พระประจำใจ
โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
เจริญสุข ท่านผู้ใฝ่ธรรมสัมมาปฏิบัติทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ วันนี้เป็นวันอุโบสถ วันพระแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ทุกท่านมาสร้างกุศลกัน เริ่มต้นด้วยทานมัย การทำบุญตักบาตรตอนเช้า รักษาอุโบสถกำหนดองค์ ๘ ประการ แล้วบำเพ็ญกุศลจิตให้กุศลกรรมบถครบ ๑๐ ประการ ทั้งด้านกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม
เข้าไปถึงคุณพระศรีรัตนตรัย ยึดมั่นหน่วงเหนี่ยวคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรมเจ้า คุณของพระสังฆเจ้า โดยพระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาแนบสนิทติดอยู่ ในหัวใจเป็นภาคปฏิบัติธรรม
น้อมนึกระลึกถึงคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเอามาแนบสนิท เป็นวิธีการดำรงชีวิตด้วยคุณธรรม มีการสร้างความดีละความชั่ว ประกอบกิจการของตนโดยบำเพ็ญจิตภาวนา เป็นเชิงปฏิบัติการในการพระพุทธศาสนา จึงจะเกิดคุณธรรม เกิดอานิสงส์ผลงานในรูปแบบ แสดงผลงานออกมาในชีวิตของตน เรียกว่าคุณค่าของพระสงฆ์องค์พระสาวก เป็นผู้ประพฤติดีแล้ว ละชั่วได้แล้ว เป็นผู้ปฏิบัติชอบ โดยดำริชอบ กิจการงานก็ชอบ คิดอะไรก็ชอบ ทำอะไรก็ชอบ ประกอบกันเป็นกิจกรรม จิตใจก็ใสสะอาดหมดจดทุกประการ ได้มาจากการบำเพ็ญจิตภาวนา พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าเป็นผู้ประพฤติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติชอบอยู่ในกรอบของมรรค ๘ โดยไตรสิกขา ๓ ครบ สอนตนเองให้ดีมีปัญญาเฉลียวฉลาด ปักลงในคุณค่าแห่งความดีเรียกว่า คุณธรรม แล้วจึงแสดงออกบอกสอนประชาชน ให้ประพฤติดีบ้าง ประพฤติชอบบ้าง และจิตใจก็ใสสะอาดด้วยเมตตา ปรารถนาดีต่อพุทธมามกะ ดำรงมั่นในคุณธรรมเป็นกิจกรรมของพระสุปฏิบัติเรียกว่า สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สงฺฆํ นมามิ ข้าพเจ้าขอไหว้หมู่สงฆ์องค์ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ข้าพเจ้าจะไม่ไหว้กราบบุคคลที่ตรงกันข้าม วันนี้เป็นวันพระ ทำใจให้สะอาดหมดจด จิตใจประเสริฐล้ำเลิศอยู่ดีมีปัญญา นั่นแหละ พระ เมื่อใจเราประเสริฐพบพระเมื่อใด จิตใจก็แสดงออกเป็นรูปแบบ คือ กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ ในวันธรรมสวนะ เรามีจุดมุ่งมาดปรารถนาอีกประการหนึ่ง คือ หาที่พึ่งทางใจ
นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ เม สรณํ วรํ
เอเตน สจฺจวชฺเชน โหตุ เต ชยมงฺคลํฯ
นอกเหนือจากการมีสรณะที่พึ่งของตน มีการยึดเหนี่ยวน้อมนำพระพุทธเจ้า มาปฏิบัติตนให้อยู่แนบสนิทติดอยู่ในหัวใจ ระลึกถึงคุณค่าของพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว เราก็มาปฏิบัติธรรม เรียกว่ามา เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จิตใจก็เป็นพระเรียกว่าสงฆ์ มีแต่ความเมตตา สามัคคี มีวินัย มีสัจจะ มุ่งคิดทำความดี มีปัญญา จึงเรียกว่า พระ
เพราะฉะนั้น วันธรรมสวนะจึงเป็นวันทำใจของเราให้เข้าสู่จุดนี้ให้ได้ มีการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อชำระจิตใจให้หมดจด ชำระใจให้สะอาด ชำระใจให้บริสุทธิ์ เราจึงมาสร้างความดีกัน สร้างสรรค์ฐานะของตน
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อจะค้นหาพระค้นหาความดีที่เร้นลับอยู่ในจิตใจ ปฏิบัติประจำใจได้แล้ว คนนั้นใจประเสริฐ คนนั้นบริสุทธิ์ มีที่พึ่งของตนได้ จะแสดงออกมาในรูปแบบของค่านิยมพื้นฐาน จะมีเสน่ห์อยู่ที่ใบหน้า มีจิตใจใสสะอาด ไม่ผูกพยาบาทต่อท่านผู้ใด มีจิตใจดำรงกิจในพระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนนั้นจะพบพระ
ท่านสาธุชนทั้งหลาย ในวันพระเราต้องมาค้นหาพระของท่านทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ค้นหาพระในใจของท่านให้ได้ ไม่ต้องไปค้นหาพระวัดอัมพวัน วัดอะไรก็ตาม ไม่ใช้พระประจำใจ ต้องหาพระมาประจำใจเป็นวัดของท่านโดยเฉพาะ อีกส่วนหนึ่งจะหาที่พึ่งทางใจได้
ถ้ามีพระประจำใจ มีพระประจำกายแล้ว ท่านจะมีที่พึ่งตลอดชีวิต จะไม่ขัดข้อง ไม่ต้องหมองใจ ไม่เศร้าโศกเสียใจแต่ประการใด จะเกษมสำราญชื่นบานวัฒนาสถาพร คนที่ขาดที่พึ่ง คือคนที่ไม่มีทางเดิน ทางตันหมดแล้ว อับเฉาอับจนหมดอาลัยตายอยาก ปัญญาก็ไม่เกิดขึ้นกับคนประเภทนั้น
ปัญญาจะเกิดขึ้นได้คนนั้นต้องมีหนทาง คนนั้นต้องหาที่พึ่งโดยทานมัย ศีลมัย และภาวนามัย ๓ ประการนี้ ท่านจะพบของดีในจิตใจของท่าน ท่านจะไม่เศร้าหมองใจ นึกถึงทานเมื่อใดก็ปลื้มใจเมื่อนั้น ด้วยเหตุที่เราได้มีโอกาสบริจาคทาน ได้มีโอกาสบำเพ็ญศีล ได้มีโอกาสเจริญกุศลภาวนากับเขาบ้าง จะได้มีนิสัยปัจจัยเป็นสันดานติดตัวไป
ในชีวิตจิตใจของท่านแต่ละชีวิตที่ผ่านมา เราจะเห็นแต่ความทุกข์ความยาก มีแต่ความลำบากตลอดรายการ ในเมื่อเฒ่าชราแล้วท่านจะขาดที่พึ่ง ท่านจะว้าเหว่เหมือนข้าราชการที่ปลดเกษียณหาที่พึ่งไม่ได้ฉันนั้น
เราก็เป็นเช่นนั้น แก่เมื่อใดว้าเหว่เมื่อนั้น หาที่พึ่งไม่ได้ จะพึ่งลูกพึ่งหลานก็แลเหลียวเปลี่ยวใจเป็นที่พึ่งไม่ได้ทั้งนั้น จะพึ่งได้ชั่วคราว เมื่อมีชีวิตอยู่ด้วยกันเท่านั้น คำพังเพยว่าไว้ “สู้ไม้เท้าอันเดียวก็ไม่ได้” ท่านทั้งหลายเอย โปรดหาที่พึ่งเสียแต่บัดนี้เถิด
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ฯ ตนเท่านั้นเป็นที่พึ่งแห่งตน
การเจริญวิปัสสนากรรมฐานเป็นที่พึ่งของตัวเองได้ มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง
ใครจะท้วงติงพระพุทธเจ้าคงไม่ได้ นอกจากคนถ่อยผู้ไร้ปัญญา เหมือนโตเทยยพราหมณ์เถียงพระพุทธเจ้าไม่พัก เป็นเศรษฐีมีเงินเป็นพันล้าน ได้ตายแล้วไปเกิดเป็นสุนัขอยู่ในบ้านลูกชาย เฝ้าสมบัติเก่าอยู่ ใครมาก็เห่า พระพุทธเจ้าผ่านมาก็เห่าอีก ท่านจึงว่า โตเทยยพราหมณ์เอย อย่าเห่าเราเลย ทำนองนี้เป็นต้น
นี่แหละอำนาจโมหะ ตายไปต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน นี่แหละคนห่วงสมบัติ มีสมบัตินึกว่าจะช่วยได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก คนเราเดี๋ยวนี้คิดเข้าข้างตัวเอง เอาแต่อารมณ์มาข่มจิต ใช้ชีวิตด้วยโลภะ โทสะ โมหะ คนนั้นหาที่พึ่งไม่ได้เลย เป็นเศษมนุษย์ บุรุษโคมลอย ไม่ใช่มนุษย์แท้ หาหลักแหล่งไม่ได้ เรียกว่า สัมภเวสี จิตใจกวัดแกว่งฟุ้งซ่านหากิเลสเป็นอารมณ์ แสงสว่างไม่มี ท่านจึงหาพระไม่พบ พระอยู่ในใจท่านต้องมีปัญญาสดับตรับฟัง มีศรัทธาเชื่อถือ จุดหมายคือความดี และมีความคิดอ่านเขียนเรียนวิชาไว้ เป็นหลักฐานสำคัญของชีวิต
นอกเหนือจากนั้น จิตก็มีภาวนา เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ได้ผลขึ้นมาในสันดานของตน จิตกมลที่เศร้าหมองหายไป จิตของท่านก็มีปัญญา แสงสว่างส่องทางมรรคมรรคาจะเดินทางไม่ผิดในชีวิตตลอดกาล
พระคือใจเย็น พระคือใจเป็นสุข ไม่ทะเลาะวิวาทกัน ไม่อาฆาตเคียดแค้นริษยากันแต่ประการใด คนนั้นเป็นพระได้ ไม่จำต้องกล่าวว่าบวชในพระธรรมวินัยนี้เท่านั้น ญาติโยมสาธุชนพุทธบริษัทก็เป็นพระได้ มีจิตใจประเสริฐ นึกถึงทานที่บริจาคแล้วก็ชื่นใจ นึกถึงศีลที่รักษาไว้ก็ดีใจ ชื่นใจว่าเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ นึกถึงภาวนาเมื่อใดจิตใจก็ชื่นบานเมื่อนั้น นั่นแหละพระใจประเสริฐอยู่ให้บังเกิดผล
คนประเภทที่เป็นพระอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ กินก็สบาย นอนก็สบาย เลี้ยงก็ง่าย ไม่หัวดื้อหัวรั้น ถ้าพบพระในจิตใจของท่านเองแล้ว ท่านจะรู้ได้โดยปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิฯ รู้ด้วยตัวของท่านเองว่า ท่านเป็นพระหรือไม่ จิตใจอาฆาตใครไหม มีอโหสิกรรมกันหรือเปล่า คนเราจะต้องมีอโหสิกรรมก่อนแผ่เมตตาเสมอ ให้อภัยกันได้ คนนั้นจะเป็นพระด้วยใจประเสริฐล้ำเลิศทุกประการ
คนจะค้นพบพระได้ ต้องเจริญวิปัสสนาอย่างเดียว จึงจะพบ เพราะพระอยู่ในใจของท่าน ค้นอย่างไรใช้เหตุอะไรมาค้น ต้องมีสติไปค้นจิต ควบคุมจิต ดูฤทธิ์เดชของจิต ซึ่งมันเลวร้ายหลั่งไหลไปสู่ที่ต่ำคือใช้ สติปัฏฐาน ๔ เป็นตัวปฏิบัติ
กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ข้อหนึ่งนั้นหมายถึง กายทั้งหมด คือรูปทั้งหมดเป็นรูปธรรม หมายถึงกายสัดส่วนทั้งอวัยวะเคลื่อนย้ายในร่างกาย เราก็มีพระประจำกายเสีย พระประจำกายจะเคลื่อนย้ายนั่ง นอน ยืน เดิน ก็ต้องมีพระประจำใจคือ สติ คอยควบคุมกายที่เคลื่อนย้ายก็เป็นไปด้วยความเยือกเย็น เรียบร้อย จะพูดจาเจราพาทีก็แสดงออกมาด้วยวาจาที่เป็นพุทธภาษิต ธรรมภาษิต ไม่แสลงใจในการพูดแต่ประการใด จิตใจก็เบิกบาน คนนั้นเป็นพระได้
กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีการยืนกำหนดจิตเพื่อจะรู้อารมณ์ของชีวิต ใช้สติควบคุมจิต มีการเดินจงกรม ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ เดินแบบพระ เดินอย่างใจเย็น มีสติควบคุมจิตไว้ได้ รูป นาม ขันธ์ ๕ ก็เป็นอารมณ์หนึ่งเดียว สติก็อยู่ในภาคกาย ท่านก็จะมีพระประจำกายในการเดินจงกรม เวลาจะเดินก็ทอดสายตาสำรวมอายตนะ ธาตุ อินทรีย์ ท่านจะมีพระประจำอยู่ จิตเป็นพระก็ดูด้วยปัญญา จิตเป็นพระก็ฟังด้วยปัญญา เกิดผลขึ้นมาทางอารมณ์ของตนก็เป็นอารมณ์ของพระ จิตใจก็ไม่มัวหมองแต่ประการใด ไม่มีอุปสรรคที่จะมาขัดขวางในความดีของท่านได้ ด้วยจิตของท่านมีกุศล
พระจะไปไหนก็เปิดทางสว่างไสว เหมือนอย่างท่านสาธุชนเคารพนับถือพระสงฆ์ เห็นพระก็ไหว้ ถึงแม้พระสงฆ์องค์เดิมไปปู้ยี่ปู้ยำ ไม่น่าเลื่อมใสก็จริง แต่ไหว้เถอะ เราไหว้พระผู้ใจประเสริฐ ถึงองค์นั้นใจท่านไม่ประเสริฐ ทำไมเราจึงจะได้บุญได้คุณประโยชน์ ขอตอบให้ท่านฟังอย่างชัดเจนดังนี้
เราคิดว่าพระองค์นั้นบริสุทธิ์ เราไหว้พระไม่ได้ไหว้คน องค์ไหนเป็นพระ เราก็ถึงพระ แล้วก็น้อมจิตเข้ามาถึงใจ พระก็ถึงใจเรา คือไหว้หมู่สงฆ์ ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ใจของท่านก็เบิกบาน ใจของท่านก็ดีมีปัญญา อย่างนี้จะถูกต้อง เมื่อเราไหว้มาก ๆ เข้าไปแล้ว พระท่านก็เข้าไปอยู่ในจิตใจของท่าน พระที่เดินอยู่นั้นจะปู้ยี่ปู้ยำเป็นพระเพลิงอย่างไรก็ตาม ไม่สำคัญ สำคัญที่พระในใจของเรา ว่าเราไหว้พระถึงพระไหม
ท่านเป็นพระประเภทไหน ไม่ต้องตำหนิ ไม่ต้องติเตียนพระ แต่ควรตำหนิพระอยู่ในใจของเราว่าเป็นพระแท้หรือไม่ จิตใจเป็นกุศลหรือเปล่า ไหว้พระแล้วหันมาดูเงาตามตัว สุปฏิบัติ เราเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ นั้นแหละพระ… พระสงฆ์จะอยู่ในใจของท่าน ไม่ใช่พระสงฆ์ที่เดินไปมา เราทำไปเถิดพระจำอยู่ในใจเราชัดเจนแล้ว ไม่ต้องกล่าวอจินไตย มันเป็นเรื่องเงาตามตัว บุญกุศลก็ได้เอง ไม่ต้องหมายความว่าจะไปเลือกพระไหว้ จะหาพระที่ดี ๆ เลือกพระสงฆ์ที่บริสุทธิ์ องค์ไหนล่ะบริสุทธิ์ และบริสุทธิ์รู้ได้อย่างไร? เราไหว้ไปเถิด ถึงพระจะด่าเรา ท่านไม่ได้เป็นพระก็เรื่องของท่าน ท่านเป็นอลัชชีท่านจึงด่าเรา แช่งชักหักกระดูกเรา เรากราบไหว้ถึงพระสุปฏิปันโน พระสุปฏิปันโนก็เข้ามาสู่จิตใจของเรา พระองค์นั้นเป็นบาปก็เป็นเรื่องของท่าน เราจะตัดปลิโพธความกังวลนี้เสีย
ผู้มาปฏิบัติธรรมอย่าไปมองเห็นพระองค์โน้นไม่ดี องค์นี้ไม่ดี จงมองแต่พระในใจของเราเถิด อย่าไปดูพระนอกกาย เราต้องดูพระประจำกาย เดินจงกรมมีสติไหม พองหนอยุบหนอ กำหนดได้ไหม สติอยู่ตรงนี้ พระอยู่ตรงนี้
ถ้าจิตใจเข้าสู่ภาวะมีขันธ์ ๕ รูปนามเป็นอารมณ์แล้ว แยกรูปแยกนามได้เมื่อใด ท่านจะมีพระประจำใจ มีพระปกป้องตัวท่านไม่ให้เป็นอันตราย พระสงฆ์เดินมาไม่ใช่พระปกป้องท่านได้ ไม่ได้ไปคุ้มลูกปืน ไม่ได้คุ้มอันตรายได้ พระประจำกายประจำใจท่านนั่นแหละคุ้มภัยได้ ท่านจะไม่เดินไปหาภัยร้าย ท่านจะไม่เดินไปสู่ความหายนะ ท่านจะไม่เดินไปหาอบายมุข ท่านจะมีความสุขไม่เลวร้ายในสังคม นั่นแหละพระประจำใจประจำบ้านของเรา เราก็มีความสุขในบ้านของเราเอง อันนี้เป็นบุญวาสนาอันหนึ่ง เราท่านทั้งหลาย มีพระประจำใจเถิด อย่าไปดูพระวัดโน้นไม่ดี วัดนี้ไม่ดี วัดอัมพวันไม่ดี อย่าไปหมายความอย่างนั้น ดูพระในใจเรา พระที่เดินมานี่ บวชเก่า บวชใหม่ รู้บ้างไม่รู้บ้าง จะเอาอย่างไรอีกเล่า อย่าไปตำหนิพระ คนที่ตำหนิพระตำหนิชี คนนั้นไม่ดีนะ คนไหนเป็นอุบาสกอุบาสิกาเขาจะไม่ตำหนิใคร จะไม่ว่าใครเลย
ขอให้ไหว้พระถึงพระ เอาพระพุทธเจ้ามาใส่ไว้ในใจ นำพระธรรมคำสั่งสอนมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน พระกรรมฐานก็อยู่ในใจนั่นแหละ เป็นพระอันล้ำเลิศ ท่านทั้งหลายจะเป็นผู้ประพฤติดีแล้ว ปฏิบัติชอบแล้วประกอบกิจโดยธรรมสัมมาปฏิบัติ รับรองท่านเป็นพระจะไม่วุ่นวายกับใครเลย จะไม่ตำหนิติเตียนนินทาสรรเสริญใคร คนนั้นจะถืออุเบกขาภาวนา ไม่ต้องมีบุญมีบาป มีแต่ประกาศธรรมะ มีจิตใจไม่ลดละภาวนาแล้ว จะไม่ตำหนิโทษใครจะไม่ว่าใครแน่นอน โดยวิธีนี้จะถูกต้อง
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ต้องตัดปลิโพธิกังวลทางบ้าน ไม่ต้องคิดถึงภรรยา สามี ลูกหลาน เพื่อให้มีสติมีจิตอยู่กับปัจจุบันธรรม หาพระประจำใจให้ได้ อย่าได้ห่วงลูกหลาน ขณะปฏิบัติธรรมเลย ถ้าเป็นพระสงฆ์ก็ไม่ห่วงเอกลาภ ไม่ต้องห่วงวัดของท่าน ห่วงวัดของเราดีกว่า วัดกาย วัดวาจา วัดใจ เป็นห่วงหน่วงเอาไว้ในใจ พระก็จะประจำใจ สิ่งทั้งหลายสิ่งแวดล้อมก็ดีขึ้น บางรูปท่านมาบวชนาน อยู่นานไปอย่างนั้นเองแต่ไม่พบพระ จึงต้องลำบากใจวุ่นวายไม่พัก ฟุ้งซ่านตลอดรายการไม่มีความสุข
ดังนั้นจึงต้องมีการกำหนดอายตนะธาตุอินทรีย์ ถ้ามันเกิดฟุ้งซ่านก็เอาพระใส่ใจเสีย ฟุ้งซ่านหนอ ฟุ้งซ่านหนอ ถ้าคิดมากใจเป็นอกุศล เอาพระมาประจำใจซะ พระเจ้าเข้าได้อย่างไร เรากำหนด รู้หนอ รู้หนอ โปรดรู้ตัวเถิด โปรดมีสติเถิด เดี๋ยวพระก็เข้ามาประจำใจ แล้วเราก็ไม่วุ่นวาย ไม่ฟุ้งซ่านกับใคร ๆ
คิดอะไรไม่ออก พระท่านเข้าประจำใจเมื่อใดก็คิดออกเมื่อนั้น ทำอย่างไรจะเอาพระเข้าประจำใจ? ก็ต้องกำหนด คิดหนอ คิดหนอ คิดหนอ ฯลฯ ความคิดเป็นสมาธิ หนอเป็นปัญญารั้งจิตเข้าไว้ พระเข้าใจได้เมื่อใดปัญญาก็เกิด ความคิดที่ไม่ดีมันก็หายไป ความคิดดีใหม่ก็เข้ามาแทนที่ก็เกิดหนทาง ทำให้เราเดินทางถูกต้อง
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย คนเราว่านอนสอนยากลำบากใจก็ช่างเถิด เพราะเขาไม่มีพระประจำใจจึงมีจิตเป็นอกุศล จงแยกทางกันเดินไปเถอะ อย่าเดินทางเดียวเหยียบรอยกันเลย คนพาลกับคนบัณฑิตอยู่ด้วยกันยาก คนพาลเดินไปแล้วคนบัณฑิตจะเหยียบรอยข้างหลัง ดูชัดเจนไหม
อยากเรียนรู้ถามหญิงคันหูก อยากทำถูกถามเด็กเลี้ยงควาย
คนสามบ้านกินน้ำบ่อเดียว เดินทางเดียวอย่าเหยียบรอยกัน
นะฯ อยู่หัวสามตัวอย่าละ นะฯ อยู่ที่ไหนไปเอาที่นั้น
ได้แก่อะไรเอ่ย? รับรองไม่ได้ทุกคน ท่านทั้งหลายตีปัญหาไม่ออก เพราะยังไม่ปฏิบัติกรรมฐานได้ไม่ถึงจุด
คนอันธพาลชอบเหยียบรอยกันเดินตามรอยกัน คนดีมีปัญญาเขาจะไม่เหยียบรอยของใคร จะไม่ซ้ำแบบในอกุศลกรรม บัณฑิตที่มีพระจะไม่เหยียบเขา จะไม่ซ้ำรอยเขา จะเดินทางด้วยปัญญาที่มี บัณฑิตมีความคิดสูง
อยากเรียนรู้ถามหญิงคันหูก การทอผ้าเป็นประการใด ยากเย็นเข็ญใจ กว่าจะได้ผ้าแต่ละผืนจะต้องทำอย่างไร ขอฝากไว้ไปคิด ถ้าปฏิบัติได้จะรู้ว่าทออย่างไร คันหูกเป็นประการใด ไหมเป็นประการใด กว่าจะมาทอเป็นผืนเป็นคืบเป็นศอก แสนจะลำเค็ญมิใช่น้อย ยังสามารถมาทำผ้าละเอียดอ่อน ยกดอกยกดวงได้สวยงามน่าทัศนาชม
อยากทำถูกถามเด็กเลี้ยงควาย หมายความว่ากระไร อย่าลืมนะว่าเด็กเลี้ยงควายนั้นโง่มาก่อน แต่แล้วมีจิตเป็นกุศลเป็นประการใด จะทำถูกจากความโง่ให้เกิดผลเกิดปัญญา เฉลียวฉลาดปักไว้ในปัญญา จึงไม่เหยียบรอยใคร จึงไม่ว่าใคร ประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอยของใคร คนนั้นจะ เดินทางถูก ปลูกสติ ดำริชอบ ประกอบกุศล ได้ผลอนันต์ เป็นหลักฐานสำคัญ ดังที่ได้ชี้แจงมา ณ บัดนี้
คนน้องเห็นพี่ไม่ดี เดินตามรอยพี่ดีหนักหนาหรือ คนเราจึงแย่งสมบัติกัน บางคนมีนาอยู่เพียงกะผีกเดียวแย่งกันอยู่นั้น คนที่เขาไม่แย่งใครคนดีผู้มีปัญญาจะไปหาเอาใหม่ จะไม่รบกวนพ่อแม่ แยกออกไปหากิน และจะมาสนองงานให้แก่พ่อแม่ด้วยความดีใจ
ท่านสาธุชนทั้งหลาย การจะแผ่เมตตาสร้างความดี ให้มีกำไรชีวิตแล้ว ท่านจะไม่มีอุปสรรคจักต้องทำแบบนี้ อย่าไปริษยาเขา ทำอะไรอย่าไปผูกพยาบาทฆาตพยาเวร เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรกัน อย่างนี้จะถูกนะ บาปย่อมระงับด้วยการไม่สร้างบาป ความดีมีบุญต้องต่อคุณประโยชน์ ไม่ให้มีโทษเจือปนอยู่ในจิตใจแต่ประการใด เมื่อเป็นพระใจประเสริฐแล้ว รับรองได้เลยว่า ท่านทำงานไม่มีอุปสรรค จะไม่มีอะไรขัดขวางระหว่างทางด้วย
ท่านเป็นพระไปไหนมีคนไหว้ มีคนต้อนรับ มีเสน่ห์ มีมหานิยม มีคนนิยมชมชอบ มีคนประกอบกิจ รับรองไม่มีอุปสรรคอย่างแน่นอน
เมื่อปฏิบัติถึงโสฬสญาณเข้าถึงจุดมุ่งหมาย ใกล้ฌานสมาบัติ นิโรธสมาบัติ ท่านจะพบข้อนี้ก็จะทายตำรานี้ได้เอง และจะบอกได้ชัดเจนด้วยประการทั้งปวง
จะทอหูกอย่างไร เขาต้องทอกันอย่างไร จิตใจของท่านจะละเอียดอ่อนเหมือนคันหูก ทำถูกคือเลี้ยงควาย มันจะต้องโง่มาก่อน จึงจะหาความฉลาดปราดเปรียวในหัวใจ หาที่พึ่งทางใจคือธรรมะ ท่านจะทายปัญหานี้ได้ ท่านจะอธิบายได้ละเอียดอ่อน ที่พูดนี้เป็นเปลือกเท่านั้น ถ้าแก่นแท้ท่านจะทายได้ ด้วยตัวของท่านอย่างแน่นอน
คนเจริญวิปัสสนาทำให้คนไม่ซ้ำรอย ทำให้เกิดปัญญาเหมือนเราโง่มาก่อน จากเด็กเลี้ยงควายมาปฏิบัติเข้า ความโง่ก็จะเกิดความถูก ความถูกจะรู้ความผิด จะมีชีวิตด้วยความเกิดผล คือปัญญาแหลมหลักปักลงในหนทางและเดินทางโดยถูกต้อง
ผู้ปฏิบัติกรรมฐานโปรดเจาะแต่เรื่องของตนเอง อย่าไปเอาเรื่องของใครไม่ได้ เพราะมากเรื่องมากราวตลอดรายการ มัวหาเรื่องให้มากขึ้น ทุกข์เราเต็มเปาเต็มกระเป๋าอยู่มากแล้ว ทำไมเอาทุกข์จรเข้ามาอีกเล่า เอาทุกข์นอกประเด็นมาใส่ใจ ไหนเลยท่านจะพบพระ จะเจอก็เจอแต่แพะ จะเจอแต่แกะดำพบแต่อกุศลกรรมตลอดรายการ มีแต่เวรกรรมตามสนอง
ท่านทั้งหลายจงระงับเวรเสีย อย่าจองเวรเลย อย่าไปว่าใครเขา ต่างคนต่างสร้างความดีให้มีปัญญาสำหรับตน มีพระประจำตัวเถิดจะประเสริฐศรี มีพระดีประจำบ้าน บ้านนั้นจะผาสุก ลูกหลานจะเป็นบัณฑิต ลูกหลานจะได้ดีมีปัญญา ลูกหลานจะไม่เถียงพ่อเถียงแม่แต่ประการใด ลูกหลานจะตามใจพ่อแม่ ขอให้ท่านพบพระเสียก่อน เมื่อปฏิบัติพบพระได้ ท่านจะรู้เองว่าโสฬสญาณเป็นประการใด
เพื่อเป็นทัศนศึกษาของผู้มาปฏิบัติกรรมฐาน ขอให้จิตเกาะอยู่ที่กรรมฐาน จงตัดปลิโพธกังวลเอาปัจจุบันวันนี้ จะปฏิบัติกรรมฐานโต้รุ่งและปฏิบัติตามสัจจะ เมตตาสามัคคีจะได้มีวินัย เกิดผลเมื่อใด ผลนั้นจะส่งผลให้ท่านเอง โดยการปฏิบัติธรรม
บางคนจะมาอยู่ ๗ วัน อยู่ได้ ๒ วัน ก็หิ้วกระเป๋ากลับแล้ว บอกว่ากับข้าวไม่ดี ที่อยู่ไม่ดี มีคนพูดจาไม่ไพเราะ อดทนอดกลั้นไม่ได้ มาเกิดอุปสรรคนิดหน่อยก็ทนไม่ไหว เดินทางต่อไปอีกหมื่นปีก็ไม่พบพระ บันไดสวรรค์บันไดนิพพาน ต้องทำด้วยความเหนื่อยยาก ได้มาด้วยความลำบากอาบเหงื่อต่างน้ำ
จะสร้างความดีโดยไม่เสียเงินเสียทองยังทนลำบากไม่ได้ ท่านจะไปพบพระวัดไหนอีกเล่า พระที่ไหนจะดีเท่าพระประจำใจของท่าน พระในใจไม่มีท่านพระในใจไม่มี ท่านจึงเป็นคนไม่ดี เช่นที่กล่าวมา จึงกระเสือกกระสนทุรนทุรายหนีออกไป
บางคนไม่ลาหอบกระเป๋าหนีไปเลย บอกว่าที่นี่ไม่ดี อ๋อ! ใช่แล้ว ก็จิตของท่านไม่ดีต่างหาก พอจิตใจท่านดีอยู่ที่ไหนก็ดีหมด ท่านจะไม่มีอุปสรรคขัดขวางแต่ประการใด ขอให้ทำใจเถิด อย่าริษยาใครเขาเลย จงตั้งใจให้จริง ๆ
ทำทานแล้วอย่าเสียดาย บำเพ็ญศีลแล้วต้องมีสติ บำเพ็ญภาวนาแล้วต้องให้มันเกิดปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาแล้วเราก็หมดหวังหมดความตั้งใจ ท่านก็จะกระเสือกกระสนใจก็เกิดอดทนไม่ได้ ฝึกไม่ได้ ความสนใจก็ไม่มีแล้ว จะเอาสบายที่ไหนล่ะ ไม่มีทางเลยนะ สร้างความดีก็ต้องเหนื่อย สร้างความชั่วก็ต้องเหนื่อยเท่ากัน เอาดีหรือเอาชั่วก็เลือกเอา เลือกเอาดีเถิด