บุญบันดาล

โดย แม่ชีซูง้อ

แม่ชีซูง้อ

เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๓๒ หลวงพ่อท่านเจ้าคุณพระภาวนาวิสุทธิคุณ ได้เล่าเรื่องอัศจรรย์ให้ญาติโยมฟังถึงสุภาพสตรีชาวสิงคโปร์ ซึ่งเคยกระทำบุญไว้ในอดีตชาติ ข้อ “ปุพเพ จ กตปุญญตา” มีใจความย่อ ๆ ว่า

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้ปฏิบัติธรรมก็อาจจะทราบแล้วว่า ที่วัดอัมพวันของเรา มี แม่ชีซูง้อ แซ่เอง อยู่สิงคโปร์แท้ ๆ อาม้าตายไป ๑๐ ปีแล้ว มาเข้าฝันว่า

ให้ไปบวชชีให้หน่อย เจาะจงมาบวชที่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ประเทศไทย มาบวชและกลับไปแล้ว

นี่จะมาอีกแล้ว จะลาออกจากธนาคารสิงคโปร์ เขามีอายุ ๒๗ ปี จะมาอยู่ ๓ ปี จะมาขอศึกษากับหลวงพ่อให้จงได้

ให้รู้กฎแห่งกรรมโดยวิธีปฏิบัติ เพราะเขารู้ไปหลายข้อแล้ว มาใหม่ ๆ พูดไทยไม่ได้ ตอนหลังพูดไทยได้หมด ขณะนี้กำลังทำหนังสือผ่านกรมการศาสนาไปเพื่อยืนยันกับรัฐบาลสิงคโปร์ว่า มาอยู่ที่วัดนี้จะได้ไม่ต้องเสียภาษี

เรื่องนี้น่าสนใจยิ่ง คณะผู้จัดทำจึงนำเรื่องพิสดารของเธอมาเสนอไว้ดังต่อไปนี้ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

 

บันทึกของผู้ปฏิบัติธรรมชาวสิงคโปร์ ถอดความโดย ดร.กิ่งแก้ว  อัตถากร

ดิฉันชื่อ ซูง้อ คุณย่าผู้ล่วงลับไปแล้วตั้งชื่อให้ดิฉัน

ดิฉันเกิดวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๔ (ค.ศ.๑๙๖๑) ในประเทศสิงคโปร์ ดินแดนที่มีหลายเชื้อชาติ และ หลายศาสนา

ดิฉันเป็นลูกคนกลางในท่ามกลางพี่น้อง ๗ คน

เมื่อดิฉันอายุ ๙ ขวบ ดิฉันเริ่มนั่งขัดสมาธิคนเดียวในห้องครุ่นคิดเกี่ยวกับปัญหาน่าสงสัยหลายอย่างหลายประการ เช่นว่า ฉันคือใคร? ใช่…ฉันคือ ซูง้อ แต่แล้วเธอเป็นใครเล่า? ทำไมตัว “ฉัน” จึงได้เกิดมา? แล้ว “ฉัน” เกิดมาเพื่อทำอะไรกันสำหรับชีวิตนี้?

ต่อมา เมื่ออายุได้ ๒๐ ปี ดิฉันเริ่มฝึกกำหนดลมหายใจเข้าออก พร้อมทั้งกล่าวบริกรรม “พุทโธ” ตามที่ได้อ่านพบในหนังสือ แต่เนื่องจากไม่มีครูบาอาจารย์แนะนำให้ปฏิบัติอย่างถูกต้อง ดิฉันจึงเจริญภาวนาต่อไปไม่ถูก เลยเลิกทำ

หกปีต่อมา ในฐานะที่ดิฉันมีความสนใจใคร่ศึกษาในเรื่องนี้ ดิฉันได้พบพระอาจารย์องค์หนึ่งจากหาดใหญ่ ท่านได้กรุณาสอนวิธีปฏิบัติแบบกำหนดลมหายใจ ดิฉันรู้สึกว่าดิฉันเรียนรู้ได้เร็วมาก ดิฉันถึงกับคิดว่า จะไปเข้ากรรมฐานที่สำนักของพระอาจารย์องค์นั้นที่หาดใหญ่ แต่หลังจากที่พระอาจารย์เดินทางกลับหาดใหญ่แล้ว ดิฉันไม่ได้ปฏิบัติต่อ ถึงกระนั้นดิฉันได้เริ่มเห็นแสงสว่างสำหรับชีวิตขึ้นบ้าง ในขณะเดียวกันก็เริ่มเห็นส่วนมืดมนของทางโลก ภาพเหล่านี้ทำให้ดิฉันสลดใจ บังเอิญดิฉันได้อ่านหนังสือบางเล่มที่เพื่อนคนหนึ่งหามาให้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ดิฉันเกิดความศรัทธา และเรียกตัวเองตั้งแต่นั้นมาว่า เป็นพุทธมามกะ

มีความสุขในร่มเงาพระพุทธศาสนา มีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ไม่กี่เดือนต่อมา เหมือนมี เสียง บอกย้ำในใจว่า ให้มาบวชเป็นแม่ชีที่ประเทศไทย ตอนนั้นดิฉันทำงานธนาคาร ในที่สุดดิฉันก็ตัดสินใจมาบวชในประเทศไทย ตั้งใจไว้ว่าจะบวช ๑ เดือน และหลังจากนั้นเข้ากรรมฐานฝึกปฏิบัติแบบเข้ม อยู่มาคืนหนึ่งประมาณสักหนึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงเที่ยงคืน อะไรก็ไม่ทราบแต่งตัวชุดสีขาว ได้หมุนตัวผละไปจากดิฉันอย่างรวดเร็ว ดิฉันรู้สึกกลัว เพราะไม่ทราบว่าเป็นอะไรแน่

ตอนนั้นดิฉันอยู่ในระหว่างใคร่ครวญ ว่าจะไปบวชที่วัดไหนดี จะไปวัดที่หาดใหญ่ หรือว่าวัดอัมพวัน (พี่ชายของดิฉันและเพื่อน ๓ คน เคยมาบวชที่วัดอัมพวัน) ปรากฏว่า คุณย่า (ผู้ล่วงลับไปแล้วถึงสิบปี) ได้มาเข้าฝันดิฉัน ท่านคงทราบว่าดิฉันควรจะไปบวชที่ใด ท่านแนะนำให้ดิฉันไปที่วัดที่พี่ชายของดิฉันเคยบวช เมื่อดิฉันสร้างกุศลแล้วอย่างนั้น ท่านขอให้ดิฉันอุทิศส่วนกุศลให้ท่านด้วย ขณะที่อยู่ในประเทศไทย ดิฉันตกลงตามที่ท่านขอร้อง

วันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๓๑ ดิฉันมาถึงวัดอัมพวันเป็นครั้งแรก เมื่อดิฉันได้พบ หลวงพ่อ ดิฉันรู้สึกปีติมาก ยิ่งเมื่อท่านรับให้ดิฉันบวชเป็นชีได้ทันที ดิฉันยิ่งมีความสุขอย่างที่สุด

ตอนปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๑ ขณะที่ดิฉันนอนพักและกำหนดสติไปด้วยนั้น คุณย่าที่ล่วงลับไปแล้วได้มาปรากฏให้ดิฉันเห็นอีก ในห้องที่วัดอัมพวันนั่นเอง ท่านเปิดประตูเข้ามาหน้าตาท่านอิ่มเอิบ ท่านพาผู้หญิงแก่มาด้วยคนหนึ่ง แต่เขายืนอยู่ข้างหลัง ห่างกันพอสมควรทีเดียว คุณย่าชี้มือบุ้ยใบ้มาทางดิฉัน เพื่อบอกกับผู้หญิงแก่คนนั้นว่า นี่แหละหลานสาวของฉัน ท่านยิ้มแล้วท่านก็ออกจากห้อง พร้อมทั้งงับประตูให้ด้วย

ดิฉันเดินทางไปสิงคโปร์ เมื่อตอนกลางเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๑ และดิฉันได้กลับมาวัดอัมพวันอีกครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๒ เพื่อมาปฏิบัติกรรมฐานต่อ โดยไม่มีกำหนดกลับ

 

(บันทึกเมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๓๒)

 

My name is Soo Ngoh given by my late grandmother. I was born on the 20th November 1961 in Singapore, a multi-races and multi-religions country. I am the middle child of the 7 children in the family.

At the age of nine. I started to sit cross-legged alone in my room and pondered on some puzzled questions. Who am I? I’m Soo Ngoh. Yes, but who is she? Why was ‘I’ born? What am ‘I’ supposed to in this life?

Later, at the age of 20, I began to meditate using breathing in and out method, i.e. “BUDDHO” which I learned from a book. Whit no proper guidance, it was impossible to continue and I stopped.

เยี่ยมชมวัดญาณสังวราราม ชลบุรี

Six years later, because of my keenness to learn, I met Phra Ajahn from Hatyai, who was very willing to teach me his breathing-cycle method. I was able to  adopt it very fast. Initially, I had thought of going for ‘meditation retreat’ in Hatyai under Phra Ajahn’s guidance. However, I had stopped practicing after he had left for Thailand. I began to see the brighter side and the darker side of the world. These sights upset me. I happened to pick up some books and read based on the “Teachings of the Buddha and the Dharma,” which were given by a friend. Eventually, I call myself a Buddhist.

A few months later, a “voice” seemed to be telling my mind to become a num (Mae-chi) in Thailand. I  was working in the bank at that time. Finally, I had made up my mind to become ‘mae-chi’ in Thailand even it’s only a month and the rest of the months in meditation retreat. On one night about an hour before midnight, something in white clothing turned away from me swiftly. As I did not get to see it clearly. I became frightened.

I was still contemplating which temple should I go? The wat in Hatyai or Wat Ampavan (my elder brother and his 3 companions were ordained here before). It was my late grandmother (she passed away 10 years ago) who appeared in my dream. She seemed to know where I should be going to become a nun. She advised me to go to the wat where my elder brother had ordained. Consequently, she requested me to do some good merits for her in Thailand and I agreed.

On the 24th April 1988, it was my first visit to Wat Ampavan. And when I met “Luang Phor,” my heart was filled with joy. When he readily accepted me to become ‘mae-chi’, my mind was full of happiness.

In late July 1988. while I was doing lying meditation, my late grandmother visited me in Wat Ampavan. She opened the door and entered my room. Her face looked very pleased. She brought another old woman along, who was standing a distance away from her, and pointed me to that old woman that I ma her granddaughter and smiled. She closed the door back gently and left.

I returned to Singapore in mid August 1988 and made a comeback indefinitely for further meditation in late May 1989.