คนเก่าเล่าให้ฟัง ภาค ๒
โดย พล.ต.วสันต์ พานิช
เรื่องที่ ๔ บันทึกแห่งความหลัง
ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์ไม่มีความเสื่อมคลาย จึงใคร่ขอเล่าเรื่องเก่าใหม่สิ่งละอันพันละน้อยเท่าที่มีความทรงจำยังอำนวยให้ ที่ข้าพเจ้าได้ผ่านประสบพบเห็นความปรีชาสามารถทุก ๆ ด้านของ หลวงพ่อจรัญ เมื่อ ๓๐ กว่าปีที่ผ่านมาแล้วจนกระทั่งปัจจุบันมีอย่างไร ปรากฏผลงานเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของเราทั้งหลายอยู่แล้วมิใช่หรือ จึงขออนุญาตให้คนแก่ชอบเล่าเรื่องเก่า ๆ ในครั้งอดีต มีเรื่องราวเป็นมาอย่างไรเกี่ยวกับพระคุณเจ้า เจ้าประคุณพระราชสุทธิญาณมงคล ดังต่อไปนี้
๑. ได้พบพระคุณเจ้าเป็นครั้งแรก
ในปี ๒๔๙๘ ข้าพเจ้าได้พบพระภิกษุรูปหนึ่งบริเวณสระแก้ว จ.ลพบุรี รูปร่างผอมสูง วัยรุ่น เป็นสง่าน่าเลื่อมใสเดินเข้ามาทักและได้ถามข้าพเจ้าว่า “บ้านพันโทชมอยู่ที่ไหน อาตมาจะมาพบท่าน” ข้าพเจ้าได้เรียนท่านว่า “ท่านมีธุระกับพ.ท.ชมเรื่องอะไรครับ” พระคุณเจ้าพูดว่า “จะมาสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้วิทยาศาสตร์ทางจิต โดยเฉพาะการสะเดาะกุญแจเป็นที่น่าสนใจ” เมื่อสนทนากันพอสมควรแล้ว จึงได้รู้ว่าท่านคือ พระปลัดจรัญ ฐิตธมฺโม อยู่วัดพรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ข้าพเจ้าได้นำท่านตรงไปยังบ้านพักของพันโทชม สุคันธรัต (ยศในขณะนั้น) อยู่ที่ห้องแถวตึกบริเวณสระแก้ว เมื่อท่านทั้งสองได้พบปะสนทนากันแล้ว ข้าพเจ้าก็กราบลาเพื่อไปทำธุระที่อื่นต่อไป
ต่อมาวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เรียนถามท่าน ผบ.พัน ชม เกี่ยวกับเรื่องการสะเดาะกุญแจ การไล่ผีที่สิงอยู่ในคน ท่านมีวิธีการตรวจสอบขับไล่อย่างไร ท่านได้อธิบายการใช้พลังจิตวางไว้ที่ไหน ผีจะออกจากร่างให้สังเกตปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า ถ้าไม่มีการสั่นแล้วถือว่าวิญญาณร้ายนั้นได้ออกไปแล้ว ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่เคารพนับถือของนายทหาร นายสิบ ในศูนย์การทหารปืนใหญ่ ใครเดือนร้อนเรื่องนี้ท่านยินดีช่วยเสมอ
๒. ไปหาซื้อไก่พันธุ์กลับได้ของดี
ในปีเดียวกัน ข้าพเจ้าและพลขับเดินทางไปซื้อไก่พันธุ์บริเวณ อ.พรหมบุรี แต่ไม่มีไก่พันธุ์ตามที่ต้องการ เวลาใกล้ค่ำลมฝนโชยมา จึงเข้าไปหลบฝนในวัดพรหมบุรี บังเอิญได้พบกับท่านพระปลัดจรัญ เป็นครั้งที่สอง ท่านดีใจให้โยมจัดอาหารและเครื่องดื่มมาเลี้ยงและชักชวนให้พักแรมที่วัดสักหนึ่งคืน รุ่งเช้าค่อยกลับ ข้าพเจ้าก็น้อมรับสนองตามคำขอร้อง และรู้สึกอบอุ่นดีใจที่ท่านได้มีจิตเมตตากรุณาต่อพวกเราเป็นอย่างมาก ทั้ง ๆ ที่ท่านก็มีภาระยุ่งกับงานก่อสร้างโบสถ์อยู่ในขณะนั้น
พอรุ่งเช้าท่านให้โยมจัดอาหารมาให้อีก เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็เรียนขอของดีไว้สักการบูชา ท่านได้ขึ้นไปบนหอสวดมนต์หาพระธาตุสาวก แล้วมอบให้พวกเราไปบูชาคนละองค์
ต่อมาในปี ๒๔๙๙ ข้าพเจ้าจำต้องย้ายเข้าศึกษาในโรงเรียนเสนาธิการทหารบกเป็นเวลา ๒ ปี เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วก็ย้ายไปรับราชการที่มณฑลทหารบกที่ ๔ จ.ลำปาง แล้วมาเข้าเรียนโรงเรียน ส่งกำลังบำรุงทหารบก เมื่อสำเร็จการศึกษาได้บรรจุเป็นอาจารย์ที่นี่อยู่ ๗ ปี ได้ลืมเหตุการณ์ความสัมพันธ์กับท่านพระปลัดจรัญจนหมดสิ้น เนื่องจากมิได้ปฏิบัติธรรมะ มัวหลงระเริงเพลิดเพลินในกองกิเลสเป็นส่วนใหญ่
๓. เป็นพระสุปฏิปันโน
หลวงพ่อมีความรอบรู้ในหลักธรรมวินัย เป็นนักปฏิบัติธรรมหยั่งรู้อย่างลึกซึ้งภายในมานานแล้ว เป็นนักพัฒนาวัดตัวอย่าง พูดจริงทำจริง ประชาชนเลื่อมใส มีศรัทธาช่วยเหลือทุกอย่างทำให้วัดมี ความเจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับ ท่านยอมเสียสละอุทิศกายใจให้สานุศิษย์ได้รับประโยชน์ตามที่มุ่งหวัง ผู้ใดมีทุกข์ร้อนมาปรึกษาหลวงพ่อ ท่านจะปัดเป่าให้คลายทุกข์ แนะนำทางแห่งความพ้นทุกข์ ให้ได้รับผล เป็นที่น่าพอใจทุกรายไป เท่าที่ข้าพเจ้าได้ประสบพบเห็นเป็นเรื่องจริงพอสรุปได้ดังนี้
๓.๑ มีญาณหยั่งรู้ล่วงหน้า
๓.๑.๑ คอยก่อน
ในวันหยุดราชการข้าพเจ้าเดินทางไปเยี่ยมพระคุณเจ้าที่วัดอัมพวัน โดยมิได้นัดหมายไว้ก่อน เมื่อข้าพเจ้าไปถึงวัดได้พบกับแม่ชีมะลิ (ขณะนี้สึกแล้ว) กำลังชงน้ำชาและพูดว่า “หลวงพ่อได้สั่งให้ฉันเตรียมน้ำชาไว้ให้เสธ. วันนี้ท่านจะมา และให้บอกท่านให้รอก่อน จะไปธุระที่โรงไม้ ตลาดสิงห์บุรี ประเดี๋ยวจะกลับมา” ข้าพเจ้าดื่มน้ำชาแล้วเดินดูรอบ ๆ วัดสักพักหนึ่งหลวงพ่อก็กลับมาและนั่งสนทนาเรื่องพัฒนาวัดและปัญหาต่าง ๆ
๓.๑.๒ พระบูชา (ปลอม)
ในปี ๒๕๑๐ เวลาพลบค่ำ ข้าพเจ้าไปวัดหนึ่งใน จ.ลพบุรี เจ้าอาวาสได้หยิบพระบูชาทองคำ ขนาด ๕ นิ้ว สมัยศรีวิชัย มาให้ข้าพเจ้าดูเป็นขวัญตา ตีราคาเช่าไว้ ๑๒,๐๐๐ บาท ข้าพเจ้ายกมาพิจารณาดูเห็นเป็นทองคำสุกปลั่งมีน้ำหนักมาก รู้สึกดีใจนึกว่าเป็นบุญวาสนาของเราแท้ ๆ นึกอยู่ในใจว่าถ้าเป็นของจริง ก็จะกู้ยืมเงินมาเช่าแน่ ๆ ข้าพเจ้าใจร้อนหากไม่เอาประเดี๋ยวคนอื่นจะชิงไปเสียก่อน จึงเอ่ยปากขอยืมเจ้าอาวาสไปดูก่อน เรื่องเงินว่ากันทีหลัง เจ้าอาวาสตกลง นอกจากนั้นเจ้าอาวาสยังเอาพระเครื่องดินเผาสมัยทวาราวดีมาให้ดูอีกด้วย ความไม่รู้เรื่องเนื้อเก่าหรือใหม่ ข้าพเจ้าก็เหมาจ่ายเงินไปหลายร้อยบาท ต่อมาได้นำพระทองคำมาบ้านที่กรุงเทพฯ แล้วให้เถ้าแก่ช่างทองหน้าบ้านดู เถ้าแก่จะขอซื้อ ข้าพเจ้าบอกให้เอาไปร้านทองเยาวราชดูตีราคาดูก่อนถ้าเป็นของแท้ก็จะให้เช่า เถ้าแก่หายไปสักพักหนึ่ง กลับมาบอกพร้อมคืนพระทองคำว่า “เขาไม่เช่า เป็นพระปลอมทำมาหลายปีแล้ว ข้างในเป็นตะกั่ว ข้างนอกทาทองคำมีหนาบางเป็นบางตอน” ข้าพเจ้าได้ฟังดังนั้นใจไม่สู้จะดี แต่ยังนึกว่าของแท้อยู่ร่ำไป เมื่อข้าพเจ้าเดินทางกลับไปลพบุรีจึงตัดสินใจนำไปให้หลวงพ่อจรัญดู เมื่อท่านได้รับพระทองคำแล้วท่านก็พลิกซ้าย พลิกขวา หน้า หลัง แล้วพูดว่า “ท่านได้มาจากไหน ไม่เห็นมีพุทธานุภาพเลย เท่าที่อาตมาเคยเห็นมาถ้าเป็นของแท้แล้วเนื้อภายในเป็นสามกษัตริย์ (ทอง – นาก – เงิน)” ข้าพเจ้าได้เรียนว่า “ได้มาจากวัด…นั้นและยังมีซากกรุอยู่” พระคุณเจ้าบอกว่า “อาตมาจะไปฉันเพลที่บริเวณแถวนั้นพรุ่งนี้ มีเวลาจะได้เข้าไปพิจารณาดู จะเป็นจริงอย่างไรจะมาบอกให้ทราบ” ต่อมาวันรุ่งขึ้นตอนบ่าย หลวงพ่อจรัญได้เข้ามาเยี่ยมข้าพเจ้าที่บ้านในค่ายทหารและบอกว่า “ทุกอย่าง เป็นของปลอม เขาทำขึ้นเองเป็นพุทธพาณิชย์” ข้าพเจ้าตกใจและเสียใจเลยถือโอกาสถวายพระทองคำนั้นให้ท่านไป นี้แหละเป็นบทเรียนที่เราเชื่อคนง่าย เสียรู้เขา จำไว้จนตายทั้ง ๆ ที่ข้าพเจ้าได้ช่วยเหลือเจ้าอาวาสองค์นั้นตลอดมา
๓.๑.๓ ตายแน่ไม่ตายน่า
อยู่มาวันหนึ่งลูกอาเสี่ยบ้านอยู่ จ.อุทัยธานี มาเยี่ยมญาติที่ จ.สิงห์บรี แจ้งความประสงค์ให้ญาติทราบว่าต้องการหาอาจารย์ที่เก่งเพื่อนิมนต์ไปสวดมนต์ทำบุญให้เตี่ยซึ่งป่วยอยู่ในขณะนี้ พวกญาติจึงได้พามาพบหลวงพ่อจรัญ ที่วัดอัมพวัน และเมื่อได้พบกันแล้วลูกอาเสี่ยได้เล่าเรื่องการเจ็บป่วยของเตี่ยซึ่งมีอาการอยู่ในขั้นอันตรายเป็นตายเท่ากัน เพราะเชื่อมั่นในพระหมอดูซึ่งทำนายไว้ ญาติโยมจำนวนมากยอมรับนับถือเคารพท่านมาก พูดอะไรก็เป็นอย่างนั้น ก่อนที่เตี่ยจะเสียชีวิตในวันที่พระหมอดูได้กำหนดไว้นั้น จึงใคร่ขอนิมนต์หลวงพ่อไปร่วมพิธีสวดมนต์ทำบุญเพิ่มกุศลให้เตี่ยไปสู่สุคติในภพหน้า เมื่อหลวงพ่อจรัญได้พิจารณา โดยถี่ถ้วนแล้วพูดว่า “ยินดีรับนิมนต์ แต่จะเดินทางไปในวันที่พระหมอดูกำหนดว่าเตี่ยจะตาย เพราะวันอื่นอาตมาไม่ว่าง” ลูกเถ้าแก่ตกใจว้าวุ่น ไม่ทันตั้งตัวจึงพูดสวนตอบโต้ทันทีว่า “วันนั้นเตี่ยของผมตายแล้ว หลวงพ่อไปวันนั้น เตี่ยก็ไม่มีโอกาสได้ทำบุญก่อนตายซีครับ” หลวงพ่ออมยิ้มแล้วพูดปลอบใจว่า “ใจเย็น ๆ เตี่ยยังไม่ตายน่า เชื่อกันเถอะ” ลูกอาเสี่ยก็ไม่ยอมเชื่อยังฝังใจเชื่อพระหมอดู ๑๐๐% ได้พูดทิ้งท้ายด้วยความอาลัยอาวรณ์ว่า “เตี่ยจะต้องตายแน่ ๆ แต่จำต้องยอมรับวันที่หลวงพ่อกำหนดพิธีในวันนั้น และขอกราบลาหลวงพ่อไปเตรียมงานต่อไป”
เมื่อถึงวันกำหนดนัดหลวงพ่อได้เดินทางไปยังบ้านงาน จ.อุทัยธานี พวกเราอยู่ที่วัดอัมพวัน ซึ่งมีข้าพเจ้า พี่สุมาลย์ ชะโลธร (เป็นบุคคลสำคัญช่วยเหลืองานกุศลและสร้างพระประธาน สร้างโบสถ์ สร้างศาลาสวดพระอภิธรรม สิ่งก่อสร้างอื่น ๆ รวมทั้งการบริการอาหารเครื่องดื่มถวายพระ สามเณร ชี พราหมณ์ และญาติโยมที่ได้มาร่วมพิธีในวัดอัมพวันอยู่เสมอ นับได้ว่าเป็นผู้มีจิตศรัทธาอันแรงกล้าสนับสนุนส่งเสริม พี่ทองย้อย ชะโลธร ในการสร้างกุศลเป็นอย่างมาก และเป็นที่น่าเสียดายในการจากไปของพี่ทองย้อย ถ้าอยู่ก็คงจะทำประโยชน์ให้แก่วัดอีกมากมาย) และอุบาสิกามะลิ อิ่มสำอางค์ (ขณะนี้มีครอบครัวแล้ว) ได้รอฟังข่าวการกลับมาของหลวงพ่อ ด้วยใจเป็นห่วง พวกเราได้พูดกันทีเล่นทีจริงว่าถ้าหลวงพ่อไปพลาดท่าเสียทีเขา พวกเราจะเอาหน้าไปไว้ไหนกัน ได้แต่อธิษฐานเอาใจช่วยหลวงพ่อตลอดเวลา พวกเรารอจนใกล้ค่ำจึงต้องแยกย้ายกันกลับบ้าน
วันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าได้มาเยี่ยมหลวงพ่อเพื่อฟังข่าว และได้เรียนถามเรื่องเถ้าแก่ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่อย่างไร หลวงพ่อได้พูดว่า “เถ้าแก่ยังไม่ตาย นอนพนมมือฟังพระสวดมนต์ ลูกชายได้ประคองตัวลุกขึ้นนั่งถวายของ อาตมาได้แผ่เมตตาอุทิศส่งกุศลไปให้ เมื่อเสร็จพิธีอาตมาลงจากอาสนะมาพูดกับเถ้าแก่ว่าให้ทำใจดี ๆ ไม่เป็นไร ได้แนะนำปฏิบัติตนตามความเหมาะสม” เถ้าแก่ได้พูดว่า “ถ้าไม่ตาย หายดีแล้ว จะรีบมาทำบุญที่วัดอัมพวันกับท่านทันที” อาตมาได้ลากลับ ลูกชายได้พยุงเตี่ยมาส่งที่รถเลย ตามความเป็นจริงแล้ว พระหมอดูท่านดูแม่น เถ้าแก่จะตายแต่ในวันนั้นจริง ๆ แต่อาตมาได้พิจารณาทางในแล้วเห็นว่ายังพอเสริมกุศลที่ยังขาดอยู่ ๕ – ๑๐% ได้ จึงได้ช่วยชีวิตเถ้าแก่ไว้ก่อน แต่กรรมมาตกอยู่กับอาตมา
ดังนั้นหลวงพ่อจึงได้เน้น ย้ำ พร่ำ เตือน ให้สานุศิษย์มีเวลาให้รีบปฏิบัติธรรมเพื่อสะสมบุญกุศลไว้เป็นสิ่งไม่มีตัวตน ลูบคลำไม่ได้ แต่มีพลังงานที่จะส่งเสริมติดตัวไปเกิดในภพหน้า เช่นเดียวกับกระแสไฟฟ้าเดินตามขดลวด เรามองไม่เห็น แต่มีพลังให้เกิดแสงสว่างที่หลอดไฟ ใช้กับเครื่องจักรกลอำนวยประโยชน์ให้แก่มนุษย์
หลวงพ่อเคยพูดอยู่เสมอว่า ไม่ช่วยตัวเองก่อน แล้วใครจะช่วยได้ ถ้าคนนั้นไม่ทำบุญ สวดมนต์ ไหว้พระ เป็นการประจำแล้วก็เป็นการยากที่จะช่วยกันได้ ต่อจากนั้นมาไม่กี่เดือน เถ้าแก่หายป่วยแล้ว จึงเดินทางมาวัดอัมพวันพร้อมด้วยลูกชายและญาติ ได้บริจาคปัจจัยร่วมทำบุญสร้างโบสถ์ตามที่ได้ลั่นวาจาไว้
๓.๑.๔ โปรดเมตตากรุณา วินิปาติกะและมนุษย์ ฯลฯ
หลวงพ่อท่านปฏิบัติธรรมได้มากน้อยเพียงใด พระคุณเจ้ามิได้บอกใคร ไม่มีใครรู้ ได้มีพวกทัวร์บุญผ่านมา ๗ – ๘ วัด และวัดสุดท้ายจะต้องมากินข้าววัดอัมพวัน ในกลุ่มคนที่มาด้วยกันได้พูดคุยกันว่า เจ้าอาวาสวัดนี้สำเร็จอรหันต์หรือเปล่า ท่านเจ้าคุณพูดเปรย ๆ ออกมาให้ญาติโยมฟังว่า “ที่นี่มีแต่อรเห เร่เข้ามากินข้าววัดอัมพวันกัน” อันที่จริงอาหารรสเด็ดอร่อยเป็นฝีมือของลูกหลานของแม่ครัวหัวป่าก์ สมภารสึกหาลาเพศไปหลายองค์แล้วเพราะติดในรสของมัน เท่าที่ข้าพเจ้าได้เข้ามารับใช้สัมผัสอย่างใกล้ชิดได้ฟังจากญาติโยมมาหาให้ท่านช่วยในเรื่องต่าง ๆ และจากประสบการณ์ผู้เขียนเรื่องลงในหนังสือกฎแห่งกรรม – ธรรมปฏิบัติ (เล่ม ๑ ถึงเล่ม ๘) พอจะสรุปได้ว่า หลวงพ่อท่านมีญาณชั้นสูงสามารถแก้ปัญหานานาชนิดเท่าที่จะทำได้เป็นต้นว่า
– ช่วยแม่กาหลง จากฐานะหนึ่งให้เป็นเทพฯ และช่วยวิญญาณที่มาปฏิบัติธรรม
– ช่วยบุคคลให้พ้นจากนรก นอกจากบุคคลนั้นมีกรรมที่ช่วยไม่ได้ มีตัวอย่างแม่ชีแดงตายไปจะลงนรก ขออนุญาตพญายมไม่ลงนรก แต่ขอมาอยู่วัดอัมพวัน ก็ได้มาเกิดเป็นลูกหมากินแต่กระดูกอย่างเดียว อยู่ได้ไม่นานก็ตายไป แล้วก็ไปลงนรกอย่างเดิมหนีไม่พ้น
– ช่วยรักษาเยียวยาแก่ผู้ปฏิบัติธรรม เมื่อประสบอุบัติเหตุได้หายป่วยรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์
– ช่วยสอนอบรมและแนะนำแก้ไขข้อบกพร่องของผู้ปฏิบัติธรรมได้เข้าใจและปฏิบัติได้ถูกต้อง
– ช่วยแนะนำหนทางปฏิบัติให้แก่ญาติโยมที่มีความทุกข์ร้อนในครอบครัว ในหน้าที่การงาน กิจการบริษัท และอื่น ๆ ฯลฯ ได้หายคลายทุกข์ ได้เห็นแสงสว่างดำเนินชีวิต
บรรดาเจ้าศรัทธามีความเคารพนับถือท่านเจ้าคุณที่มีจิตเมตตากรุณาต้อนรับโดยมิเลือกชั้นวรรณะ จึงพร้อมใจกันสนับสนุนช่วยเหลือบำรุงกิจการด้านพระศาสนาด้วยความเต็มใจ
๓.๒ กตัญญูกตเวทิตาธรรม
ท่านเจ้าคุณได้เลี้ยงดูโยมบิดามารดาให้ได้รับความสุขใจยามแก่ชราอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เป็นที่น่าปลาบปลื้มยิ่งนัก ก่อนฤดูกาลเข้าพรรษาท่านจะนำเครื่องสักการบูชาไปคารวะพระคณาจารย์ชั้นผู้ใหญ่เป็นกิจวัตรประจำปีมิได้ขาด ท่านยึดถือคติที่ว่า “ไปลามาไหว้ อ่อนน้อมถ่อมตน ปากหวาน ตัวก็อ่อน มือเป็นหงอน นอบน้อมกตัญญู”
๓.๓ ปฏิปทาบางอย่าง
๓.๓.๑ การต้อนรับแขก
ข้าพเจ้าได้เห็นท่านหลวงพ่อต้อนรับญาติโยมไม่จำกัดเวลาอยู่ ณ ที่ห้องชั้นล่างกุฏิเป็นประจำ บางครั้งมารับแขกชั้นผู้ใหญ่ ณ อาคารที่สร้างใหม่ เนื่องจากท่านมีอายุพรรษามากขึ้น การพักผ่อนมีน้อย ต้องเตรียมงาน สั่งการ ร่างคำกล่าว บรรยายธรรมในวัดและภายนอก ทางเจ้าหน้าที่ได้กำหนดเวลารับแขกประมาณบ่าย ๒ โมง จนกระทั่งแขกลาโรง ท่านก็ขึ้นข้างบนปฏิบัติธรรมตลอดรุ่ง นอกจากอาพาธลุกไม่ได้เท่านั้น บางคนใจร้อนอยากจะพบแล้วรีบกลับ แต่เจ้าหน้าที่ก็ให้พบไม่ได้ เพราะบางครั้งท่านอาพาธ ใช้เวลาร่างหนังสือโต้ตอบหรือคำบรรยาย หรือใกล้เวลาฉันอาหาร ฯลฯ ดังนั้น ขอความกรุณาญาติโยมยึดคติของหลวงพ่อมีว่า “มาได้ รอได้ ทนได้ พบได้ ได้ดี” แต่เป็นคำที่ฝืนใจเรา ขอให้ยึดหลวงพ่อท่านเถิดจะได้ดี ช้า ๆ จะได้พร้าเล่มงานโดยไม่รู้ตัว แต่ข้าพเจ้าบรรจงเขียนคติของหลวงพ่อนี้ก็ฝืนใจเขียนจริง ๆ
๓.๓.๒ การบรรยายธรรม – วิปัสสนากรรมฐาน – บริจาคการกุศล
โดยปกติหลวงพ่อจะนำกล่าวต้อนรับ – อบรม – บรรยายธรรมให้แก่สงฆ์ สามเณร ชี อุบาสก อุบาสิกา ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ครู นิสิต นักศึกษา ญาติโยมที่เข้ามาปฏิบัติธรรมเป็นการประจำอยู่ตลอดปี จากสถิติตั้งแต่ปี ๒๕๒๕ ถึงปี ๒๕๓๖ มีจำนวน ๑๖๘,๐๙๘ คน และรับกิจนิมนต์ไปแสดงธรรมนอกสถานที่หลายแห่ง ปัจจัยที่ได้รับส่วนใหญ่มอบสมทบทุนเข้ามูลนิธิ, สมาคม, โครงการต่าง ๆ เพื่อการกุศล โรงเรียน ศูนย์ปฏิบัติกรรมฐาน ทอดกฐิน ผ้าป่าตามวัดต่าง ๆ สิ่งของที่ญาติโยมมาถวายพระคุณเจ้านำเข้าไว้ในส่วนกลางสงฆ์ แบ่งปันกันใช้สอย
เนื่องจากท่านเจ้าคุณปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้ใคร่ธรรมได้มาชุมนุมเพื่อรับแสงสว่างทางวิปัสสนากรรมฐานที่ถูกต้อง ปรากฏผลเป็นที่น่าพอใจยิ่ง แม้แต่ชาวต่างประเทศมีความศรัทธาเลื่อมใสในความเป็นอัจฉริยะตอบปัญหาข้อสงสัยของเขาเป็นที่พอใจ จึงยอมสละเข้าบวช ฝึกภาคปฏิบัติในช่วงเวลาปิดภาคการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นั่นก็คือ มิสเตอร์วีโก บรูน ชาวนอรเวย์ ได้ฉายาว่า พระภิกษุหาสจิตโต ตามประวัติเขาสนใจและศึกษาพุทธศาสนาฉบับภาษาอังกฤษมาบ้างแล้ว พูดภาษาไทยได้คล่อง เขาเคร่งครัดปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง สงสัยมาถามท่านหลวงพ่อ เมื่อเข้าใจแล้วก็ไปปฏิบัติ ก่อนจะลาสิกขา เขาสามารถส่งโทรจิตไปหาแม่ที่นอนป่วยที่บ้านประเทศนอรเวย์ นอกจากนั้นก็มีชาวต่างประเทศทยอยมาขอบวชอีกหลายคน เพราะต้องการอยากจะศึกษาภาคปฏิบัติให้รู้จริงว่าสมาธิมีความสุข ให้คุณประโยชน์ในการแก้ปัญหาได้อย่างไร จากสถิติผู้สนใจใคร่ธรรมมีมาก ย่อมกระทบกระเทือนค่าใช้จ่ายเป็นเงาตามตัวในเรื่องบริการอาหาร ไฟฟ้า และอื่น ๆ ประมาณ ๘๐,๐๐๐ บาทต่อเดือน ที่เลี้ยงตัวอยู่ได้ทุกวันนี้ส่วนใหญ่ก็อาศัยปัจจัยของเจ้าศรัทธา บางครั้งหน่วยงานบางหน่วยขอเรี่ยไรข้าวสารอาหารแห้งจากวัด ท่านเจ้าคุณยินดีบริจาคและไม่เคยบ่น ท่านบอกว่า “ยิ่งทำก็ยิ่งได้ ไม่อดไม่อยาก ใครทำ ใครได้ เงินไหลนอง ทองไหลมาไม่ขาดสาย” ข้าพเจ้าคิดอยู่ในใจว่าถ้าเป็นงานบริษัทคงไปไม่รอดแน่ ๆ แต่นี่มีอำนาจลึกลับและบารมีของพระคุณเจ้า ยังคุ้มครองอยู่ นอกจากนั้นหลวงพ่อมีพรสวรรค์ มีลีลาในการเทศน์บรรยายธรรม มีเทคนิคในการถ่ายทอด ใช้คำง่าย ๆ มีคำกลอนที่เป็นคติเตือนใจ ยกตัวอย่างเรื่องจริงมาประกอบเรื่องสอดแทรกด้วยคำคมขำขัน ไม่มีง่วง ทำให้เกิดกระแสธรรมแผ่ซ่านเข้าสะกดดวงจิตของผู้ฟัง เกิดจินตนาการมองเห็นเป็นภาพพจน์ สัจธรรมอย่างจริงแท้แน่นอน นับได้ว่าพระคุณเจ้าเป็นดาราดวงเด่นอยู่ในวงแวดล้อมบรรดาสานุศิษย์ทั้งหลายสมดังคำกล่าวสัมโมทนียกถาส่วนหนึ่งของท่านเจ้าคุณพระมหาธรรมราชานุวัตรว่า “ท่านเจ้าคุณพระราชสุทธิญาณมงคลนั้น เปรียบเสมือนหนึ่งเรือนทองเข้ามารองรับรัตนมณี คือ เพชรที่มีค่าของคณะสงฆ์ ทำให้เกิดแสงแวววาวขึ้น” ข้าพเจ้ามีความปลื้มปีติยินดีเป็นที่สุด เพราะเป็นความสัตย์จริง นับตั้งแต่พระคุณเจ้าได้ศึกษาอบรมมาหลายสำนัก และเสียสละเสี่ยงภัยอันตรายบุกทุ่งนาป่าเขาลำเนาไพรเข้าสู่ดงพญาเย็น (เดิมเรียกดงพญาไฟ) เข้าพบหลวงพ่อใหญ่ได้ศึกษาธรรมปฏิบัติแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาจากหลวงพ่อพระอาจารย์ใหญ่ ได้โปรดเมตตากรุณาได้มอบดาบอาญาสิทธิ์ให้มาประหารข้าศึก คือ กิเลส พระคุณเจ้าได้ซาบซึ้งในบทเรียนจนน้ำตาตกในการถ่ายทอดวิชาครั้งนั้น บัดนี้สำเร็จแล้วตามเจตนารมณ์ ได้เพียรพยายามถ่ายทอดอบรมแนะนำสั่งสอนญาติโยมครั้งแรกที่วัดพรหมบุรี ต่อมาได้ย้ายสำนักมาวัดอัมพวัน มีผู้เข้ารับการอบรมจำนวนครั้งก่อนมีน้อยมากที่ปฏิบัติได้ผล มี โยมสุ่ม ทองยิ่ง, โยมยุพิน บำเรอจิต และ หมอชลอ เกิดสุวรรณ (เสียชีวิตชดใช้กรรมที่ จ.กาญจนบุรี) หลวงพ่อได้ทดสอบอารมณ์อย่างเข้มงวด และยอมรับรองว่าโยมสุ่มประสบผลสมปรารถนาแล้ว ส่วนโยมยุพินก็เข้าขั้นเป็นครูฝึกสอนได้ เนื่องจากผู้ปฏิบัติธรรมได้มีมากขึ้นตามลำดับ ครูทำการสอนมีน้อย พระคุณเจ้าจึงได้พิจารณาคัดเลือกพระอาจารย์ที่ชำนาญด้านนี้มาช่วยทำการสอนในภาคปฏิบัติ โดยกำหนดแบ่งหน้าที่รับผิดชอบเป็นสัดส่วนรวมทั้งแม่ชี และอุบาสก อุบาสิกา ที่มีใจเสียสละให้มาช่วยบริการงานด้านธุรการอื่น ๆ นอกจากนั้นพระคุณเจ้ายังได้แม่ชีซูง้อ แซ่เอ็ง ดร.สิริ กรินชัย มาช่วยสอนชาวต่างประเทศและญาติโยมที่ใคร่ธรรมอีกด้วย จึงนับได้ว่าพระคุณเจ้าได้หยั่งรู้ปัจจุบันและอนาคตกาล ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น จึงต้องจัดการเตรียมครู เจ้าหน้าที่ไว้ให้พร้อมสรรพ เสมือนหนึ่งได้เพียรพยายามจัดการหล่อหลอม เจียระไนเพชร พลอยสีต่าง ๆ ซึ่งผ่านการทดสอบคุณภาพแล้วเป็นอย่างดียิ่ง มาบรรจงหยิบใส่เรียงลงไว้ในเรือนแหวนอย่างทะนุถนอม จึงกลายเป็นแหวนนพเก้าอันมีค่ายิ่งนัก สะดุดตาสะดุดใจ เป็นที่รักหวงแหนของบรรดาสานุศิษย์ที่ได้มา ได้พบ ได้เห็น ได้รับคุณประโยชน์เหลือที่จะพรรณนาได้ เมื่อญาติโยมมีโอกาสได้มาปฏิบัติธรรมและประสบได้ด้วยตนเอง จะเห็นว่ามีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นไปตามกฎเกณฑ์ขั้นตอนที่กำหนดไว้เพียงใด เมื่อมองไปในสารทิศใดก็ได้เห็นทัศนียภาพที่งามตา เห็นคลื่นหมู่ปุยเมฆสีขาวเลื่อนลอยกระทบกับแสงทองผ่องอำไพสลับด้วยหมู่สงฆ์เหลืองอร่าม แยกย้ายเข้าสำนักปฏิบัติธรรมอย่างน่าชื่นใจจริง ๆ
๓.๓.๓ การรักษาโรคต่าง ๆ
หลวงพ่อจรัญได้ศึกษาวิชาไสยศาสตร์ วิปัสสนากรรมฐาน และการรักษาโรคด้วยสมุนไพร จากคณาจารย์หลายสำนัก ท่านได้นำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ปัจจุบันได้สอนวิปัสสนา-กรรมฐานเป็นหลัก นอกนั้นเป็นรอง (จะใช้เมื่อจำเป็น) ผู้เจริญวิปัสสนากรรมฐาน สามารถแก้กรรมรักษาโรคภัย แก้ปัญหาได้ถูกต้อง บางรายมาปฏิบัติธรรมเกิดอุบัติเหตุ ท่านเจ้าคุณจะเข้าช่วยแก้ไขให้หายป่วยเจ็บได้อย่างรวดเร็วน่าอัศจรรย์จริง ๆ ทั้งนี้ หลวงพ่อเคยกล่าวไว้ว่า ธรรมดาจิตของคนทั่วไปจะกระจัดกระจายฟุ้งซ่าน ไม่มีพลัง แต่เมื่อใดก็ตามที่เราสามารถรวมจิตลงให้เป็นหนึ่งเดียวก็จะมีพลังอำนาจมหาศาล ซึ่งเรียกว่า พลังจิต สามารถทำอะไร ๆ ได้ เช่น การใช้โทรจิต การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ฯลฯ สามารถจะช่วยการรักษาตัวเอง หรือหยุดการแพร่เชื้อได้ กาลเวลาผ่านไปหลวงพ่อได้พยายามลดละวางด้านสมถกรรมฐาน โดยมุ่งทางวิปัสสนากรรมฐานเป็นหลัก มีปรากฏจากการบันทึกไว้ท้ายเรื่อง เหตุที่ข้าพเจ้านับถือหลวงพ่อจรัญ ของ ทัศนีย์ ตระกูลพัว (หนังสือเล่ม ๔ หน้า ๑๐๐) มีตอนหนึ่งความว่า “แต่อภินิหารแบบนั้น อาตมาได้เลิกล้มไปแล้ว เอาความจริงของพระพุทธเจ้ามาสอนดีกว่า นั่นคือสอนให้คนมีปัญญา ไม่ให้งมงายหลงใหลอยู่ในสิ่งที่ไร้สาระ สอนคนให้ช่วยตัวเองให้พึ่งตัวเอง และสอนตัวเองได้ นั่นคือ วิปัสสนากรรมฐาน”
๓.๔ การก่อสร้าง
หลวงพ่อจรัญได้บูรณปฏิสังขรณ์และสร้างอาคารขึ้นแทนที่ และเพิ่มเติมใหญ่จนมีความสมบูรณ์ที่สุด เป็นวัดพัฒนาตัวอย่างที่ก้าวหน้ามาก รายการที่สำคัญได้แก่ อุโบสถหอประชุม กุฏิรับรองสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ อาคารที่พักของสงฆ์และแม่ชี เจ้าหน้าที่ สำนักเรียน ศาลาใหญ่ ถังน้ำประปา โรงครัวที่ทันสมัย อาคารเรียนวิปัสสนากรรมฐาน เครื่องกำจัดน้ำเสีย และจะถมดินสร้างเขื่อนหน้าวัดเพื่อสร้างที่พักให้ญาติโยมได้อยู่ปฏิบัติต่อไป ในกาลต่อมาสมเด็จพระสังฆราชทรงเมตตามอบเงินก้นถุงพร้อมด้วยพระคุณเจ้าได้สละทรัพย์เป็นทุนจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติกรรมฐาน “สวนเวฬุวัน” บ้านซำจาน อ.เมือง จ.ขอนแก่น ได้ดำเนินการก่อสร้าง อย่างต่อเนื่องพร้อมเปิดอบรมปฏิบัติธรรมให้แก่ญาติโยมชาวอีสานเมื่อปลายปี ๒๕๓๖ บุคคลสำคัญที่ได้รับการยกย่องและจารึกไว้เป็นอนุสรณ์นั้นก็คือ ดร.ลำใย โกวิทยากร และ อาจารย์ถาวร โกวิทยากร ได้ถวายที่ดินจำนวน ๒๐ ไร่ ในการจัดตั้งศูนย์แห่งนี้ นอกจากนั้นยังได้รับความอนุเคราะห์จากพ่อค้าคหบดี ครู อาจารย์ ทหาร ฯลฯ ได้มาร่วมก่อสร้างจัดทำดำเนินการตามลำดับ นับวันจะมีความเจริญรุ่งเรืองไพบูลย์มากยิ่งขึ้น
จึงเป็นนิมิตหมายที่ดีสมปรารถนาที่ท่านเจ้าคุณพระราชสุทธิญาณมงคลได้ตั้งใจไว้ว่า “เราได้ของดีมาจากขอนแก่น จักนำของดีกลับไปคืนมอบให้ชาวขอนแก่น” นับว่าเป็นบุญกุศลของชาวขอนแก่นและชาวอีสานโดยแท้
เรื่องที่ ๕ แบบพิมพ์พระร่วงเจ้า
โดย พล.ต.วสันต์ พานิช
ในปี ๒๕๒๑ ข้าพเจ้ายังรับราชการอยู่ใน กองอำนวยการกลางรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ มีเพื่อนร่วมงาน คือ พันตรีสุพจน์ พูลศิร (ยศขณะนั้น) ได้นำแบบพิมพ์พระปางพุทธลีลา (เนื้อดินปนแร่มีน้ำหนัก) มามอบให้ข้าพเจ้า และได้เล่าประวัติความเป็นมาอย่างน่าสนใจพอสรุปได้ว่า สมัยที่นายทหารผู้นี้รับราชการอยู่ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ มีความสนใจและสะสมพระเครื่อง พระบูชาไว้หลายองค์ เนื่องจากมีนิสัยชอบทางนี้ เห็นว่าเป็นงานอดิเรกดีกว่าทางอื่น ในวันหยุดราชการเมื่อมีโอกาสก็จะมาเที่ยวในเมือง ชมดูตลาดพระ แผงพระที่วางอยู่ในที่ต่าง ๆ ในทางภาคเหนือ จึงได้พบแบบพิมพ์พระดังกล่าวเป็นของเก่าสะดุดตา ไม่เคยพบเห็นมาก่อน เมื่อดูลักษณะพิมพ์คาดว่าเป็นสมัยสุโขทัย จึงได้ตกลงเช่ามาไว้บูชามานานหลายปีแล้ว และได้นำมามอบให้ข้าพเจ้าไว้สักการบูชา ข้าพเจ้าก็รับแบบพิมพ์พระนี้ด้วยความยินดีและปลื้มใจ เพราะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน เป็นแบบพิมพ์สวยงาม ไม่มีชำรุดแต่ประการใด เมื่อพิจารณาดูในพิมพ์ที่เซาะเป็นร่องลึก จะมีลักษณะคล้ายพระกำแพงเม็ดขนุนหรือลีลาเม็ดขนุน แต่มีส่วนแตกต่างกันที่ขอบเล็กน้อย ข้าพเจ้านำองค์ท่านวางไว้ในพานแก้ว หล่อน้ำบูชารวมเวลา ๑๖ ปีเศษ
ต่อมาในปี ๒๕๓๗ ข้าพเจ้าและครอบครัวกลับจากงานฉลองคล้ายวันเกิดของท่านเจ้าคุณ- พระราชสุทธิญาณมงคลแล้ว จึงได้เกิดความคิดผุดขึ้นมาว่า ควรจะสร้างพระเครื่องถวายพระคุณเจ้าเพื่อเป็นของขวัญแจกในวันมงคลปี ๒๕๓๘ ควรใช้แบบพิมพ์ที่มีอยู่แล้วแต่ก็ยังลังเลใจอยู่ มีปัญหาเนื้อผงที่จะนำมาพิมพ์ ข้าพเจ้าไม่มีความชำนาญในเรื่องนี้ ถ้าจ้างช่างทำคงจะเอาผงผสมไม่เข้ามาตรฐาน แม้แต่หลวงพ่อจรัญท่านสร้างพระแร่ “พระพุทธนฤมิตรโชค” พระคุณเจ้าได้รวบรวมแร่ต่าง ๆ ผงจากกรุต่าง ๆ เป็นเวลาหลายปีกว่าจะสร้างเป็นรูปองค์สำเร็จขึ้นมาได้ ข้าพเจ้าได้คิดคำนึงเรื่องนี้อยู่เป็นเวลาหลายเดือน มีความร้อนใจจนบอกไม่ถูก จะเก็บเอาไว้บูชาก็ได้ผลเฉพาะตน สมควรเผยแพร่ให้บุคคลอื่นได้มีส่วนได้สักการบูชาย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมจะดีกว่า คิดเสียว่า มีสมบัติผลัดกันชม ข้าพเจ้าจึงโทรศัพท์ถึงคุณเทียนชัย ภู่พิพัฒน์ ปรึกษาเรื่องนี้ต่างก็มีความเห็นสอดคล้องต้องกัน ยินดีจัดสร้างพระ แต่จะต้องนำไปกราบเรียนปรึกษา หารือขออนุญาตจากท่านเจ้าคุณเสียก่อน
กาลเวลาได้มาถึงเมื่อ ๓๐ ต.ค. ๓๗ เป็นวันทอดกฐินที่วัดอัมพวัน ข้าพเจ้ามีโอกาสไปร่วมงานและได้นำแบบพิมพ์พระติดไปด้วยเพื่อเตรียมถวาย เมื่อได้จังหวะท่านฉันอาหารเสร็จ ข้าพเจ้าก็ถวายแบบพิมพ์ส่งให้พระคุณเจ้า และข้าพเจ้าได้เล่าประวัติสังเขปให้ฟัง ท่านได้พิจารณาตรวจดูแล้วพูดว่า “เป็นของเก่าอายุมากกว่าพันปีสมัยพระร่วงเจ้า อาตมาได้รวบรวมผงแร่และอื่น ๆ ไว้พร้อมแล้ว กำลังเลือกพิมพ์ แต่ก็ไม่ถูกใจจึงได้รอจังหวะการสร้างไว้ชั่วคราวก่อน”
เมื่อเสร็จพิธีที่ศาลาสุธรรมภาวนาแล้ว ข้าพเจ้าได้เดินตามท่านมายังกุฏิที่พักชั้นบนเพื่อสนทนาต่อเรื่องแบบพิมพ์พระ ท่านได้พูดย้ำว่า “ใครมีบูชาจะเกิดลาภผลร่ำรวยเป็นเศรษฐีมั่งมีศรีสุข คลาดแคล้วปลอดภัย” และท่านได้ส่งให้โยมสุนีย์ พันธศุภร ได้ชมความสวยงามขององค์พระที่แกะเป็นรูปปางลีลาไม่มีชำรุด สวยงามมาก ข้าพเจ้าได้สังเกตดูรู้สึกว่าท่านเจ้าคุณมีความยินดีพอใจ ถูกต้องตามเจตจำนงที่รอคอยมานานแล้ว จึงทำให้ข้าพเจ้าปลื้มปีติยินดีเป็นล้นพ้น มีความสุขใจยิ่งที่ได้มีส่วนสร้างกุศลในวันมงคลอันยิ่งใหญ่ที่จะมาถึงใน ๑๕ ส.ค. ๓๕ ซึ่งเป็นวันครบรอบวันเกิดของพระคุณเจ้า
จึงหวังใจว่าท่านทั้งหลายคงมีโชคดีเป็นเจ้าของเมื่อวันนั้นมาถึง
เรื่องที่ ๖ เมื่อข้าพเจ้าเข้าปฏิบัติธรรม
โดย พล.ต.วสันต์ พานิช
ลองตามมาดูเรื่องของอุ๊ย (คนแก่) กั๋นเต๊อะ? อายุย่างเข้า ๗ – ๘ ขวบ ยังจำความได้ว่าเป็นเด็กที่ซุกซนเหมือนเด็กบ้านนอกทั่ว ๆ ไป อยู่ในวัยถูกเกณฑ์เข้ารับการศึกษาภาคบังคับบิดานำข้าพเจ้าลงเรือเมล์เดินทางรอนแรมไปฝากปู่ย่า และป้าในอำเภอหนึ่ง อยู่จังหวัดข้างเคียงกับบ้านเกิดเพื่อเข้าโรงเรียนวัดในชั้นประถมต้น สมัยก่อนวัดเป็นสถานศึกษา ไม่ค่อยมีโรงเรียนเอกชนเปิดสอน ได้เรียนอยู่มาไม่ถึงปี ญาติอุทธรณ์ร้องฎีกาปกครองเด็กคนนี้ไม่ได้ ต้องเอาไปฝากหลวงพ่อที่ดุ ๆ จึงจะปราบมันได้
แต่บัดนั้นมาชีวิตของข้าพเจ้าต้องมาอยู่กับหลวงพ่อเล็ก (ตัวเล็กแต่ใจท่านเหี้ยม) เหมือนกระรอกติดจั่นต้องอยู่ปรนนิบัติรับใช้ให้เห็นหน้าอยู่เสมอ นอกจากถึงเวลาก็ไปเรียนหนังสือที่ศาลาวัด กลับจากโรงเรียนก็เข้ามารับใช้ทำความสะอาดกุฏิ พอค่ำลงก็เอาหนังสือแบบเรียนเร็วมาอ่าน หลวงพ่อเป็นผู้สอน ข้าพเจ้าใช้ไม้ก้านธูปชี้ตัวหนังสืออ่านผิดอ่านถูก ชี้บ่อย ๆ จนหนังสือทะลุขาดไป มีความเบื่อเหลือกำลัง นั่งหลับโยกตัวไปมา ท่านหลวงพ่อก็แก้ด้วยการเขกหัว ๒ – ๓ ที จึงรู้สึกเห็นดาวเดือน ค่อยยังชั่วหน่อย ถ้าเป็นเด็กโตท่านก็เฆี่ยนด้วยไม้ ถ้ามันด้านไม้ท่านหวดด้วยหางกระเบน เป็นที่ร่ำลือฮือฮา ผู้ปกครองชอบอกชอบใจว่าท่านเด็ดขาดจริง ๆ เลยเอาลูกมาฝากเป็นการใหญ่ เห็นไหมล่ะ? มันเป็นรสนิยมสมัยนั้นที่เขาท่องจำจนติดปากว่า รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี มันถึงจะได้ดี ถ้ามาตีเด็กสมัยนี้แล้วน่ากลัวหลวงพ่อโดนปืนแน่ ๆ กว่าจะได้หลับนอนกำหนดเวลาไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับหลวงพ่อท่านปิดประตูลงกลอนเมื่อใด พวกเราก็มีอิสรภาพเมื่อนั้น
ตื่นนอนเช้าต้องเข้าแถวเดินบิณฑบาตตามหลังพระหรือเณร บางทีก็หาบคอนสำรับกับข้าว เป็นระยะทางไปกลับประมาณ ๑๐ กม. กลับมาถึงวัดพระฉันจังฉันเสร็จ ลูกศิษย์ก็แย่งกันกิน อิ่มบ้างไม่อิ่มบ้าง ถึงเวลาก็ต้องไปโรงเรียนอยู่บนศาลาวัด โต๊ะเรียนเฉพาะตัวไม่มีคงมีม้านั่งยาว ๆ ๓ – ๔ เมตร นักเรียนทุกคนนั่งพับเพียบกับพื้น หนังสือ กระดานชนวนวางบนม้ายาวนั้นของใครของมัน ครูก็เดินเข้ามานักเรียนยืนทำความเคารพแล้วก็นั่ง ครูช่วงซึ่งเป็นครูประจำชั้น ป.๑ – ป. ๒ ก็ถามว่า “ใครไม่ทำการบ้านยกมือขึ้น” ข้าพเจ้ามีความซื่อตรง ยกมือทันที แล้วครูให้ออกมายืนข้างนอกและซักไซ้ไล่เลียงด้วยเหตุผล ข้าพเจ้าก็เล่าเรื่องการช่วยงานหลวงพ่อ ถูกตีอ่านหนังสือไม่ถูก อยู่ดึกดื่น เช้าก็ต้องไปบิณฑบาตเลยไม่มีเวลาทำการบ้าน ครูไม่เชื่อหาว่าแก้ตัว ได้สั่งให้ข้าพเจ้าลงไปหักกิ่งพู่ระหง เมื่อหักแล้วก็นำมาให้ครู ๆ ก็ลงโทษเฆี่ยน ๑๐ ที จะมีการตีไม่เว้นแต่ละวัน รู้สึกมีความเคยชินเสียแล้วเพราะเป็นวัยเด็กประเดี๋ยวก็หายเจ็บ แต่ก็น่าแปลกใจข้าพเจ้าทนอยู่ที่นี่ได้อย่างไรถึง ๒ ปี
ในคืนหนึ่งตกเป็นมือเพชฌฆาตบันคอไก่ (ไอ้โต้งขันยามประจำวัด) โดยไม่รู้ตัว ได้ทราบเรื่องจากเณรว่า หลวงพ่อเล็กได้บัญชามาให้จัดการจับไก่วัดมาผัดขิงในตอนเช้าเพราะไม่มีอาหารจะฉัน ดังนั้น เณรจึงจับไอ้โต้งขันยาม มันเชื่องไม่ส่งเสียงดัง เรื่องนี้ให้ถือเป็นความลับพูดไม่ได้ ท่านเป็นเณรฆ่าสัตว์ไม่ได้แต่จะช่วยจับคอดึงขา และขอร้องให้ข้าพเจ้าซึ่งเป็นลูกศิษย์ลงมือฆ่า ข้าพเจ้าอิดออดไม่กล้าทำแม้แต่ไข่ไก่วัดก็ไม่กล้ากิน เขาบอกว่าใครกินเข้าไปแล้วจะเป็นขี้เรื้อน ข้าพเจ้าจึงกลัวไม่กล้าทำ ทันใดนั้นก็ได้ยินหลวงพ่อเล็กกระแอมกระไอ เสร็จหรือยังเณร และเณรก็บีบบังคับข้าพเจ้า ถ้าไม่ทำจะไปฟ้องหลวงพ่อ ในตอนนั้นข้าพเจ้ากลัวหลวงพ่อจะตีมากกว่าการฆ่าไก่ จึงจำใจจะต้องทำ เอามีดเฉือนไอ้โต้งมันก็ดิ้นชักไปสู่ภพใหม่ทันที ขณะที่ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ก็นึกถึงภาพการเชือดไก่ไม่รู้หายไปจากความทรงจำเลย มันเป็นสัตว์ที่เชื่องขันยามปลุกพระเณรตื่นขึ้นเตรียมตัวบิณฑบาตต่อไปนี้จะไม่ได้ยินมันขันอีกแล้ว ตอนรุ่งเช้าหลวงพ่อเล็กเอาตะหลิวคั่วไก่ผัดขิงกลับอยู่ไปมากลิ่นฟุ้งกระจายไปสู่จมูก หลวงพ่อกฤษณ์ (เจ้าอาวาส) ซึ่งกุฏิของท่านอยู่ห่างไป ๑๐ เมตร ท่านสงสัยกลิ่นอะไรมันฉุนนัก จึงเดินทอดน่องตรงมาหาหลวงพ่อเล็กยิ้มเป็นนัย ๆ เหมือนจะรู้ว่าฆ่าไอ้โต้งมาผัดขิงเสียแล้ว มันตายเพราะข้าพเจ้าแท้ ๆ มันเป็นตัวแรกและตัวสุดท้ายที่ฆ่าตั้งแต่นั้นข้าพเจ้ากลับไปบ้านก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้พ่อแม่ฟังจนหมดสิ้น ท่านคงนึกในใจว่าถ้าขืนไม่ย้ายข้าพเจ้าไปจากวัดนี้แล้วเขาคงใช้ข้าพเจ้าฆ่าไก่จนหมดวัดแน่ ๆ
เมื่อสอบ ป.๒ แล้ว บิดาก็เอาข้าพเจ้าไปฝากญาติในตัวจังหวัดเพื่อศึกษาอีก ๔ ปี สภาพความเป็นอยู่ดีกว่าอยู่วัดเป็นอันมาก คุณน้าเลี้ยงดูเหมือนลูกหลาน แต่ข้าพเจ้าชอบหนีไปดูภาพยนตร์ไม่ต้องเสียเงิน (ชอบกับคนเฝ้าประตู) พอหนังเลิกกลับเข้าบ้านไม่ได้ต้องดึงสายกระดิ่งเรียกเป็นประจำ ได้ยินเสียงเปิดไฟสว่างในห้องแถว ข้าพเจ้าแอบดูตามช่องเห็นคุณน้ากำลังขยี้ตา น่ากลัวถูกตีแน่ ๆ พอเปิดประตูเหมือนหนูเห็นแมว “เอ็งไปไหนมา” “ผมไปดูหนังครับ” “เอ็งบอกใครหรือเปล่า” “ผมบอกไม่ทันครับ” คุณน้าหยิบไม้บรรทัดจากตู้ถามว่า “จะให้ตีกี่ที” “เอา 2 ทีก็แล้วกันครับ” คุณน้าก็ตีแปะ ๆ ไม่แรงนัก แต่มันเพิ่มความคันน่องเลยข้าพเจ้าได้ใจ วันไหนหนังดีสนุกก็ยอมให้คุณน้าตีเป็นประจำ
ข้าพเจ้าอยู่กับน้าได้สร้างกรรมดีไว้เป็นทุนหนุนนำต่อไปในวันข้างหน้านั่นก็คือ หุงข้าวใส่บาตรพระทุกวันมิได้ขาด ซึ่งตอนนั้นอยู่ในวัยเด็กมิได้คิดเรื่องบุญกุศล ความคิดได้มาผุดขึ้นในตอนหลังนี่เอง ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ได้ ๔ ปี ก็จำลาจากเข้าศึกษาชั้นมัธยมศึกษาในบางกอก (กรุงเทพฯ) อีก ๓ ปี ก็ต้องอาศัยวัดอีกตามเคย ต้องอยู่ปรนนิบัติช่วยเหลือหลวงน้าอรุณ แล้วก็แยกทางเข้าศึกษา ร.ร.เตรียม ทบ. จนกระทั่งสำเร็จการศึกษาออกรับราชการในปี ๒๔๙๑ จะเห็นได้ว่าชีวิตตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่จะคลุกคลีอยู่กับวัด มิใช่วัดนอกวัดใน มันเป็นวัดวาอาราม เป็นแหล่งที่ให้การศึกษามาแต่โบราณนานมาแล้ว ได้ช่วยเหลืองานการกุศลอยู่เสมอมาจนกระทั่งปัจจุบัน
ที่เล่ามายืดยาวเป็นตัวอย่างประกอบพระไตรลักษณ์หนีไม่พ้น ข้าพเจ้ายังไม่ได้เข้าปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังและจริงใจ เพราะยังมีภาระทางครอบครัวยังจัดการภายในไม่เรียบร้อย ถึงแม้เกษียณอายุแล้วก็ต้องไปทำงานในต่างจังหวัดชั่วระยะหนึ่ง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วข้าพเจ้าเดินทางไปนมัสการ ท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อจรัญ) เมื่อ ๗ ต.ค. ๓๐ ได้เล่ากิจการงานที่ได้รับมอบหมายจากโรงงาน การจัดการบริหารงาน ฐานะความมั่นคงและสุขภาพอนามัยของข้าพเจ้าให้พระคุณเจ้าได้ทราบโดยตลอด ท่านหลวงพ่อได้พูดว่า “ให้กลับมาอยู่บ้านเพื่อศึกษาธรรม ร่างกายไม่แข็งแรง ได้เสียไม่คุ้มกัน” ข้าพเจ้าน้อมรับว่าทุกอย่างมันเป็นความจริง เหตุการณ์ในโรงงานอยู่ในสภาพน่าเป็นห่วง ไปไม่รอด เลี้ยงไม่โต มีทางรั่วไหลมาก ข้าพเจ้าจึงลาออกจากงานเพื่อคลายเครียด เนื่องจากใช้สมองมากเกินไปต้องเข้าโรงพยาบาลรักษาตัวบ่อยครั้ง ข้าพเจ้าจำต้องหันมาสนใจในเรื่องวิปัสสนากรรมฐาน โดยพระคุณเจ้าได้กระตุ้นเตือนเปรียบเปรยในทำนองผู้ใกล้เกลือกินด่าง พบหน้าครั้งใดท่านก็โน้มน้าวให้สนใจการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานสามารถแก้กรรม แก้โรคภัยไข้เจ็บได้ และได้ชักตัวอย่างประกอบด้วย ศึกษาฟังเทปคำบรรยายทางวิทยุของท่านเจ้าอาวาส วัดทุ่งสาธิต และคำบรรยายสนทนาธรรมจากสถานีวิทยุต่าง ๆ และเริ่มบันทึกถึงความเข้าใจเมื่อ ๒๖ ต.ค. ๓๐
– อ่านเอกสารสิ่งพิมพ์เรื่องธรรม พิมพ์แจกในงานต่าง ๆ
– ทำความเข้าใจและปฏิบัติตามหนังสือทาง ๗ สาย รจนาโดย พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ป.ธ.๙)
– อ่านและทำความเข้าใจในหนังสือกฎแห่งกรรม – ธรรมปฏิบัติของวัดอัมพวัน (เล่ม ๑-๘)
– เข้าศึกษาและปฏิบัติธรรม ณ วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ระหว่าง ๑๐ เม.ย. ๓๗ ถึง ๑๒ เม.ย. ๓๗
จากการศึกษา การฟังบรรยายธรรมเป็นภาคทฤษฏีของแต่ละสำนัก ย่อมมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันไป อ่านตำราแล้วนำมาปฏิบัติด้วยตนเองย่อมไม่ได้ผลเท่าที่ควร เพราะเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นไม่มีครูอาจารย์เข้ามาแนะนำวิธีแก้ไขที่ถูกต้อง และในการจะกระทำสิ่งใดที่เป็นเรื่องสำคัญจะต้องมีการบูชาครูที่ประสิทธิประสาทวิชาความรู้ให้ จะทำให้การปฏิบัติได้ผลเร็วกว่าที่คาดคิด แม้แต่นาฏศิลป์ร่ายรำก็ยังต้องมีการยกครู ไหว้ครูเป็นขนบธรรมเนียมสืบต่อกันมา ข้าพเจ้าได้ลองปฏิบัติดูตามคำอธิบายแล้ว เวลาเดินจงกรมก็เซไปมา เวลานั่งก็งูบไปรอบทิศ บางทีเคลิ้มไป ฝันไป ข้าพเจ้าก็นึกว่าสมาธิเข้าขั้นแล้ว เวลานอนพิจารณาจนหลับไปไม่รู้สึกตัว ตื่นขึ้นก็นึกว่าสำเร็จเสร็จสิ้นเห็นนิมิต บางวันนึกครึ้ม ๆ ก็ทำ ขี้เกียจก็เว้น ไม่มีการกำหนดเวลาตายตัว ไม่มีใครบังคับมีแต่ตามใจฉัน ข้าพเจ้าเริ่มปฏิบัติมา ๕ – ๖ ปี จึงมาถึงบางอ้อ ความคิดเริ่มผุดขึ้นว่า การปฏิบัติที่ไม่มีการยกครู ไม่บังเกิดผล ไร้อาจารย์แนะนำควบคุม ขาดการทดสอบอารมณ์ ทำเหยาะ ๆ แหยะ ๆ ผีเข้าผีออกไม่มีทางสำเร็จแน่ ๆ ข้าพเจ้าจึงเบนแนวความคิดที่ไม่ถูกต้องนี้มาพึ่งบารมีท่านเจ้าคุณ เพียงหาเวลาโอกาสอันเหมาะสมที่จะเข้าปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันเท่านั้น
ต่อมา ๙ เม.ย. ๓๗ พ.ต.พิทยา ไวทยกุล โทรศัพท์มาหาข้าพเจ้าและแจ้งความประสงค์จะนำบรรดาญาติและเพื่อนของ คุณเบญจวรรณ ไวทยกุล ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน ในวันที่ ๑๐ เม.ย. ๓๗ และชวนข้าพเจ้าเป็นเพื่อนเดินทางนัดพบกันที่บ้านบางเขน เวลา ๐๙.๐๐ น. แล้วจะรีบเดินทางกลับใน ๑๒ เม.ย. ๓๗ เพราะมีธุระทางกรุงเทพฯ ด้วย ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจ ไม่ปฏิเสธและขอให้นำเครื่องถวายสังฆทานไปพร้อมเสร็จ เมื่อถึงเวลาตามนัดพวกเรารวม ๗ คน (ผู้ใหญ่ ชาย ๒ หญิง ๔ เด็กหนุ่มวัยรุ่น ๑) พร้อมรถยนต์ ๒ คัน ขับตามกันไปตามเส้นทางถนนสายเอเชีย มุ่งสู่สำนักวิปัสสนา วัดอัมพวัน ในระหว่างเดินทาง ข้าพเจ้าและคุณพิทยา ได้เล่าประวัติความเป็นมา สภาพความเป็นอยู่ เ หตุการณ์ปรากฏในวัดให้เพื่อนคุณเบญจวรรณ ได้ฟังเป็นการกล่าวนำ ตั้งตัว ให้ได้ทราบล่วงหน้า เมื่อได้ประสบพบเห็นก็จะได้ไม่ตื่นเต้น ตกใจ ถ้าเจอจริง ๆ ก็ถือว่าเป็นกรรมของกูก็แล้วกัน คุณพิทยา และภรรยา (คุณเบญจวรรณ) เคยมาปฏิบัติธรรมที่วัดนี้มาก่อนแล้ว ถือว่าท่านกัปตันต้นหนได้พบ ได้ยิน มีความชำนาญพอตัว แต่ก็ไม่วายขนลุกซู่เมื่อได้ยินเสียงประหลาดพวกเรานิ่งฟังด้วยใจระทึกสงสัยว่าคุณพิทยาคิดมากประสาทหลอนมาหลอกพวกเราให้ตกใจเล่นกระมัง ท่านกัปตันพิทยาได้ย้ำหนักแน่นว่าเป็นความจริง จึงได้เล่าต่อไปว่า ในยามดึกสงัดคืนหนึ่งประมาณ ๒ ยาม เห็นจะได้ ต้องนอนสะดุ้งรีบตื่นยืนฟังเสียงขลุ่ยในยามดึก เสียงมันเสมอต้นเสมอปลายดังมาแต่ไกล ทางทิศใต้ของวัด แล้วเสียงนั้นได้เลื่อนลอยขยับมาใกล้ตัวเรา มีสุนัขเป็นหางเครื่องส่งเสียงเห่าหอนสลับกันน่าดูชม กัปตันท่านใจกล้าผ่านสมรภูมิรบในลาวมาอย่างโชกโชนแล้ว จึงมองลอดช่องทางหน้าต่างที่พักก็ไม่เห็นอะไร ง่วงแล้วลงนอนต่อ พอรุ่งเช้าจึงเล่าเรื่องให้คนเก่าแก่ในวัดฟังว่า มันเสียงอะไรกันแน่ เขาบอกว่ามันเป็นเสียงเปรตมาขอส่วนบุญที่วัดนี้มีหลาย มีทั้งเปรตคน เปรตพระ เขาไม่ทำอะไรหรอก แผ่ส่วนกุศลให้เขา มาแล้วก็ตั้งใจปฏิบัติธรรม ตื่นนอนอย่าสายนักนะ ถ้านอนเพลินไปจะมีคนมากระตุกขาให้ตื่น หรือทำของหล่นตกจากฝ้าเพดาน เห็นเป็นงูเลื้อย มีปิดเปิดไฟให้เสร็จเรียบร้อย ที่นี่ไม่มีผีมีแต่วิญญาณเต็มไปหมด เข้ามาปฏิบัติธรรมกัน เราไม่เห็นเขา แต่เขาเห็นเรา เราจะเดินชนเขา ๆ จะหลีกให้เรา เขาตะโกนเรียกเรา แต่เราไม่ได้ยินเพราะกิเลสยังหนาอยู่ เขาก็จะหาว่าเราหยิ่งจองหอง ถ้าทำไม่ดีคงเจอดีเข้าจนได้ ?
หลวงพ่อจรัญเคยเล่าว่าเมื่อ ๖๐ ปีล่วงมาแล้ว มีหนุ่มสาวอยู่ไม่ไกลจากวัดเท่าใดนัก เสร็จจากลงแขกเกี่ยวข้าว ได้นัดแนะจะพากันหนีในคืนนี้ ได้สั่งให้ฝ่ายหญิงแต่งตัวมารอที่ใต้ต้นมะขามหน้าวัดในเวลาใกล้ค่ำ เผอิญมีผีหญิงได้ยินอยากจะได้ผัวคนดี เลยปลอมตัวสวยเช้งวับ แต่งหน้าคล้ายกันได้มารอคอยก่อนที่ต้นมะขามนั้น ส่วนหนุ่มเดินผิวปากทอดน่องมีความสุขตรงเข้ามายังจุดนัดพบ เห็นแม่สาวแต่งตัวสวยผิดธรรมดา (ผีปลอมตัว) จึงเข้าประคองเดินไปตามแผนที่วางไว้ (วิวาห์เหาะ) ฝ่ายชายก็เดินหน้า น้องนางก็ตามหลัง พูดจาเกี้ยวพาราสีตามภาษาหนุ่มสาว เจ้าหนุ่มสงสัยเหตุใดฝ่ายหนึ่งจึงเดินช้าผิดสังเกตจึงได้เหลียวหลังไปมองดู เห็นแสงจันทร์ส่องหน้ารำไรได้เห็นสาวคนรักถลกหนัง ดึงหนอนใส่ปากขบเสียงดังเป็นเม็ดกวยจี๊ดังเผาะ ๆ พ่อหนุ่มร้องโอยไม่ไหวแล้วรีบวิ่งไม่รอช้ายังไม่ทันยิงปืนสตาร์ทเลย วิ่งไม่เหลียวหลังปีนขึ้นบ้านข้างทางขอพึ่งพักเหนื่อยหอบ หัวใจจะวายแล้ว ส่วนแม่ผีสาวก็ตามติดไปทันที ดึงแขนชายคนนั้นลงมาตายเลย
เรื่องที่เล่ามานี้ท่านหลวงพ่อบอกว่าผู้ชายไม่มีสติ ถ้ามีสติดีไม่ต้องหนีผีไม่ทำ จะหนีทำไมไม่ใช่ผีตาโบ๋ในหนังโทรทัศน์นี่จะได้กลัว ดูแต่วิญญาณนายวิโรจน์ ปัญจบุรี ก็มาอย่างคนธรรมดา ข้าพเจ้าเห็นว่าผีสาวคนนี้มันกินหนอน ไม่ใช่ผีธรรมดาสามัญ ถ้าข้าพเจ้าพบแบบนี้จะว่าคาถาท่องบทอิติปิโสเดินหน้า ถอยหลังคงไม่รู้เรื่องแน่ ๆ จะร้องเพลงสาละวันเตี้ยลงหน่อย ๆ ก็ลำบาก สาละวันสูงขึ้นน้อย ๆ ก็ไม่ไหว คงจะล้มทั้งยืนนอนสลบคาเท้าแม่ผีสาวเป็นดีที่สุด ยังมีโอกาสฟื้นคืนชีพได้อีก เมื่อพูดจบดูท่าทางเพื่อนสาวไม่ค่อยจะสู้ดี เดาไม่ถูกว่าเธอจะไปสู้กับผีหรือจะถอยหลังกลับบ้านเขา ข้าพเจ้าจึงพูดปลอบใจไปว่าไม่เป็นไร มีหลวงพ่ออยู่คุ้มครองผีตนใดไม่เชื่อฟังท่านจัดการลงโทษหมดอย่าห่วงสบายมาก เมื่อขับรถแล่นเข้ามาในวัดเวลาประมาณ ๑๐.๑๐ น. พวกเราก็เดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่เตรียมการเข้ารายงานตัว –เข้าพัก – ปฏิบัติธรรม และผลการปฏิบัติและข้อเสนอมีดังนี้
๑. การรายงานตัว
– มาพบเจ้าหน้าที่รับรอง (แม่ชีสมคิด มาลีหอม – เด็กหนุ่มผู้ช่วย ทำงานดีสนใจหน้าที่)
– ได้รับแจกระเบียบปฏิบัติสำหรับผู้ปฏิบัติกรรมฐานฯ ๑ เล่ม ให้อ่านแล้วเขียนใบสมัครเข้าปฏิบัติธรรม และแจกบัตรสีแยกประเภทเสียบหน้าอก
– มีญาติโยมทยอยกันเข้ามาสมัคร เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานตลอด ๒๔ ชั่วโมง น่าเห็นใจจริง ๆ จากสถิติมีโยมผู้หญิงมากกว่าโยมผู้ชาย
– สถานที่รับสมัครเป็นสำนักงานชั่วคราว อาศัยใต้บันไดทางขึ้นบริเวณแคบ แต่เจ้าหน้าที่ก็ทำงานอย่างจริงจัง ไม่พูดบ่นแต่ประการใด เป็นการเสียสละเพื่องานสร้างกุศล
๒. สถานที่พัก
– มีอาคารที่พักทั้งชาย – หญิง แยกออกเป็นสัดส่วนไม่ปะปนกัน ยังมีการแยกประเภทด้วยบัตรสีต่าง ๆ
บัตรสีเขียว : แสดงว่ามาปฏิบัติธรรมครั้งแรก
บัตรสีเหลือง : แสดงว่าเคยมาปฏิบัติธรรมแล้ว
ย่อมเป็นการสะดวกในการรวมพล ณ จุดนัดพบ ผู้ควบคุม นำ แยก เข้าหอประชุม, ศาลาใหญ่ โบสถ์ฯ และอาคาร เพิ่มเติมภาคปฏิบัติได้ต่อเนื่องสูงขึ้นไปตามลำดับ
– ข้าพเจ้า, พ.ต.พิทยา และหลานชาย เข้าพักห้องหมายเลข ๕ ได้รับความสะดวก มีสิ่งอำนวยความสะดวก ห้องน้ำสะอาดดี แต่ฝักบัวชำรุดเกือบทุกห้อง สาเหตุอาจเกิดจากผู้มาพักบางคนใช้ฝักบัวไม่เป็น ได้แต่เอาขันตักอาบหรือคุณภาพฝักบัวไม่ดีก็เป็นได้ การแก้ไขต้องให้ผู้ควบคุมได้ชี้แจงการใช้หรือพิมพ์ไว้ในระเบียบปฏิบัติเพิ่มเติมในข้อ ๒๕ – ๒๖ และให้ช่างประปารีบปรับปรุงแก้ไข
๓. วันเวลาปฏิบัติธรรม
วันที่ ๑๐ เม.ย. ๓๗ (เวลา ๒๔.๐๐ น. เปลี่ยนปีใหม่ของไทยจากปีวอกเป็นปีระกา)
๑๐.๑๕ น. รายงานตัว – ลงทะเบียน – แยกเข้าห้องพัก
๑๒.๐๐ น. รับประทานอาหาร และนัดรวมพล (รวมแถว) ณ จุดนัดพบข้างกุฏิแม่ใหญ่ (โยมสุ่ม ทองยิ่ง)
๑๓.๓๐ น. พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา นักศึกษาฯ พร้อม ณ ศาลาใหญ่
๑๖.๒๐ – ๑๘.๕๐ น. หลวงพ่อนำสวดมนต์ ทำวัตรเย็น และ พ.ท.วิง รอดเฉย นำถวายสังฆทานพระพุทธรูป และกล่าวขอกัมมัฏฐาน และดื่มน้ำปานะ
๑๙.๒๐ น. พระอาจารย์ทองสุข….สอนทฤษฎีการทำสมาธิ ณ หอประชุม ๑
๒๑.๒๐ น. เดินทางกลับที่พัก
๒๒.๑๕ น. พักผ่อน (นอนไม่หลับ แปลกถิ่น ต้องกินยานอนหลับ)
วันที่ ๑๑ เม.ย. ๓๗
๐๓.๓๐ น. ตื่นนอน ล้างหน้า ทำธุระเสร็จ เดินทางไปรอจุดนัดพบ อาจารย์ผู้ปกครองนำเข้าหอประชุม
๐๔.๐๐ น. ทำพิธีสวดมนต์ เดินจงกรม นั่งกรรมฐานอย่างละ ๔๕ นาที แผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล
๐๕.๓๐ น. อาจารย์ผู้ปกครองนำแถว (ตอนเรียงสอง) ไปรับประทานอาหาร โดยใช้มือประกบไว้ข้างหน้า
๐๘.๐๐ – ๑๐.๓๐ น. เข้าปฏิบัติธรรม เดินจงกรม – นั่งกรรมฐาน ณ หอประชุม
๑๑.๐๐ น. ถวายสังฆทานท่านเจ้าคุณพระราชสุทธิญาณมงคล
๑๘.๓๐ น. รอทำพิธีลาศีล ๘ ณ ตึกรายงานตัว (พระอาจารย์ทองสุข…. กำลังบรรยายภาคทฤษฎีการทำสมาธิ) น่าเห็นใจท่านมีภารกิจมาก
๒๑.๒๕ น. พักผ่อน
วันที่ ๑๒ เม.ย. ๓๗
๐๓.๓๐ น. ตื่นนอนทำธุรกิจ เดินทางไปรวมจุดนัดพบ
๐๔.๐๐ – ๐๕.๓๐ น. เดินจงกรม นั่งกรรมฐาน – แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล
๐๖.๐๐ น. รับประทานอาหาร และกราบลาแม่ใหญ่ (โยมสุ่ม ทองยิ่ง) ตลอดจนอธิษฐานจิต กราบลาท่านเจ้าคุณพระราชสุทธิญาณมงคลไว้เหนือเกล้า
๐๘.๑๕ น. เดินทางกลับกรุงเทพฯ
๔. ผลการฝึกปฏิบัติและข้อเสนอ
๔.๑ ได้รับการอบรมภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ มีความเข้าใจพอสมควร สามารถจะนำไปปฏิบัติต่อที่บ้านได้ อาจารย์ได้เน้นต้องเพียรพยายามทำให้ต่อเนื่องให้เกิดความชำนาญ แม่ใหญ่ได้แนะนำเคล็ดลับในท่านั่ง ยกมือประสานแตะไว้ที่หน้าท้องเหนือสะดือ ๒ นิ้ว เวลาพอง – ยุบ เอาจิตเพ่งที่นั่น ก่อนทำก็สวดมนต์อธิษฐานพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ จงเสด็จลงมาช่วย เมื่อปฏิบัติเสร็จแต่ละครั้งจงแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลที่ปรากฏอยู่ในระเบียบปฏิบัตินั้นแล้ว มีข้อสงสัยก็มาถามได้ตลอดเวลา (ยกเว้นวันจันทร์ ไม่ดูให้ใคร)
๔.๒ ก่อนจะเดินจงกรมให้ยืนตัวตรง กำมือไพล่ไว้ข้างหลังภาวนาว่า ยืนหนอ ๕ ครั้ง โดยหลับตาวาดมโนภาพขึ้น แล้วลง (จากเส้นผมลงง่ามเท้า) แล้วจากล่างขึ้นบน (จากง่ามส้นเท้าว่ายืนผ่อนลมมาถึงสะดือ จากสะดือก็ว่าหนอ มาถึงผมลมหมดพอดี) ถ้าใครรู้ว่าจะเป็นลมให้เอามือยันเสาหรือกำแพงไว้ ถ้ายืนไม่ไหวก็นั่งลงให้เพื่อนธรรมช่วยนวด หรือขอน้ำมนต์จากหลวงพ่อ มาแก้ไขก็ได้ เพียงแต่การเดินจงกรม ย่อมมีประโยชน์มหาศาลอยู่แล้ว ร่างกายมีการเคลื่อนไหวอยู่ทุกส่วน เลือดลมเดินสะดวก ขจัดโรคภัยได้มีผู้ประสบผลสำเร็จได้เขียนยืนยันมา มีหลักฐานอ้างอิงน่าเชื่อถือได้ ขอให้อาจารย์ผู้ปกครองรีบเตือนหรือกระซิบผู้ที่ปฏิบัติไม่ถูกต้อง แทนที่จะปล่อยให้เดินจงกรมไปมาในระยะ ๑๐ ก้าว กลับเดินตัดหน้าบุคคลอื่น หรือเดินรอบโบสถ์ตามใจชอบ ย่อมเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
๔.๓ อาจารย์ผู้ปกครองต้องบอกเมื่อเกิดเวทนา ปวดแข้งปวดขา อย่าไปขยับหรือเปลี่ยนอิริยาบถ ให้รีบกำหนดเพ่งไปที่จุดปวดจนกว่าจะหายปวดทันที
๔.๔ การรับประทานอาหาร
– บางคนไม่เคยชินการรับประทานอาหาร ๒ มื้อ ยังมีการหิวกระหายอยู่ การเสริมด้วยน้ำปานะ เช่น นมไวตามิ้ลค์ คนละ ๒ ขวด พออยู่ได้ ควรปรึกษาแพทย์ว่า มีเครื่องดื่มชนิดใดที่มีคุณค่าทางอาหารมากกว่านี้บ้าง ถ้าเป็นเครื่องดื่มชูกำลังจะได้หรือไม่ เช่น น้ำผึ้งหรือโสม เป็นต้น
– ควรมีที่ล้างถาดหลุด ส้อม ช้อน แบบอัตโนมัติ เพราะสะดวก ประหยัด บริการได้รวดเร็ว ใช้กำลังคนกินเนื้อที่มาก
– ตำบลจ่ายอาหารย่อย แต่ละจุดควรอยู่ห่างกันพอสมควร ให้มีความสะดวกในการเข้าแถวรับอาหาร ไม่เบียดเสียดยัดเยียด ควรกระจายมาที่ศาลาสวดศพข้างศาลาใหญ่ก็พอได้ อย่าไปรวมกันที่ศาลาเล็กเพียงแห่งเดียว
– เจ้าหน้าที่บริการมีน้อย คนมากอารมณ์หงุดหงิด พูดกับผู้มาปฏิบัติธรรมเสียงจะดังไปหน่อย ถ้าหรี่เสียงสักนิดให้มีรสอ่อนหวานก็คงจะเจริญอาหารดีไม่น้อย
๔.๕ การประชาสัมพันธ์
งานจะดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยดีเด่น โด่งดัง หรือดับก็อยู่ที่การประชาสัมพันธ์ชี้แจง แนะนำให้ผู้มาปฏิบัติธรรมได้รู้เห็น ได้เข้าใจ หรือได้ตอบปัญหาให้เขาได้รู้ว่า จะต้องทำอะไร? ที่ไหน? เมื่อไร? อย่างไร? เพราะโยมที่เข้ามามีหลายระดับชั้น คือดอกบัว ๔ เหล่า ๔ พวก ดังกล่าวไม่มีผิด นักประชาสัมพันธ์ที่ดีต้องมีอารมณ์เย็น ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดช้า ๆ แบบน้ำซึมบ่อทราย วาจาไพเราะเสนาะโสตในการต้อนรับ แขกบางคนมีใจร้อนเหมือนถูกไฟจี้ รีบมาก็ต้องรีบกลับเพราะต้องเดินทางไกล กลัวจะมืดค่ำกลางทาง กลัวตะวันจะสาย สายบัวจะเน่า นั่นแหละ ข้าพเจ้าได้พบเจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายสงฆ์และแม่ชีที่รับผิดชอบ ทุกคนใจเย็น มีความอดทน ข่มอารมณ์ไว้ได้เป็นอย่างดี และบางท่านหาทางออกได้ดีน่าชมเชย ขอให้พระคุณเจ้า แม่ชี จงรักษาความดีเหมือนเกลือย่อมรักษาความเค็มต่อไปเถิด “ต่อว่าได้ ทนได้ แต่ขึ้นไม่ได้ ต้องขออนุญาตท่านก่อน”
– อาจารย์ผู้ปกครองควรแจ้งให้ผู้ปฏิบัติธรรมได้ทราบว่า เช้าวันไหนมีการตักบาตรเมื่อปฏิบัติกรรมฐานเสร็จ เวลา ๐๕.๓๐ น. ก็ควรอนุญาตให้โยมปลีกตัวไปใส่บาตรที่ศาลาใหญ่ ส่วนนอกนั้นก็นำแถวกลับไปยังโรงอาหาร ย่อมจะสะดวกด้วยกันทั้งสองฝ่าย
๔.๖ การตักบาตรตอนเช้า
– นับจำนวนพระภิกษุ – เณร โดยเฉลี่ยจำนวนกี่รูปต่อวัน
– เจ้าหน้าที่โรงครัวจะต้องจัดชุดอาหาร น้ำดื่มให้สมดุลกัน ทั้งนี้เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและขจัดเศษอาหารให้เหลือน้อยลง
๔.๗ การทำสวนครัว
– ขอให้ฟื้นการทำสวนครัว (แต่ไม่เลี้ยงสัตว์) สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เสียใหม่ เนื่องจากค่าครองชีพเริ่มถีบตัวสูงขึ้น ประหยัดงบประมาณของวัดที่เลี้ยงดูอยู่ทุกวัน อีกทั้งมีพื้นที่ชายฝั่งริมน้ำเหมาะแก่การเพาะปลูกพืชสวนครัวด้วย มีปุ๋ยธรรมชาติดีอยู่แล้ว กำลังที่ใช้ควรขอนักเรียนเกษตรกรรมสิงห์บุรีมาช่วยกันในแต่ละปี ผลผลิตที่ได้นำเข้าสู่โรงครัวและโรงเรียน ตามแต่จะตกลงกันหรือส่งไปช่วยศูนย์ปฏิบัติกรรมฐานขอนแก่น
– ที่ข้าพเจ้าเรียนเสนอมานี้มิใช่นำลัทธิคอมมิวนิสต์มาใช้ ของเราใช้มาก่อนและได้ผลดีด้วย ขอให้พระคุณเจ้าริเริ่มเป็นตัวอย่าง เพื่อให้ลูกหลานแม่ครัวหัวป่าก์ทำแกงจับฉ่ายอร่อย เลี้ยงพระญาติโยมให้ลือกระฉ่อนวัดไปเลย เพราะถูกสาปแช่งมานานแล้ว ถึงแม้จะสร้างเขื่อนหน้าวัดตามโครงการต่อไปก็คงมีที่บางส่วนอำนวยประโยชน์ได้ หรือทำสวนครัวอากาศก็ได้
๔.๘ จัดระเบียบร้านค้า
– โดยเฉพาะในบริเวณวัดมีร้านค้าเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ดูแล้วไม่งามตา ควรจัดวางเป็นซุ้มตามหัวมุม ๔ ทิศ เป็นที่ลับ ๆ สักหน่อย อยู่ในร่มไม้ใหญ่ไกลที่รับแขก ขายของที่จำเป็นต้องใช้ประจำวัน
เรื่องของอุ๊ยที่เล่ามาแต่เพียงผิวเผินที่ได้พบเห็น มันเป็นเพียงกระพี้มิใช่แก่น จิตยังห่างไกลไม่ถึงดวงดาว ด้วยใจรักและเคารพหลวงพ่อไม่เสื่อมคลาย จึงติเพื่อก่อ ขอให้วัดอัมพวันมีความเจริญรุ่งเรืองโดยมีพระคุณเจ้าท่านเจ้าคุณพระราชสุทธิญาณมงคล เป็นผู้นำตลอดไป “การแก้กรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ การที่ญาติโยมนั่งเจริญกรรมฐานแล้วแผ่ส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ทุกท่านจะกลับร้ายกลายดี ลูกหลานจะมั่งมีศรีสุข จะประกอบอาชีพการงานก็จะมีเงินไหลนอง ทองไหลมา”
เรื่องที่ ๗ ขอบารมีหลวงพ่อคุ้มครองภัย
โดย พล.ต.วสันต์ พานิช
เมื่อต้นเดือนกันยายน ๒๕๓๗ ญาติของข้าพเจ้าคนหนึ่งป่วยอย่างกะทันหัน ญาตินำส่งโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ อาการหนักเข้ารักษาในห้อง ไอ.ซี.ยู แพทย์ได้พิจารณาตรวจสอบจากเอกซเรย์คอมพิวเตอร์และเครื่องตรวจอื่น ๆ แล้ว ปรากฏว่าเส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพองในช่องอก หากปล่อยไว้จะเกิดการปริแตกเป็นอันตรายถึงชีวิต ทางโรงพยาบาลไม่มีเครื่องมือ เครื่องช่วยพิเศษ และอย่างอื่นที่จะสนองตอบปัญหาโรคนี้ได้ หนทางปฏิบัติที่ดีก็คือควรทำการติดต่อสรรหาโรงพยาบาลในต่างประเทศที่มีความชำนาญในเรื่องนี้โดยเฉพาะ คุณหมอ (ภรรยาผู้ป่วย) ได้ติดต่อญาติและแพทย์ที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาช่วยเป็นธุระติดต่อหาโรงพยาบาลให้ แล้วยืนยันรายละเอียดมาให้ทราบเพื่อประกอบการตัดสินใจ ภายในเวลาไม่ถึง ๗ วัน คุณหมอได้ตกลงใจเตรียมการเดินทางไปสหรัฐอเมริกา วันที่ ๑๐ ก.ย. ๓๗ ก่อนเดินทาง ๒ วัน ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมผู้ป่วยเพื่อให้กำลังใจและได้มอบเหรียญเจ้าคุณพระภาวนาวิสุทธิคุณ รุ่นปี ๒๕๓๒ ให้ผู้ป่วยไว้เป็นที่พึ่งทางใจคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายทั้งไปและกลับ ขอให้ผู้ป่วยจงรำลึกนึกถึงพระคุณเจ้าทุกลมหายใจเข้าออก ข้าพเจ้าได้สังเกตดูใบหน้าผู้ป่วยยิ้มแย้มแจ่มใส มีความเคารพศรัทธาท่านเจ้าคุณอยู่บ้างแล้ว เพราะได้เคยอ่านหนังสือกฎแห่งกรรม – ธรรมปฏิบัติที่ข้าพเจ้าให้ไป จึงรู้กิตติศัพท์ท่านเจ้าคุณสามารถ ช่วยเหลือรักษาผู้ป่วยเจ็บหายได้ด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ผู้ป่วยน้อมรับและได้นำไปสหรัฐฯ ด้วย
เมื่อ ๑๐ ก.ย. ๓๗ เวลา ๐๗.๑๐ น. ผู้ป่วย, คุณหมอและญาติที่เป็นหมอ แพทย์ที่พยาบาลรวม ๖ คน เดินทางออกจากดอนเมืองโดยสารการบินไทยมุ่งตรงสู่สหรัฐฯ ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๑๗ ชั่วโมง มาถึงลอสแอนเจลิส ทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลได้ส่งรถพยาบาลมารับผู้ป่วยในเครื่องบินพร้อมผู้ติดตามที่สนามบิน แล้วนำผู้ป่วยเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู. ทันที ทางคณะแพทย์ เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลได้ดำเนินกรรมวิธีตรวจสอบตามขั้นตอนวินิจฉัย วางแผนเตรียมการผ่าตัดอย่างละเอียดโดยรวดเร็ว ทางคุณหมอ (ภรรยา) ได้ติดต่อแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดทางโรงพยาบาลให้บรรดาญาติได้รับทราบอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ข้าพเจ้ามีความวิตกกังวลใจในการเดินทางและการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยเป็นอย่างมาก มีทางเดียวที่จะช่วยได้ก็คือส่งข่าวขอความเมตตาท่านเจ้าคุณและหลังจากสวดมนต์เย็นแต่ละวันข้าพเจ้าได้อธิษฐาน ขอบารมีพระคุณเจ้าโปรดแผ่เมตตาเสริมพลังให้ผู้ป่วยมีความปลอดภัยและเดินทางกลับมาโดยสวัสดิภาพ ในที่สุดผู้ป่วย คุณหมอ และญาติเดินทางกลับมาถึงสนามบินดอนเมืองเมื่อ ๒๓ ต.ค ๓๗ เวลา ๒๓.๐๐ น. โดยปลอดภัย มีบรรดาญาติพี่น้องรอรับดีใจที่ได้เห็นผู้ป่วยมีชีวิตรอดมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ มีกำลังใจดีมาก ก่อนจะเดินทางกลับ คุณหมอ (ภรรยา) ได้เขียนสรุปเหตุการณ์ผ่าตัดที่น่าสนใจและขอบคุณบรรดาท่านที่เป็นห่วงให้ความช่วยเหลือและกำลังใจแก่ผู้ป่วยและภรรยาในครั้งนี้แล้วแจกให้บรรดาญาติได้อ่านรับรู้ทั่วหน้ากัน
ข้าพเจ้าได้อ่านบันทึกนี้เมื่อ ๒๐ ต.ค. ๓๗ แล้วเห็นว่าเป็นการผ่าตัดครั้งยิ่งใหญ่ที่ต้องใช้หมอที่เชี่ยวชาญมีฝีมือยอดเยี่ยมจริง ๆ เป็น The Case of The Decade (ผู้ป่วยยอดเยี่ยมประจำทศวรรษ) เป็นคนไข้ที่อยู่ห้อง ไอ.ซี.ยู. นานที่สุดรายหนึ่ง (๑๖ วัน) เปลี่ยนเส้นเลือดใหญ่และเส้นรอง ๆ มากที่สุด จึงพิจารณาเห็นว่าถ้าได้สรุปบันทึกลงในหนังสือกฎแห่งกรรม – ธรรมปฏิบัติแล้ว ผู้อ่านย่อมจะได้รับความรู้การวิวัฒนาการด้านการแพทย์เจริญก้าวหน้าเพียงใด และที่น่าสงสัยเกิดปัญหาธรรมก็คือ จิตวิญญาณยังอยู่ในร่างหรือออกไปอยู่ที่ใด จะเหมือนกับการซ่อมบ้านครั้งใหญ่ คนในบ้านจะหลบไปอาศัยที่ไหนก่อน เมื่อซ่อมเสร็จแล้วก็กลับเข้ามาอยู่ใหม่หรืออย่างไร จิตวิญญาณยังอยู่ในบ่อเล็ก ๆ (โตเท่าเม็ดบุนนาคมีน้ำสีต่าง ๆ ๖ สี) อยู่ในช่องหนึ่งของหัวใจ (หน้า ๒๖๑ เล่ม ๗) จะเป็นไปได้หรือไม่เป็นเรื่องยากจริง ๆ นอกจากพระคุณเจ้าเท่านั้นจะรู้ความเป็นไปแห่งสังขารนี้ ข้าพเจ้าได้ขออนุญาตคุณหมอพิมพ์ข้อความที่ได้บันทึกไว้เพื่อเป็นวิทยาทาน สรุปได้ดังนี้
๑. เจ้าหน้าที่นำรถพยาบาลไปรับผู้ป่วยในเครื่องบินและผู้ติดตามนำเข้าห้องไอ.ซี.ยู ตรวจร่างกาย เอกซเรย์ ส่วนต่าง ๆ วางแผนงานตามขั้นตอนก่อนลงมือทำการผ่าตัด
๒. การผ่าตัด
วันที่ ๑๕ ก.ย. ๓๗ ผู้ป่วยรับการผ่าตัดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ มีศัลยแพทย์ เจ้าหน้าที่เทคนิคที่เชี่ยวชาญแต่ละสาขาดำเนินตามแผนที่กำหนดไว้ เช่น วางยาสลบใช้เครื่องปอดเทียม หัวใจเทียม และอื่น ๆ ใช้เวลาผ่าตัด ๗ ชั่วโมง
– ประการสำคัญที่สุดคือนำเทคนิคใหม่ทันสมัยมาทำให้สมองเย็น อุณหภูมิ ๑๐ เซนติเกรด นาน ๘๐ นาที โดยไม่มีเลือดไปเลี้ยงสมองเลยนาน ๘๐ นาที เหมือนคนตายสนิท ๘๐ นาที
– ตัดและเปลี่ยนเส้นเลือดใหญ่ที่โป่งขนาด ๑๐ ซม. (ปกติจะมีขนาด ๒.๕ ซม.) ยาวถึงกระบังลมแทนเส้นเลือดเดิมที่โป่งพองใกล้จะปริแตกอันตราย
– ตัดและเปลี่ยนเลือดไปเลี้ยงสมองขวาขนาดรองลงมา จำนวน ๔ เส้น
– เปลี่ยน ตัด เย็บ ชุน เส้นเลือดฝอยเชื่อมโยงเส้นเลือดใหญ่ที่เสื่อมชำรุดให้กลับคืนสภาพ
ตอนเริ่มผ่าตัดใช้เลื่อยไฟฟ้าผ่าอกแบะออก ให้ช่องอกกว้างมากเพื่อเข้าไปทำการผ่าตัดเหมือนซี่โครงหมู เพื่อสะดวกในการเปลี่ยนเส้นเลือดเพราะมีบางเส้นชอนไช วกวนผิดธรรมดา ทำความลำบากยุ่งยากมาก
เมื่อแพทย์ได้ทำการผ่าตัดเรียบร้อยแล้วก็ใช้เครื่องมือช่วยกระตุ้นให้ผู้ป่วยมีความรู้สึกตัวเป็นที่ระทึกใจ ตื่นเต้นทีเดียวเพราะแพทย์บอกว่าการจะมีชีวิตหรือตายของผู้ป่วยย่อมอยู่ที่การกระตุ้นให้สมองมีความอบอุ่นกลับคืนมา และคนไข้รายนี้หมอยอมรับยกให้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่แห่งทศวรรษ (ในรอบ ๑๐ ปี) เพราะเหตุว่าทำให้สมองมีความเย็นนานที่สุดมากกว่ารายอื่นที่โรงพยาบาลนี้เคยทำมา เปลี่ยนเส้นเลือดมากที่สุด และบางเส้นมีความสลับซับซ้อนทำยากมาก โดยปกติคนไข้รายอื่น ๆ มาผ่าตัดเปลี่ยนเส้นเลือดในหัวใจ ๒ – ๔ เส้น ส่วนใหญ่จะทำ By Pass อยู่ในห้อง ไอ.ซี.ยู. ๒ – ๕ วัน เท่านั้น ก็กลับบ้านได้ แต่คนไข้รายนี้อยู่นานกว่าเพื่อนคืออยู่ ห้องไอ.ซี.ยู. ๑๖ วัน อยู่โรงพยาบาลรวม ๓๔ วัน มาพักฟื้นที่โรงแรมอีก ๑๔ วัน จึงเดินทางกลับเมืองไทยได้
๓. คนป่วยฟื้น
หลังผ่าตัดเสร็จแพทย์นำเข้าห้องไอ.ซี.ยู. ฉีดยาให้ผู้ป่วยหลับลึกสนิทอีก ๒๔ ชั่วโมง เพื่อให้สมองพักอย่างเต็มที่ป้องกันให้เซลล์สมองเสื่อมน้อยที่สุด คนป่วยเป็นเจ้าชายนิทรา เมื่อเริ่มรู้สึกตัว ลืมตา พูดอะไรไปไม่รู้เรื่อง กลายเป็นคนละคน ก่อนจะทำการผ่าตัดรู้ตัวดี พูดอะไรรู้ทุกอย่าง หลังผ่าตัดกลายเป็นเด็กเกิดใหม่ ต้องสอนให้กำมือ ยกขา กระดิกนิ้ว อ้าปาก หัดยืน เดิน นั่ง ยังจับช้อนป้อนอาหารเองไม่ได้ มีหมอไทยเก่งมากทำงานที่นี่เป็นเจ้าของไข้ ดูแลรักษาเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดและดีเลิศ มีความสามารถมาก ได้ช่วยดูแลรักษาตั้งแต่ต้นจนทำการฟื้นฟูคนป่วยให้กลับฟื้นคืนสู่สภาพปกติได้อย่างรวดเร็ว เมื่อผู้ป่วยฟื้นดีแล้ว แม่บ้าน (ที่ติดตามไปด้วย) ไปนำพระสมเด็จพระพุฒาจารย์โต (พรหมรังสี) และเหรียญท่านเจ้าคุณพระภาวนาวิสุทธิคุณ มามอบให้ไว้เพื่อเป็นกำลังใจ และก่อนการผ่าตัดผู้ป่วยก็ได้อธิษฐานจิตแล้วส่งคืนให้แม่บ้านเก็บไว้
๔. ค่าใช้จ่ายสูงมาก
แต่ให้การดูแลรักษาและการบริการแก่ผู้ป่วยอย่างดียิ่งมีพยาบาลดูแล ๑ ต่อ ๑ (พยาบาล : ผู้ป่วย) ในห้องไอ.ซี.ยู. มีทีมงานมาดูแลตลอด มีเครื่องมือตรวจรักษาผู้ป่วยทั้งวันคืน
คุณหมอ (ภรรยา) ได้พูดว่า “การป่วยครั้งนี้เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เพราะใช้ปอดและหัวใจเทียมนาน ๗ ชั่วโมง หยุดเลือดไปเลี้ยงสมองนาน ๘๐ นาที เป็นมหันตะประสบการณ์จริง ๆ มีทั้งทุกข์ ทั้งเครียด ทั้งห่วงใยและกังวลใจ และสบายใจวันละน้อย ๆ เมื่อผู้ป่วยดีขึ้น” ขณะนี้ผู้ป่วยกลับมาพักฟื้นที่บ้านในกรุงเทพฯ รอให้สุขภาพแข็งแรง แล้วจะต้องเดินทางไปเปลี่ยนเส้นเลือดโป่งที่หน้าท้องอีกเป็นครั้งที่ ๒
เมื่อ ๓๐ ต.ค. ๓๗ ข้าพเจ้าไปงานทอดกฐินที่วัดอัมพวันได้เรียนเรื่องนี้ให้พระคุณเจ้าทราบ ท่านได้พูดว่า “ขณะผ่าตัดผู้ป่วยได้ตายไปแล้ว แต่กลับฟื้นขึ้นมาเพราะยังมีกรรมดีสนับสนุนอยู่ การสร้างกุศลปฏิบัติธรรมจะช่วยแก้กรรมได้ ผู้ใดไม่มีโรคถือว่าเป็นลาภอันประเสริฐ ดังคำบาลีที่ว่าอโรคยา ปรมาลาภา จงอย่าประมาท เราเกิดมาได้เพราะแรงกรรม (กรรมมัชรูป) และจิตปรารถนา”
ข้าพเจ้าได้เขียนเรื่องนี้โดยเห็นว่าเป็นการผ่าตัดเส้นเลือดใหญ่โดยใช้เทคนิคที่ก้าวหน้า ทันสมัยในวงการแพทย์ ที่ไม่ได้พบเห็นและรู้เรื่องราวรายละเอียดตามลำดับขั้นตอนดังกล่าวมาก่อนเลย จึงหวังใจว่าผู้อ่านคงจะได้รับประโยชน์ไม่มากก็น้อย ขอกราบขอบพระคุณเจ้าที่ได้กรุณาส่งพลังจิตแผ่เมตตาให้ผู้ป่วยมีจิตใจเข้มแข็ง ฟันฝ่าอันตรายรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์ กอร์ปด้วยคณะเจ้าหน้าที่แพทย์ที่มีความสามารถและชำนาญเป็นเลิศประกอบกัน จึงบันดาลให้ผู้ป่วยได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งแพทย์ไทย และแพทย์ต่างประเทศได้ร่วมกันดูแลรักษาอย่างดี และบุคคลสำคัญที่จะลืมขอบคุณเสียมิได้นั่นก็คือคุณหมอ (ภรรยา) ได้เสียสละเวลาแก้ไขเพิ่มเติมข้อความให้มีความสมบูรณ์ดียิ่งขึ้น
ในวารดิถีครบรอบวันเกิด ข้าพเจ้า ผู้ป่วย และคุณหมอ ขออำนวยพรให้พระคุณเจ้าพระราชสุทธิญาณมงคล จงมีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์ แข็งแรง มีพรรษายุกาลยืนยาวและประสบความสำเร็จตามปรารถนาทุกประการ เทอญ
อันป่าดงพงกว้างยังถางเตียน
แล้วจึงเปลี่ยนเป็นนาไร่ได้มรรคผล
ส่วนป่ารกหมกอยู่ในดวงกมล
ปลูกกุศลกันกิเลสวิเศษแล
เรื่องที่ ๘ ไม่เป็นไร
โดย พล.ต.วสันต์ พานิช
ก. ชีวิตรับราชการ
ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยากำลัง อุปสรรคคือหนทางแห่งความสำเร็จ ต้องท่องเที่ยวร่อนเร่พเนจรมีรสเด็ดเผ็ดร้อนหวานอมขมกลืนไปตามดวงชะตาของแต่ละบุคคล บางคนโชคดีก็สบายไป บางคนตกที่นั่งเป็นลูกช่างย้ายหลายครั้งหลายหน ก่อความเดือนร้อนให้แก่ครอบครัว การศึกษาของลูกไม่ติดต่อกัน เสียเวลาเดินทาง ขนย้ายข้าวของจิปาถะ มีการชำรุดแตกหักเสียหาย ย้ายกันบ่อย ๆ เลยเหลือแต่ลูกกับลัง เท่านั้น
ข้าพเจ้าโชคดีหน่อยถูกย้าย ๓ – ๔ ครั้ง ข้าวของชำรุดเสียหายไม่มากนัก มีชีวิตปฏิบัติงานส่วนใหญ่อยู่ทางภาคอีสานในหน่วยราชการขนาดใหญ่ จะมีสโมสร ด้วยความมุ่งหมายเพื่อให้ข้าราชการได้พักผ่อนหย่อนใจคลายอารมณ์ที่เคร่งเครียด ตรากตรำทำงานทั้งวัน ยังเป็นแหล่งพบปะหารือปรับความเข้าใจ สามัคคีปรองดอง จัดงานรื่นเริงบันเทิงใจตามกาลเทศะ บางคนคลายเครียดมากไปเกิดลืมตัว เกิดความทุกข์เมื่อถึงวันเงินเดือนออก เพราะเจ้าหน้าที่สโมสรส่งบิลให้เจ้าหน้าที่การเงินทำการหักหนี้ทั้งหมด ปรากฏว่าเงินเดือนเหลือเล็กน้อย บางเดือนติดลบ แม่บ้านต้องเดือดร้อนเพราะไปเซ็นร้านเถ้าแก่เป็นประจำอยู่แล้ว เดือนเก่ายังใช้เงินให้ไม่หมด ผลัดมาเดือนใหม่จะเอาไปใช้ แต่เจ้าพระคุณทูนหัว ผัวกลับทำพลิกผันปรวนแปรไปเสีย – การพนันบนสโมสร (บิลเลียด – สนุกเกอร์ – ไพ่ – เหล้า อื่น ๆ มีพร้อมสรรพ) หมดตัวแค่นี้ยังไม่พอ วันไหนมีการแข่งม้าก็ถูกม้ามันเตะซ้ำเข้าไปอีก ก็นึกเสียว่าไม่เป็นไร ซื้อหญ้าให้ม้ากินก็แล้วกัน ไม่ได้นึกถึงลูกเมียเลย กลับไปสงสารสัตว์มันได้ มันเป็นกรรมของเมียที่มาเลือกคู่อยู่กับทหารซึ่งมีคำพังเพยอย่างน่าฟังว่า “มีผัวทหารนับขวด มีผัวตำรวจนับแบงค์” เท็จจริงประการใดไม่ขอวิจารณ์ บางคนชอบเป็นเสือสิงห์กระทิงแรด ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานกันเลย รีบแจ้นขึ้นสโมสร จับไม้คิวแทงบิลเลียดก่อนเวลาแล้ว ฝ่ายกวางทองน้องรักรักษาเวลากลับไม่ได้เล่นจึงร้องสั่งให้เอาเหล้า บุหรี่ กับแกล้ม มากินในเกม ฝ่ายเสือสมิงไม่ขัดต้องเอาใจกวาง กลัวกวางจะอาละวาด ไม่เชียร์แล้วจะเกิดความปั่นป่วนในการเล่นด้วย เผลอแผลบเดียวเหล้าหมดแล้ว เสือมัวแต่แทงเพลินยังไม่ทันจะได้รินเหล้าใส่ปากเลย เสียงกวางร้องให้สั่งมาใหม่อีก ๑ ชุด เสือก็ใจดีร้องสั่งตามใจกวาง เสือต้องระวังการต่อสู้เข้มงวดขึ้น ขืนฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำต้องเซ็นบิลกันหลายอัฐทีเดียว เมื่อฝ่ายใดแพ้ก็ขอแก้ตัว ถ้าได้ชัยชนะก็เล่มเกมเหมา (เกมที่ ๓) คราวนี้ถ้าใครแพ้ก็เซ็นดะทั้ง ๓ เกมเลย รวมเป็นเงินไม่ใช่น้อย บางครั้งเสือทะเลาะชกต่อยกัน กวางก็ทำหน้าที่กรรมการห้ามมวยไปในตัว ส่วนวงไพ่ก็ตั้งหน้าสู้กันทั้งวันคืนไม่ได้หลับนอน จึงเห็นว่าสโมสรเป็นแหล่งที่ให้ทั้งคุณและโทษ โปรดใช้ให้ถูกทางก็แล้วกัน โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้อยู่ทางเดียวคือเงินเดือน เมื่อผีการพนันเข้าสิงสู่ใจเสียแล้ว ทางใช้จ่ายมีมากกว่ารายรับมันก็ไม่พอ เป็นการสร้างหนี้สิน ตั้งตัวไม่ได้ ครอบครัวเดือดร้อน บางคนฐานะดี ไม่เป็นไร ขอเงินทางพ่อแม่มาใช้ทุกเดือนก็ไม่เดือนร้อน ส่วนคนไม่มีรายได้ทางอื่นมาจุนเจือก็ต้องขายของเก่าไปพลาง หรือกู้หนี้ยืมสินมาใช้กันต่อไป จ่าบางคนได้เมียขยันทำมาหากินขายข้าวแกง มีฐานะดีแต่งตัวโก้ มีเงินให้ทหารกู้คิดดอกเบี้ยน่าดูชม สมัยก่อนผู้บังคับบัญชามีนโยบายให้ข้าราชการย้ายไปทำงานอยู่ใกล้ภูมิลำเนาเดิมได้ เพื่อมิให้เดือนร้อนค่าใช้จ่าย ข้าพเจ้าได้รับราชการอยู่ ป.พัน.๓ กองทัพภาคที่ ๒ จ.นครราชสีมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ เป็นเวลา ๕ ปี จึงเรียนขอความกรุณาให้ผู้บังคับบัญชาได้พิจารณาย้ายมาอยู่หน่วยปืนใหญ่ ในจังหวัดลพบุรี เพื่อจะได้มีโอกาสไปเยี่ยมบิดามารดาซึ่งเจ็บป่วยอยู่ที่บ้านจังหวัดชัยนาท ผลที่ได้รับกลับถูกย้ายไปอยู่ ป.พัน.๖ จ.อุบลราชธานี ข้าพเจ้าต้องข่มใจอดทน อดกลั้นและมีความซาบซึ้ง เห็นธาตุแท้ของผู้บังคับบัญชา ยังมีวินัยต้องปฏิบัติตามคำสั่งแต่โดยดี คิดเสียว่า ไม่เป็นไร เราได้มีโอกาสได้รู้จักผู้บังคับบัญชาและเพื่อน ๆ ในกองพันนี้ ข้าพเจ้าได้รับตำแหน่ง ผบ.ร้อย.ป.ที่ ๓ ซึ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ มีนายทหาร นายสิบ บรรจุไว้ไม่กี่คน (เจ้าหน้าที่โครง) และกำลังเรียกทหารเกณฑ์เข้ามาในปีนั้นด้วย อาคารโรงเรือนยังก่อสร้างไม่เสร็จ อยู่ในป่า พื้นที่ก่อสร้างมีแต่ตอไม้เต็มไปหมด พวกเราต้องทำงานหนักแข่งกับเวลา หน้าฝนใกล้เข้ามาแล้ว ถ้าไม่มีโรงเรือนชั่วคราวจะลำบากมาก จึงระดมพลเท่าที่มี แยกแบ่งงานก่อสร้างโรงเรือนชั่วคราว มีโรงสอน และโรงเลี้ยงอาหาร เสาไฟ โดยใช้วัสดุก่อสร้างที่มีอยู่ในป่าเป็นหลัก เช่น เสาไม้ไผ่ – แฝกมุงหลังคา ฯลฯ ทำการปรับพื้นที่ขุดตอไม้เพื่อใช้เป็นสนามฝึก นอกจากนั้นก็ทำการฝึกทหารตามหลักสูตรประจำปีอีกด้วย ไฟฟ้าก็ไม่มีใช้ จำเป็นต้องใช้ตะเกียงรั้วมีแมลง เรือด ริ้น ยุง มากมาย มีเสียงจิ้งหรีด จักจั่น เรไร ร้องดังก้องกังวานไพร ฟังดูก็เพลินดีเหมือนดนตรีสวรรค์ของคนยาก ต่อมากรรมการทางหน่วยเหนือมาตรวจสอบภาคกองร้อย ปรากฏว่า กองร้อย ป. ของข้าพเจ้าได้รับการชมเชย มีเอกสารหลักฐานอย่างสมบูรณ์ ถูกต้อง แล้วก็มีการฝึกประลองยุทธเพื่อทดสอบความพร้อมรบของหน่วยทหารในกองพลที่ ๖ ด้วย วันหนึ่งได้มีโอกาสพบกับผู้บัญชาการศูนย์การทหารปืนใหญ่ ท่านพูดว่า “ลื้อเตรียมตัวย้ายไปโคราช” ข้าพเจ้าก็งง ๆ อยู่ เพราะไม่ได้วิ่งเต้นย้ายกับใคร เข็ดเสียแล้วมีบทเรียนในครั้งก่อน จึงเรียนถามท่านว่า “จะให้กระผมไปอยู่ที่หน่วยไหน” “เดี๋ยวนี้ลื๊อหายตอแหลแล้ว นี่จะให้ไปอยู่ ป.พัน.๒๑ ศป. ขณะนี้ออกสนามมาอยู่โคราช เขตพื้นที่กองทัพภาคที่ ๒” ข้าพเจ้าลาท่านกลับมาบ้านพักระหว่างเดินทางก็ครุ่นคิดว่าเราไปตอแหลกับใครที่ไหน จำได้ว่ามีปากเสียงกับ ผบ.พัน. เมื่อรับราชการอยู่ที่โคราช แต่ก็ไม่รุนแรงอะไรนักทำความเข้าใจกันได้ การย้ายครั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ได้วิ่งเต้นกำลังเพลิดเพลินสนุกอยู่กับงานที่ได้มีส่วนริเริ่มปูพื้นฐานตั้งกองร้อยใหม่ (ร้อย.ป.๓) รู้จักข้าราชการ พ่อค้าประชาชน ทุกอย่างเป็นกันเอง เป็นเวลานาน ๑ ปี ๖ เดือน จึงมิได้คิดจะดิ้นรนไปที่ใดอีก ในไม่นานเกินรอข้าพเจ้าได้รับคำสั่งด่วนทางวิทยุให้รีบไปรายงานตัวที่กองพันใหม่ ตั้งอยู่ข้างกองบิน ๑ โคราช ข้าพเจ้าเตรียมตัวอพยพครอบครัวแทบไม่ทัน แล้วมารายงานตัวต่อ ผบ.พัน. พ.ท.ชม สุคันธรัตน์ (ยศในขณะนั้น) จึงได้ทราบสาเหตุที่มีการโยกย้ายครั้งนี้ ท่าน ผบ.พัน. ได้ให้ข้าพเจ้ากลับไปยังที่ตั้งปกติ จ.ลพบุรี ทำหน้าที่ฝึกทหารใหม่แล้วทยอยส่งมาผลัดเปลี่ยนทหารเก่าเมื่อครบกำหนดปลดปล่อย ส่วน ผบ.พัน. จะคุมกำลังในสนามแต่ผู้เดียว ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตามคำบัญชาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เมื่อเหตุการณ์ภายนอกประเทศ (ศึกเดียนเบียนฟู) ได้สงบลงและย่างเข้าหน้าฝน พายุลมแรงพัดหลังคาเต็นท์ฉีกขาดทหารเดือดร้อน นอกจากนั้นนายทหารนักเรียนหลักสูตร ผบ.ร้อย.ป. และ ผบ.พัน.ป. จะต้องทำการซ้อมยิง จำเป็นต้องใช้กองพันนี้เป็นลูกมือสนับสนุน ทางผู้บังคับบัญชาจำเป็นต้องใช้กองพันนี้เคลื่อนย้ายเข้าที่ตั้งปกติตามเดิม แล้วปฏิบัติการสนับสนุนโรงเรียนทหารปืนใหญ่เช่นเดิม ไม่เพียงแต่เท่านี้ยังมีภารกิจพิเศษอื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย เป็นต้นว่าได้มีส่วนร่วมการประลองยุทธกับหน่วยทหารราบ หน่วยรถถัง บริเวณพื้นที่ระหว่าง รพ.อนันต์ กับหน่วยพลร่มเอาราวัณ จุดมุ่งหมายเพื่อสาธิตให้นายทหารระดับนายพลผู้ใหญ่ ได้เห็นภาพการรบในการเข้าตี การตั้งรับอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะได้ทราบขั้นตอนการปฏิบัติในการยิงที่หมาย (ด้วยกระสุนจริง) ระยะใกล้ ที่หมายระยะไกล มีการประสานการยิงอาวุธทุกชนิดในแนวต้านทานหลัก (ที่มั่นขั้นสุดท้าย) โดยมีศูนย์การทหารราบเป็นเจ้าของโครงการรับผิดชอบ และมีศูนย์การทหารปืนใหญ่และศูนย์อื่นที่เกี่ยวข้องจัดหน่วยทหารเข้าร่วมสนับสนุน การสาธิตครั้งนี้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีการเจ็บป่วย กำลังพลปลอดภัย ได้รับการชมเชยในผลสำเร็จเป็นอย่างมาก แต่มีบทเรียนตามมาจำต้องแก้ไขโดยเฉพาะตำบลกระสนตก มีกระสุน ๑ นัด กระเด็นกระดอนจากเขาน้อย (สมมุติเป็นที่รวมพลข้าศึก) แหวกอากาศลอยต่ำชนเสาเรือนในหมู่บ้านน้ำจั้น แล้วแฉลบเข้าสวนป่าหลังบ้านหาซากส่วนท้ายกระสุนไม่พบ ไม่มีใครรับผิดชอบ ต่างก็โทษกันระหว่างกระสุนปืนใหญ่กับกระสุน ค. (เป็นของทหารราบ) ซึ่งระดมยิงต่อเขาลูกเดียวกัน ผลสุดท้ายผู้ใหญ่ตัดสินว่าเป็นกระสุนปืนใหญ่ ข้าพเจ้าก็ยอมรับผิดเห็นว่า “ไม่เป็นไร” มีเสาบ้านฉีกไปครึ่งต้นเท่านั้นเอง อยากจะเปิดฟังเพลงกรรมของกู (บุญธรรม พระไม่โทน) ก็ไม่มีขายเสียอีก ส่วนหัวหน้ากองการศึกษา รร.ป. พ.อ.เล็ก แนวมาลี (ยศในขณะนั้น) ท่านเป็นกรรมการร่วมสาธิตครั้งนี้ด้วย ได้เรียกนายทหารที่เกี่ยวข้องมี ผบ.พัน. (พ.ท.ชม สุคันธรัตน์) ข้าพเจ้า (ฝอ.๓), ผบ.ร้อย.ป. ฯลฯ มายืนประชุม ณ บริเวณหลุมกระสุนตก (ต่ำกว่าที่หมายจำนวน ๑ นัด ห่างจากรถถังประมาณ ๕๐ หลา) เวลาเที่ยง (อากาศร้อนจัด หน้ามืดจะเป็นลม หิวข้าวตาลาย) ท่านได้สาธยายบ่อเกิดแห่งความประมาทไม่รอบคอบ จะก่อให้เกิดผลเสียหายคือความตาย ความล่าช้าโอ้เอ้ของศูนย์อำนวยการยิง กว่าจะทำการยิงได้ข้าศึกมันหนีไปหมดแล้ว สุดท้ายท่านถามว่าใครสงสัยอะไรบ้าง ข้าพเจ้ายกมือได้อธิบายชี้แจงด้วยเหตุผลในการสั่งยิงแต่ละครั้งว่าศูนย์อำนวยการยิงไม่ล่าช้า แต่มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่กว่ามาควบคุมสั่งเปลี่ยนหลักฐานการยิงทุกครั้งไป ศูนย์อำนวยการยิงต้องสั่งแก้ไขหลักฐานไปยังหมู่ปืนบ่อย ๆ เลยหมู่ปืนต้องมีความยุ่งยากเอากระสุนเข้า – เอากระสุนออกจากรังเพลิงอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ล่าช้าไม่ทันใจคนดู เมื่อเสร็จการสาธิตข้าพเจ้าขึ้นสโมสร หัวหน้ากองการศึกษาไม่เรียกข้าพเจ้าเข้านั่งเล่นไพ่เหมือนแต่ก่อนก็ไม่เป็นไร เป็นการประหยัดเงินไปในตัว นั่งเป็นกวางทองดื่มเหล้าไม่ต้องเสียเงินดีกว่า
สรุปบทเรียนชีวิตการรับราชการนั้น จะต้องรู้เขารู้เราคือรู้จิตใจนายและคุณนาย ให้ถ่องแท้แน่นอน ควรไปมาหาสู่ท่านให้ถูกกาลเทศะ ประจบด้วยการทำงาน อย่าโต้เถียงนายเดินตามหลังนายเข้าไว้หมาไม่กัด (ระวังเพื่อนมันกัดเอา) แต่อย่าเดินลงเหวกับนายก็แล้วกัน จะหาความเป็นธรรมจากนาย ๑๐๐% มันไม่ได้ ท่านมีลูกน้องหลายคน (เสือ สิงห์ กระทิง แรด) ท่านยังมีกิเลสตัณหาอยู่ เมื่อยามกลัดกลุ้มรุมเร้าร้อนอุรา ไม่สมหวังดังที่คิด จงมีสติสัมปะชัญญะข่มใจ อดกลั้น อดทนหรือเข้าวัดปรึกษาอาจารย์หลวงพ่อ ทำบุญสร้างกุศลให้คลายเครียดลงบ้าง ไม่ควรหาหมอดู สะเดาะเคราะห์ปะเหมาะไปพบหลวงพ่อกอบ หลวงพ่อโกย จะเสียเงินเสียเวลากลับมาเจอหน้าก็ถูกนายเล่นงานอีก เรานึกเสียว่าชีวิตคือละครว่าไปตามบทกลอนที่เขียนไว้ มีทั้งร้ายดีปะปนกันเป็นผู้น้อยต้องก้มประนมกร อย่าทำสูงเด่นในหมู่ไม้เตี้ย จะเป็นอันตรายเมื่อภัยมา จงทำทุกอย่างให้นายรัก – ฝันถึงอยู่เสมอท่านจะได้ดี ยามนายจากระวังตัวให้มาก เหมือนผลัดเปลี่ยนเทวดาประจำวันเกิดของเรา ข้าพเจ้ามารู้ตัวเมื่อสายเถียงกับนายอยู่เรื่อย จึงเอาตัวรอดมาได้แค่นี้ก็ดีแล้ว
ข. งานสร้างรังหอ
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสมารับใช้ศูนย์การทหารปืนใหญ่เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗ นับเป็นครั้งที่ ๒ เราต้องทำงานแข่งกับเวลาเหตุการณ์ไม่ปกติสุข มีการต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ทั้งภายในและภายนอกประเทศ เตรียมฝึกทหารส่งกำลังไปช่วยประเทศเพื่อนบ้านทำการรบกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ ถือว่าเป็นการป้องกันภัยก่อนจะถึงตัวเรา ข้าพเจ้าต้องเดินทางลงมาประชุมกับหน่วยที่เกี่ยวข้องในกรุงเทพฯ บ่อยครั้ง เพื่อของบประมาณสนับสนุนการก่อสร้าง ซ่อมแซมอาคารที่พัก สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้กับหน่วยทหารที่จะส่งไปปฏิบัติการนอกประเทศ และรับทหารเพื่อนบ้านมาอบรมเรียนรู้การใช้ปืนใหญ่ เพื่อนำความรู้กลับไปใช้ในหน่วยปืนใหญ่ของเขา มีความเพลิดเพลินสนุกอยู่กับงานที่แสนจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แต่อนิจจาตัวเราอายุย่างเข้ามา ๔๐ ปีกว่าแล้ว ยังไม่มีบ้านช่องจะอยู่เป็นส่วนตัว ต้องอาศัยบ้านหลวงอยู่เรื่อยมาจำเป็นต้องสะสมสิ่งอุปกรณ์ก่อสร้างเอาไว้บ้างเป็นบางอย่าง โดยเฉพาะไม้กระดาน (เลื่อยด้วยมือ) พอหาซื้อได้ในแถวถิ่นนี้ มีพรรคพวกรับอาสาจะติดต่อดำเนินการให้ตามต้องการวันที่ ๒๘ ก.ย. ๒๕๑๐ ข้าพเจ้าได้รับจดหมายจากหลวงพ่อจรัญ เปิดอ่านดูรู้สึกตื่นเต้น ตกใจ มีข้อความสรุปได้ว่า “เจ้าหน้าที่ลับมาสืบดูเรื่องไม้ มีบ้านผู้ใดบ้าง เผอิญพบ – ทราบในบ้านของท่าน เลยเจ้าหน้าที่เงียบไป ไม่เสนอแต่ประการใด สรุปแล้ว (เรื่องนี้ไม่เป็นไร) ขอให้ท่านรีบติดต่อเรื่องใบอนุญาตให้ได้มาเร็ว ๆ ที่สุด ความในทราบตี ๒ นี่เอง” นี่แสดงให้เห็นว่าหลวงพ่อท่านห่วงใยไม่ทิ้งลูกศิษย์ ยังมีเมตตากรุณาส่งข่าวลับให้เตรียมตัวล่วงหน้า ข้าพเจ้าได้ทำการแก้ไขโดยให้ช่างเอาไม้ระแนงมาตีล้อมใต้ถุนบ้านไว้ก่อน มีของอยู่จำนวนน้อย เมื่อเจ้าหน้าที่มาเอาก็ยินดียกให้ไปเลย แต่อย่างไรก็ยังมีความเชื่อมั่นในคาถาที่ว่า “ไม่เป็นไร” และก็ไม่เป็นไรจริง ๆ เสียด้วย
ค. หมอเปลี่ยนใจไม่ผ่าตัด
ในปลายปี ๒๕๑๐ ภรรยาของข้าพเจ้าเจ็บป่วย เวลาไอ, จาม มีเลือดออกปนกับเสมหะ นำไปตรวจ-เอกซเรย์ ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ปรากฏว่าเส้นหลอดลมฝอยแตก หมอสัมพันธ์ฯ เจ้าของไข้จะประชุมหารือจะผ่าตัดหรือรักษาทางยา แต่ได้ทราบข่าวไม่ยืนยันว่าผ่าตัดดีและหายเร็ว ข้าพเจ้าจึงเดินทางไปปรึกษาหลวงพ่อจรัญ ในเรื่องนี้ พระคุณเจ้าได้พูดว่า “ไม่เป็นไร หมออาจจะเปลี่ยนใจไม่ผ่าตัด” เมื่อข้าพเจ้ากลับไปที่โรงพยาบาลพบหมอ ขอทราบผล ปรากฏว่าหมอไม่ผ่าตัด ให้รักษาทางยาและให้คนป่วยกลับบ้าน มาตรวจตามหมอนัด จนกระทั่งโรคร้ายได้บรรเทาเบาบางลง
ง. ซัดดะแทบไม่เหลือ
ตอนสายวันหนึ่งภรรยานายฉลองฯ เดินเข้ามาหาแบบซึมเศร้านัยน์ตาแดงเหมือนไม่สบาย ข้าพเจ้าได้ถามความเป็นไป เขาได้เล่าว่าสามีขับรถชนทหารตาย เจ้าตัวหนีเถ้าแก่ถูกคุมตัวอยู่ที่โรงพัก อยากจะมาปรึกษาท่านจะช่วยได้อย่างไร? เพื่อขยายความให้ผู้อ่านได้ทราบความเป็นมาสักเล็กน้อย เรื่องมีอยู่ว่า พลทหารฉลองเคยรับใช้อยู่ใกล้ชิดได้ส่งไปรบในเวียดนาม เมื่อเดินทางกลับประเทศไทยประมาณปี ๒๕๑๒ ระหว่างรอการบรรจุเข้ารับราชการได้ทำงานรับจ้างทำเหล็กดัดอยู่กับเถ้าแก่ และเถ้าแก่รับงานไว้มากเร่งระดมทำทั้งวันทั้งคืน การพักผ่อนร่างกายไม่เพียงพอ ได้ขับรถกระบะบรรทุกเหล็กดัดประตูหน้าต่างไปกับเถ้าแก่พร้อมลูกจ้างหนึ่งคนนั่งอยู่ข้างท้าย (ประมาณตี ๔ – ๕) รถได้วิ่งผ่านไปตามถนนเพชรเกษมล่องไปทางใต้ คนขับเกิดหลับใน แต่ยังได้ยินเสียงแว่ว ๆ ว่าซ้ายพรึบ – ซ้ายพรึบ ดังอยู่ริมถนน ทันใดนั้นก็ดังโครม ๆ ใหญ่สะดุ้งตื่น รู้สึกตัวแล้วว่าชนแถวทหารเข้าแล้วไหงเป็นอย่างนั้นไปได้ เสยจากท้ายไปถึงกลางแถวแล้วรถพลิกคว่ำตั้งลำได้อยู่ในคูน้ำข้างถนน ได้ยินเสียงทหารร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด คนขับเกิดสัญชาตญาณป้องกันตัวอย่างฉับพลัน จิตสั่งให้หลบหนีไปตั้งตัวกันก่อน เพราะได้ผ่านการรบกับเวียดกงมาแล้วจึงนำยุทธวิธีมาใช้เมื่อข้าศึกรุก จงถอย ฯลฯ จึงบอกกับเถ้าแก่ที่นั่งอยู่ข้างหน้าว่า “เถ้าแก่อยู่ก่อน อั๊วอยู่จะถูกเหยียบ และติดคุกแน่ ๆ” ทันใดนั้นก็เผ่นหนีออกทางช่องกระจกหน้ารถทันที (กระจกแตกเป็นรูพอดี) ส่วนเถ้าแก่และลูกน้องนั่งงงอยู่ในรถ (นึกถึงความซวยต้องเสียเงินหรือติดคุกเท่าไรก็ไม่รู้ มันทำกูอีกแล้ว) ฝ่ายผู้คุมแถวได้ยินเสียงทหารในแถวร้องตะโกนรับกันมาเป็นทอด ๆ สั่งให้หยุด – หยุด พอรู้เรื่องเข้าเขาก็สั่งให้แถวหยุด กว่าจะหยุดได้วิ่งมาหลายสิบเก้า ทหารก็กรูกันมาที่รถคุมตัวเถ้าแก่และลูกน้องไว้ รีบส่งทหารบาดเจ็บไปโรงพยาบาล แล้วจัดการแจ้งความที่โรงพักให้เจ้าหน้าที่มาสอบสวนที่เกิดเหตุเป็นการด่วน ปรากฏว่าทหารเสียชีวิตหลายคน และบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง เกือบหมดแถว เจ้าหน้าที่ได้ตั้งข้อหาเถ้าแก่เป็นคนขับรถโดยประมาทจะต้องดำเนินคดี เถ้าแก่ปฏิเสธบอกว่าคนขับชื่อฉลอง มีลูกน้องเป็นพยาน ทางเจ้าหน้าที่สะกดรอยติดตามคอยดักจับกุมตัวนายฉลองฯ อยู่เป็นเวลานาน แต่ไม่ได้ตัว ทางญาติผู้ตายได้ตกลงยอมความโดยเรียกค่าเสียหายจากเถ้าแก่ แต่เรื่องก็ยังไม่ยุติลงได้ ข้าพเจ้ารู้สึกนึกสงสารเถ้าแก่ แกตกเป็นแพะรับบาปแทนนายฉลอง มันขัดกับกฎแห่งกรรม จึงแนะนำให้ภรรยาบอกให้นายฉลองมามอบตัวรับสารภาพผิดจะได้รับโทษทัณฑ์ลดน้อยลง ขอให้ไปพบหลวงพ่อจรัญก่อน เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเพื่อให้พระคุณเจ้าได้แนะนำช่วยเหลือ แล้วก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ทหารเสียชีวิตด้วย แล้วภรรยาของนายฉลองได้ลากลับไป ข้าพเจ้าครุ่นคิดเป็นห่วงคิดว่าเรื่องคงจะเรียบร้อย เวลาได้ผ่านไปนานพอดู ภรรยาของนายฉลองก็เดินทางมาพบและได้บอกให้ทราบว่า สามีได้ไปพบเล่าเรื่องให้หลวงพ่อฟังพร้อมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย หลวงพ่อบอกว่า “อาตมาได้พิจารณาดูแล้วเห็นว่าไม่เป็นไร ขอให้สวดมนต์ทำบุญแผ่กุศลไปให้คนตายก็แล้วกัน หลวงพ่อพูดแค่นี้” ขณะนี้สามีก็ยังไม่ได้ไปมอบตัว เจ้าหน้าที่ก็ติดตามสืบเสาะค้นหาติดตามตัวอยู่ตลอดเวลาจนสามีไม่เป็นอันกินอันนอน เงินไม่มีใช้ครอบครัวเดือดร้อน เดินทางมาหาท่านก็ต้องยืมเงินเขามาเป็นค่ารถในยามนี้ – ขอพึ่งท่านด้วย ข้าพเจ้าได้ฟังก็สงสารและกลุ้มใจไปด้วย จำต้องปลดเปลื้องทุกข์ให้เมียของนายฉลองเท่าที่จะทำได้ไปก่อนและคิดว่าอย่างไรนายฉลองจะต้องยอมมอบตัวต่อเจ้าาหน้าที่ไม่ช้าก็เร็ว ขืนหลบหนีมีแต่ตายลูกเดียว ต่อจากนั้นหลายเดือน นายฉลองได้แอบมาพบข้าพเจ้าและได้เล่าเรื่องคดีที่เกิดขึ้นว่า “ตอนแรกก็คิดจะมอบตัว เมื่อพบหลวงพ่อจรัญท่านบอกว่าไม่เป็นไร ผมก็เลยใช้วิธีเวียดกง หลบซ่อน เจ้าหน้าที่หมดกำลังใจจะติดตาม ฝ่ายญาติเจ้าทุกข์และเถ้าแก่ได้ตกลงยอมความชดใช้ค่าเสียหายให้ ญาติผู้ตายและผู้บาดเจ็บจำนวนหนึ่งทุกอย่างจึงลงเอยด้วยความเรียบร้อย ผมก็ต้องทำงานชดใช้หนี้แทนให้กับเถ้าแก่จนกว่าจะหมด” ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจและดีใจกับเขาเป็นการสิ้นเคราะห์กันที แต่ข้าพเจ้าครุ่นคิดอยู่ในใจว่า คนทำผิดซึ่งหน้า น่าจะได้รับโทษทัณฑ์ แต่รายนี้ได้รับการยกเว้น หรือจะเป็นกรรมในอดีตที่เคยกระทำร่วมกันไว้ และมาชดใช้หนี้กรรมในชาตินี้ หรือนายฉลองมีความสามารถในการหลบหลีกซ่อนเร้น เจ้าหน้าที่ติดตามตัวไม่พบ และคดีจะสิ้นอายุความผสมกันด้วย สุดท้ายเถ้าแก่ซวยคนเดียว ถือว่าเป็นกรรมร่วมสมัยต่อเนื่องจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ท่านพระคุณเจ้าได้หยั่งรู้แล้วว่าไม่เป็นไร เป็นการชดใช้กรรมเก่าคดีจึงยุติลงด้วยดี
จ. เมื่อกรู่ช่วยลูก
ข้าพเจ้าได้รู้จักคุณกรู่ ทรัพย์ทอง, ครูหนุน ทำนอง, ครูสมพงษ์ โพธิ์ศรี และฯลฯ เป็นอย่างดี ได้ร่วมเป็นกรรมการร่วมประชุมกิจการพัฒนาวัดอัมพวันกันอยู่เสมอ จนมีความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน คุณกรู่มีอารมณ์สนุกครึกครื้น พูดจาเปิดเผย มีอะไรก็เล่าสู่กันฟัง มีวาทศิลป์ ตลกขบขันโปกฮา เป็นที่สบอารมณ์ของพรรคพวก เป็นคนสนิทใกล้ชิด บริการขับรถให้หลวงพ่ออยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะขึ้นเหนือล่องใต้ กลางวันกลางคืน ดึกดื่น คุณกรู่ไม่เคยปฏิเสธ รับใช้ด้วยความยินดี เต็มใจ จนมีความชำนาญ มีปฏิภาณไหวพริบพิจารณาสังเกตอิริยาบถท่าทาง เดิน ยืน นั่ง นอน การพูดจาของหลวงพ่อตีแผ่ออกมาเป็นตัวเลขได้ เอาไปแทงหวยใต้ดินอยู่เสมอ มีทั้งได้ทั้งเสีย สรุปแล้วถึงจะเสีย หลวงพ่อก็มีค่าทิปรางวัลให้ในฐานะพลขับแสนดี ข้าพเจ้าได้ฟังก็อยากจะลองเสี่ยงดูบ้าง แต่ใจมันเตือนนึกถึงบทเรียนที่ผ่านมาในอดีตมันไม่เคยรวยเพราะหวยใต้ดินเลย คุณกรู่ได้เล่าต่อไปว่า “มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อเรียกให้ขับรถมาพบที่วัด แล้วท่านพูดว่าจะไปธุระบ้านโยมใต้วัด จากนั้นจะเข้าตลาดสิงห์บุรี เมื่อผมขับไปที่บ้านโยมท่านทำธุระเสร็จแล้ว ก็ขับรถกลับมาจะผ่านวัดอยู่แล้ว ท่านกลับให้แวะวัดขอเปลี่ยนรองเท้าก่อน ผมก็ขับรถเลี้ยวเข้าวัด ความคิดมันผุดขึ้นมาทันทีเลย ว่าให้ดูเลขรองเท้า เมื่อท่านถอดรองเท้าเก่าออก ผมก็พลิกหงายดูเบอร์จดเอาไว้ ท่านหยิบคู่ใหม่ ผมก็รีบรับหงายดูเบอร์แล้วก็จำเอาไว้ ผมก็ขับรถยิ้มตลอดทางนึกในใจว่าหลวงพ่อเสียท่าเราแล้ว งวดนี้เจ๋งเป๋ง ไม่บอกใคร” พวกเรานั่งฟังหัวร่องอหาย พอถึงวันลอตเตอรี่ออกฟังวิทยุประกาศปรากฏว่ามันกินสะบัดช่อ จอดไม่ต้องแจวเลยเชียวแหละ
เมื่อไม่นานมานี้ข้าพเจ้าไปวัดนั่งรอหลวงพ่ออยู่ห้องรับแขกชั้นล่าง ได้ยินเสียงแว่ว ๆ ลอยมากระทบหูเขาบอกว่าใครฝันเห็นหลวงพ่อต้องตีเป็นเลข ๗ เป็นเลขประจำตัวของท่าน เขาวิ่งกันถูกมาแล้ว เมื่อข้าพเจ้ากลับมาบ้านอยู่หลายเดือนก็ฝันเห็นหลวงพ่อกวักมือเรียกเข้าไปหา ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจคงจะได้พระ ปรากฏว่าท่านหยิบปลาย่าง ปลาเกลือมาให้ ข้าพเจ้าก็รับไว้ทันใดนั้นก็ตื่นขึ้นมานึกถึงลูกศิษย์ใกล้ชิดของหลวงพ่อเคยพูดไว้เลขประจำตัวของท่านเป็นเลข ๗ ก็คิดในใจว่าจะซื้อลอตเตอรี่เลขท้าย ๗๘ แต่ตามแผงไม่มีขายเลยไม่ซื้อ งวดนั้นเลขท้ายบนออก ๘๘ โชคดีที่ไม่ได้ซื้อลอตเตอรี่และหวยใต้ดิน จึงขอบอกญาติโยมว่าเลขประจำตัวท่านเปลี่ยนจากเดิมไปแล้ว อย่าคิดว่าเป็นเลข ๗ เสมอไปนะ
คุณกรู่สร้างฐานะตั้งตัวได้รวดเร็วเพราะความขยันอดทน ส่งเสียเงินทองให้ลูกได้รับการศึกษาดีกันทุกคน มีลูกบางคนสอบข้อเขียนได้ แต่ตัวเบาไม่ได้เกณฑ์ที่กำหนด มาปรึกษาพ่อให้ช่วยวิ่งเต้น คุณกรู่ก็ไม่รู้จักใครขืนวิ่งจะเสียเงินเปล่า จึงนั่งคิดนอนคิดทั้งวันทั้งคืน ไม่เป็นไรเทวดาดลใจนึกถึงม้าแข่งมันมีการถ่วงน้ำหนักเท่านั้นแหละ คุณกรู่ก็ส่งข้อมูลเข้าคอมพิวเตอร์ออกมาทันที ผลที่ออกบอกวิธีดำเนินการเป็นขั้นตอน เมื่อนำไปประยุกต์ใช้ปรากฏว่าได้ผลสำเร็จตามคาดหมาย คุณกรู่เอามือป้องปากกระซิบกับข้าพเจ้าว่า “ผมบอกเสธ. ได้คนเดียวนะ เพราะรักจึงบอกให้” ขอให้คุณกรู่จงไปดีในสุคติภพเถิด
ส่วนอาจารย์หนุน ทำนอง เป็นบุคคลสำคัญมีความสามารถรอบตัวทุ่มเททั้งกายใจ มีความเสียสละอดทนช่วยเหลือกิจการงานพัฒนาวัดมาตั้งแต่ต้น นับว่าเป็นกำลังช่วยเหลือหลวงพ่อตลอดเวลา เหมือนเงาติดตามตัวทุกฝีก้าว เป็นเลขาประจำตัวทั้งร่าง – โต้ตอบ – พิมพ์ – ติดตาม – ประสานงานการประชุม – ต้อนรับ แล้วงานประจำก็คือสอนลูกศิษย์ งานหลวงก็ไม่ขาด งานวัดก็ไม่เสีย ไม่เป็นไรยังได้มรรคผลกุศลส่ง ข้าพเจ้าก็ขอแสดงมุฑิตาด้วยใจจริง
ฉ. ถูกนิมนต์เจิมโรงฆ่าสัตว์
ข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องของคุณกรู่แล้วก็เลยนึกถึง คุณเจือ ศรีนาด มีความสนิทสนมกันมาก ขยันเดินทางไปหาข้าพเจ้าที่บ้านพักลพบุรีอยู่เสมอ มีเรื่องฝากลูกหลานไปเวียดนาม วันหนึ่งคุณเจือได้พูดเรื่องการนิมนต์พระไปงานในต่าง ๆ ถ้าเป็นงานมงคลไม่ขัดต่อศีลธรรมแล้วเป็นการดีมาก ถ้านิมนต์ไปทำพิธีอัปมงคลแล้วจะมีแต่จะทรุดลง ข้าพเจ้านั่งฟังดู เอเข้าท่าดี จึงได้ซักถามคุณเจือว่า “ช่วยชักตัวอย่างมาให้ดูทีซิที่ว่าไปงานอัปมงคลมันงานอะไรกัน” คุณเจือก็ได้สาธยาย (พร้อมทั้งแช่งทั้งด่าไปในตัวเสร็จ) สรุปใจความว่าได้มีเจ้าของโรงงานฆ่าสัตว์มานิมนต์หลวงพ่อจรัญไปงานพิธีเปิดโรงงานฆ่าสัตว์ แล้วก็ขอให้เจิมป้ายโรงงานให้ด้วย “แล้วหลวงพ่อท่านไปหรือเปล่าล่ะ” “ท่านต้องไปเพราะเจ้าของเจาะจง เขานับถือท่านอยู่แล้ว” “เออ แล้วกิจการของเขาเจริญไหมล่ะ” “มันเปิดทำอยู่ได้ไม่เท่าไหร่ก็ล้มเปลี่ยนกิจการไปเลย ก่อนจะเจิมหลวงพ่อบริกรรมคาถาบทไหนก็ไม่รู้ซิ มันมีอย่างที่ไหนอยู่ดีไม่ดีมันจะทำให้พระศีลขาดเสียแล้วไหมล่ะ” ข้าพเจ้าได้ฟังแล้วก็นึกขำอยู่ในใจแต่ต้องอภัยบางคนเขาไม่รู้ซึ้งนึกว่าไม่เป็นไรคงเป็นเรื่องธรรมดา เพราะมันเป็นอาหารของมนุษย์จะเปรียบเทียบเรื่องพระสังข์ทอง เจ้าเงาะป่าบ้าใบ้ รูปกายในเป็นทองหาปลาได้เก่งกว่าลูกเขยคนอื่นด้วยการอธิษฐานจิตเอาเฉพาะปลาที่จะถึงที่ตายแล้วเท่านั้น (ปลาก็กระโดนขึ้นมาเอง) คงจะเข้ากันไม่ได้แน่ จะรับแต่วัวแก่ ๆ ใกล้ตายแล้วมาฆ่าก็คงไม่มีใครกิน หลวงพ่อไม่มาก็ไม่ได้ จะขัดใจกัน จะปฏิเสธไม่ว่างก็ไม่เข้าที เพราะในสมุดบันทึกไม่มีรับรายอื่น จะผิดศีลอีกมันทั้งขึ้นทั้งล่อง ครั้นจะให้พรกิจการโรงฆ่าสัตว์จงเจริญยิ่ง ๆ ขึ้น ท่านก็กลัวพากันกลิ้งลงสู่นรกโลกันต์เป็นแน่แท้ หรือบางคนชอบก็ไม่เป็นไรจะได้มีประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟังก็ดีเหมือนกัน
ท่านเจ้าคุณพระราชสุทธิญาณมงคลเป็นพระสุปฏิปันโน มีอภิญญาวาจาศักดิ์สิทธิ์ ท่านใช้คำพูดเป็นคำกลาง ๆ ว่าไม่เป็นไร อยู่เสมอ ผู้ฟังก็มีความสบายใจไม่ต้องคิดพะวงห่วงใยอะไรมากนัก ในขณะเดียวกันพระคุณเจ้ายังให้คำแนะนำปฏิบัติแก้ไขให้เหมาะสมกับเรื่องที่เกิดขึ้น จากร้ายให้กลายเป็นดี จากหนักให้เป็นเบา จากเบาให้เป็นหายเลย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตนและเจ้ากรรมนายเวรเป็นสำคัญ
เรื่องที่ ๙ รอยกรรมจากเวทนา
โดย พล.ต.วสันต์ พานิช
ในการตรวจโรคประจำปีของนายทหารผู้สูงอายุ ณ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อ ๑๗ มี.ค. ๓๘ นั้น ข้าพเจ้าพร้อมด้วยภรรยาได้ไปตามนัดหมาย และได้มีโอกาสพบปะทักทายพรรคพวกเพื่อนฝูงกันตามธรรมเนียม แต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงในสังขารร่างกายมากบ้างน้อยบ้างย่อมเป็นไปตามพระไตรลักษณ์ อันได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีใครจะหลีกเลี่ยงได้ ข้าพเจ้าได้เห็นเพื่อนรักสนิทสนมกันมาตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนเตรียมทหาร เป็นคนร่างสูงงามสง่าใบหน้าคมขำ นิสัยอ่อนโยนเรียบร้อยตามใจเพื่อน แต่คราวนี้มาแปลก สวมหมวกจ๊อกกี้ปิดรอยบุ๋มลึกที่กะโหลกศีรษะแถบด้านซ้าย จึงได้ถามสาเหตุความเป็นมาพอสรุปได้ความว่า
เขาเดินรดน้ำต้นไม้ในบ้าน บังเอิญลื่นหกล้มศีรษะฟาดพื้นกะโหลกศีรษะแตก หมอทำการรักษาผ่าตัด เพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาได้เกือบเดือน เมื่อทุกอย่างเป็นปกติดีแล้วจะต้องทำศัลยกรรมตกแต่งใส่กะโหลกเทียมต่อไป ข้าพเจ้านึกสังหรณ์ใจจึงได้ถามว่า “ตั้งแต่เล็กจนโตมาสู่วัยเกษียณอายุเพื่อนเคยทำบาป ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาบ้างหรือเปล่า” เพื่อนได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “สมัยยังวัยรุ่นเป็นนักนิยมไพรเข้าป่าล่าสัตว์ มันเป็นเกมกีฬาของพระราชา เสี่ยงภัยฝึกจิตให้เข้มแข็ง นอนกลางดินกินกลางทราย ผู้ใดยิงสัตว์มาได้ถือว่าเป็นผู้พิชิต ยกย่องเป็นมือหนึ่ง อ้ายรุ่นน้องมันรบเร้าให้พาไปล่าสัตว์บริเวณเขาภูพาน ใจเรามันชอบอยู่แล้วก็รับปากนัดหมายออกเดินทางไปยังที่หมายนั้น” เพื่อนทำหน้าเศร้า ๆ พูดไม่ค่อยออก ข้าพเจ้าถึงกระตุ้นเตือนว่า “แล้วอย่างไรล่ะเพื่อนพูดต่อไปซิอยากจะรู้” เขาได้พูดต่อไปว่า “เมื่อพวกเรามาถึงเชิงเขาภูพาน ได้ตั้งแคมป์บริเวณทำเลที่เหมาะสมแล้วพอตกกลางคืน พวกเราก็เดินออกซุ่มยิงสัตว์
บังเอิญเห็นกวางตัวใหญ่เดินผ่านหน้าในระยะยิง จึงเอาลูกปืนบรรจุประทับยิงไป ๑ นัด ปรากฏว่าถูกขากวางล้มลงมันเดินไม่ได้ อั๊วเข้าไปดูเห็นแล้วน่าสงสาร อยู่ก็ทรมาน จึงหยิบกระสุนบรรจุเป็นนัดที่ ๒ แล้วเล็งยิงไปที่บริเวณหัว มันก็ตายสมความตั้งใจเรา เหตุการณ์ที่ได้ยิงกวางในครั้งนั้น มันเป็นภาพสะท้อนมาถึงผลกรรมของเราในปัจจุบัน ลื๊อเคยบอกเล่าให้อั๊วไปหาหลวงพ่อจรัญนานหลายปีแล้วก็ยังไม่มีเวลาไปเลย จนเกิดเหตุหกล้มจึงนึกขึ้นได้” ข้าพเจ้ามีความสงสารเพื่อน ยังนึกถึงกฎแห่งกรรม จึงพูดว่า “อาจจะเป็นวิญญาณกวางตัวนั้นตามมาอาฆาตเล่นงานก็เป็นได้ ถ้ามีเวลาก็ควรไปกราบเรียนปรึกษาหารือหลวงพ่อจรัญ เพื่อขอรับคำแนะนำแก้ไข หากมีโอกาสอำนวยควรอยู่ปฏิบัติธรรม จะได้รู้เจ้ากรรมนายเวรนั้นเป็นใคร จะได้อุทิศส่วนกุศลและขออโหสิกรรมกันเลย” เพื่อนพยักหน้ายอมรับรู้ แต่เขาจะไปหรือไม่แล้วแต่กรรมของเขาเอง ข้าพเจ้ามีความใกล้ชิดกับเพื่อนคนนี้พอสมควรในสมัยที่เขารับราชการอยู่ จ.สระบุรี เขาได้สูญเสียลูกชายวัยน่ารักไปคนหนึ่ง พ่อแม่ไปทำธุระนอกบ้าน ปล่อยลูกอยู่ตามลำพังเล่นซ่อนหากับลูกเพื่อนบ้าน เมื่อเขากลับจากธุระเข้าบ้านไม่เห็นหน้าลูกชายจนมืดค่ำก็ยังไม่กลับมาจึงได้ออกตามถามหาตามบ้านเพื่อนฝูงก็ไม่มีใครพบเห็นลูกชายสักคน วันรุ่งขึ้นนึกเฉลียวใจ จึงเอากุญแจไขเปิดกระโปรงท้ายรถโฟล์คสวาเกนท์ ภาพที่เห็นคือลูกชายของตัวเองขดตัวตายเพราะไร้อากาศหายใจ ส่งกลิ่นเหม็นอบอวลนำความเศร้าโศกเสียใจแทบขาดใจมาสู่หัวอกของพ่อแม่เป็นอย่างมาก ข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นคือ เปิดกระโปรงท้ายรถทิ้งไว้เด็กกำลังเล่นซ่อนหากันอยู่เลยหลบเข้าไปพร้อมปิดฝากระโปรงทำให้เพื่อนหาไม่พบ ได้จบชีวิตลงอย่างน่าอนาถ ทรมานใจเป็นที่สุด ไม่เพียงแต่แค่นี้ กรรมยังได้ติดตามมาเล่นงานเขาอย่างหนักดังกล่าวข้างต้น ส่วนฐานะความเป็นอยู่ เป็นผู้มีอันจะกินอยู่ในขั้นเศรษฐีย่อย ๆ ครอบครัวหนึ่งทีเดียว เมื่อพวกเราได้ตรวจร่างกายกันโดยทั่วหน้าแล้วก็แยกกันกลับข้าพเจ้ามิได้มีความนึกคิดเรื่องดังกล่าวค้างไว้ในหัวใจ แต่อย่างใดเลย
ต่อมาเช้ามืดวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าตื่นนอนประมาณ ๐๔.๐๐ น. เริ่มปฏิบัติธรรมเดินจงกรม ๑๐ นาที แล้วนั่ง ๑ ชั่วโมง ต่อจากนั้นเหยียดคู้นอนปฏิบัติประมาณ ๑ ชั่วโมง ในขณะที่นั่งไปได้ไม่นานนัก จิตใจเริ่มมีอุปาทานคิดฟุ้งซ่านได้กำหนดคิดหนอ ๆ เมื่อจิตสงบก็กำหนดพองหนอ – ยุบหนอ ตามขั้นตอนอยู่พักใหญ่ เริ่มเกิดเวทนาปวดบริเวณนิ้วหัวแม่เท้าซ้ายเป็นพัก ๆ ข้าพเจ้าจึงกำหนดปวดหนอ เพ่งไปหัวแม่เท้านั้นมันยิ่งปวดหนัก ปวดหนักแทบทนไม่ไหว มีความรู้สึกเหมือนจะมีอะไรไต่บริเวณเท้าอยากจะลืมตาดูก็กลัวจะผิดกฎ ความคิดผุดขึ้นมาเตือนสติ จำได้ว่าหลวงพ่อจรัญได้สอนไว้ว่าให้กำหนด ปวดหนอ ปวดหนอ เข้าไว้มันจะปวดหนักทนไม่ไหวให้มันตายไปเลย พอมันแตกโป้ง ก็หายปวดทันที มันเป็นกลลวง เป็นภาพมารยามันไม่ตายหรอก ข้าพเจ้าเลยมีกำลังใจแกล้งประชดกำหนด ปวดหนอ หนักขึ้น ๆ แต่คิดในใจก็อยากจะเลิกเพราะโอ๊ยปวดเหลือเกินแล้ว มีเส้นเลือดกระตุก ๆ อยู่แถวหัวแม่เท้าไปมา ครั้นจะเลิก สติก็ย้ำเตือนอีกให้ฝืนใจทนจึงจะสำเร็จ อย่าทำเหยาะ ๆ แหยะ ๆ อีกร้อยปีก็ไม่สำเร็จเสียเวลาเปล่า นี่ปฏิบัติธรรมมาหลายปีแล้ว เพียงทำจิตให้สงบยังไม่ได้ผลอย่างใดเลย แต่ใจหนึ่งก็อยากจะรู้ เผลอตัวลืมตาดูนาฬิกาปลุกเหลือเวลาอีก ๑๐ นาที จะครบ ๑ ชั่วโมง เลยต้องรีบหลับตาต่อสู้กับเวทนาใหม่ คราวนี้ได้ผล ความปวดได้ลดน้อยถอยลงตามลำดับจนเข้าสู่ปกติ เมื่อกะดูว่าครบ ๑๐ นาทีแล้ว จึงดำเนินการเหยียด – คู้ – นอนและแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลในที่สุด แล้วเข้าห้องน้ำชำระร่างกาย เดินทางไปตลาดตักบาตรทุกเช้าเป็นกิจวัตรไม่มีการปวดขาแต่อย่างใด ก่อนใส่บาตรข้าพเจ้าถอดรองเท้าผ้าใบ เมื่อมองลงไปเห็นคราบเลือดปรากฏอยู่หัวแม่เท้าซ้ายทำให้นึกสับสนสงสัยว่า เหตุอันใดหนอจึงเป็นเช่นนี้ได้ แต่ก็รีบใส่บาตรไปก่อน ส่วนปัญหาเอาไว้พิจารณาตรวจสอบต่อไป ข้าพเจ้าเดินกลับแวะร้านเจ๊ดำ (มีจิตเป็นกุศลปฏิบัติธรรมตามสำนักต่าง ๆ เป็นประจำ) จึงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้แกฟัง ก็ได้รับคำตอบคลายความข้องใจเป็นเรื่องของเวทนาย่อมปรากฏออกมาในภาพต่าง ๆ กัน กรณีเลือดตกยางออกมีไม่มากนัก เมื่อข้าพเจ้าได้กลับเข้าบ้าน จึงสำรวจตรวจสอบบริเวณเตียงที่นอนว่าจะมีรอยเลือดติดตามขอบเตียงหรือขอบโต๊ะบ้างหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีร่องรอยใด ๆ ที่จะอ้างได้ว่าแผลที่เกิดขึ้นนี้ เนื่องจากนอนฝันไม่รู้ตัวเท้าไปโดนขอบเตียงหรือโต๊ะแต่อย่างใดเลย เมื่อพิจารณาบาดแผลมีขนาดเล็กเท่าหัวไม้ขีดไฟ ไม่มีอาการปวด แล้วยุบแห้งไปเองภายใน ๒ – ๓ วัน จึงเป็นรอยแผลรอยกรรมประทับไว้ดูเตือนสติในอดีตที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้ทำกรรมไว้หลาย ๆ อย่าง เช่น ยิงนก ตกปลา ต้มอึ่ง คางคก (หน้าฝนมันร้องนอนไม่หลับ) ฆ่าแมลงสาบ มด ปลวก เราเห็นมันเป็นสัตว์ขนาดเล็กไม่มีความหมาย แต่มันมีอำนาจลึกลับเล่นงานเราได้ทีเดียว ข้าพเจ้ายังมีความติดในใจเรื่องเวทนา จึงได้หยิบหนังสือกฎแห่งกรรม – ธรรมปฏิบัติ (เล่ม ๒) มาอ่านทบทวนดู ท่านหลวงพ่อจรัญได้บรรยายวิธีสู้เวทนาเมื่อ ๒๘ ส.ค. ๒๙ มีสาระสำคัญสรุปได้ว่า
“มีรูปมันจึงมีเวทนา เกิดสังขารปรุงแต่งมันจึงปวด ปวดแล้วกำหนดว่า ปวดหนอ ปวดหนอ ยิ่งปวดหนัก จะได้รู้ว่าเวทนามันเป็นอย่างไร ตัวธรรมะอยู่ที่นี่ ตัวธรรมะอยู่ที่ทุกข์ ถ้าไม่ทุกข์จะไม่รู้อริยสัจ ๔ ปวดหนอเป็นทุกข์ประจำให้เห็นธรรมะ พอมันจะแย่เวทนามา เราจะทายได้เลยว่าอีก ๑๐ นาทีถึงชั่วโมง ปวดหนักเข้า หนักเข้า แตกเลย มันจะหายปวดทันที” การเกิดเวทนาของข้าพเจ้าช่างสอดคล้องต้องกันตรงกับคำบรรยายของหลวงพ่อจรัญดังกล่าว มาเสียท่าตอนลืมตาดูเวลานี่เอง จำต้องปฏิบัติฝืนใจตามระเบียบ กฎเกณฑ์อย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ สักวันหนึ่งคงได้ผลสมปรารถนาเหมือนก้าวขึ้นบันไดไต่ไปทีละขั้นสู่จุดสุดยอด หรือเรียนหนังสือไปเรื่อย ๆ จากชั้นอนุบาลสู่ชั้นประถมไปสำเร็จชั้นมัธยมโดยไม่รู้ตัว นี่แหละด้วยอำนาจแห่งความเพียรพยายามอย่าทำตามใจแบบไทยแท้ มันจะแพ้เวทนาพลาดท่ารีบลงสู่อบาย กลายเป็นบุคคลกำไม่แบ (ปล่อยวาง) แช่อยู่ในอเวจีพระคุณเจ้าช่วยไม่ทันเชียวแหละ
ต้องฝืนใจ ต้องฝืนใจ ถ้าไม่ฝืน
ไม่สำเร็จหนอ เตือนใจหนอ