ยาเทวดารักษาโรคลำไส้เน่า
โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
๒๐ มี.ค.๓๔
กรรมฐานนี่ละเอียดอ่อนมาก ถ้าคนมีโรคนะ อาจช่วยให้ทุเลาเบาบางหรืออาจหายได้ อาตมาขอเจริญพรด้วยใจจริง เมื่อสมัยก่อนอาตมาป่วยเรื่อย ๓ วันดี ๔ วันไข้ ต้องเข้าโรงพยาบาลไม่พัก ไม่มีความสุขเลยโยมเอ๋ย ตั้งแต่บวชใหม่ ๆ พรรษาแรก เป็นลมหน้ามืดยิ่งกว่าคนแก่อีก เดี๋ยวนี้อายุมากแล้ว สบายมาก โรคกายก็ไม่มี โรคใจก็ไม่มีด้วย โรคกายที่มีอยู่เดิมก็หายไปเหมือนปลิดทิ้ง ออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่หลังคอหัก
มา ๑๕ ปีแล้ว ไม่เคยเข้าไปอีกเลย ปวดหัวตัวร้อนเป็นนิดหน่อยเดี๋ยวก็หาย ตั้งสติสัมปชัญญะไว้มันก็หายไปเอง อาตมาหายได้ด้วยกรรมฐาน
อาตมาเป็นโรคลำไส้ ไปโรงพยาบาลศิริราช หมอบอกว่าพรุ่งนี้ผ่าตัด เขาบอกว่าไส้เน่าไปหลายฟุตแล้ว องค์นี้อยู่ได้อย่างไร ต้องตายแน่ ๆ หมอเขาปรึกษากันที่หน้าห้อง แต่อาตมาได้ยิน เอ๊ะ! เราจะตายเสียแล้วหรือ ไหน ๆ จะตายไปตายที่วัดดีกว่า อย่าอยู่ที่โรงพยาบาลเลย
แหม! โยมเอ๋ย ฉันน้ำเข้าไปหยดเดียวก็ไม่ได้ ตกถึงท้องดิ้นเลย ปวดจริง ๆ นะ ปวดท้องอย่างสุดซึ้ง ตอนนั้นอาตมานั่งกรรมฐานยังไม่เข้าขั้น พอเป็นพอไป พอมีกิจกรรมกรรมฐานบ้าง ยังไม่หนักแน่นเหมือนสมัยนี้
เอ! เราจะมาตาย ญาติโยมจะไม่เห็นหน้าเราแล้ว ได้ยินหมอเขาบอกว่าประมาณ ๙.๐๐ น. จะต้องผ่าตัด เราจะต้องหนีออกจากโรงพยาบาลไป ตายที่วัด ตอนเช้า ๖.๐๐ น. อาตมาตั้งดำรงสติให้ดี พอหมอ พยาบาลเผลอ เราก็เดินไปเดินมา เขาก็คงจะลืมไปแล้ว เลยขึ้นรถสามล้อตุ๊ก ๆ ไปลงเรือกลับวัด มานอนปวดอยู่ที่วัดต่อไป
ปวดแสนจะปวด นี่โรคลำไส้โรคกระเพาะอีก เพราะเราฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาก ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก ทรมานอย่างที่สุด เป็นยาเทวดา ท่านผู้พิพากษาเป็นมหาเปรียญเก่าได้เจริญกรรมฐานมาบ้าง เป็นลูกศิษย์เจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) วัดมหาธาตุ อาตมาเคยแนะแนวปฏิบัติแก่ท่านพอสมควร ชื่อ มหาเทียบ นองบุญนาค เปรียญธรรม ๖ ประโยค เป็นหัวหน้าศาลจังหวัดสิงห์บุรี เดี๋ยวนี้ตายไปแล้ว ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ ยาเทวดา ใครอยากจำก็จำเอาไป ท่านไปซื้อหม้อดิน เอาเกลือมา ๓ กำ ให้อาตมาจับเกลือกลั้นใจหยิบ ๓ จับไม่ได้หายใจ แล้วเทใส่หม้อ ท่านสอนให้ท่องว่า พุทธัง ปัจจักขามิ ๑ กำ ธัมมัง ปัจจักขามิ อีก ๑ กำ สังฆัง ปัจจักขามิ อีก ๑ กำ แล้วก็ใส่หม้อ แล้วท่านก็บอกว่าผสมกับไข่ขาวไข่ไก่ ๕ ฟอง ไข่แดงไม่เอา ท่านสตุเกลือเรียบร้อยจนละเอียดไปหมดแล้ว ปลงลงมาก็เอาไข่ขาวใส่แล้วก็คนให้เข้ากันท่องคาถา พุทธัง ปัจจักขามิ ธัมมัง ปัจจักขามิ สังฆัง ปัจจักขามิ เท่านั้นเอง
เสร็จเรียบร้อยก็นำมาให้อาตมาฉัน ๑ ช้อนคาว เป็นเกลือป่นสตุ แก้โรคลำไส้เน่า จะตายอยู่แล้ว พอใส่ปาก หัวหน้าศาลรีบหนีขึ้นรถจี๊ปบึ่งไปเลย โอ้โฮ! โยมเอ๋ย ปวดดิ้นอยู่ในโบสถ์ สลบไป ๓ ชั่วโมง พอฟื้นขึ้นมาอาศัยจิตเข้มแข็งจากกรรมฐาน รู้สึกโล่งใจเริ่มฉันน้ำได้บ้าง
รุ่งเช้าท่านผู้พิพากษามาฟังข่าว บอกว่าที่ผมรีบหนีไปไม่ได้นมัสการลา เพราะกลัวหม้อจะปลิวมาโดนผม อย่าลืมเชียวนะชีวิตที่เกิดมาไม่มีอะไรปวดเท่านี้ แต่อาศัยกรรมฐานสู้ไว้ ตั้งแต่นั้นหายวันหายคืนเรื่อยมาจนบัดนี้ ต่อมาหมอจากศิริราชมีจดหมายมา ถามว่าพระองค์นี้ ชื่อนี้ ตายไปหรือยัง ทำศพไปหรือยัง อาตมาก็ตอบไปว่า หายแล้ว หายด้วยยาเทวดา หมอมาถึงที่วัดเลย ขอจดยาไป พอดีแม่ยายหมอเป็นเสียด้วย เลยแม่
ยายหมอหายไปอีก ๑ คน ถ้าใครมีกุศลก็จำไป นี่อาตมานึกได้ก็พูดให้โยมฟัง
ใช้หนี้ไก่
ตอนนั้นเพิ่งมาอยู่ที่วัดอัมพวันใหม่ ๆ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลมาเยี่ยม ท่านบอกว่าไหน ๆ จะตายแล้ว ผมจะทำยาถวายหลังจากนั้นต่อมาก็แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศล จึงรู้ว่าเวรกรรมของเรามีเวรกรรมครั้งอดีต เมื่อเป็นเด็กนี่เอง จำได้แน่ชัด กรรมฐานบอกว่า ข้าพเจ้าลำไส้เน่า เป็นเพราะเหตุใดหรือ นิมิตบอก สติบอกว่า จำได้ไหม ตอนอยู่ชั้นประถมปีที่ ๔ ท่านไปฆ่าไก่ ไก่ยังไม่ตายแหวะท้องเอาไส้ออกมาผูก เอาไส้มันมาแล้วตัดไส้มัน แล้วเอาเข้าใส่ในพุงและปล่อยไก่ไป ไก่มันวิ่งหัวซุกหัวซุน ตายในที่สุด นี่จำได้ไหม
อาตมาก็รำลึกเหตุการณ์ครั้งอดีตเมื่อเป็นเด็กชั้นประถมปีที่ ๔ ได้ น้ำตาไหลทันที แหม! พิโธ่เอ๋ย เราคิดว่าไม่เป็นเวรเป็นกรรมแต่อย่างใด แต่กรรมกลับมาซัดตัวเราเองอย่างนี้ ต่อไปนี้จะไม่ฉันแกงไก่ต่อไปแล้ว ตอนเป็นพระเลิกฉันไก่ เลิกฉันเป็ด ฉันห่าน ไม่เอาแล้ว เราฆ่าสัตว์ไหนจะไม่ฉันสัตว์นั้น
นึกถึงเหตุการณ์ว่า เอาไส้มันมาแล้วก็รีดตัดไส้มันทิ้ง สนุกดี แหม! เสียใจจนบัดนี้นะ เราก็นึกว่า เออ! แผ่เมตตาให้ไก่ทุกวัน ๆ
สำไส้เราก็ดีขึ้นจนบัดนี้ นี่แหละโรคภัยไข้เจ็บ โยมนั่งกรรมฐานให้ดีเถอะ จะรู้ได้ว่ามันเป็นกรรมอะไร มันจะมาจากไหน สาวหาเหตุ มันจะบอก
เหตุการณ์ ทั้ง ๆ ที่มันลืมไปแล้ว เมื่อตอนเป็นเด็กเล็ก ๆ อยู่ชั้นประถมปีที่ ๔
นี่เวรกรรมตามสนองแน่ ๆ ถ้าเราไปสร้างความดีมากเท่าไร มักตามมาให้เราใช้มัน เหมือนพ่อค้า แม่ค้า ร้านค้า ยิ่งขายดิบขายดี เจ้าหนี้ก็มาทวง ถ้าเราขายไม่ได้เลย ไม่มีสตางค์เลย ไม่มีใครมาทวง ไม่มีใครมาขอแน่ ๆ
นี่ก็สรุปใจความได้ผลออกมาว่า สร้างความดีต้องมีอุปสรรค ท่านทั้งหลาย อย่าน้อยเนื้อต่ำใจนะ สร้างความดีมากเท่าไร อุปสรรคมาขัดขวางมากเท่านั้น ต้องสู้ต่อไปเพื่อใช้หนี้เขา
ข้อเท็จจริงเป็นประการใดขอเจริญพรว่า ถ้าเราเคร่งกรรมฐาน ตั้งสติอารมณ์ไว้ อาจจะทุเลาเบาบางไปได้บ้าง ถึงจำเป็นต้องตาย ให้มันตายเองเถอะ อย่าฆ่าตัวตายเลย จำเป็นจะต้องตาย เราตายอย่างสบาย จะไม่มีเวทนา จะได้เดินทางไปถูกต้อง เราจะไม่ไปอบายภูมิ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ฆ่าตัวตายไม่มีดีเลย พระพุทธเจ้าบอกบาปอย่างร้ายแรง ท่านทั้งหลายสอนลูกสอนหลาน อย่าฆ่าตัวตายนะลูกนะหลานนะ ถึงอย่างไรก็ต้องตายอยู่แล้ว ทุกคนต้องตายทั้งนั้น ไม่ต้องไปฆ่ามันหรอก
เพราะฉะนั้นการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จึงเป็นผลงานของชีวิตนั่นเอง ตัวกำหนดเป็นบทบาท สติปัฏฐานสี่นี่กำหนดไว้ ขอเจริญพร เดินจงกรมให้ได้ระเบียบ ไม่ต้องไปเอาความคิดอื่นมาใช้ขณะนี้ ต้องตัดปลิโพธกังวลเสีย ตัดกิจกรรมเสีย พอทำได้แล้ว กลับไปบ้านก็กำหนด เสียงก็กำหนด เห็นก็กำหนด คิดอะไรก็กำหนด คิดก่อน คิดหนอที่ลิ้นปี่ ตั้งสติเสียให้ดี ทำให้ถูกจุด รับรองคิดถูกต้อง คิดที่ออกมานั้นถูกต้อง คิดที่ผ่านมาครั้งอดีตนั้นผิดหมด มันออกมาอย่างนี้นะ นี่แหละเวรกรรมตามสนองอย่างไร กฎแห่งกรรมจะบอกชัด และการเจริญกรรมฐานมันจะแก้ได้ มันจะล้างมลทินได้ ล้างกรรมเก่าที่มีมานานแล้ว จะมีแต่โชคดี มีปัญญา คนที่ไม่เคยอุปถัมภ์ก็จะมาอุปถัมภ์ คนที่เป็นศัตรูกันจะกลับมาเป็นมิตร
เราก็แผ่เมตตาด้วยความดีของเราจากกรรมฐาน ไม่มีอะไรดีกว่า เป็นความดีอันดับหนึ่งคือบุญในตัวเอง สร้างบุญให้ตัวเอง คือกรรมฐาน ที่นำเงินไปทำบุญวัดโน้นวัดนี้ นั่นบุญประเภทสอง
ขอความสวัสดีจงมีแต่ญาติพี่น้องทั้งหลาย และจงงอกงามไพบูลย์ในพระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกประการ
เคราะห์อันใดที่มีอยู่ ขอให้หายไปด้วย พุทธัง ปัจจักขามิ ธัมมัง ปัจจักขามิ สังฆัง ปัจจักขามิ ให้ขาดกระเด็นไป โชคร้ายจงหลุดไป ขอให้โชคดี มีปัญญา สวัสดีมีชัย ประกอบกิจการอันใด ขอให้มั่งมีศรีสุข ในชีวิตของตนงอกงามไพบูลย์ในกิจการและหน้าที่สืบต่อไป
กรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร
กัมมะโน กัตถาโน กัมมะปัจเจกะพุทโธ พุทธังทั่วจักกะวาฬัง ธัมมังทั่วจักกะวาฬัง สังฆังทั่วจักกะวาฬัง อโหสิกัมมัง
ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศล จากการเจริญภาวนานี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินท่านไว้ ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ ท่านจะอยู่ภพใดหรือภูมิใดก็ตาม ขอให้ท่านได้รับผลบุญนี้ แล้วโปรดอโหสิกรรมและอนุโมทนาบุญแก่ข้าพเจ้า ด้วยด้วยอำนาจบุญนี้ด้วยเทอญ