เวรกรรมที่ข้าพเจ้าพบ
โดย ทิพย์วัลย์ พงษ์ประสิทธิ์
เรื่องราวต่าง ๆ ต่อไปนี้เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรมที่ข้าพเจ้าได้ประสบพบเห็นมาด้วยตนเอง และเกิดขึ้นใกล้ตัวข้าพเจ้ามากที่สุด เพราะเกิดขึ้นกับมารดาและบิดาของข้าพเจ้าเอง
เมื่อประมาณ ๓ – ๔ ปีที่แล้ว คุณพ่อของข้าพเจ้าป่วย มีอาการไอมาก รักษาที่ไหนก็ไม่หาย ท่านไอทั้งกลางวันกลางคืน ไอจนกระทั่งบางคืนไม่สามารถนอนหลับได้ ทำให้ร่างกายเริ่มอ่อนแอและซูบผอมลง
มีอยู่คืนหนึ่งคุณพ่อไอมาก จนคนที่อยู่ใกล้ ๆ ไม่เป็นอันนอน พอรุ่งขึ้นเช้าก็ยังไอไม่หยุด พอตกบ่ายท่านเริ่มเป็นไข้ ท่านเริ่มเพ้อและร้องไห้ ท่านร้องบอกว่าอยากกลับบ้าน (ที่จังหวัดนครสวรรค์) อยากกลับไปตายที่บ้าน
พวกลูก ๆ ไม่เคยเห็นพ่อร้องไห้ก็ตกใจ รีบพาท่านไปโรงพยาบาลวชิระ ในวันนั้นเป็นวันเสาร์คนไข้จึงเยอะ หมอก็ไม่ค่อยมี ไม่มีใครสนใจ ได้แต่ให้ยากลับมาทาน พอถึงบ้านก็พบพี่ชายของข้าพเจ้าพอดี พี่เลยพาคุณพ่อไปส่งที่โรงพยาบาลบางโพ หมอที่นั่นรับตัวไว้ และให้คุณพ่อนอนให้น้ำเกลือ พร้อมกับฉีดยาให้ทางสายน้ำเกลือ เพราะท่านไม่สามารถทานอะไรได้เลย ทานเข้าไปก็อาเจียนออกมาหมด
อาการไอของคุณพ่อก็ไม่ทุเลาลงเลย ท่านไอจนเจ็บท้องไปหมด ไข้ก็ขึ้นอยู่ตลอด ข้าพเจ้าเห็นสภาพท่านแล้ว รู้สึกสงสารท่านมาก เพราะไม่เคยเห็นท่านป่วยมากขนาดนี้
พอตกกลางคืน ท่านก็ได้แต่ร้อง เหมือนมีคนเอามีดมากรีดที่ท้อง ท่านทรมานมาก ไอแต่ละครั้งเจ็บท้องจนตัวงอ
คนป่วยเตียงข้าง ๆ บอกว่า กลางคืนคุณพ่อร้องน่าสงสารมากและลุกขึ้นเข็นที่ให้น้ำเกลือไปที่ระเบียง ทำเหมือนจะกระโดดลงไป และถามเขาว่าที่นี่เคยมีคนกระโดดตึกตายบ้างไหม พอข้าพเจ้ารู้เรื่อง จึงรีบไปบอกหมอใหญ่ ให้พยาบาลคอยเฝ้าดูให้ดี
คุณแม่ของข้าพเจ้าได้เล่าให้ฟังว่า ที่คุณพ่อป่วยในครั้งนี้ คงเป็นเพราะเวรกรรม ที่ท่านทำไว้กับหมู เพราะเมื่อตอนหนุ่ม ๆ ท่านชอบทานหมู และมักเอามีดกรีดกันสด ๆ เลย หมูไม่รู้จำนวนมากน้อยเท่าไหร่ที่ท่านกรีด ต่างก็ร้องกันโหยหวน ดูสภาพแล้วเหมือนคุณพ่อตอนนี้ไม่ผิด
ท่านพักรักษาตัว แต่อาการท่านก็ไม่ดีขึ้น จึงจำเป็นต้องย้ายโรงพยาบาลไปอยู่ที่ศิริราช ย้ายไปอยู่ได้ ๒ – ๓ วัน ท่านก็มีอาการเป็นผื่นแดงและลอกออก ไข้ก็สูง อาการไอก็ไม่หาย ขับถ่ายก็ไม่รู้สึกตัว แต่ยังคงมีสติ พูดจารู้เรื่อง แต่เมื่อไปเยี่ยมท่านทีไร ท่านก็มักร้องไห้และบอกว่า “พ่อคงอยู่ไม่ถึงอาทิตย์นี้”
เมื่อข้าพเจ้ากลับมา ก็รีบทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านและเขียนจดหมายมาปรึกษาหลวงพ่อ และบอกท่านไว้ว่า เมื่อพ่อหายเมื่อใดจะให้บวช ซึ่งหลวงพ่อก็แนะนำ และบอกไว้ว่า “ให้หายป่วยดีเสียก่อน แล้วค่อยมาบวชก็ได้” หลวงพ่อท่านบอกข้าพเจ้าว่าจะแผ่เมตตาช่วย และแนะนำการสร้างกุศลและอุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวรให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าและลูก ๆ ทุกคนต่างก็ช่วยกันทำบุญ จนกระทั่งอยู่ต่อมาไม่กี่อาทิตย์อาการของท่านก็เริ่มดีขึ้น จนหมออนุญาตให้กลับบ้านได้
ท้ายที่สุดคุณพ่อก็ได้บวชตามที่ได้บนไว้ที่จัดหวัดนครสวรรค์ และปัจจุบันนี้ท่านสบายดี จะมีอาการเจ็บป่วยบ้างก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตามสภาพอายุของท่าน
จากนั้นต่อมาอีก ๓ – ๔ ปี ประมาณวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๗ คุณแม่ของข้าพเจ้าก็เริ่มป่วย แขนขาไม่ค่อยมีแรง คงเป็นเพราะท่านอ้วน น้ำหนักมากจึงเดินไม่ค่อยไหว พอถึงเดือนธันวาคมท่านก็ถึงกับต้องคลาน
ในวันที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๗ ท่านป่วยมาก แม้กระทั่งจะลุกขึ้นก็ไม่สามารถทำได้ ต้องคอยหาคนมาช่วยพยุง ตกเย็นคุณแม่ท่านเข้าห้องน้ำ ท่านเข้านานมากจนผิดสังเกต พี่สาวของข้าพเจ้าสงสัยได้เปิดห้องน้ำเข้าไปดู เห็นท่านกำลังจิกมือตัวเอง พี่สาวต้องให้คนมาช่วยเอาออกจากห้องน้ำ แม่ได้แต่บอกว่ากาวมันติดมือลามมาถึงแขนแล้ว พวกเราเลยต้องทำเป็นช่วยกันเอากาวออก ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรเลย
จากนั้นท่านก็เอามีดมาเฉือนเนื้อตัวเอง ขณะกำลังเฉือน พี่ชายก็เข้าไปเห็น จึงรีบนำส่งโรงพยาบาล แต่แม่ก็ไม่ยอมไป ต้องช่วยกันอุ้มท่านขึ้นรถไป
พอถึงโรงพยาบาลท่านก็ไม่ยอมลงจากรถ ต้องช่วยกันดึงและพยุงตัวท่านออกมา แม่ก็ดิ้นไปตลอดทาง พยาบาลต้องช่วยกันพาท่านขึ้นเตียงคนไข้ พอให้น้ำเกลือ แม่ก็กระชากออก จนเลือดกระจายเต็มที่นอน ต้องช่วยกันมัดทั้งแขนขา จึงจะให้น้ำเกลือได้ และช่วยไม่ให้จิกมือตัวเองด้วย
หลังจากนั้นข้าพเจ้าไปเยี่ยมท่าน พยาบาลได้แก้มัดท่านออกแล้ว เพราะท่านมีอาการสงบลง พยาบาลต้องให้น้ำเกลือแม่ทางขาแทน แต่แม่ยังใช้มือขวาจิกมือซ้ายจนเลือดไหล ข้าพเจ้าพยายามแกะออก แม่ก็ยังคงร้องให้ช่วยเอากาวออก ตามตัวท่านเป็นรอยช้ำเต็มไปหมด
วันรุ่งขึ้นคุณแม่มีอาการดีขึ้น ไม่มีอาการเกร็งที่มือ และความคิดที่ว่ามีกาวติดที่มือก็หายไป จนหมออนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่ยังคงเดินไม่ได้เช่นเคย จึงต้องกลับไปโรงพยาบาลอีก ทางโรงพยาบาลก็ให้กลับบ้านอีก สาเหตุเพราะตอนดึก ๆ แม่ชอบร้องฮือ ๆ ทั้งคืน ร้องเสียงดังมาก จนคนไข้อื่นไม่สามารถหลับนอนได้
ทางบ้านจึงพาแม่ไปหาหมอทางไสยศาสตร์ อาการก็ไม่ดีขึ้น กลับทรุดหนักขึ้นอีก แม้แต่จะลุกนั่งยังไม่ไหว ต้องให้คนมาคอยประคอง และเอาหมอนยันไว้ตลอด จากนั้นลิ้นของท่านก็เริ่มแข็งพูดอะไรไม่ค่อยชัด โมโหง่าย เวลาจะขับถ่ายก็ไม่รู้สึกตัว เริ่มจะขาดสติไม่เป็นตัวของตัวเอง ในบางครั้งตอนเช้าท่านยังนอนอยู่ดี ๆ เหมือนคนปรกติ แต่พอตกสายท่านก็บ่นว่าร้อน ๆ ให้ถอดเสื้อผ้าออก ไม่มีใครถอดให้ก็พยายามถอดเองจนหมด และจะไปเล่นน้ำในห้องน้ำ ใครห้ามท่านก็ไม่ฟัง กลับทั้งดุว่าและทั้งขอร้องเขาอย่างน่าสงสาร แต่ก็ไม่มีใครพาไป เพราะถ้าเจอน้ำแล้วท่านก็จะอยู่แต่ในห้องน้ำนั้นทั้งวัน ทุกคนกลัวว่าท่านจะปอดบวมจึงพากันห้าม
วันหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่ข้าพเจ้าเห็นด้วยตาตนเอง และจดจำไว้ได้อย่างแม่นยำ เป็นวันที่คุณแม่มีอาการประหลาดเมื่อท่านไม่มีแรงจะคลาน ท่านคว่ำตัวลง ทำลักษณะเหมือนเลื้อยไปคล้ายงู เสื้อผ้าก็ไม่ใส่ พวกลูกเอาน้ำใส่กะละมังมาให้ก็ไม่เอา ร้องแต่จะเข้าห้องน้ำให้ได้ ข้าพเจ้ายืนมองท่านด้วยความสงสาร พอท่านเข้าใกล้ห้องน้ำ ไม่รู้ท่านเอาแรงมาจากไหนลุกขึ้นคลานเข้าไปอย่างเร็ว จนคนที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่างพากันตกใจ
ท่านทำท่าดีใจเมื่อเห็นน้ำ พอเข้าไปได้ก็เปิดน้ำอย่างแรง จนน้ำล้นอ่างเปียกพื้นนองไปหมด แล้วท่านก็ชูมือขึ้นเหนือศีรษะหงายตัวเองให้หัวฟาดไปกับพื้น บางครั้งก็ทำมือส่ายไปมาคล้ายหัวงู เอาศีรษะฟาดเข้ากับขอบอ่าง ทุกคนต่างรีบเข้าไปช่วย แม่ก็ผลักออกหมด ในตอนนั้นท่านไม่รู้เอาแรงมาจากที่ไหน
แม่ดูมีความสุขมากกับการทำร้ายตัวเองอย่างนี้ จนพวกเราทนดูไม่ได้ต้องเข้ามาช่วยกันจับถึง ๓ คน แม่ทั้งร้องทั้งดุว่า แต่ในตอนนี้ไม่มีใครสนใจแล้ว เพราะต่างคนรู้ดีว่า ถ้าปล่อยตามใจแม่ให้ทำอย่างนี้ต่อไปท่านต้องหัวแตกแน่ ๆ จึงรีบนำท่านออกจากห้องน้ำ
พอออกมาได้ก็เช็ดตัวให้ท่าน ใส่เสื้อผ้าให้ท่าน อาการท่านจึงเริ่มกลับเป็นปกติ แถมท่านยังพูดทักทายกับข้าพเจ้า
พอข้าพเจ้ากลับบ้าน พี่สาวก็โทรมาบอกว่า แม่ทำแบบเดิมทุกวัน จนตอนนี้หัวท่านแตกแล้ว ไม่มีใครห้ามท่านได้ ทุกคนต่างหมดปัญญา จึงไปหาหมอที่เข้าทรง เขาบอกว่ามีพญานาคมาเข้าสิงร่างการกระทำทุกอย่างจะคล้ายกับงู
ข้าพเจ้าจึงเขียนจดหมายเพื่อปรึกษาหลวงพ่อ และเล่าอาการทุกอย่างให้ท่านฟัง ซึ่งท่านก็ตอบมาทางจดหมายว่าเป็นกรรมที่ทำไว้กับงูแน่ ๆ และหลวงพ่อท่านแนะนำให้ทุกคน สวดมนต์บทพุทธคุณ พาหุงมหากาฯ และแผ่เมตตาให้กับงูตัวนั้น ซึ่งทุกคนก็ปฏิบัติตาม และทำกันทุกวิถีทางที่จะช่วยคุณแม่ได้ เพราะต่างคนต่างปลงตก และคิดว่าคงจะไม่ได้คุณแม่คนเดิมกลับมาแล้ว
พอเขียนมาถึงตรงนี้ ทำให้ข้าพเจ้าหวนระลึกได้ว่าเมื่อตอนที่คุณแม่ท่านยังเป็นเด็กอยู่มาก ด้วยความที่ไม่รู้เรื่องเวรกรรม บาป บุญต่าง ๆ จึงเป็นเหตุให้ท่านทำกรรมกับงูปลาไว้ ซึ่งเรื่องนี้ท่านได้เสียใจมาก
วันนั้นคุณแม่เดินอยู่ในทุ่งนา ท่านเห็นงูปลาท้องแก่ตัวหนึ่ง ท่านจึงนึกสนุก ตรงเข้าไปจับและตีหัวมันจนตาย เท่านั้นยังไม่พอ ท่านยังเอาไม้รีดลูกมันออกทีละตัว ๆ ลูกในท้องของมันต่างก็เลื้อยเข้าป่าไปจนหมดท้อง แล้วแม่ก็โยนซากแม่งูนั้นทิ้งไป
ข้าพเจ้าจึงแน่ใจว่าคงเป็นกรรมอันนี้แน่ที่ทำให้ท่านต้องชดใช้ด้วยความทุกขเวทนาเช่นนี้ ไม่ใช่พญานาคมาเข้าสิง เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรมที่ต้องชดใช้หนี้แน่นอน แต่พี่น้องทุกคนของข้าพเจ้ายังคงนึกว่าเป็นพญานาคอยู่ดีจึงช่วยกันทำบุญถวายสังฆทาน ถวายพระประธาน
แต่พอข้าพเจ้าไปเล่าเรื่องงูนี้ให้ทุกคนฟัง ทุกคนก็เริ่มเห็นด้วย และเริ่มแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้กับแม่งูตัวนั้น
พอถึงวันอาทิตย์ข้าพเจ้าก็ไม่เยี่ยมคุณแม่อีก ก็ต้องตกใจ เพราะท่านลุกขึ้นนั่งได้ และการพูดจาก็เป็นปรกติดีทุกอย่าง เวลาถ่ายก็รู้สึกตัว พอถัดมาอีกอาทิตย์หนึ่งท่านก็บอกว่าท่านเดินได้แล้ว และท่านก็เดินให้ดู แต่ก็ต้องมีไม้เท้าคอยช่วย
พอแม่หายดีแล้ว ท่านจึงเล่าให้ฟังว่าตอนที่ท่านป่วยอยู่นั้น ท่านคิดถึงแต่เรื่องงูตัวนั้น ไม่ได้คิดว่าเป็นพญานาคแต่อย่างใด ทั้งที่ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องงูให้ท่านฟังเลย จนทุกวันนี้ท่านมีอาการดีขึ้นมาก ไม่ต้องอาศัยคนคอยดูแล ท่านก็สามารถทำงานบ้านได้ ทำอาหารได้ ทำทุกอย่างเหมือนปกติ
เรื่องอาการของคุณแม่นั้น ข้าพเจ้าได้พบเห็นมาด้วยตาของตนเอง เป็นประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าพบมาด้วยตนเอง จึงขอเขียนมาเพื่อยืนยันและเป็นอุทาหรณ์ในเรื่องของกฎแห่งกรรมว่า เรื่องของเวรกรรมนั้นมีจริงแน่นอน ถ้าไม่ทันในชาติปัจจุบันนี้ ก็ต้องตามไปทันในชาติหน้าแน่นอน