เทพวัดอัมพวัน
โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
ที่วัดอัมพวันมีเทพไท้ปกปักรักษาและทำการช่วยเหลือในการต้อนรับสอนกรรมฐาน คนที่เคยเป็นญาติ หรือมีบุญเท่านั้นจะสัมผัสได้
มันเป็นเรื่องอัศจรรย์เมื่อครั้งที่ สปช.๑ พาครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ มาอบรมที่วัดอัมพวัน มีครูใหญ่แก่ ๆ กลุ่มหนึ่ง ๔-๕ คน อยากจะดื่มน้ำชาร้อน ๆ แต่พวกเด็ก ๆ ที่วัดชอบเอาน้ำชาไปใส่น้ำแข็ง ครูกลุ่มนั้นไม่ชอบ
ปรากฏว่า นายห้างทองย้อย ออกไปต้อนรับเอาน้ำชาร้อน ๆ ไปเลี้ยง ใส่เสื้อสูทชุดขาวแบบมาบวงสรวงตอนสร้างโบสถ์ มาด้วยกันสามคน๒ พอต้อนรับเสร็จแล้วก็เดินออกไป
ครูกลุ่มนั้นก็เดินออกไปถามพระที่เมรุว่า เห็นคน ๓ คนออกไปทางนี้ไหม พระก็บอกว่าไม่มี ไม่มีใครอยู่ที่นี่
เขาพากันเดินต่อมาถึงศาลาบำเพ็ญกุศล เห็นรูปอยู่ที่ศาลา ก็เลยชี้ให้ดูว่า คนนี้นี่เองที่นำน้ำชามาเลี้ยง
คนเราตายไปแล้วต้องเกิดเลยอาจเป็นเปรตหรืออสูรกายหรือเทพบางคนไม่เข้าใจนึกว่าเป็นผี เดี๋ยวนี้เขาเป็น เทพอันศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว
นายห้างทองย้อย ชโลธร สมัยเมื่อมีชีวิตอยู่ ได้ร่วมสร้างอุโบสถหลังใหม่ และสร้างพระประธานองค์ใหญ่ ประดิษฐานอยู่ในโรงอุโบสถ มีชื่อว่า “หลวงพ่อชโลธร” พระประธานองค์เล็กเป็นพระประธานเก่าแก่มาตั้งแต่อุโบสถหลังเดิมมีชื่อว่า “หลวงพ่อสำเร็จผล”
อาตมาทราบว่า นายดำ วานิช อยู่ที่ปากบาง มีกฎแห่งกรรมอยู่กับนายห้างทองย้อย จะต้องช่วยเหลือกันต่อไป
อาตมาบอกนายห้างทองย้อยว่า ให้นายดำ วานิช ขับรถให้ และบอกว่า “ใน ๗ วันนี้เป็นต้นไป นายห้างอย่าขับรถเองเป็นอันขาด” สติมันบอกว่านายห้างทองย้อยจะต้องถูกรถชนตาย
นายดำ วานิช พ่อแม่เป็นลาวพวน อยู่บ้านโพธิ์คา มีหนี้สิน นำนาไปจำนองจำนำหมด
พอดี เสธ. วสันต์ พานิช ลูกศิษย์วัดนี้ มีหน้าที่จัดคนไปรบที่เวียดนาม อาตมาเคยฝากลูกของยายที่บ้านเหนือ ชื่อโก๊ะ ให้ไปรบที่เวียดนามด้วย
นายดำ วานิช เป็นคนจน ขับรถให้คนที่ปากบางบ้าง มาขับให้อาตมาบ้าง เขาก็มาเล่าให้ฟังว่า “หลวงพ่อ ผมจนจัง มีที่นาพ่อแม่ก็นำไปจำนำจำนองหมด ไม่มีเงินจะไปใช้เขา”
อาตมาก็นึกขึ้นได้บอกว่า “พรุ่งนี้ เตรียมตัวไปซ้อมรบที่จังหวัดกาญจนบุรี แล้วไปรบที่เวียดนามต่อไป”
พอดี เสธ. วสันต์มาที่วัด จึงพูดกับเสธ. ให้ถอนนายโก๊ะออก ใส่ชื่อนายดำ วานิชแทน เพราะนายดำ วานิช เคยเป็นทหารมาแล้ว
รุ่งขึ้น คณะทหารก็บินไปเมืองกาญจน์ ฝึกแล้วบินต่อไปเวียดนามไปอยู่เวียดนาม ๒ ปี ได้เงินมาไถ่ที่นาให้แก่พ่อแม่หมด
ถึงเวลาแล้วที่นายดำ วานิช ต้องไปอยู่กับนายห้างทองย้อย ไปดูแลตอนนายห้างเจ็บป่วย นายดำ วานิช กลับจากเวียดนาม มีเงินทองมากมายเหล้าไม่ดื่ม บุหรี่ไม่สูบ เครื่องยนต์ กลไกเก่งมาก เขาไถ่นาเสร็จจะไปอยู่กับพี่ชายที่กรุงเทพฯ ไปทอดปาท่องโก๋ขาย ถ้าอาตมาไม่มีบุญคุณกับเขา ไม่มีทางที่จะยึดเขาไว้ได้
อาตมาเรียกนายห้างทองย้อยมาและบอกว่า นายห้างอย่าขับรถนะแล้วบอกนายดำ วานิช ให้ขับรถให้นายห้างทองย้อย เขาก็เชื่ออาตมา นายห้างดีใจใหญ่ นั่งสบายเลย เป็นผู้จัดการธนาคารกรุงไทย มีโรงสี ๒ โรง โรงน้ำแข็งใหญ่ ๑ โรง
ในที่สุดวันนั้นถึงคราวตาย คุณนายสุมาลย์ลืมที่อาตมาสั่ง ให้นายดำ วานิช ขับรถตู้ไปกรุงเทพฯ ไปซื้อต้นไม้เอามาปลูก นายห้างทองย้อย อยู่บ้านคนเดียว
พอดีมีโทรศัพท์เชิญด่วน ให้ไปเป็นกรรมการแข่งเรือยาว นายห้างตอบตกลง ลืมที่อาตมาสั่งไม่ให้ขับรถจัดแจงแต่งตัวใส่สูท ขับรถเบนซ์ออกไป
เวลา ๒ ทุ่ม หมดอายุ รถเหล็กบรรทุกดินของชลประทานจอดขวางทางอยู่ นายห้างไม่เห็น ขับความเร็ว ๑๒๐ กม/ชม. ไม่ได้เบรกเลย ชนท้ายรถตูม! คอเคลื่อน ปืนก็หาย แต่ยังไม่ตาย ความจริงต้องตายตอนนั้น
เหตุที่ยังไม่ตายเดี๋ยวนั้น เพราะอานิสงส์สร้างโบสถ์สร้างพระประธาน ยังให้อยู่อีก ๓ ปี ต้องการให้เปลี่ยนโรงสี โรงน้ำแข็งให้ลูกต่อไป
นายห้างไปรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ๓ ปี ก็นึกขึ้นได้ว่า “หลวงพ่อครับ ผมคิดจะขายเครื่องโรงน้ำแข็งทั้งหมด สั่งเครื่องใหม่มาจากเยอรมันและก็เปลี่ยนโรงสีให้สีข้าวได้มากขึ้น” พอเปลี่ยนเสร็จ ก็ตายพอดี
ตอนที่นายห้างทองย้อยเจ็บหนัก อาตมาไปเยี่ยม พอเห็นค่อยยังชั่ว อาตมาก็คุยบอกว่า “นายห้างทองย้อย ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างพระประธาน ทำบุญก็มาก ต้องมาโกนหัว ถ่วงคอ เป็นอัมพาต เพราะอะไร”
อาตมาดูกรรมฐาน คิดหนอ คิดหนอ เวรกรรมตามสนอง บอกมาทันทีว่า สมัยเมื่อนายห้างยังเป็นหนุ่ม ขับเรือรุ่งเรืองชโลธรโยงเรือวัว เรือควาย จากปากน้ำโพถึงกรุงเทพฯ
พอถึงตำบลบ้านแป้งก็จอดเพราะติดพันลาวบ้านแป้ง พวกญวนอยู่คนละฝั่ง (ใต้วัดอัมพวัน) นำเต่ามาขายให้จึงนำเต่ามาแกล้มเหล้า นายห้างเป็นคนทุบเต่าเอง ใช้ไม้แหย่ปากเต่าแล้วดึงหัวออกมาตีป๊อก!
พอเล่าเสร็จ นายห้างร้องไห้เป็นลมพับไป ฟื้นขึ้นมาก็บอกว่า จริงครับหลวงพ่อ ผมลืมไปแล้ว ผมทุบเต่าเป็นร้อย ๆ เวลาเรือโยงกลับมาแล้ว ก็มาค้างบ้านแป้ง ที่บ้านแป้งมีวิกลิเก วิกหนังสมัยเก่า
บ้านญวนที่อยู่ฟากโน้น บ้านลาวอยู่ฟากนี้ คนญวนพอรู้ว่าเรือลำนี้มาก็เอาเต่ามาขายให้เป็น ๆ ดึงหัวออกมาทุบโป๊ก! คุณนายและพวกลูก ๆ ไม่รู้เรื่องหรอก
พูดแล้วนายทองย้อยก็สะอึกสะอื้นบอกว่า “หลวงพ่อครับ รู้ได้อย่างไรนี่ ตอนผมเป็นหนุ่ม ๆ หลวงพ่ออยู่ที่ไหนก็ไม่รู้”
ตอนนั้นอาตมาก็ยังไม่ได้บวชสติมันบอก ถ้าสะสมไว้นานจะออกมาในรูปนี้
แม่กาหลงนี้ก็เป็นเทพ แต่ก่อนนี้เป็นเปรตมากับกุฏิที่วัดนี้ มานั่งเจริญกรรมฐานกลายเป็นเทพทันที
มีเรื่องเกี่ยวกับแม่กาหลงไปช่วยญาติทางภาคเหนือให้พ้นจากการฆ่าตัวตาย
เรื่องมีอยู่ว่า ครอบครัวหนึ่งฐานะร่ำรวยมาก อยู่กันมานานจนลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาว สำเร็จปริญญาตรี ปริญญาโททั้งนั้น
ต่อมาสามีไปมีภรรยาใหม่ เกิดมีปากเสียงทะเลาะกัน สามีก็ออกจากบ้านไป ภรรยาก็เลยเสียใจ จะกินยากะโหลกไขว้หวังจะฆ่าตัวตาย
พอยกแก้วจะดื่ม มีมือมาปัดแก้ว ยาหล่นจากมือ
ก่อนที่จะปัด มีความรู้สึกว่าเรือนหวั่น แล้วเข้าไปปัดปั้งเลย เขาก็ตกใจว่า เอ๊ะ! ใครมาปัดนี่ รูปร่างสวยเสียด้วย ผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่า
“น้อยไป! นี่เธอ ไม่น่าจะกินยาตายเพราะเรื่องสามีนิดเดียว มันเรื่องอะไรกัน ถ้าฉันไม่ได้เป็นญาติกับเธอฉันไม่มาช่วยเธอหรอก ถ้าฉันลงมาช่วยเธอไม่ทัน เธอตายนะ”
แล้วเทศน์สอนซะ ๑ กัณฑ์ บอกว่า สามีของเธอ มาคนละที่ใช่ไหม ขอสรุปใจความให้สั้นว่า จะขอลาละนะ เราจะรีบ ถ้าเธอไม่ใช่ญาติฉัน ฉันก็ไม่มาช่วยเธอ นี่เราเป็นญาติกัน จะไปนะ ขอให้อยู่เย็นเป็นสุขต่อไป
อย่าไปด่าสามี อย่าไปว่าสามี ถ้าขืนว่าอีก เราจะไม่มาช่วยเจ้าอีก เจ้าคงต้องกินยาตาย หรือผูกคอตายต่อไป เธอน่าจะมานั่งกรรมฐานบ้าง ไม่มีเลย
พอจะไป แม่เลี้ยงก็ถามว่า อ้าว! เดี๋ยว! คุณอยู่ที่ไหน
ผู้หญิงคนนั้นจึงบอกว่า “เราชื่อกาหลง อยู่วัดอัมพวัน สิงห์บุรี”