวต่อไปอีก
วันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๒๖ ข้าพเจ้าและคณะเดินทางกลับกรุงเทพฯ และพร้อมใจกันแวะวัดอัมพวัน ถึงวัดเวลาประมาณ ๑๗ นาฬิกา พวกเราลงจากรถและรีบเข้าไปหาท่าน ก้มลงกราบและเล่าเรื่องเหตุการณ์สยองขวัญที่จังหวัดน่านให้ฟัง พระคุณเจ้าได้พูดว่า “อาตมารู้แล้ว พวกท่านได้ชดใช้กรรมแล้ว” ถ้าบอกก่อนไป ท่านกลัวอาจจะไม่ได้ใช้ กรรมจะไม่มีผลงาน อาตมาคิดไว้ว่า ท่านจะต้องกลับมาที่นี่อีก จึงได้ เตรียมของให้สวดพระธรรมจักร เพื่อรับขวัญ ไว้พร้อมแล้ว ขอเชิญท่านเข้าโบสถ์เดี๋ยวนี้ อยู่ช้าจะดึก
พวกเราจึงเข้าไปฟังสวดพระธรรมจักรในโบสถ์ ซึ่งเสร็จประมาณ ๒๐ นาฬิกา และร่วมทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรอีกครั้งหนึ่ง ออกจากโบสถ์ท่านยังเลี้ยงอาหารอีก จึงนับว่าพระคุณเจ้าได้โปรดเมตตากรุณาต่อพวกเราเป็นอย่างมาก ไม่มีวันจะลืมเลือนไปได้เลย สมควรแก่เวลาก็กราบลาพระคุณเจ้าเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ ของเราต่อไป
เรื่องที่ ๓ เปิดประตูสู่ภพสว่าง
ท่านผู้อ่านคงทราบแล้วว่า การที่จะพัฒนาวัดอัมพวันให้สำเร็จได้ด้วยความรวดเร็วนั้น จำต้องอาศัยการประชาสัมพันธ์ที่ดี โดยอาศัยสื่อต่างๆ ได้แก่การพบปะ พูดจากัน ปรับทุกข์ ผูกมิตร
สื่อทางวิทยุโทรทัศน์ และการเผยแพร่ในสิ่งพิมพ์ต่างๆ ไปสู่สายตาประชาชน ในสมัยนั้นมีคุณ ท.เลียงพิบูลย์ เป็นนักประพันธ์ นักเขียนที่มีชื่อเสียงดีเด่นในทางประพันธ์ร้อยกรอง เรื่อง กฎแห่งกรรม “การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ซึ่งมีผู้ให้ความนิยมสนใจเป็นจำนวนมาก ข้าพเจ้าก็เป็นผู้หนึ่งที่นิยมอ่านเรื่องนี้ ท่านได้บรรยายเรื่องที่เกิดขึ้นให้เห็นเหตุผลความเป็นจริง โดยอาศัยหลักธรรมมาประกอบเรื่อง จนทำให้เกิดมโนภาพ มีคติพจน์สอนใจเป็นที่น่าเลื่อมใส
สิ่งนี้เอง ทำให้ข้าพเจ้าเกิดจินตนาการที่จะนำเรื่องราวต่างๆ ในวัดอัมพวันเข้าสู่วงการงานเขียนของคุณ ท.เลียงพิบูลย์
อาจจะเป็นบุญกุศลที่เคยร่วมญาติร่วมบุญกุศลกันมาในกาลก่อน จึงมีเหตุบันดาลเชื่อมโยงประสานกับคุณ ท.เลียงพิบูลย์ โดยบังเอิญ ดังจะเล่าให้ท่านผู้อ่าน ได้รับรู้ไว้ดังนี้
ในวันหนึ่ง ข้าพเจ้าพิจารณาใคร่ครวญถึงเรื่องที่จะนำมาพิมพ์ควรจะเป็นเรื่องที่มีสาระสำคัญที่เป็นคติเตือนใจ รู้บาปบุญคุณโทษ ผดุงส่งเสริมศีลธรรม ผลสุดท้ายตกลงใจเลือกเรื่องชะตากรรม เรื่องนอกฝัน และเรื่องเหตุเมื่อหลบฝน ซึ่งทั้งสามเรื่องอยู่ในชุดกฎแห่งกรรมของคุณ ท.เลียงพิบูลย์ เพื่อจะนำเรื่องดังกล่าวมาพิมพ์ลงไว้ในหนังสือแจกในงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงสุรการวินิต(ม.ล.อุทัย อิศรางกูร) ๒๘ มีนาคม ๒๕๐๙
เมื่อได้ข้าพเจ้าได้มีจดหมายและได้รับอนุญาตจากคุณ ท.เลียงพิบูลย์ ให้จัดพิมพ์ตามความประสงค์ ข้าพเจ้ารู้สึกปลาบปลื้มใจ ซึ้งใจในไมตรีจิตของท่านที่ได้โปรดเมตตาในครั้งนี้ ทั้งที่ข้าพเจ้าไม่เคยพบหน้าท่านเลย ถือว่าบุญคุณนี้ใหญ่หลวงนัก ไม่มีวันลืมเลือน เสมือนมีสิ่งดลใจ เตือนใจอยู่เสมอว่า จะต้องหาโอกาสตอบแทนท่านให้ได้
เมื่อข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้เดินทางไปเยี่ยมหลวงพ่อจรัญ ที่วัดอัมพวัน ได้เรียนปรึกษาท่านถึงเรื่องคุณ ท.เลียงพิบูลย์ เป็นเจ้าของเรื่องกฎแห่งกรรม ที่นับว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคมเป็นอันมาก เมื่อพระคุณเจ้าได้ทราบจุดประสงค์และความต้องการของข้าพเจ้าแล้ว หลวงพ่อจรัญ ท่านได้กรุณาเล่าเรื่องบุคคลต่างๆ เมื่อครั้งมีชีวิตและตายไปแล้วต้องชดใช้กรรมอย่างไร มีอยู่หลายเรื่องจำต้องทยอยบันทึกอยู่หลายเดือน เพราะหลวงพ่อมีกิจนิมนต์ภายนอกมาก ไม่ค่อยมีเวลาว่าง เมื่อข้าพเจ้าบันทึกเสร็จก็ต้องตรวจทานอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงรวบรวมเรื่องที่บันทึกไว้ส่งทางไปรษณีย์ ให้คุณ ท.เลียงพิบูลย์ การบันทึกแต่ละเรื่องระบุ ชื่อ ตำบล ที่อยู่ เรื่องที่เกิด หลักฐานอ้างอิง ความเป็นจริงอย่างเปิดเผย คุณ ท.เลียงพิบูลย์ พิจารณาคัดเลือกไว้สองเรื่อง ท่านได้พิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมให้เหมาะสม แล้วจัดพิมพ์เข้าไว้ในกฎแห่งกรรม คือ เรื่องที่ ๙๙ ความฝันของลุงยุ้ย และเรื่องที่ ๑๐๔ อดีตชาติ จึงนับได้ว่าข้าพเจ้าได้ชดใช้หนี้ทางใจ คลายกังวลหมดสิ้นแล้ว แต่ยังคอยเวลาหาโอกาสพบท่านให้จงได้ เพื่อเป็นการคารวะขอบคุณในความกรุณาปรานีของท่าน
เรื่องทั้งสองดังกล่าวข้างต้นนั้น ได้มีผู้จัดการวิทยุบางแห่งนำไปเล่าออกอากาศเผยแพร่ ดังนี้
– คุณ ท.เลียงพิบูลย์ ได้จัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม แจกเป็น ส.ค.ส. ๒๕๑๓ – ๒๕๑๔
– คุณมณี รุ่งเรืองธรรม พิมพ์ถวายท่านอาจารย์พระครูภาวนาวิสุทธิ์ ปี ๒๕๑๒
– บริษัท “ธนชาติและญาติมิตร” พิมพ์เผยแพร่กฎแห่งกรรม ในปี ๒๕๑๔ จึงทำให้บุคคลทั่วไปได้รู้จักวัดอัมพวันมากยิ่งขึ้น
ในปี ๒๕๑๓ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้รู้จักคุณ ท.เลียงพิบูลย์ ได้คารวะขอบพระคุณท่านที่เมตตากรุณาช่วยเหลือ ในการอนุญาตให้พิมพ์หนังสือในครั้งนั้น และได้เล่าประวัติผลงานของหลวงพ่อจรัญ หากท่านมีโอกาสผ่านไปทาง จ.สิงห์บุรี อย่าลืมแวะวัดอัมพวัน เป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง มีต้นไม้ร่มรื่นนานาชนิด อยู่ติดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นวัดเก่าสมัยกรุงศรีอยุธยา คุณ ท.เลียงพิบูลย์ รับฟังและยิ้มรับ มีความยินดีที่จะหาโอกาสไปเยี่ยม ซึ่งตามปกติท่านและคณะจะเดินทางไปสอบข้อเท็จจริงของเรื่องที่เขียนอยู่เสมอ ท่านให้ข้อคิดว่า ก่อนจะลงมือเขียนเรื่องใดลงไปนั้นต้องมีหลักพิจารณา คือ
- เป็นเรื่องแปลกไม่ซ้ำกับเรื่องที่เขียนไว้แล้ว
- เป็นเรื่องจริง มีหลักฐานอ้างอิงได้
- ต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงพร้อมด้วยกรรมการ (ที่มีชีวิตอยู่ มีคุณประสิทธิ์ การุณยวนิช, คุณประวัติ โชติกำจร ฯลฯ)
- ไม่เป็นเรื่องสะเทือนขวัญต่อส่วนรวม หรือกระทบกระเทือนต่อบุคคล หรือความมั่นคง
ท่านพูดเนิบๆ ช้าๆ เต็มไปด้วยเหตุผล ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ถือตัว ปล่อยอารมณ์ตามสบาย ไม่เคร่งเครียด ชอบฟังผู้มาบรรยายแล้วนำมาพิจารณาสอบกับหลักธรรม ในงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์แต่ละครั้งมีการเปลี่ยนสถานที่ไม่ซ้ำกัน และครั้งสุดท้าย ณ ห้องหรรษานาวี ราชนาวีสโมสร(เป็นการถาวร)
ในการเลี้ยงกำหนดไว้วันพุธกลางคืน บางครั้งเลขานุการ (พ.อ.พิเศษ เยื้อง คชภักดี) จะเชิญสมาชิกหรือผู้ประสบการณ์ด้วยตนเองมาเล่าเรื่องต่างๆ ให้สมาชิกได้ฟังเพื่อสดับสติปัญญา ให้หูตาสว่างทันโลก เช่น ดร. คลุ้ม วัชโรบล ได้มาพูดเรื่องวิญญาณของน้องชาย (นายคล้ำ วัชโรบล) ได้ตายไป ๒ ปี ได้มาร่วมถ่ายรูปกับญาติพี่น้องในการทำบุญของบิดา มารดา ในพระอุโบสถวัดมหาธาตุ นอกนั้นได้นำรูปวิญญาณแม่ลูกอายุต่างกันปรากฏอยู่หน้าพระประธานในกรุงเก่า (อยุธยา) ภาพของวิญญาณที่ถูกฆ่าเป็นภาพลอยเด่นบริเวณที่ถูกฆ่า นอกจากนั้นก็มีภาพกายทิพย์ของหลวงปู่แหวนลอยเด่นอยู่บนกลุ่มควันเหนือหีบศพที่เมรุวัดหนึ่งใน จ.ลำปาง (ขณะที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่) เพื่อเป็นการแสดงให้เจ้าภาพเห็นว่าหลวงปู่ได้มาตามที่ญาติไปนิมนต์ท่านไว้ และยังเชิญผู้หญิงที่ประสบวิญญาณอาฆาตตนเอง มาเล่าให้ฟัง (เรื่องที่ ๗๐ วิญญาณที่รอคอย) ในคราวไปทอดกฐินที่วัดหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น ฝ่ายเจ้าทุกข์ได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ทุกวัน จนวิญญาณเห็นใจและอโหสิกรรมไม่จองเวรต่อกัน และยังมีเรื่องอีกมากที่นำมาเล่าในที่พบปะสังสรรค์
ในปีต่อมา ข้าพเจ้าได้อ่านเรื่องที่ ๑๑๖ นี่แหละผลกรรม จึงได้รู้ว่า คุณ ท.เลียงพิบูลย์กับคณะได้มาเข้าพบหลวงพ่อแล้ว เพราะมีตอนหนึ่งได้บันทึกว่า “เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม เป็นวันวิสาขบูชาในปี ๒๕๑๓ คุณ ท.เลียงพิบูลย์ ได้เดินทางแต่เช้าไปจังหวัดสิงห์บุรี โดยผ่านทางจังหวัดลพบุรี ตั้งใจไปนมัสการท่านอาจารย์พระครูภาวนาวิสุทธิ์ วัดอัมพวัน เราไปยังไม่ถึง ๑๐.๐๐ น. เราได้พบปะท่าน และได้รับการต้อนรับอันดียิ่ง ได้พบกับหลายท่านที่มาประชุมเลี้ยงเพลพระที่วัด เมื่อได้นมัสการท่านอาจารย์พระครูภาวนาวิสุทธิ์และได้สนทนาอยู่พอสมควรแล้ว ก็ตั้งใจกราบนมัสการลาท่านกลับ เพราะเพื่อนๆ ตั้งใจจะแวะไปนมัสการหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง และจะเลยไปดูบริเวณค่ายบางระจัน ซึ่งเป็นที่วีรบุรุษไทย ได้แสดงฝีมือการสู้รบกับข้าศึกอย่างกล้าหาญ พลีชีพเพื่อชาติศาสนาในอดีต เป็นวีรกรรมอันเล่าลือตลอดมาถึงปัจจุบัน แต่ท่านอาจารย์ยังไม่ยอมให้กลับ ทำให้รู้สึกว่าท่านได้ให้ความเมตตากรุณาด้วยความหวังดีต่อเรา ท่านได้ทราบว่าเราจะไปเพราะ พ.อ.วสันต์ พานิช ได้แจ้งมาก่อนแล้ว ก็ปรากฏว่าทางวัดได้จัดโต๊ะอาหารไว้สำหรับพวกเรา และพวกที่มาชุมนุมในวัด ซึ่งวันนั้นมี คุณ สมเจตน์ วัฒน์สินธุ ไปจากกรุงเทพฯ เป็นเจ้าภาพจัดงานทำบุญเลี้ยงพระ และได้จัดอาหารอย่างอุดมสมบูรณ์ไว้สำหรับเลี้ยงดูผู้ไปวัดอย่างทั่วถึง…”
ข้าพเจ้าสนใจงานไม่ให้คั่งค้าง จึงนำเอางานราชการมาทำต่อที่บ้าน ทำให้ใช้สมองมากเกินไป สูบบุหรี่จัด ดื่มพอสมควร สังขารเริ่มแปรปรวน ในต้นเดือนมีนาคม ๒๕๑๖ ข้าพเจ้าได้ล้มป่วยลง ด้วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน
พระคุณเจ้าได้เข้าไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล ได้ช่วยแผ่เมตตาจนรอดพ้นจากขีดอันตราย แต่ร่างกายไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร ทำให้การไปมาหาสู่พระคุณเจ้าต้องสะดุดหยุดลงชั่วระยะ เมื่อหายไปแล้วเดินทางไปเยี่ยมหลวงพ่อซึ่งประสบอุบัติเหตุเมื่อ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ ที่ รพ.สิงห์บุรี เกือบทุกอาทิตย์ อาการของท่านดีขึ้นตามลำดับจนกระทั่งหายดีเป็นปกติ ทางโรงพยาบาลให้หลวงพ่อกลับมาพักผ่อนที่วัด เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๒๑ ระหว่างพักฟื้นจิตท่านรำลึกอยู่เสมอว่า จะต้องใช้หนี้โลกมนุษย์ เมื่อท่านกลับมาวัดแล้ว จึงเริ่มถมดินรอบวัด และเริ่มสร้างหอประชุมไว้อบรมเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากมีข้าราชการทหาร พลเรือน ครูบาอาจารย์ นิสิต นักศึกษา ญาติโยม ได้เข้ามาปฏิบัติมากขึ้นทุกปีจึงต้องสร้างศาลาใหญ่ (สุธรรมภาวนา) ซึ่งสามารถบรรจุคนได้ ๑,๐๐๐ คน สร้างเสร็จเมื่อปี ๒๕๓๕ ท่านหลวงพ่อได้ยืนยันกับญาติโยมโดยตั้งปณิธานไว้ว่า “จะใช้หนี้โยมจนชีวิตจะหาไม่ จงพาลูกหลาน พี่ป้าน้าอามาเข้ากรรมฐาน อาตมาจะได้มีโอกาสใช้หนี้โยมด้วยการสอนกรรมฐาน เอาความดีให้โยม เป็นการใช้หนี้ค่าข้าวสุก ค่าน้ำประปา ไม่ใช่กินของโยมเปล่าๆ” ทั้งๆ ที่หลวงพ่อพูดย้ำอยู่เสมอแต่ญาติโยมก็ไม่ค่อยจะมากัน รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ ผัดวันประกันพรุ่ง เป็นที่น่าเสียดายเหลือเกิน ปล่อยเวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ หลวงพ่อท่านได้เสียสละ ทุ่มเทกายใจสายตัวแทบขาดก็เพื่อให้ญาติโยมได้พ้นทุกข์ จงประสพสุขทุกทั่วหน้า
ต่อมาในปี ๒๕๒๙ หลวงพ่อขออนุญาตเบื้องบน ขอสละสังขาร แต่หลวงพ่อในป่าได้มานิมิตให้อุบาสิกา สุ่ม ทองยิ่ง( แม่ใหญ่) จัดการนิมนต์ให้ หลวงพ่อจรัญ อยู่โปรดสัตว์ต่อไปอีก ในรุ่งเช้าอุบาสิกาสุ่ม ทองยิ่ง จัดพานเครื่องสักการะ ประกอบด้วย สบง ดอกบัว ธูปเทียนแพ มีพระภิกษุสามเณร แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา พากันเดินไปยังกุฏิหลวงพ่อ เพื่อนิมนต์ขอให้อยู่โปรดสัตว์ต่อ และได้กระทำพิธีนี้เป็นประจำทุกปีมิได้ขาด หลวงพ่อท่านก็ยินดีรับและกล่าวว่า ให้อยู่ก็อยู่
คุณ ท.เลียงพิบูลย์ เป็นบุคคลที่มีคุณงามความดี ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้ทุ่มเททั้งกายและใจในการเขียนหนังสือกฎแห่งกรรมออกเผยแพร่สู่สายตาประชาชน ทำให้เขาเหล่านั้นได้รับรู้ผลของกรรมดี กรรมชั่ว ว่าเป็นอย่างไร มีผลตอบแทนอย่างไร ท่านมีส่วนช่วยเหลือวัดอัมพวัน ทางด้านการประชาสัมพันธ์เป็นอย่างมาก ท่านช่วยเปิดประตูสวรรค์วัดอัมพวัน ให้กว้างทั้ง ๔ ทิศ ให้สาธุชนทุกสารทิศ ได้มา ได้รู้ ได้เห็น ได้เข้าไปปฏิบัติธรรม โดยมีท่านเจ้าคุณพระราชสุทธิญาณมงคลเป็นประธายฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วยวิทยากรที่ชำนาญการอบรมสั่งสอนตามขั้นตอนของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้ญาติโยมได้ประสพแต่สิ่งที่ดีงาม เข้าสู่เส้นทางแห่งพระนิพพาน จากประตูวัดอัมพวันที่เปิดรับตลอด ๒๔ ชั่วโมง มีสัปปายะพร้อมรับรองท่านตลอดเวลา ขอท่านทั้งหลายเอ๋ย จงอย่าปล่อยเวลาผ่านไปโดยไร้ค่าเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นก็แสนยาก ต้องแย่งกันเกิด แล้วจะกลับไปสู่ภพมืดอีกหรือ หรือจะไปสู่ภพสว่างดีไหม
กรรมลิขิต เพราะจิต ของสัตว์สร้าง
จิตแตกต่าง ดีทราม ตามกระแส
ตัวของตัว สร้างกรรม ทำไว้แล
จึงควรแท้ ที่จะตั้ง ระวังเอย
พลตรี วสันต์ พานิช (๒๓ ธ.ค ๓๖)