มหาสมบัติ
โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
๑๔ เม.ย. ๓๘
ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้นับเป็นวันธรรมสวนะ เป็นวันพระกลางเดือน ๕ เข้ามาสู่หลักเกณฑ์ของมหาสงกรานต์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ กลางเดือน ๕ แล้ว
ท่านทั้งหลายพร้อมใจกันมามากหน้าหลายตา เพราะมันเป็นวันเทศกาล วันหยุด จุดมุ่งหมายของท่านที่มากันทั้งหญิงและชายนั้น ต้องการสร้างบุญ สร้างกุศลในวันมหาสงกรานต์ เพื่อต้องการมาหา มหาสมบัติ
ในวันสงกรานต์ก็ต้องสร้างมหาสมบัติ ชีวิตท่านจะสำราญรมย์ชมสมบัติในโภคะ อันเป็นคุณสมบัติของท่านเองที่เรียกว่า รดน้ำดำหัว เป็นต้น
ท่านทั้งหลายมากันหลายนัยยะ มากันหลายเหตุผล มาต่างเวรต่างกรรม ต่างนิสัยปัจจัยกัน เป็นร้อยเป็นพันก็ว่าได้ แต่ เราเข้าถึงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วจะกระตือรือร้นในการสร้างความดี จุดมุ่งหมายอันนั้นของท่านจะเหมือนกันหมด
ท่านจะไม่มีความรังเกียจ ไม่มีการผูกพยาบาทฆาตพยาเวรต่อท่านผู้ใด จะไม่มีอาฆาตเคียดแค้น จะไม่มีอิจฉาริษยาต่อท่านผู้ใด ชีวิตท่านก็แจ่มใส เพราะเข้าไปเป็นโภคะ แปลว่า ท่านได้ มหาสมบัติประจำชีวิต แล้ว ท่านจะรู้คุณค่าของวันมหาสงกรานต์
เขาเหล่านั้นไม่ว่างงาน มีงานทำอยู่ทุกวัน งานก็เร่งรัดตัวของเขา ถ้าเป็นครูอาจารย์ก็ยังไม่ปิดโรงเรียน ถ้าเป็นข้าราชการก็ยังไม่ได้หยุด ยังไม่ได้จังหวะสักทีหนึ่ง แต่ระยะนี้ว่าง ราชการหยุดหลายวัน รัฐวิสาหกิจเขาก็หยุดให้คนงานมันก็หยุดพร้อมกันอย่างนี้ แต่วัดอัมพวันไม่ว่าง แต่แน่นศาลา แน่นที่พัก โยมมาด้วยความว่าง ไม่ได้มาด้วยความว้าเหว่
ท่านทั้งหลาย เราต้องการดี มีที่พึ่งด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีท่านผู้ใดไม่ต้องการที่พึ่ง จะเป็นกุลบุตร ธิดา ลูกหลาน ก็ตาม ก็หาที่พึ่ง เขาคลอดมาจากแม่ เขาก็เอาแม่เป็นพี่พึ่ง เอาพ่อเป็นที่พึ่ง เวลาพ่อแม่ไปไหนเขาก็ร้องไห้ตาม เขาจะอยู่คนเดียวไม่ได้ อย่าไปว่าลูกหลานแต่ประการใด
อาตมาตอนเป็นเด็กจำตัวเองได้ พ่อแม่ไปไหนจะร้องไห้ตาม แม่ก็ข้ามฟากไปแล้ว เราก็ร้องไห้อยู่ฟากนี้ จะโดดน้ำไปก็ยังเด็กเล็กนัก ได้แก่ตัวเอง พอพ่อแม่กลับมาถึงบ้านเราก็ดีใจ แม่ก็ซื้อขนมมาฝาก เมื่อเป็นเด็กคิดได้อย่างนั้น
อาตมาคิดได้นานแล้วว่า ทำไมมากันเยอะ มาหาที่พึ่ง เวลาว่างช่วงจังหวะดีแล้วก็มาหาโภคสมบัติ มาหาทรัพย์อันประเสริฐใส่ใจ หาที่พึ่งทางใจ จะได้ร่ำรวยสวยดีในวันมหาสงกรานต์ เรียกว่า วันมหาสมบัติ อาตมาจะขอชี้แจงแสดงในวันพระนี้สัก ๒ ข้อ ข้อ ๑ มหาสมบัติ ข้อ ๒ มหาสงกรานต์
หมายเหตุท้าย เราก็ต้องกระตือรือร้นในตัวเอง สตาร์ทจิตใจเข้มแข็ง ให้อดทน ถึงจะได้ มหาสมบัติ ซึ่งก็คือ
๑. ทรัพย์
๒. ชื่อเสียง
๓. ความรัก
ทุกคนต้องการ ไม่มีใครเลยที่ไม่ต้องการ
โยมมาแล้วก็ให้อภัยด้วย ที่มันไม่พอก็ยัดเยียดกันไปก่อน เราต่างคนต่างมาแสวงหาของดี โปรดตั้งใจรับฟังโอวาทคติธรรม วันมหาสมบัติ วันมหาสงกรานต์สืบต่อไป
ขอให้ตั้งใจ ปลูกฝังตั้งศรัทธา กระตือรือร้นจิต ให้มีสติรับฟังธรรมะ ศรัทธาฟัง สนใจฟัง จดหัวข้อไว้ในใจ ปฏิบัติทันที อย่ารอรีแต่ประการใด
เรามาแสวงหาขอดี ต้องการให้มีมหาสมบัติ มีกุศลต้องการให้โภคเนืองนอง มากมายก่ายกอง เป็นของตนต่อไป คือทรัพย์ภายนอก
ถ้าเรามานั่งปฏิบัติ มีทรัพย์ภายในดีแล้ว ทรัพย์ภายนอกมันก็มาเอง จิตนี้มันเป็นแร่ ถ้าโยมทำจิตดี มีสติดีมันเป็นแร่ดึงดูด
ถ้าจิตโยมดี ปากก็ดีด้วย พูดได้เงินได้ทอง ถ้าจิตเลวพูดเสียเงิน เดือนร้อนตน เดือดร้อนเพื่อนฝูง ถ้าจิตโยมดีมีปัญญา มีกรรมฐาน ตั้งสติไว้ทุกอิริยาบถ ปากก็เป็นเงินเป็นทอง จะออกมาอย่างนี้ชัดเจน
ถ้าจิตดี หูโยมก็ดีด้วย มีสติอยู่ที่หู มีทรัพย์อยู่ที่หู ฟังแต่ของดี ไม่ไปฟังขอชั่วของใครอีกต่อไปให้เสียสมอง
คนที่จิตดีมีกรรมฐาน มีสติสัมปชัญญะควบคุมได้เมื่อใด หูโยมจะมีทรัพย์ หูโยมจะมีศีล สติก็ตั้งอยู่ที่หู เดี๋ยวเขาพูดว่าร้ายนินทา ใส่ร้ายป้ายสี ก็ช่างเขาปะไร เดี๋ยวมันก็กลับไปหาเขาเอง
ขอเจริญพรตอนนี้ว่า วัวควายของใครก็เข้าคอกของเขาไป มันไม่มาเข้าคอกเราหรอก เพราะไม่ได้เลี้ยงมัน เราไม่มีวัว ไม่มีควาย ใครเลี้ยงก็เข้าคอกของเขาไป คือ หูมีทรัพย์ ไม่ต้องไปฟัง ฟังแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์
ถ้าจิตดี มีปัญญา กำหนด คิดหนอ คิดหนอ รู้หนอ รู้หนอ รู้ไว้เสมอ รู้ปัจจุบัน เข้าใจปัจจุบัน ตาก็มีศีล ตาก็มีทรัพย์ เห็นหนอ อ๋อ คนนี้นิสัยไม่ดี เราก็ทิ้งไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไป อย่าไปเอาของเขามาใส่ใจเราทำไม นิสัยไม่ดีก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา
เห็นหนอ…คนนี้มาทำไม ท่าทางเหมือนนักเลงโต แววตาไม่มีเลย เห็นหนอ… หัวขาดไปอีกแล้ว ไม่มีหัวคำนวณได้เลยต้องตายภายใน ๗ วัน ถ้าพิจารณาเห็นต่อไปอีก ไม่มีหัว รับรองตายไม่เกิน ๓ ชั่วโมง ตายยังไง รถชนตาย อุบัติเหตุตายไม่ผิดเลย ตรงนี้นะตาท่านมีทรัพย์ ดูเป็น บางคนดูไม่เป็น ฟังไม่เป็น แถมคิดไม่เป็นอีก คนชั่วชอบคิดชอบชั่ว คนดีมีปัญญา จะคิดแต่เรื่องเรืองเวทย์วิทยา จะคิดแต่วิชาการ จะคิดแต่หลักฐาน คิดแต่สิ่งที่มีประโยชน์เท่านั้น ตรงนี้ขอเน้นฝากพวกคณะกรรมฐาน ไม่ใช่มาคุยกันนะ มาสร้างความดีให้จิต
จิตโยมดี มีสติกรรมฐานต้องการตรงนั้น ไม่ใช่ไปสวรรค์ ไปนิพพาน ญาณโน้นขึ้น ไปอธิบายกันน้ำท่วมทุ่งแต่ตั้งสติไว้ก็ยังทำไม่ได้ แค่ ๕ นาที ก็ไม่สามารถจะควบคุมจิตไว้ได้เลย โยมจะมีทรัพย์ตรงไหน จะมีสมบัติตรงไหน เสียคุณสมบัติ เสียมารยาท จิตใจไม่มีกุศล ทำอะไรก็ไม่ได้ผล ดังที่ชี้แจงแสดงมา
แปลว่า ตาโยมคนนั้นไม่มีทรัพย์ ตาไม่มีศีล ขาดสติในการดู ขาดรู้ในสัมปชัญญะ และขาดปัญญาในแววตา ดูคนไม่เป็น คนนี้แต่งตัวปอน ๆ มา แต่เขาเป็นใหญ่เป็นโต แต่งตัวสวยเหมือนเทวดาเหมือนนางฟ้า เห็นหนอเข้าไป เป็นคนเลว จิตใจเป็นเดรัจฉาน ตรงนี้น่ะน่าจะได้สำหรับทำกรรมฐานเบื้องต้น
ไม่ใช่มานั่ง ฉันญาณขึ้นแล้ว เดินระยะ ๖ เลย ญาณขึ้น แต่ตรงนี้ทำไม่ได้ สอบตกตั้งแต่ชั้นประถมจะให้ขึ้นชั้นมัธยมได้หรือ มีมากในวัดนี้
ขอฝากญาติโยมไว้ ความสำเร็จมันอยู่ที่จิตใจ ถ้าจิตใจโยมไม่ดี ไม่มีพลัง ความสำเร็จจะไม่มี มีแต่ความล้มเหลว มีแต่ความหายนะ ตรงนี้ขอเน้น
ไม่ใช่มาแล้วถือเนื้อถือตัว ว่าข้าเป็นคุณหญิงคุณนาย ข้าเป็นอธิบดี ข้าเป็นอะไรก็ว่ากันไป มันไม่ได้เป็นอะไรหรอก ก็เป็นมนุษย์สมบัติ เอาแค่นี้ก่อน ไม่ต้องเอาหน้าที่มาพูดกัน ไม่ต้องเอาตำแหน่งมาพูดกันตอนนั่งกรรมฐาน ต้องละหมดแล้ว ต้องปลดออกไปก่อน เรามานี่ต้องละทิฏฐิมานะแล้ว ต้องตัดปลิโพธิกังวลทางบ้านมาแล้ว ถึงจะได้ผล
ต้องถอดเครื่องต้นเครื่องทรงออก ข้าพเจ้าเป็นชั้นพิเศษ ซี.๘ ซี.๙ ถ้าจิตใจยังเป็น ซี.๘ ซี.๙ ปฏิบัติกรรมฐานไม่ได้หรอก เราเป็นด๊อกเตอร์ เป็นนักวิชาการ จะปฏิบัติกรรมฐานไม่ได้เลยนะ พอนั่งหลับตาก็จะคิดถึงวิชาการ คิดถึงเครื่องต้นเครื่องทรง ท่านจะไม่ได้อะไร ขอฝากท่านไว้ทำได้ขั้น ๆ นี่ท่านจะได้ผล
การพัฒนาจิต ทำให้มีทาน ศีล และภาวนา มีทานเมตตา ถ้าจิตท่านดี ท่านจะบริจาคทานเอง ถ้าจิตท่านเมตตา มีศีลมีธรรมแล้วนั้น ทานท่านจะไม่ไร้ผล ทานท่านจะเจตนาบริสุทธิ์ ทำอะไรก็ได้ผล นั่นคือ ทานละ
เพราะท่านมีศีล ควบคุมจิตใจในการทำงาน และก็มีสติมีสัมปชัญญะดี แต่ก็ยังไม่เท่าภาวนา ภาวนาสามารถกำจัดความชั่ว กำจัดกิเลส กำจัดทิฐิมานะ ออกจากตัวไปให้ละเอียดอ่อน จึงสูงกว่าศีลและทาน
ภาวนาเป็นหัวใจให้เกิดศีล เกิดทาน เกิดเหตุผล ภาวนาให้งานสำเร็จ ภาวนาให้เกิดโภคะแห่งสมบัติ ภาวนาให้เกิดสิ่งที่มีประโยชน์ สิ่งที่มีโทษจะไม่ฝ่าฝืนขืนทำอีกต่อไปสามารถจะกำจัดทิฏฐิที่มีอยู่ในตัว ให้ลดความเป็นอยู่ของชีวิต ไม่ฟุ่มเฟื่อยเหมือนแต่ก่อน ลดความเห็นแก่ตัว ลดได้มากขึ้น เมื่อลดความเห็นแก่ตัวลงไปได้มากแล้วน่ะ โยมจะโล่งใจ สบายใจ จะเบาใจ ไม่หนักอกหนักใจ ไม่เอาเรื่องของใคร จะออกมาทำนองนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้น การเจริญกรรมฐาน เป็นความสำเร็จของชีวิต การที่ไร้สติสัมปชัญญะเป็นการล้มเหลวในชีวิตของท่านเอง มิใช่ใครทำให้ล้มเหลว
การกระตือรือร้น อยากได้อย่างโน้น อยากได้อย่างนี้แต่ไม่กระตือรือร้น ไม่สร้างไม่ทำ ไหนเลยล่ะท่านจะได้ผล ได้อานิสงส์แต่ประการใด อยากได้แต่ไม่ทำ กิจกรรมก็ไม่เกิดขึ้น ไหนเลยล่ะท่านจะสำเร็จ ทำอะไรก็รู้ว่าล้มเหลวไปหมด ต่อไปหัวใจท่านก็ล้มเหลวเหมือนกัน มันจะออกมาในลักษณะนี้ชัดเจน
ขอเจริญพรต่อไป ในวันมหาสงกรานต์ รดน้ำดำหัว ก็เข้าในหลักประเมินผลชีวิตของท่าน ก็ไปหาพ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย พี่ ป้า น้าอา ตา ลุง รดน้ำดำหัว ไม่ใช่เอาน้ำไปสาด เอาน้ำไปรดกันจนซีดไปเลย
น้ำตัวนี้แปลว่า น้ำใจ หัวตัวนี้คือปัญญา เราได้สติปัญญามาจากคุณพ่อคุณแม่ คุณครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ได้มาจากพี่ ป้า น้า อา ตา ลุงได้มาจากครูสอนวิชาให้ ถ้าท่านเข้าใจตรงนี้น่ะ ท่านก็มารดน้ำ แสดงเมตตาธรรม แสดงออกซึ่งพระคุณอันอุ่นเกล้า
และขออโหสิกรรมต่อบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย พี่ ป้า น้า อา ตา ลุง และก็ขออโหสิกรรมต่อพระรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ที่เราหมิ่นเหม่เกินไป ที่บังอาจเกินไป มันเป็นบาปเป็นกรรมนะ
การมหาสงกรานต์ ก็มีการมหาสมบัติ ก็มีอโหสิกรรมต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ต่อบิดามารดา ต่อคุณครูบาอาจารย์ เป็นต้น ต่อผู้มีพระคุณหนุนรอง และสนับสนุนเรามา ท่านจะพบมหาสมบัติ
ถ้ามีเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ไร้สาระก็เข้ามาหาปรองดองปรึกษาบิดามารดา ปรึกษาผู้มีบุญคุณ ครูบาอาจารย์ เป็นต้น นี่แหล่ะท่านจะพบมหาสมบัติที่เป็นการแก้ปัญหา เป็นต้น
ถ้าท่านเจริญพระกรรมฐานได้จริง ท่านจะรู้เองว่า อ๋อ สิ่งนี้เป็นประโยชน์ เป็นมหากุศลแน่นอน ท่านจึงได้ทำพลีกรรม ๕ ประการ ในวันมหาสงกรานต์นี้ มีการรดน้ำดำหัว สร้างตัวโดยเลี้ยงโภคทรัพย์ ๕ ประการ ที่เรามีอยู่ในใจ
ถ้าท่านเจริญกรรมฐานลึกซึ้งไปถึงธรรมะ ท่านจะไม่ทิ้งพ่อทิ้งแม่ จะเลี้ยงดูพ่อแม่อย่างดี ตลอดกระทั่งบุตรและภรรยา สามี จนกระทั่งบ่าวไพร่ ให้เป็นสุขในบ้านของเรา นี่คือ มหาสมบัติ เป็นโภคะอันหนึ่ง ที่ท่านเจริญกรรมฐานได้ ท่านจะไปรูปแบบนี้
อีกประการหนึ่ง มีกัลยาณมิตร มีกัลยาณธรรม วันเทศกาลนี้ก็เลี้ยงเพื่อน ให้มีความสุขโดยทั่วหน้ากัน มีขนมก็เอาไปแจกผู้มีบุญคุณ ทำบุญตักบาตรเป็นปริโยสาน เป็นต้น
นอกเหนือจากการเลี้ยงดูกันหมดแล้ว ก็พยายามบำบัดอันตรายที่มันเกิดจากเหตุต่างๆ เกิดขึ้นในตน เกิดขึ้นในครอบครัว เกิดขึ้นกับเพื่อนฝูง ก็ช่วยบำบัดอันตรายให้เขาช่วยเขาให้พ้นทุกข์ เพื่อนเรามีสุขก็ขอให้มีสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ในเทศกาลมหาสงกรานต์ เราทำพลีกรรม ๕ ประการ เพิ่มด้วยคือ
๑. ญาติพลี สงเคราะห์ญาติ ช่วยเหลือเขาทั้งทางตรงและทางอ้อม พอที่จะช่วยได้ สร้างความดีให้กับญาติ เรียกว่า มหาสงกรานต์ เดี๋ยวจะเกิดมหาสมบัติ
๒. อติถิพลี ต้อนรับแขก เราไปบ้านพ่อ บ้านแม่ ญาติพี่น้องมาก็ต้อนรับแขก ปฏิสันถารคารวะภาปราศรัยกับญาติสนิท มิตรสหาย ที่ได้พบกันในวันมหาสงกรานต์ ถามทุกข์สุขซึ่งกันและกัน ว่ามีสุขมีทุกข์ประการใด สมบัติพัสถานที่ให้ไปแล้วเป็นอย่างไร ได้ทรัพย์สินจากพ่อแม่ไปมากมายก่ายกอง ไปออกทรัพย์งอกไหม ก็มีการปฏิสันถารซึ่งกันและกัน เกิดขึ้นแก่ตัวท่านเอง นี่เป็นโภคะสมบัติเกิดขึ้นกับตัวท่าน
๓. ปุพพเปตพลี ทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย จะเป็นใครตายก็ตาม มีการมหาบังสุกุลให้ตามกาลเวลา ถึงไม่มีกระดูกอยู่เขียนชื่อบังสกุลก็ยังดี โบราณเขาจึงสามัคคี เอากระดูมาทำศพสามัคคีกัน สร้างความดีให้ผู้ตาย เรียกว่าวันมหาสงกรานต์ จะเกิดโภคะ คือ สมบัติกับท่านเอง
๔. ราชพลี ถวายเป็นหลวง มีภาษีอาการเป็นต้น ท่านทั้งหลายอย่าฉ้อราษฎร์บังหลวงนะ ช่วยกันเสียภาษีอากรให้หลวง หลวงก็จะได้ช่วยให้จ่ายให้ประชาชนต่อไปอีก
๕. เทวตาพลี ทำบุญอุทิศให้เทวดา นำภัตตาหารถวาย พระภิกษุสามเณร เรียกว่า ให้สมณพราหมณาจารย์ เป็นผู้ประพฤติชอบ เป็นผู้ประพฤติธรรม เป็นผู้ปฏิบัติกรรมฐาน เป็นต้น ท่านจะได้มหาโภคะ จะได้มหาสงกรานต์ เกิดขึ้นแก่ตัวท่านเอง
ในวันที่ ๑๕ เมษายน อาตมาจะถวายบังสกุลให้แก่เจ้าอาวาสวัดนี้ทุกองค์ ตั้งแต่จำได้ ๑๐ องค์แล้ว ตั้งแต่ปู่ครูญาณสังวร พระครูพรหมนคร บวรราชมุนีชินสีห์ภานุวัตร สังฆปาโมกข์ เป็นต้น และปู่ย่าตายายที่อาตมามาอยู่ที่นี่ ๓๙ ปีแล้ว ตายไป ๑๒๐ กว่าคน ก็ขอบังสุกุลอุทิศให้ เพราะเขาเคยเอาข้าวตักบาตรให้ฉัน จะไม่ลืมพระคุณแต่ประการใด และเตรียมของแจกคนเฒ่าคนแก่ ท้องที่นี้อีก ๓๒ คน จุดมุ่งหมายของอาตมาทำเพื่อกตัญญูต่อผู้เฒ่าผู้แก่
ถ้า จิตดี พัฒนาจิตเจริญกรรมฐาน ได้สุขภาพก็ดี สุขภาพดีไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนแต่ประการใด และท่านก็จะทำการงานดี ทำอะไรดีหมด ในเมื่อการงานดีแล้วการเงินก็ตามมาหาท่าน การเงินก็ดีขึ้น ในเมื่อการเงินดีแล้ว ขั้นต่อไปคือ การสังคมดีขึ้น
ถ้าท่านไม่มีเงินไม่มีทอง ไม่มีหน้ามีตาไม่มีสมบัติโภคะ ไปไหนสังคมเขาจะไม่รับท่าน เดินไปไหนก็ว้าเหว่
ถ้าท่านเจริญกรรมฐาน มีคุณสมบัติ มีโภคะเกิดขึ้น มีทรัพย์ มีชื่อเสียง มีความรัก แล้วท่านจะมีคนยืนยันรับรองท่านเอง
ถ้าจิตโยมเข้าถึงธรรมเมื่อใด มันจะอ่อนน้อมถ่อมตนจะไม่รังเกียจคนใดคนหนึ่ง และจะไม่มีทิฐิ อยากจะไหว้คนโน้น อยากจะไหว้คนนี้ มันอ่อนไปหมด
คนที่กระด้างลางแข็ง ปากกล้าขาแข็ง บังอาจต่อผู้ใหญ่นั้น ก็คือคนไม่มีธรรมะ คนมีธรรมะเดินสวนพระเขาก็ไหว้เป็นแถว คนไม่มีธรรมะ เดินโด่ ๆ เด่ ๆ มีตาไม่มีแวว มีความฉลาดขาดความเฉลียวใจ จะออกมาในรูปแบบนี้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
นี่แหล่ะ ความสำเร็จอยู่ที่กรรมฐาน การกระทำให้ฐานะดีให้เกิดโภคะ ให้เกิดสมบัติในตัวเอง ให้เกิดมารยาทในตัวเอง มีคุณค่าในตัวเอง มีแสงสว่างในตัวเอง ราคามันก็แพง ราคาไม่ตก คนราคาตกไม่มีใครช่วยนะ ไม่มีใครไปหา ไม่มีใครสนทนาด้วย ออกมาในลักษณาการอย่างนี้ชัดเจน
แล้วกรรมฐานจะเอาตรงไหน ไม่ใช่มานั่งฟังพระองค์โน้นเทศน์บ้าง องค์นี้เทศน์บ้าง ติดกัณฑ์เทศน์กันไม่พักวุ่นวายเหลือเกินนะ โยมจะไม่พบของจริง คนที่พบของจริงนั้นอยู่ด้วยความสงบ ด้วยความปรารภธรรม อยู่ด้วยไม่พูดจากัน ปากไม่พูด จิตไม่คิด ถึงจะเป็นสมาธิภาวนา
ปากยังพูดกันอยู่ จิตก็ยังคิดวู่วาม คิดฟุ้งซ่านนานาประการ ท่านจะไม่มีสมาธิเลยนะ และท่านจะว่าญาณ ๑๖ ได้อย่างไร สมาธิไม่มี และความคิดก็หายไปด้วย รณรงค์ความคิดก็หมดไป
การเจริญกรรมฐานต้องต้องการจะรณรงค์ความคิด มาผูกมิตรกันด้วยคุณธรรม มันถึงจะถูกกิจกรรมของกรรมฐานท่านจะดี ท่านจะมีปัญญาเอง ถ้าท่านไร้ปัญญาขาดเหตุผล อาตมาไม่เชื่อท่านว่าได้กรรมฐาน
ถ้าท่านปฏิบัติได้จริง ปัญญาจะเกิด แก้ไขปัญหาชีวิตท่านได้ มันเกิดมีปัญหามีวุ่นวายในครอบครัวท่าน ท่านจะใช้ปัญญาของพระพุทธเจ้าที่สร้างได้จากรรมฐาน ไปแก้ปัญหาด้วยตนเอง ไม่ต้องไปหาหมอดูที่วัดไหนให้โง่ต่อไป
ปัญญารอบรู้ ปัญญาเชี่ยวชาญ ปัญญาชำนาญงาน ปัญญาที่รู้จักของถูกผิดประการใด ปัญญารู้จักของชั่วของดี รู้บาป รู้บุญ รู้คุณ รู้โทษ รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์ และไม่เป็นประโยชน์ ปัญญารอบรู้เหตุผล ปัญญารู้จักกาลเทศะ ปัญญารู้จักเด็ก รู้จักผู้ใหญ่ กาลใดควรทำอย่างไร กาลใดไม่ควรทำอย่างไร ถึงจะเรียกว่าปัญญาในที่นี้
ไม่ใช่นึกจะทำก็ทำ นึกจะพูดก็พูด ไม่มีหูรูดกันเลยทีเดียว นึกจะพูดไปลามปาม หละหลวม เหลาะแหละเหลวไหล ท่านจะเสียหายต่อภายหลัง จะไม่มีใครช่วยท่านได้แต่ประการใด
การเจริญกรรมฐานต้องมาเรียนบทเรียนชีวิต เรียนข้อคิด เรียนให้เกิดปัญญา ต้องศึกษาชีวิตให้เข้าใจ ไม่ใช่ไปศึกษาคนอื่นเขา คนนั้นชั่ว คนนั้นดี ไปปรารภทำไมเล่าอย่าไปปรารภคนอื่นเขา ปรารภตนเองก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว งานก็เต็มกระเป๋าอยู่แล้วในตัวเราเองทุกคน งานเราก็แก้ปัญหาไม่ได้ จะไปเอาปัญหาคนอื่นมาทำไมเล่า
คนแปลว่าปัญหา คนแปลว่ายุ่ง คนแปลว่าสับสน เราอยู่กันมากก็สับสนมาก มีปัญหามาก อยู่น้อยคนปัญหาก็น้อย เราอยู่กันเป็นร้อยเป็นพันก็อาจมีปัญหาบ้าง แต่ก็ให้อภัยกันเป็นปัญหาที่ไม่ต้องสนใจ เราจะสนใจกรรมฐานเพียงอย่างเดียว
การเจริญกรรมฐานต้องการจะแก้ปัญหา ต้องการจะไม่สับสนในชีวิต ชีวิตจะไม่สับสน มันจะบอกออกมาตามขั้นตอน
ยืนหนอ ๕ ครั้งต้องได้ จะได้รู้ตจปัญจกกรรมฐาน รู้จริงทุกสิ่งต้องแก้ไข รู้จริงจะไม่สับสน รู้จริงจะแก้ปัญหาได้ ถ้ารู้ไม่จริงจะผูกแต่ปัญหาให้ทุกข์
มนุษย์คนเรา เรียกว่า สับสน และก็วุ่นวายสับสนจริง ๆ เราเจริญกรรมฐานได้จะไม่สับสน จะแก้ปัญหาไปตามขั้นตอน จะมีสติสัมปชัญญะครบ ไม่ต้องไปวุ่นวายกับใคร
พยายามเดินจงกรมให้ได้ กำหนดสติปัฏฐาน ๔ ให้ได้ เท่านี้เอง ไม่ต้องไปอธิบายกันเลอเลิศไป เท่านี้ยังทำไม่ได้ สอบตกแล้วจะให้เลื่อนขึ้นไปญาณนั้น ญาณนี้ เดินระยะ ๔ ระยะ ๕ ระยะ ๖ แค่ระยะ ๑ ก็ยังไมผ่าน สอบตกแล้วจะให้ขึ้นชั้นไหม เหมือนชั้นประถมศึกษาไม่ได้ ไปขึ้นชั้นมัธยม ไปสร้างปัญหาให้ชั้นมัธยมเขาด้วย ชั้นมัธยมไม่เอาไหน เข้ามหาวิทยาลัยก็ไปสร้างปัญหาให้มหาวิทยาลัยอีก เลยไม่สามารถจะแก้ปัญหาได้
การเจริญกรรมฐานทำให้เกิดความสำเร็จในชีวิต และแก้ปัญหาของชีวิต ทำให้มีความขยัน คนไหนขาดสติ สัมปชัญญะจะขี้เกียจ จะไม่อยากเอางานเอาการ เห็นแก่ตัวมาก คนที่มีกรรมฐานตั้งสติไว้ได้ กำหนดได้จะมีแต่ความขยันและประหยัด ทำอะไรยืนหยัดอดทน อดกลั้น อดออม อดทนตรากตรำต่อความลำบากได้ และอดทนต่อความเจ็บใจของคนอื่นได้ อดทนเข้าไว้ นี่สิกรรมฐาน เป็นความสำเร็จทำคนเชื่อถือได้
ถ้าท่านมีสติสัมปชัญญะควบคุมจิตได้ ไปไหนมีคนเชื่อถือท่าน มีคนเคารพนับถือด้วย แถมยังอ่อนน้อมถ่อมตนอีก ท่านมีสติสัมปชัญญะจะอ่อนน้อมถ่อมตนต่อท่านผู้ใหญ่ ถ้าท่านเป็นผู้ใหญ่จะอ่อนน้อมต่อผู้น้อย จะพูดอะไรก็อ่อนน้อมต่อผู้น้อยเหมือนกัน โอนเอียงเข้าไปหา วาจาก็เพราะ เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน
นักกรรมฐานต้องมี รู้จักประมาณตน ว่าตนคืออะไร ฐานตนเป็นอย่างไร ถ้าโยมกำหนดจิตได้ทุกคนนะ จะรู้จักประมาณตน จะอยู่ด้วยความเรียบร้อย ไม่ฟุ้งเฟ้อ และฟุ่มเฟื่อย อยู่ด้วยการประมาณตน รู้จักตน รู้จักท่าน รู้จักตัวเอง รู้จักการประหยัดอย่างนั้น
คนที่มีสติสัมปชัญญะจะตั้งปณิธานในใจเสมอ ตั้งโครงการของชีวิตเสมอ จะทำอะไรก็ตั้งโครงการเสมอ คนที่ไร้ธรรมะ ไม่มีสติสัมปชัญญะแล้ว ทำอะไรก็หละหลวม ไม่มีปณิธานในใจเลยนะ
คนที่ปฏิบัติได้ เจริญสติได้ จะเข้าถึงจิตใจของผู้อื่นได้ จะรู้วาระจิตของเขาได้ รู้จักปลง รู้จักปรับ คนที่รู้จักปลงคือคนที่มีสติดี ปลงมันตกแล้ว ไม่ถือตัวแล้ว จะเสียเงินเสียทองก็ปลงแล้ว จะได้บ้างเสียบ้างอะไรก็ปลงตก และจะไม่ว่าใครสกปรกลามก จะไม่ว่าใคร ปลงตัวได้แล้ว และก็ปรับตัวเข้ากับเด็กได้ เข้ากับผู้ใหญ่ได้ เข้ากับคนโน้นได้ เข้ากับคนนี้ได้ เรียกว่า เข้าถึงจิตใจผู้อื่น ถ้าเจริญกรรมฐานได้ต้องทำได้อย่างนั้น
ถ้าทำไม่ได้เป็นครูสอนเขาไม่ได้ผล เพราะตัวเองไม่รู้จักจิตใจ วาระจิตของคนอื่น ไม่รู้ทิฐิสามัญ ไหนเลยล่ะจะได้ผล
อีกประการหนึ่ง คนที่มีสติสัมปชัญญะสูงขึ้นในกรรมฐาน จะไม่โลภอยากได้ของใครเปล่า จะไม่อยากได้ของใครเลย จะอยากได้เฉพาะทรัพย์ที่หามาได้ด้วยความลำบากของตนเอง ด้วยสติปัญญาของตน จะอยู่ด้วยความสันโดษไม่อยากได้ของใคร เว้นแต่สมบัติของตนเองจะรักษาให้มั่นคงต่อไป นี่เรียกว่าสันโดษ
คนที่เจริญกรรมฐานได้จะอยู่ด้วยความเด็ดเดี่ยว หนึ่งไม่มีสอง ตัวเองก็มั่นคง ต้องเป็นตัวของตัวเอง พูดแล้วต้องทำ ไม่มีเดี๋ยว เด็ดเดี่ยวและจิตใจก็มั่นคงด้วย มั่นคงต่อความดีเสมอ จิตใจจะไม่เหลวแหลกแตกราญไปสู่ความชั่วอีกต่อไป จะปิดประตูอบายได้ จะไม่เป็นเปรตสุรกายสัตว์เดรัจฉานอีกต่อไป จิตมั่นคง
เพราะมีสติดี สัมปชัญญะดีจะโดดเดี่ยว มั่นคงต่อชีวิตของตน และตนเองจะไม่หละหลวมต่อคนอื่นต่อไป ใครจะพูดขึ้นห้วยลงเขาก็ไม่สนใจ เรียกว่ามั่นคง โดดเดี่ยว มั่นคงในใจของตน นี่แหละกรรมฐานเป็นอย่างนั้น
อีกประการหนึ่งเป็นคนใจกว้าง ถ้าญาติโยมมีสติสัมปชัญญะ นั่งกรรมฐานได้ เข้าสู่สภาวะธรรมวิเศษ สัก ๑ นาที หรือ ๕ นาที แค่วูบลงไป โยมจะเป็นคนใจเมตตา ใจคอกว้างขวางออกไป จะไม่เป็นคนใจแคบ จะเป็นคนมีอัธยาศัย ใจคอกว้างขวาง มีเมตตาปรานี อารีเอื้อเฟื้อ ขาดเหลือคอยดูกัน เป็นเมตตาธรรมอันสำคัญ โยมก็อยู่ด้วยความกว้างขวาง เมตตาขยายเขตออกไปกว้างขวาง จะรักลูก รักผัว รักเมีย พ่อแม่รักลูกคิดปลูกฝัง ลูกก็รักพ่อแม่ สามัคคีกันและเมตตากว้างขางออกไป จากหมู่บ้านเป็นตำบล จากตำบลเป็นอำเภอ จากหลายอำเภอเป็นจังหวัด หลายจังหวัดก็กว้างออกไปหลายเขตแห่งประเทศไทย เรียกว่าใจคอกว้างขวาง
ถ้าหากตรงกันข้ามนะ คนขาดธรรมะ หัวใจล้มเหลว งานการล้มเหลว จะออกมาอย่างนี้เลย ตรงกันข้ามอย่างที่กล่าวมา
๑. ไม่เข้าใจผู้อื่น ใส่ร้ายป้ายสีเขา
๒. ไม่รู้จักประมาณตน ไม่รู้ว่าตนมีหลักทรัพย์เท่าไรจ่ายไม่พัก และไม่รู้จักประมาณตนว่ามั่นคงแต่ประการใด ไม่รู้เดียงสาต่องาน งานการทำไปทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ เพราะขาดสติสัมปชัญญะ
๓. ไม่มีสำนึกผิดชอบ คนที่ไร้กรรมฐานจะไม่รับผิดชอบอะไรใครทั้งนั้น มีข้าวของก็ไม่ดูแล ไม่รับผิดชอบด้วยประการทั้งปวง มีแต่ความโลภโมโทสัน มีแต่โมโหโทโส ว่า คนนั้น ว่าคนนี้ตลอดรายการ ถ้าโยมมีกรรมฐานจะไม่เป็นเช่นนั้นนะ
ถ้าโยมมีกรรมฐานดี จะไม่เย่อหยิ่ง จะไม่จองหอง จะไม่ยโสโอหังแต่ประการใด จะมีแต่จิตใจแช่มชื่น มีแต่จิตใจเมตตา มีแต่ความปรารถนาดีตลอดรายการ อยู่ตรงนี้เป็นหลักสำคัญ
และจะไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อแต่ประการใด จะไม่โกหก จะไม่มดเท็จต่อใครอีกต่อไป จะพูดแต่ความจริงใจ จะพูดแต่สิ่งที่แสดงออกจากจิตใจด้วยความมั่นคง และคบค้าแต่บัณฑิต ไม่คบค้าคนเสเพล
คนมีสติกรรมฐาน จะไม่เกียจคร้านต่องานการของตน จะไม่ขยันนอกหน้าที่ จะขยันเฉพาะในการงานที่เป็นหน้าที่ของตนเท่านั้น จะไม่ก่อหนี้ล้นพ้น
ถ้ามีกรรมฐานดีแล้ว จะไม่หูเบาเฉาปัญญา หูจะหนักใครจะพูดอย่างไรจะไม่เชื่อใครทั้งนั้น แก้ไขปัญหาตลอดไม่ทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ จะมีสติสัมปชัญญะตลอด จะมีแต่เมตตา
จะไม่ไร้สัจจะ พูดจริงทำจริงตลอดรายการ ไม่คิดคดล่อลวงใคร จะไม่สุรุ่ยสุร่ายในการจ่ายทรัพย์ ไม่ไร้อุดมการณ์ ไม่หลงเล่นการพนัน ไม่หุนหันพลันแล่น จิตใจไม่โลเลอีกต่อไป จะเป็นคนไม่อิจฉาริษยาใคร จะไม่นอกรีต ดื้อดึง ดื้อรั้นต่อผู้มีบุญคุณ มีแต่เมตตาการุณหนุนนำตลอดรายการ ขอฝากญาติโยมไว้ด้วย การล้มเหลวกับการสำเร็จ มันอยู่ที่กรรมฐานนะ
ถ้าเราตรงกันข้ามแล้วจะกลายเป็นล้มเหลวและล้มละลาย เสียงานการและเกิดมาเสียชาติเกิด ไม่ประเสริฐตรงไหน เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ไม่สามารถเอาความบริสุทธิ์ได้ ไหนเกิดมาทั้งทีก็เอาดีไม่ได้ ไหนตายจากโลกมนุษย์ทั้งทีก็ไม่มีดีฝากใครไว้ได้ และไม่สามารถจะดีติดวิญญาณไปในสัมปรายภพได้
นี่แหล่ะการเจริญกรรมกฐานจึงเป็นอย่างนี้ ถ้าญาติโยมทำได้ ไม่โลเล กระตือรือร้น อยากเป็นเศรษฐีแต่ไม่กระตือรือร้น หาเงินหาทองโดยทุจริตผิดศีลธรรม ฉ้อราษฎร์บังหลวงอีก ท่านจะร่ำรวยได้อย่างไรหรือ
การมีความรักจริงจังในสิ่งที่ต้องการก็ไม่มี เมตตาปรานีก็ไม่มีแล้ว ท่านทั้งหลายจะเอาอะไรมาเป็นหลัก อยากได้อะไรก็อย่าทิ้ง ผูกจิตมั่นคงอยู่กับงานนั้น งานท่านจะสำเร็จอย่างแน่นอน
งานกรรมฐานไม่ยากเลย แต่คนไร้บุญวาสนา เหมือนคนมีบุญแต่กรรมบัง ไม่อยากทำ มันทำให้ขี้เกียจ นั่นแหละกรรมบังละ
คนที่มีบุญวาสนา กรรมไม่บัง เขาจะมองเห็นเป็นฉากเป็นช่องคู่ไป จะทำอะไรก็ได้ผล ทำอะไรก็ได้อานิสงส์สมความมุ่งมาดปรารถนาทุกประการ เป็นผลงานที่ท่านต้องการทุกวันนี้
นี่แหล่ะการเจริญกรรมฐานะเป็นการเข้าถึงมหาสงกรานต์ มหาสมบัติคือโภคะ ท่านจะมีทรัพย์สินเงินทองมากมายก่ายกอง จะไม่มีเสียผล
ขอให้ท่านหมั่นสวดมนต์ภาวนากัน แก้ปัญหาไปในตัวด้วย เดี๋ยวปัญญามันจะบอกเอง ถ้าท่านเจริญกรรมฐานมีสติปัญญาสูง ปัญญาจะออกมาช่วยแก้ปัญหาของตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาแก้ปัญหา เพราะเขาไม่รู้จุดปัญหาของเรา เราผู้ทำและผู้สร้างปัญหา เรารู้จุดของเราเองว่า ปัญหามันเกิดขึ้นอย่างไร เราก็ต้องแก้ปัญหาต่อไป
เราสร้างบาปสร้างความชั่ว จะโอนความชั่วไปให้พี่น้องได้ไหม เอาความชั่วความร้ายเอาความทุกข์ไปให้เขา ก็ไม่มีใครอยากได้ทั้งนั้น มีคนอยากได้แต่ของดีมีสุข ของดีมีทุกข์ไม่มีใครต้องการ ต้องการอยู่เย็นเป็นสุขด้วยกันทั้งนั้น
การเจริญกรรมฐานจึงเป็นมหากุศลให้แก่ตนเอง และญาติโยมถึงวันหยุดก็มากันมากหน้าหลายตา ก็โปรดให้อภัยในความไม่สะดวกด้วย สร้างความดีต้องลงทุนความลำบากได้
วันนี้เป็นวันมหามงคลชีวิต เป็นวันพระและเป็นวันมหาสงกรานต์ และเป็นวันมหาโภคะสมบัติเนืองนองครองรัก ท่านจะมีเมตตาตลอดรายการ ท่านจะไม่เจือปนด้วยโทสะ จะไมเจือปนด้วยกิเลสนานาประการ ขอให้มีเมตตาตลอดไป
ขออนุโมทนาสาธุการในเรื่องบุญกุศล ที่ท่านทั้งหลายมาเจริญพระกรรมฐานตามกาลเวลามหาสงกรานต์นี้ ต้องการจะกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีบุญคุณ ต้องการจะนั่งกรรมฐาน อุทิศทักษิณาทาน เปตพลี ให้แก่ผู้มีบุญคุณที่ล่วงลับไปแล้วสู่สัมปรายภาพ
ปรารภเจริญพระกรรมฐานให้แก่ผู้มีบุญคุณ กระทั่งครูบาอาจารย์ กัลยาณมิตรทุกคน เป็นการถวายกุศลให้และถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ ท่านผู้นั้นก็จะได้รับผล เป็นปุพพเปตพลี สร้างความดีให้แก่ผู้ตาย และสร้างความดีให้แก่ตนเอง สมศักดิ์ศรี หน้าที่ มหาโภคะ มหาสมบัติ เราก็จะกลับไปโดยสวัสดีมีชัย จะมีโชคมีชีวิตเป็นทรัพย์ ชื่อเสียงความรัก ต่อไปในตระกูลของตน ตนเองก็จะได้เบิกบานหรรษาโดยทั่วหน้ากัน
ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ผู้ใคร่ธรรมสัมมาปฏิบัติในหน้าที่ โดยทั่วหน้ากัน ขอท่านจงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ นึกคิดสิ่งหนึ่งประการใด ขอให้สมความมุ่งมาดปรารถนา ด้วยกันทุกรูป ทุกนาม ณ โอกาสบัดนี้เทอญ