พระช่วยไม่ได้ ได้แต่บอกทางให้

โดย ผ.อ.ไชยสิทธิ์ ไกรคุณาศัย*

ผ.อ.ไชยสิทธิ์ ไกรคุณาศัย

“พระช่วยไม่ได้ ได้แต่บอกทางให้” แต่ผลจากการปฏิบัติกรรมฐาน ทำให้ปลอดภัย ไม่เคยเชื่อ แต่บัดนี้ต้องกราบยอมรับ”

ข้าพเจ้านายไชยสิทธิ์ ไกรคุณาศัย ขณะบันทึกนี้ มีอายุ ๕๒ ปี ๒๕ วัน สำเร็จปริญญาตรีทางการบัญชี จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโททางการบริหารอาชีวศึกษา จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง ปัจจุบันเป็นผู้รับใบอนุญาต ผู้จัดการโรงเรียนสหวิทย์ และโรงเรียนสหวิทย์พณิชยการ อ.เมืองสุพรรณบุรี จ.สุพรรณบุรี

ข้าพเจ้าได้มีโอกาสมาวัดอัมพวัน กราบนมัสการรู้จักหลวงพ่อจรัญ ปัจจุบันคือ พระราชสุทธิญาณมงคล เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๖ คุณวิชิต สีตลกาญจน์ เป็นผู้นำมาและ มีพรรคพวกมาด้วย ๔-๕ คน บัดนี้ได้เสียชีวิตหมดแล้ว ข้าพเจ้าและคณะมาวัดอัมพวันครั้งนั้น ได้นำสุรา เบียร์ มาดื่มที่ศาลาริมน้ำหลายครั้ง หลวงพ่อจรัญมาเห็นได้แต่หัวเราะ จนพวกเราเกรงใจท่าน เลิกดื่มสุรา เบียร์ในวัด ข้าพเจ้าต้องดิ้นรนประกอบอาชีพ อีกทั้งไม่เชื่อ ไม่สนใจการทำกรรมฐาน นั่งสมาธิ นั่งวิปัสสนาจึงไม่ได้มา จนมกราคม ๒๕๓๖ ได้มาวัดอัมพวันกับคุณวิชิต สีตลกาญจน์อีกครั้ง ได้เห็นการอบรมพัฒนาจิตนักเรียนดีมาก จึงติดต่อขอจองวันอบรมให้กับนักเรียนโรงเรียนสหวิทย์พาณิชยการจำนวน ๖ รุ่น จำนวนครูและนักเรียนที่เข้าอบรม ๒,๐๘๐ คน

ครูนักเรียนเข้าอบรมพัฒนาจิต ฝึกนั่งกรรมฐาน ข้าพเจ้ามาดูแลทุกรุ่น แต่ไม่ปฏิบัติ กลับสนใจธรรมของหลวงพ่อ ตลอดปี ๒๕๓๖ ข้าพเจ้ามาที่วัดอัมพวันทุกอาทิตย์ เพื่อต้องการฟังธรรมคำสอนของหลวงพ่อ บางครั้งได้มีโอกาสสอบถามความสงสัยบางประการ ยิ่งมีความอยากรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติกรรมฐาน เพราะตลอดเวลา ๑ ปีที่นั่งฟังธรรมและปัญหาผู้ที่มีทุกข์มีปัญหามาพบ มาขอความช่วยเหลือ “หลวงพ่อ” จะพูดทุกครั้งว่า ให้ทุกคนมานั่งกรรมฐาน ที่วัดอื่น ๆ ที่เคยพบจะรดน้ำมนต์ ทำการสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา หรืออะไรต่อมิอะไร ต้องเสียเงินทำบุญ ทำให้ข้าพเจ้ายิ่งสงสัยมากขึ้น การนั่งกรรมฐานจะช่วยแก้ไขได้อย่างไร เก็บความสงสัยความอยากรู้ไว้

จนเดือนตุลาคม ๒๕๓๖ ได้มาทดลองนั่งกรรมฐานพร้อมด้วย ดร.สวัสดิ์ อุดมโภชน์, นายเธียร รติธรรมกุล ที่ใช้คำว่าทดลองเพราะความอยากรู้อยากลองว่าจะเกิดผลอย่างไร มีประโยชน์อย่างไร ปรากฏว่าไม่รู้ผลอะไรเนื่องจากมีเวลาปฏิบัติเพียง ๓ วัน รู้แต่วิธีเดินจงกรม วิธีนั่งกรรมฐานเท่านั้น จึงตั้งใจไว้ว่าเมื่อถึงวันเกิด ทำบุญถวายภัตตาหารพระ อุทิศส่วนกุศลให้กับบิดามารดาแล้ว จะอยู่กรรมฐานต่อไปเลย จะปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างจริงจัง จนกว่าจะรู้หรือเห็นประโยชน์จากการปฏิบัติกรรมฐานจึงจะกลับ

๖ ธันวาคม ๒๕๓๖ เป็นวันที่อายุครบ ๕๒ ปี มาทำบุญคล้ายวันเกิด ถวายภัตตาหารพระ เข้าอยู่ปฏิบัติกรรมฐาน ทั้ง ๆ ที่เป็นช่วงที่งานมาก ทั้งงานที่โรงเรียน งานสังคมที่โรงเรียนมงคลสมรส ๔คน หมอนัดผ่าตัดมะเร็งมารดา จึงขอเลื่อนการผ่าตัด งานต่างๆ ขอให้ผู้อื่นไปแทน ต้องใจแข็ง มิฉะนั้นจะไม่มีโอกาส และเสียความตั้งใจ ภาระหน้าที่ ที่กล่าวเป็นความกังวลมาก มีผลอย่างมากต่อการปฏิบัติกรรมฐาน เมื่อตั้งใจและตัดสินใจแน่วแน่แล้ว สวดมนต์ไหว้พระ หลังจากรับศีล ๘ รับกรรมฐานจากหลวงพ่อจรัญ เข้านอนประมาณ ๒๒.๐๐ น. เตรียมปฏิบัติกรรมฐานเช้ามืด

เริ่มปฏิบัติกรรมฐานตั้งแต่เวลา ๐๓.๐๐ น. เริ่มด้วยเดินจงกรมครึ่งชั่วโมง นั่งกรรมฐานครึ่งชั่วโมง ตั้งแต่เริ่มได้ไม่กี่นาที อาการปวดมึนศีรษะ คลื่นไส้จะอาเจียน เหงื่อออกมาก ทั้งที่เป็นช่วงอากาศเย็นมาก ปรับอารมณ์ไม่ให้เครียดไม่ให้กังวลจน ๑๕.00 น. ทนไม่ไหวต้องอาบน้ำตั้งใจใหม่ ทั้ง ๆ ที่ ๑๒ ชั่วโมงมีอาการท้อแท้หลายครั้ง ที่สุดตัดใจเป็นไงเป็นกัน ควบคุมตัวเอง อารมณ์ต่าง ๆ ของตนเอง เพราะแยกปฏิบัติอยู่ที่ห้องพักคนเดียว จนเวลา ๑๖.๓๐ น. ควบคุมอารมณ์ได้ อาการต่าง ๆ หายไป สบายขึ้นมาก จับอาการพอง-ยุบ ของท้องได้ เวลา ๑๘.๐๐ น. ออกจากกรรมฐานไปส่งอารมณ์กรรมฐานกับ “แม่ใหญ่” (อุบาสิกาสุ่ม ทองยิ่ง) แม่ใหญ่ ให้เดินจงกรม ๑ ชั่วโมง เดิน ๒ ระยะ และนั่งกรรมฐาน ๑ ชั่วโมง จนวันที่ ๙ ธันวาคม แม่ใหญ่ให้เดินจงกรม ๓ ระยะ เป็นเวลา ๑ ชั่วโมงครึ่ง นั่งกรรมฐานหนึ่ง ๑ ชั่วโมงครึ่ง รวมเวลาปฏิบัติกรรมฐานรอบละ ๓ ชั่วโมง

การปฏิบัติกรรมฐานช่วงนี้ ข้าพเจ้าได้รู้รสชาติการนั่งกรรมฐานให้ผ่าน “เวทนา” จริง ๆ เป็นอาการที่เจ็บปวดที่รุนแรงมาก เมื่อนั่งได้ ๑ ชั่วโมงต้องทนเจ็บปวดรอบละครึ่งชั่วโมง ๔ รอบแรก ข้าพเจ้าทนไม่ไหว นั่งกรรมฐานไม่ครบเวลา โดยขาดไปรอบละ ๕ นาทีบ้าง ๗ นาทีบ้าง ๑๐ นาทีบ้าง ตอนเย็นส่งอารมณ์กรรมฐานกับ แม่ใหญ่ ได้รับคำแนะนำให้อดทนนั่งให้ครบ หรือเกินเวลาอย่างน้อย ๕ นาที ได้กลับมาปฏิบัติตามเพื่อจะพิสูจน์ว่าเมื่อนั่งครบเวลาแล้ว อาการเจ็บปวดที่รุนแรงทรมานที่สุดนั้นจะหายไปอย่างปลิดทิ้ง ต้องอดทนต่อการเจ็บปวดมากแต่แล้วได้พบว่า จริง เมื่อครบเวลาแล้วอาการเจ็บปวดทรมานนั้นหายไปจริง ข้าพเจ้าเริ่มเชื่อ เริ่มศรัทธาต่อการนั่งกรรมฐาน ข้าพเจ้าได้นั่งปฏิบัติกรรมฐานทนต่ออาการเจ็บปวด จนครบเวลาถึง ๓ รอบ แล้วรอบต่อ ๆ ไปจนถึงวันที่ ๑๔ อาการเจ็บปวดทรมานหายไป เมื่อไม่มีอาการเจ็บปวดหรือได้ผ่านเวทนาแล้ว เรามีความสงบ มีสติอารมณ์ ตามกริยาอาการเคลื่อนไหวของเราได้ดีมาก การผิดพลาดเผอเรอหมดไป

จากการที่สติตามอารมณ์ต่าง ๆ การเคลื่อนไหวได้รู้สึกมีความสงบ มีความสุขที่บรรยายไม่ถูก มีประโยชน์มาก ทำให้เราคิด เราปฏิบัติงานได้ดีเสมือนเวลากลางคืนดึก ๆ ความสงบทำให้เราได้ยินเสียงไกล ๆ ฉะนั้นเมื่อเราสงบมีสติ ทำให้เราคิดได้ดีได้ไกล ข้าพเจ้ายอมรับว่าได้ประโยชน์จากการนั่งปฏิบัติกรรมฐาน ทำให้มีสติในการควบคุมอารมณ์ อากัปกริยา ข้าพเจ้าตั้งใจปฏิบัติต่อเนื่องและได้กำหนดวันไว้ ทุกเดือน ๆ ละ ๓ วัน ที่จะมาปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวัน ทั้งที่ปฏิบัติที่บ้านทุกวัน เพราะมาปฏิบัติที่วัดปฏิบัติได้เต็มที่ ดีกว่าที่บ้าน ไม่มีเรื่องงานเรื่องคนมาขอพบ

วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๓๖ คุณดวงตา ตุงคะมณี พิธีกรรายการผู้หญิงอยากรู้ ได้มาถ่ายทำรายการเรื่อง “การนั่งกรรมฐานแก้กฎแห่งกรรมได้หรือไม่” ข้าพเจ้าได้ไปพบผู้บริหารโรงเรียนสังกัดกรมสามัญในจังหวัดสุพรรณบุรีทุกโรงเรียน บางโรงเรียนในจังหวัดกาญจนบุรี อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา รวม ๔๒ โรงเรียน เพื่อเยี่ยมสวัสดีปีใหม่ พร้อมทั้งเชิญให้ชมรายการ เพื่อจะได้มีความรู้ ความเข้าใจในการนั่งปฏิบัติกรรมฐาน จะได้แนะนำนักเรียนได้ต่อไป

ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ ในรายการผู้หญิงอยากรู้ ว่าการนั่งปฏิบัติกรรมฐาน เป็นการฝึกให้มีสติรู้อากัปกิริยา เช่นการขับรถยนต์อย่างมีสติ และแล้วเหตุการณ์ก็ได้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าเองเป็นการพิสูจน์คำพูด เป็นเหตุการณ์ที่ต้องจดจำไปตลอดชีวิต จึงต้องบันทึกให้ท่านทั้งหลายได้ทราบ

วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๓๖ เวลา ๐๘.๓๐ น. ข้าพเจ้าได้ออกเดินทางจากโรงเรียนสหวิทย์พณิชการ ด้วยรถยนต์ส่วนตัวพร้อมด้วยครูอีก ๒ คน นางสาวนฤมล พันธ์สะอิ้ง นั่งข้างหน้าคู่กับข้าพเจ้าซึ่งเป็นผู้ขับเอง นางสาวอุไรพร ชานนท์ นั่งข้างหลังด้านซ้าย เดินทางไปโรงเรียนลาดบัวหลวง ไพโรจน์วิทยา อำเภอ ลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไปตามถนนสุพรรณบุรี – ตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร เมื่อเดินทางไปได้ประมาณ ๔๑ กม. 57 ถึงสามแยกเข้าวัดไผ่โรงวัวได้จอดถามทางไปโรงเรียนลาดบัวหลวงไพโรจน์วิทยากับเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่ อยู่ที่ป้อมใกล้สามแยก เมื่อได้ทราบแล้วได้ขับรถย้อนกลับ เพราะเคยเป็นทางแยกเข้าโรงเรียน

ขณะที่ขับผ่านทางแยกเข้าวัดไผ่โรงวัว ด้วยความเร็วประมาณ ๓๐ – ๔๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่รถพ้นทางแยก มีรถประจำทางปรับอากาศ จอดรับส่งผู้โดยสาร อยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน และมีรถบรรทุกเล็กจอดรอต่อท้ายรถโดยสารปรับอากาศอีก ๑ คัน

ทันใดนั้นมีรถบรรทุกสิบล้อ บรรทุกข้าวสารมาเต็มคัน วิ่งลงสะพานมาด้วยความเร็ว เพื่อจะเข้ากรุงเทพฯ ไม่ชะลอความเร็ว หักแซงรถที่จอดอยู่ด้วยความเร็วและหักแซงอย่างกระชั้นชิดมาก ทำให้รถเสียการทรงตัว วิ่งออกมาเต็มถนนด้านที่ข้าพเจ้าขับสวนทางมา ซึ่งข้าพเจ้าขับมาจากป้อมตำรวจผ่านทางแยกมาบนไหล่ถนนอยู่แล้ว รถบรรทุกเกิดเสียการทรงตัว จะพุ่งเข้ามาประสานงาชนกับรถที่ข้าพเจ้าขับมา มีระยะทาง ๓ – ๔ เมตร เป็นอย่างมาก เพราะข้าพเจ้าเห็นหน้ารถบรรทุกเต็มหน้า

ข้าพเจ้าตัดสินใจหักหลบรถบรรทุกลงจากถนน ซึ่งตรงบริเวณนั้นมีศาลาพักคนเดินทาง มีรถจักรยานยนต์รับจ้างจอดอยู่ประมาณ ๑๐ คัน รถบรรทุกเล็กอีก ๑ คัน บังทางอยู่ เป็นการบังคับให้ข้าพเจ้าไม่สามารถจะขับรถวิ่งไปข้างหน้าได้ แต่ ขณะนั้น ข้าพเจ้าไม่ตกใจเพราะมีสติจากการฝึกกรรมฐาน ทำให้เห็นช่องว่างระหว่างรถจักรยานยนต์กับรถบรรทุกเล็ก ประมาณ ๒ – ๓ เมตร เลยตัดสินใจขับหนีเข้าไปทางช่องนั้น

บริเวณที่เกิดอุบัติเหตุ และเส้นทางการวิ่งของรถ

ส่วนรถบรรทุกข้าวสารได้หักหลบไปทางซ้าย ทำให้พ้นการประสานงา แต่ข้าพเจ้าดีใจได้เพียงวินาทีเดียว เพราะรถบรรทุกข้าวสารหักหลบอย่างกระชั้นชิดในครั้งที่ ๒ นั้นทำให้รถเอียงเสียการทรงตัว ตัวถังรถเอียงมากจนล้อด้านซ้ายยกลอยขึ้นสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ารถบรรทุกข้าวสารกำลังจะล้มทับ หางน๊อตที่ยึดตัวถังได้เกี่ยวกระแทกรถข้าพเจ้าตรงขอบประตูหน้าและหลังด้านขวา ต่ำกว่าหลังคา ลงมา ๑ คืบ หรือระดับศรีษะคนนั่งในรถ พื้นตัวถังรถกระแทกครูดเป็นแนวยาว

ในช่วงที่รถทั้งสองคันกระแทกกัน ข้าพเจ้าเร่งเครื่องหนีเข้าช่องว่างที่กล่าวไว้ข้างต้น และมองจากกระจกส่องหลัง เห็นรถบรรทุกได้หักมาทางขวาอีกครั้ง เป็นครั้งที่ ๓ ทำให้รถที่กำลังจะล้มทับกลับทรงตัวตั้งได้ รถของข้าพเจ้าจึงพ้นจากการถูกทับด้วยรถบรรทุกข้าวสาร

ท่านทั้งหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคิดว่า ใช้เวลาไม่เกิน ๓ วินาที การที่เรามีสติไม่ตกใจ สามารถแก้ไขสถานการณ์ภายในเวลาเป็นวินาที ทำให้ชีวิตข้าพเจ้า ๕๒ ปี ๒๕ วัน รอดตาย ปลอดภัยไม่มีบาดเจ็บ ฟกช้ำ ครูที่โดยสารรถไปด้วยก็ปลอดภัยไม่มีบาดเจ็บฟกช้ำ คนขับรถจักรยานยนต์และประชาชนที่อยู่บริเวณนั้นก็ไม่มีใครต้องบาดเจ็บ

ฉะนั้น เหตุการณ์ที่ผ่านมา ข้าพเจ้ารอดพ้นมาได้เพราะมีสติในการควบคุมอารมณ์กลัว และตกใจได้

ประชาชนบริเวณนั้นหลายคน แม้แต่ตำรวจ ตัวแทนบริษัทประกันชีวิต ต่างพากันถามว่า ข้าพเจ้ามีพระอะไร ข้าพเจ้าได้ชี้ไปที่รูปหลวงพ่อจรัญ ที่ติดไว้ที่กระจกหน้ารถ เพราะผมไม่ได้สวมสร้อยหรือคล้องพระแต่ประการใด

สภาพรถ หลังประสบอุบัติเหตุ

ท่านทั้งหลาย จากที่กระผมได้เรียนท่านมาตั้งแต่ต้น ถึงการนั่งวิปัสสนากรรมฐาน มาถึงตรงนี้ทุกท่านคงเข้าใจ ที่ผมบอกทุกคนที่มาถามผม โดยการชี้ไปที่รูปหลวงพ่อจรัญ และบอกเขาว่าหลวงพ่อจรัญเป็นผู้ช่วยชีวิตกระผมนั้น หลวงพ่อท่านได้ช่วยผมจริง ๆ ครับ ท่านช่วยสอนการมีสติให้ข้าพเจ้า ๑ ปี จากการที่กระผมฟังธรรมและนั่งวิปัสสนากรรมฐานทำให้ผมมีสติ หลวงพ่อท่านเคยกล่าวกับกระผมว่า พระช่วยไม่ได้ ได้แต่บอกทางให้นั้น เป็นจริงทุกอย่างเลยครับ หลวงพ่อเป็นผู้บอกทางให้ผมจริงๆ

ท่านทั้งหลายการรอดตายทั้ง ๓ คน ไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อยนิดเสมือนตายแล้วเกิดมาใหม่ เป็นผลจากการที่เรามีสติในการควบคุมอารมณ์ตกใจ – ความกลัว ทำให้มีสติตัดสินใจ จนทำให้เราและคนใกล้เคียงที่ร่วมเหตุการณ์ทุกคนปลอดภัยเป็นผลจากการได้นั่งเจริญวิปัสสนากรรมฐานจริงๆ

นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังแปลกใจตัวเอง ที่ข้าพเจ้าไม่ได้โกรธโมโหคนขับรถบรรทุกข้าวสารเลย เพราะข้าพเจ้าเห็นเหตุการณ์การหักหลบ และการหักพวงมาลัย กลับทำให้รถทรงตัวได้ ไม่ทับรถข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้ว่า คนขับรถบรรทุกได้พยายามแก้ไขสถานการณ์ ทำให้ข้าพเจ้ารอดตายและปลอดภัย ถึงแม้เขาจะผิดที่ขับรถเร็วและไม่ชะลอความเร็ว หรือจอดเมื่อมีรถข้างหน้าจอดอยู่ ข้าพเจ้าไม่โกรธ และไม่แจ้งความกับทางหลวง ข้าพเจ้าให้อภัย อโหสิกรรมชดเชยกับความดีที่เขาพยายามแก้ไขสถานการณ์

เมื่อเกิดอุบัติเหตุ คนขับรถบรรทุกข้าวสารได้รีบโทรศัพท์แจ้งเจ้าของ และบริษัทประกัน รถบรรทุกข้าวสารทะเบียน สพ. ๘๐ – ๙๖๒๑ คนขับชื่อ นายพงษ์ หมู่แย้ม บ้านเลขที่ ๔๔๗ / ๑ หมู่ ๑ ตำบลหนองปรือ อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี เป็นลูกจ้าง นายสุชาติ จันทร์สุวรรณ เจ้าของรถบรรทุกและเจ้าของโรงสีจันทร์สุวรรณ จังหวัดสุพรรณบุรี

หลายท่านคงสงสัยว่า ขณะนั้นเครื่องรถของข้าพเจ้าทำไมไม่ดับ และยังขับหนีภัยได้ ข้าพเจ้าขอเรียนว่า วันนั้นข้าพเจ้าขัยรถเบ็นซ์ ๒๐๐ เกียร์อัตโนมัติความแข็งตัวถังรถของข้าพเจ้า ความคล่องตัวของพวงมาลัยหักเลี้ยวมุมแคบ เกียร์อัตโนมัติ สมรรถภาพที่ดีของรถทั้ง ๓ อย่างผสมกับสติคนขับ ทำให้รอดปลอดภัย

จากประสบการณ์ครั้งนี้ ข้าพเจ้าและครูอีก ๒ คน รอดตายได้เพราะพระคุณของหลวงพ่อพระราชสุทธิญาณมงคล และอุบาสิกา สุ่ม ทองยิ่ง (แม่ใหญ่) ที่ได้เมตตา ข้าพเจ้า สอนธรรมสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน และสอนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานทำให้ข้าพเจ้ามีสติในการควบคุมอารมณ์ ติดตามการเคลื่อนไหวของอากัปกิริยาได้พอสมควร

ก่อนเกิดเหตุการณ์ที่แทบเอาชีวิตไม่รอดเพียงไม่ถึง ๒๐ วัน ข้าพเจ้ายอมรับว่าการนั่งปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานช่วยให้มีสติ เมื่อมีสติความประมาทก็ไม่มี ความสูญเสียไม่มี มีแต่ความสำเร็จ ความสะดวก ความสงบ ความปลอดภัย

ฉะนั้นไม่ว่าชนชาติใด ศาสนาใด ฐานะความเป็นอยู่และความรู้ระดับใด จงพยายามปฏิบัติให้ถูกต้องตามแนวทางของครูอาจารย์ ที่สอนการปฏิบัติกรรมฐานท่านแนะนำ และปฏิบัติอย่างจริงจัง จะได้ผลมีสติอย่างแน่นอน แต่ถ้าท่านคิดจะได้เห็นนรกสวรรค์แล้วละก็ท่านคิดผิด ขอให้ท่านมีสติท่านจะได้ทุกอย่าง

และสุดท้ายขอเรียนว่า หลวงพ่อจรัญท่านได้พูดไว้ถูกต้องที่สุดแล้วว่า พระช่วยไม่ได้ ได้แต่บอกทางให้ ดังนั้น ขอให้ท่านเลิกรอปาฏิหาริย์จากสิ่งที่เรา เคารพนับถือ แต่ขอให้เรานำคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์มาปฏิบัติให้เห็นจริงด้วยตนเอง ช่วยเหลือตนเอง ปฏิบัติตัวให้ดี ละความชั่วเสีย และมีสติอยู่เสมอ จะดีกว่ารออภินิหาร

บันทึกฉบับบนี้ ข้าพเจ้าได้บันทึกเสร็จเมื่อเวลา ๒๓.๓๐ น. ของวันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ เป็นเรื่องจริงของข้าพเจ้า ที่เริ่มจากความไม่เชื่อ จนกลายมาเป็นการยอมรับความป็นจริงที่ได้พบด้วยตนเอง คงจะไม่ใช่เชื่อเท่านั้น คงยึดมั่น และนำไปแนะนำครู นักเรียน เท่าที่มีโอกาสให้ปฏิบัติตัวอยู่ในธรรม ให้สวดมนต์เป็นนิจ อธิษฐานจิตเป็นประจำ อโหสิกรรมก่อนแผ่เมตตา ตามคำสอนของหลวงพ่อและตามพุทธพจน์ที่ว่า ตนแล เป็นที่พึ่งแห่งตน และหนทางนั้นมีอยู่เราเป็นผู้ชี้แต่การเดินทาง เป็นหน้าที่ของเธอ

หากมีข้อความใดไม่เหมาะสม ข้าพเจ้าต้องขออภัย เพราะบันทึกหลังจากเหตุการณ์รอดตายได้ไม่ถึง ๑๒ ชั่วโมง บันทึกตามความรู้สึกถึงภาพรถบรรทุก จะชน จะทับ ยังอยู่ในความรู้สึกตลอดเวลา ไม่รู้นานเท่าไหร่ถึงจะหาย ข้อความใดที่ท่านคิดว่าเป็นการโอ้อวด ขอได้รับทราบว่า ข้าพเจ้ามิได้มีเจตนาเช่นนั้นเลย บุคคลที่กล่าวถึง เป็นเพียงการยืนยันประกอบการบันทึก หากไม่สมควรในสิ่งใด ข้าพเจ้ากราบขออภัยด้วย ขอขอบพระคุณอย่างสูง

 

*ผอ.ไชยสิทธิ์ ไกรคุณาสัย ผู้จัดการโรงเรียนสหวิทย์, โรงเรียนสหวิทย์พณิชยการ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรรบุรี