รอดตายจากไส้ติ่งแตก
โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
๒๐ เมษายน ๒๕๓๗
เรื่องนี้เป็นเรื่องกฎแห่งกรรมของอาตมา ที่เป็นเหตุให้อาตมาต้องมีเวรกรรม และต้องรับใช้หนี้กรรมถึงสองครั้งสองครา อาตมาจำได้ว่าเมื่ออาตมายังเป็นเด็กนักเรียน ชั้นมัธยมสองอยู่นั้น เคยไปเห็นเขาตอนไก่กัน อาตมาก็อยากลองตอนดูบ้าง เลยไปเอาไก่ที่บ้านมาผ่าท้อง ดึงเอาไส้ของมันมาผูก แล้วจับยัดเข้าไปอย่างเดิม เสร็จแล้วก็เย็บท้องมัน ปรากฏว่าไก่ที่บ้านไส้เน่าตายไปหมดเลย ๑๕ ตัว แล้วยังไปตอนบ้านอื่นอีก ตายหมด เพราะไม่ได้เรียนมาก่อน แต่ไปจำเขามา ทำให้อาตมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑ ต้องไส้เน่าปวดท้องจนถึงกับจะเสียชีวิตไปในโบสถ์เมื่อครั้งนั้นแล้ว
แต่ผลกรรมที่อาตมาได้สร้างไว้กับการตอนไก่ในครั้งนั้น มันยังไม่หมด มันยังติดตามผลงานของมันมาซ้ำเติมอาตมาอีกในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ อาตมาไปส่ง พันตำรวจโทชน อินทนา เพื่อไปรับตำแหน่งหน้าที่ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เลยเป็นเหตุให้ไส้ติ่งแตกบนรถไฟ ที่อาตมาต้องไปส่งท่านพันโทชน อินทนา ก็เพราะความเป็นห่วง คิดว่าเขาต้องเกิดเรื่องเดือดร้อนแน่ หากอาตมาไม่ไปส่ง เพราะว่า ที่อำเภอชะอวดในสมัยนั้นมีคอมมิวนิสต์อยู่มาก ที่เขาต้องการย้ายท่านไปก็เพื่อให้ไปปราบพวกคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีตำรวจคอยเป็นพวกอยู่ด้วยสิ
ไปถึงก็จะให้ท่านเซ็นรับหน้าที่ อาตมาก็ต้องห้ามไว้ไม่ให้เซ็นชื่อรับมอบปืนในวันนั้น เลยใช้ให้คุณนายไปเชิญพวกผู้หญิงภรรยาตำรวจ มาทำความรู้จักกับอาตมาก่อน ไม่ต้องพาพวกผู้ชายมา
เหล่าพวกผู้หญิงเมื่อรวมกลุ่มกันได้ก็เอาเชียว คุยกันใหญ่ว่าสามีฉันเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ คุยกันสะบัดเลย ไม่รู้ว่าอาตมาจะสาวหาเหตุ ตกลงพวกผู้หญิงเมียตำรวจ ก็บอกเรื่องจริงออกมาหมดเลย นี่โยมจำไว้นะ ใครที่เป็นตำรวจ หากมีเรื่องลับอย่าไปบอกให้เมียฟังนะ เดี๋ยวได้ออกตลาดบอกออกหมดเลย ว่าสามีฉันจะไปจับเสือที่นั่น จะไปปราบเสือชื่อนั้นชื่อนี้ ระวังนะ
เมื่ออาตมารู้เรื่องราวต่าง ๆ ก็เตือนท่านไม่ให้รับมอบหมายงานชิ้นนี้ เพราะท่านเป็นคนซื่อสัตย์ เดี๋ยวจะโดนพวกนี้เล่นงานเอา เลยท่านก็ไม่ยอมเซ็นรับและทำการตรวจสอบว่าปืนอยู่ที่ไหน ให้ไปนำมาจนครบจำนวนก่อน เพราะของเหล่านี้เป็นปืนหลวงทั้งนั้น เลยได้ปืนกลับคืนมาหมด ท่านเลยเซ็นรับได้ ที่อาตมาต้องไปส่ง เพราะรู้ว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้
อาตมาก็รู้ตัว ว่าไส้ติ่งต้องแตกแน่ ๆ คงจะไม่ได้กลับมาวัด คงจะเสียชีวิตอยู่บนรถไฟเสียแล้ว แต่ก็ได้รับปากไว้แล้วว่าจะไปส่ง อาตมาก็เลยต้องไป คิดว่า หากจะต้องไปตายบนรถไฟก็ไม่เป็นไร เพื่อชดใช้หนี้กรรมที่ทำไว้ จะได้อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรต่อไป
อาตมาก็ขึ้นรถไฟไปส่งเขา ก็เกิดปวดท้องรุนแรงมาก อาตมาปวดมากในตอนนั้น หลังงอเลย มันปวดที่สุด ปวดตรงบริเวณท้องน้อย ไม่ใช่ปวดข้างบนนะ ไอ้ไส้ติ่งนะจำไว้ มันอักเสบมาก เอามือจับไม่ได้เลย ท้องมันเขียวหมดเลย ก็เอายาบริบูลย์บาล์มทาเข้าไปก็ไม่ได้ผล มันร้อนไปหมด สักครู่หนึ่งอาตมาก็อาเจียนออกมา เลือดกลบปาก อาเจียนออกมาเป็นเลือดเต็มกระโถนเลย โยมเฉลาเขาก็ช่วยเอาไปเท ให้เลือดที่ออกมามีกลิ่นเหม็น เป็นเพราะไส้ติ่งมันแตกอยู่ในท้องแล้ว
เสร็จแล้วอาตมา ก็ถ่ายออกมาเป็นน้ำเลือดน้ำหนอง ออกมาทางทวารหนัก ทวารเบา ก็ได้โยมเฉลากับจ่านายสิบคนเป็นผู้ช่วยดูแล และคอยทำความสะอาดให้ที่ห้องน้ำ
คนที่อยู่บนรถไฟเขาก็มาดู เขาก็บอกว่า “อาการของหลวงพ่อหนักขนาดนี้ ตามธรรมดาไม่รอด คงต้องเสียชีวิต” เขาก็บอกอย่างนี้นะ เพราะตามธรรมดาคนที่ไส้ติ่งแตกมีไหมที่ไม่ตาย
โยมเฉลาภรรยาท่านพันตำรวจโทชน เห็นอาตมาเป็นอย่างนี้ ก็ร้องไห้ใหญ่เลย ทำให้คนที่อยู่โบกี้เดียวกับอาตมาพลอยร้องไห้ไปด้วย พวกเขาคิดว่าอาตมาตายเสียแล้ว เพราะลองเอานิ้วมือวางดูที่จมูกแล้วเห็นอาตมาไม่มีลมหายใจ
อาตมาก็คล้ายว่าสลบไป เป็นเวลาสามชั่วโมง เมื่อสลบไปแล้ว ก็ไปเจอผู้คนมากมาย แสดงว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวบนรถไฟ อาตมาเลยเดินไปคุยที่นั่นคุยที่นี่ ก็เหมือนเราเดินไปเฉย ๆ
มันไม่เหมือนกับว่าเป็นความตาย มันคล้ายสลบไปเฉย ๆ คล้าย ๆ หลับแล้วฝันไป พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็เห็นโยมเฉลา กำลังร้องไห้ อาตมาก็ไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าไร กี่ชั่วโมงแล้ว รู้แต่ว่าที่เดินออกไปเที่ยวนั้น เป็นเวลานาน ไปเจอเพื่อนที่ตายไปแล้วก็ไปคุยกับเขา เขาก็ถามอาตมาว่า “พระเดชพระคุณครับ ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร” อาตมาก็ตอบเขาไปว่า “ก็จำได้ว่า กำลังเดินทางมา จะไปส่งผู้บังคับกองเขา ก็พอดีเกิดมาปวดท้อง มันแน่นไปหมด เลยสลบหมดความรู้สึกไป” มีอีกคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “มันคงเป็นเวรกรรมมาตามสนองหลวงพ่อละครับ” อาตมาถึงนึกขึ้นได้ว่าคงจะจริง เพราะตอนเป็นเด็กเคยไปตอนไก่เสียจนมันไส้เน่า ปวดท้องทรมานจนมันตาย ก็นึกสงสารมันว่าเราไม่ควรไปทำมันเลย เป็นเวรเป็นกรรมให้เราต้องมาชดใช้หนี้ ณ บัดนี้แล้ว
พออาตมาฟื้นขึ้นมา อาการปวดท้องก็ไม่มีแล้ว มันไม่รู้สึกปวด ลืมตาขึ้นมาเห็นโยมเฉลากำลังร้องไห้ ก็ถามเขาไปว่า “อ้าว เป็นอะไรไป ทำไมมานั่งร้องไห้” โยมเฉลาก็ยิ่งร้องไห้ใหญ่ พูดกันไม่รู้เรื่องเลย
ก็ขอเล่าผ่านไปจนกระทั่งอาตมาไปถึงที่สถานีชะอวด ตอนลงจากรถไฟ หลังแข็งไปหมดเลย จ่านายสิบก็เลยช่วยเข้ามาประคอง เขาก็เอาแคร่มารับ อาตมาก็ถามเขาว่า “จากนี่ไปไกลไหม” เขาก็บอกว่า “ข้ามรางรถไฟไปเดี๋ยวก็ถึง” อาตมาเลยเดินไปไป ราว ๆ ห้าร้อยเมตรถึงได้ถึงบ้านพักท่านผู้บังคับกอง
พอถึงบ้านแล้วท่านก็ไปตามหมอที่อนามัยอำเภอ เป็นหมอผู้หญิงเข้ามาตรวจดูอาการหลวงพ่อ เป็นแพทย์หญิง พอเข้ามาตรวจดูอาการของหลวงพ่อเสร็จ ก็รีบโทรศัพท์กลับไปที่อนามัยอำเภอ บอกว่าต้องรีบส่งหลวงพ่อเข้าโรงพยาบาลด่วน อาตมาก็รู้ว่าเขาจะเอาไปส่งโรงพยาบาล ก็ปฏิเสธเขาว่า “ไม่ไป หลวงพ่อไม่ไป” เพราะรู้ตัวเองแล้วนี่ว่าสลบไปแล้ว และฟื้นขึ้นมาแล้ว จะเอาไปส่งโรงพยาบาลทำไม
เขาก็จะเอาอาตมาไปส่งโรงพยาบาลให้ได้ ต้องรีบผ่าตัดด่วน มิฉะนั้นอาจเป็นอันตรายถึงเสียชีวิต เพราะเลือดมันตกใน แล้วอาตมาจึงอธิษฐานจิตว่าถ้าหากถึงที่ตายก็ขอให้ตาย แต่จะขออดทนจนถึงที่สุด สักพักปรากฏว่าอาตมาอาเจียนออกมาอีก มีน้ำเลือดน้ำหนองออกมาทั้งทางปากทางจมูก จากนั้นก็เดินไปเข้าห้องน้ำ อาตมาถ่ายออกมาทางทวารหนักทวารเบาเป็นเลือดเลย พอน้ำเลือดน้ำหนองออกมาหมดมันถึงได้ค่อยยังชั่ว
อาตมาก็ยืนยันว่าจะไม่ยอมไปอย่างเดียว ตายให้ตาย จนในที่สุดหมอเขาก็จนใจ เลยตัดสินใจให้น้ำเกลือที่บ้าน ให้เสียหลายกระปุก แล้วฉีดยาเข้าที่เส้นบ้าง เข้าที่สะโพกบ้างให้ยุ่งไปหมดเลย
ระหว่างที่ให้น้ำเกลือ ก็ใช้ให้คุณนายไปตามพวกเมียตำรวจมาอยู่คุยเป็นเพื่อนหน่อย ถึงได้รู้เรื่องอะไรดี ๆ ไงละ โดนหลวงพ่อลวงถามบอกหมดเลย หลวงพ่อถึงได้รู้ความลับว่าปืนหายไปหลายกระบอก จึงเตือนผู้บังคับกองไม่ให้เซ็นรับเรื่องปืน
จากนั้นวันต่อมา อาตมาก็เดินทางไปเยี่ยม พันตำรวจโท ชัยยา นิยมค้า ผู้บังคับกองสถานีตำรวจ จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งอาตมาคุ้นเคยกับท่านสมัยเป็นผู้บังคับกอง อยู่สถานีตำรวจภูธร อำเภอพรหมบุรี จากนั้นก็พาคณะไปนมัสการและเวียนเทียนที่พระบรมธาตุเสร็จแล้ว ถึงได้เดินทางกลับไปส่งท่านผู้บังคับกองที่ชะอวด แล้วถึงเดินทางกลับวัด