ประสบการณ์การปฏิบัติธรรม ตอนที่ ๑

โดย ศิษย์สิงห์บุรี

กรรมฐานแก้กรรม

คุณป้ายุพิน บำเรอจิต

ดิฉันได้ปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๘ มาถึงปัจจุบันนี้ จากประสงการณ์ครั้งแรก ชีวิตได้จากโลกนี้ไปแล้ว แต่กลับมีชีวิตคืนมาใหม่เพราะเจริญวิปัสสนากรรมฐาน

จึงได้อธิษฐานจิตกับหลวงพ่อและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ วัดอัมพวันนี้ว่า หากชีวิตข้าพเจ้ากลับคืนมา จะช่วยเหลือทางวัด และช่วยเผยแพร่ธรรมคำสอน และการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้มาช่วยหลวงพ่อแนะแนวการปฏิบัติธรรมแก่ผู้ที่มาอบรมเป็นหมู่คณะ และช่วยมาตลอดจนถึงทุกวันนี้

ต่อมา พ.ศ. ๒๕๓๓ มีอยู่วันหนึ่งขณะที่แนะนำการปฏิบัติธรรมอยู่บนศาลา มีความรู้สึกว่าปวดตา ปวดมากจนทนไม่ไหว จึงได้ลาหลวงพ่อไปเมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ไปตรวจที่โรงพยาบาล หมอได้ทำการตรวจแล้วก็นัดผ่าตัดวันรุ่งขึ้นเพราะบวมมาก

ดิฉันก็อธิษฐานจิตว่า “ข้าพเจ้ามีเวรมีกรรมสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ได้ทำกับสัตว์ทั้งหลายไว้ ขอได้โปรดอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด และได้โปรดอนุโมทนาบุญที่ข้าพเจ้าได้สั่งสมมาแล้วด้วยเถิด ข้าพเจ้าจะผ่าตัดตาในวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๓๓ อย่าได้มาจองเวรแก่กันและกันเลย

หมอบอกว่า ดิฉันเป็นต้อกระจกต้องผ่าตัดออก และใส่เลนส์ใหม่ และต้องนอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลระยะหนึ่ง นั่งไม่ได้

ดิฉันได้บอกกับลูกหลานว่า “เวลายายนอนพักห้ามรบกวน” ดิฉันก็นอนกำหนดปฏิบัติกรรมฐานอยู่เรื่อย ๆ

ขณะที่นอนปฏิบัติกรรมฐานที่โรงพยาบาล เห็นนิมิตเป็นปลามาว่ายผ่านไปมาอยู่ตรงหน้า พร้อมกันนั้นก็ระลึกได้ว่า           

            สมัยเมื่อดิฉันอายุ ๘ ขวบ ได้ไปตกเบ็ดในแม่น้ำหน้าบ้าน สมัยนั้นปลาไอ้อ้าวมีมาก ขึ้นอยู่ผิวน้ำเป็นฝูง ๆ พอเหวี่ยงเบ็ดไปก็ตวัดขึ้นทันที เพราะปลาแย่งกันกินเหยื่อ เบ็ดก็เกี่ยวตาบ้าง แก้มบ้าง แล้วก็จับปลาแกะจากเบ็ดปากปลาก็ฉีกบ้าง

            ตอนนั้นทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ว่าเราจะต้องได้รับกรรมอย่างไร แต่ตอนนี้ซาบซึ้งแก่ใจแล้ว

ในเวลาต่อมา ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ก็พยายามทำกรรมฐานเรื่อย ๆ อุทิศส่วนกุศลให้ปลา ขอให้เจ้าปลาจงมารับส่วนกุศลของข้าพเจ้าและขอได้โปรดอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วย

วันหนึ่งพอออกจากกรรมฐาน ก็อธิษฐานจิตแผ่เมตตาให้ปลา ก็ปรากฏ ปลามาว่ายที่หน้าผ่านไปผ่านมา มีความรู้สึกขึ้นมาว่า

อ๋อ! เราปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า การแผ่เมตตาใช้หนี้กฎแห่งกรรมได้ ปลาเขามารับอนุโมทนาแล้ว ก็อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ไม่มีเวรมีกรรมกันต่อไป

ในตอนต้นเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๔ ก็ยังคงพักผ่อนอยู่ที่บ้าน เวลาพักผ่อนก็ทำกรรมฐานไปด้วย

วันหนึ่งประมาณเที่ยงคืน มีอาการไม่รู้สึกตัว ช็อคไปเลย รู้สึกอีกครั้งหนึ่ง ไปเห็นญาติ ๒ คนในเมืองนรก กำลังขุดดินให้เป็นรูให้กว้างเพื่อทำที่อยู่

ก็เลยเข้าไปพูดกับญาติสองตายายว่า “มาทำอะไรอยู่ที่นี่

เขาตอบว่า “อ๋อ! มาขุดรูอยู่

คุณยายเคยเรียกดิฉันว่า “อีเล็ก” ก็พูดกับดิฉันว่า

อีเล็ก ไม่เอาสายบุ้งกี๋มาให้บ้างนี่ ไม่มีสายบุ้งกี๋จะหาบดิน

ดิฉันก็ถามว่า “ยายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

คุณยายก็ตอบว่า “ได้มาตกนรกอยู่ในเมืองนรก ต้องขุดรูอยู่

สมัยที่คุณตาคุณยายอยู่เมืองมนุษย์นั้น ยากจน รับจ้างขุดบ่อ บ่อกว้าง ๑ วา ยาว ๑ วา ลึก ๑ ศอก เวลาขุดก็โกงเขา คือปากบ่อได้ตามขนาดที่ต้องการ แต่ก้นบ่อสอบเข้า ไม่ได้ตามขนาดที่ต้องการ

เขาต้องไปตกนรกเพราะโกงขุดบ่อ และต้องไปขุดรูอยู่ด้วย ความลำบากยากเย็นเหลือเกิน

            เวลาใกล้จะแจ้ง ความรู้สึกตัวของดิฉันยังไม่มี ลูกหลานก็ปลุก เห็นว่าได้ใกล้เวลาจะใส่บาตรแล้ว

ดิฉันมีความรู้สึกว่า ได้มีเสียงแว่วแผ่วมาว่า “รีบส่งไป ใกล้จะแจ้งแล้ว” ดิฉันก็รู้สึกตัวขึ้นมา

ดิฉันได้ลาหลวงพ่อพักผ่อนอยู่ที่บ้าน อยู่ต่อมาถึงเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๓๕ ดิฉันมีอาการปวดท้องเป็นกำลัง หายใจไม่ทัน ได้โทรศัพท์ถึงน้องชายที่เป็นนายแพทย์อยู่โรงพยาบาลรามาธิบดี ว่าเป็นอย่างไร

น้องชายบอกว่า ลำไส้อุดตันชั่วขณะ ลูกก็พาเข้าโรงพยาบาล หมอได้ช่วยเหลือให้ลมหายใจ เอาสายยางเข้าทางจมูก เจาะเอาน้ำออกจากท้องรู้สึกว่าอาการปวดค่อยทุเลา

ต่อมาอาการก็ค่อย ๆ ดีขึ้น หมอได้ฉายเอ็กซเรย์ และบอกว่า ให้ลองทานยาดูก่อน ไม่ต้องผ่าตัด เป็นโรคลำไส้เล็กอักเสบและกระเพาะอักเสบ

ดิฉันยังต้องนอนพักผ่อนอยู่ ก็ทำกรรมฐานไปเรื่อย ปรากฏว่ามีภาพนิมิตอึ่งอ่างมาลอยอยู่ที่หน้า ก็ระลึกได้ว่า

เมื่อตอนที่ดิฉันอายุได้ ๘ ขวบได้ใช้จอบขุดดินตามป่าหญ้า บังเอิญจอบไปถูกอึ่งอ่าง ท้องมันก็ทะลักขึ้นมา ดิฉันเองก็รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เอาไม้ไปเขี่ยสาวไส้มันเล่น เป็นกฎแห่งกรรมทำให้ปวดท้อง ลำไส้อุดตัน

ดิฉันก็ได้ปฏิบัติธรรม อุทิศส่วนกุศลให้อึ่งอ่าง ขอให้อึ่งอ่างมารับส่วนกุศล และอโหสิกรรมต่อกัน อึ่งอ่างก็แปลกเหมือนกัน มารับอนุโมทนาในส่วนกุศลที่ดิฉันได้ทำไว้ และไม่มีเวรมีกรรมต่อกันอีก

ยุพิน บำเรอจิต

๖๙ หมู่ ๖ ต.ต้นโพธิ์ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี

 

ทุกขเวทนากับอดีตกรรม

คุณป้าเฮียง สุวิมล

          ดิฉันได้มาปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อในวันพระ และอยู่ปฏิบัติกรรมฐานที่วัดในช่วงเข้าพรรษา

เมื่อก่อนมีอาชีพขายสัตว์พวกปลา กบ แต่ปัจจุบันมีอาชีพตีเหล็ก

สมัยที่ขายสัตว์นั้น ฉันต้องทำกรรมมาก ปลาก็ต้องทำให้เขา กบก็จับมัดเอวเป็นพวง ปลาไหลก็ร้อยเป็นพวง ทุบหัว เอาแกลบถู แล้วหั่น มันยังไม่ตายก็เต้นกระดุ๊กกระดิ๊ก

เมื่ออายุ ๑๐ ขวบ ได้ตำข้าวในครก มีไก่มาจิกข้าวที่ฉันกำลังตำอยู่ ฉันก็ไม่เห็นเลยตำถูกคอไก่ มันร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วไปตายตอนหลัง

พอมาปฏิบัติมีเวทนาแรงกล้ามาก ปวดเหลือเกิน ปวดตรงหัวเข่า กำหนดไม่ไหวจนต้องร้องครางออกมา แม่สุ่มก็บอกว่า เป็นอะไรแม่เฮียง กำหนดปวดให้ได้ไม่เป็นไรหรอก

            ฉันก็กัดฟันกำหนดปวดไป ปวดมากขึ้น ๆ เกือบจะทนไม่ไหว ก็ปรากฏเป็นภาพเหมือนจอทีวี
เห็นไก่ตัวที่เคยเอาสากตำคอเขาตายเมื่อตอนอายุ ๑๐ ขวบ มายืนคอห้อยน้ำตาไหล เขาบอกว่า

เขาตายแล้วนะ เขาห่วงลูกเขาจังเลย เขากำลังมีลูกอ่อน

            และเห็นกบมานั่งที่หัวเข่าฉันแล้วพูดว่า

คุณเจ็บนะไม่เท่าฉันปวดหรอกนี่” แล้วกบก็หันก้นให้ดูและบอกว่า “ดูนี่ คุณมัดฉัน เห็นไหมนี่

แล้วก็เห็นปลาไหล ปรากฏเห็นเป็นพวงร้อยอย่างที่เคยทำ เห็นภาพตอนถูปลาไหล เฉือนคอแล้วก็หั่นมันก็กระดุ๊กกระดิ๊ก

ตอนนั้นฉันปวดหัวเข่ามาก น้ำตาคลอเบ้าจะไหลเสียให้ได้

แม่สุ่มก็บอกให้แผ่เมตตาให้เขาซิแม่เฮียง ฉันก็แผ่ให้ ไก่ยังคงยืนน้ำตาไหล กว่าจะไปได้ก็เป็นเวลานาน ฉันร้องไห้ใหญ่ สงสารเขาจังเลย ไก่นี่ฉันสะเทือนใจมาก

ขณะที่ปฏิบัตินั้น ปวดจนทนไม่ไหว เมื่อกรรมปรากฏแล้ว ปวดค่อยทุเลาลง แต่ก็ไม่หาย

ฉันมีเวรมีกรรมมาก พอฉันเกิดมาแม่ก็ตาย เดี๋ยวนี้ฉันเป็นโรคเข่าและโรคเวียนศีรษะ

ฉันว่าคนขายสัตว์นี่มีกรรมอย่างฉันทำกรรมไว้เยอะ มันก็มาผุดให้เห็น กรรมนี่มีจริง ๆ ตอนนี้ฉันไม่ขายปลาแล้ว ฉันต้องผ่าท้อง เพราะปวดมดลูก ต้องผ่าตัดมดลูกทิ้งไปแล้ว ทีนี้ฉันจะไม่ทำกรรมอะไรนะ สัตว์อะไรฉันไม่ทำทั้งนั้นแหละ ฉันปฏิญาณไว้ตั้งแต่ตอนผ่าท้อง

            จากที่กรรมมาปรากฏ ฉันก็ปล่อยกบไปเลย จำได้ว่ามีอยู่ ๖๒ ตัว ปลาไหลก็ปล่อย แล้วก็ไม่ทานอีกเลย เรื่องไก่ฉันก็ห่างไปแล้ว เพราะเป็นโรคปวดหัวเข่า เขาไม่ให้ทานไก่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยทานแล้ว

เดี๋ยวนี้ฉันตีเหล็ก ขายมีดอยู่ในตลาดทุกวัน ยกเว้นวันพระ และระหว่างเข้าพรรษาจะมาปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน

 

เฮียง สุวิมล

๑๘๕/๒๘ ต.บางมัน อ.เมือง จ.สิงห์บุรี

 

 

นิมิตเห็นวัดอัมพวันเป็นทองคำ

คุณป้าโกสุม ตังคอารีย์

            ดิฉันกับคณะศรัทธาที่ตลาดสิงห์บุรีได้มาฟังธรรมและปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันในวันพระทุกวันพระและในช่วงเข้าพรรษาจะหาโอกาสมาปฏิบัติธรรมที่วัดอย่างน้อย ๑ เดือน

ครั้งหนึ่งได้เข้ากรรมฐานที่วัดอัมพวัน รู้สึกมีความปีติมาก ตอนเย็นดิฉันดื่มน้ำขิงที่ชงเองเพียงอย่างเดียว แต่ก็ไม่รู้สึกหิว

ดิฉันอยู่ที่บ้านทรงไทยเพียงคนเดียว รู้สึกเงียบและสงบมาก ดิฉันเดินบ้างนั่งบ้างสลับกินไปเป็นระยะ ๆ ภายในห้องที่พัก พอวันพระก็เข้าโบสถ์ทุกครั้ง เพื่อฟังหลวงพ่อเทศน์

ท่านให้เดินจงกรม ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง ดิฉันไม่มีนาฬิกาดูเวลา ท่านก็ให้จุดธูปชั่วโมงละดอก เดินจงกรม ๑ ดอก นั่งสมาธิ ๑ ดอก ดิฉันก็ปฏิบัติเช่นนี้ทุกวันมิได้ขาด และดิฉันก็เดินวันละหลายครั้ง

หลวงพ่อบอกดิฉันว่า “โยมทดลองไม่เปิดพัดลมดูซิ ว่าจะเป็นอย่างไร ตายให้ตาย

ดิฉันก็ทดลองดู ไม่เปิดพัดลมทั้งเดินและนั่ง รู้สึกว่าร้อนมากเพราะอยู่ในห้องคนเดียว เหงื่อไหลออกท่วมตัว

ดิฉันปฏิบัติอยู่เดือนครึ่ง พอจะกลับบ้านดิฉันก็ปฏิบัติต่ออีก จนถึงเวลาสามหรือสี่โมงเย็น ดิฉันก็แผ่เมตตา

พอลืมตามองในวัดก็เห็นเป็นทองคำ เหลืองอร่ามไปหมดทั้งวัด ดิฉันตั้งสติว่าเห็นหนอ ๆ ยกมือขึ้นไหว้ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยประสบมาเลยในชีวิต

            ตอนที่ดิฉันเห็นเป็นทองคำนั้น ศาลายังไม่ได้รื้อ หลวงพ่อก็ยังไม่ได้เป็นท่านเจ้าคุณ ดิฉันได้ไปเล่าให้แม่ใหญ่ฟัง แม่ใหญ่บอกว่าดี ปฏิบัติได้สูง คนอื่นเขาหลับตาเห็น นี่ลืมตาเห็น

ดิฉันรู้สึกดีใจ จึงพูดกับแม่ใหญ่ว่า วัดหลวงพ่อจะรุ่งโรจน์ต่อไป

อยู่มาไม่กี่เดือน หลวงพ่อก็ได้เป็นท่านเจ้าคุณ และศาลาก็รื้อสร้างใหม่ สร้างได้เร็วอย่างปาฏิหาริย์ ดิฉันได้เฝ้าดูสิ่งก่อสร้างของหลวงพ่อซึ่งท่านได้สร้างอีกหลายอย่าง เช่น โรงเรียนปริยัติธรรม ห้องกรรมฐาน ศาลาพักร้อน ฯลฯ ตามที่ดิฉันคิดไว้ก็เป็นจริง

อยู่ต่อมาอีกหลายเดือน ดิฉันได้ล้มป่วยลง เพราะดิฉันไปบำเพ็ญประโยชน์ให้วัดประโชติการาม
นำผู้ศรัทธาสร้างศาลาและปฏิสังขรณ์หลวงพ่อทรัพย์ หลวงพ่อสิน หาเงินปิดทองให้หลวงพ่อทั้งสององค์ และสร้างศาลาใหญ่สำหรับทำบุญ หลวงพ่อได้ช่วยทุกปี

ดิฉันต้องจัดทอดกฐิน เพื่อจะได้หาเงินสมทบ สร้างศาลาให้เสร็จ

วันหนึ่งดิฉันจะไปดูว่าเขาทาสีเสร็จหรือยัง กำลังยืนหวีผมอยู่ ขาก็อ่อนลง ๆ ไม่มีแรง ดิฉันลงนั่งบีบขาอยู่สักครู่ก็หลับไป

พอตื่นขึ้นมาดิฉันก็ไปวัดจนได้ พอไปดูแล้วเห็นว่าสวยดี จึงเดินมาจะกลับบ้าน พอจะขึ้นรถก็ยกขาไม่ได้จึงให้ช่างปิดทองมาส่งที่บ้าน

รุ่งขึ้นดิฉันเดินไม่ได้ ลูกชายได้โทรศัพท์บอกพี่สาวน้องสาวที่กรุงเทพฯ น้องสาวก็นำรถมารับไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ ทันที

ดิฉันเดินไม่ได้ จึงตั้งจิตไปที่ห้องกรรมฐาน อธิษฐานขอให้หายทันเข้าพรรษา จะไปเข้ากรรมฐานทันที

ดิฉันได้อธิษฐานจิตว่า ถ้าหายจากการเจ็บป่วย ดิฉันจะขอไปนมัสการสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ที่ประเทศอินเดีย และดิฉันก็ได้ไปประเทศอินเดีย สมความปรารถนา

ดิฉันได้เข้าโรงพยาบาลได้ ๓ วัน แล้วออกมานอนพักฟื้นที่บ้านลูกสาวที่กรุงเทพฯ อยู่ได้ไม่นาน
ก็เข้าพรรษา ดิฉันจะมาเข้ากรรมฐานให้ได้

ลูก ๆ ก็บอกว่า “คุณแม่หายใหม่ ๆ อย่าเพิ่งไปเลย” ดิฉันก็บอกว่า “แม่ต้องไป เพราะแม่ได้อธิษฐานจิตไว้แล้ว

หนูสมประสงค์ก็เป็นห่วงบอกว่า “คุณป้าอย่าเพิ่งมาเข้าเลย เพราะหายป่วยใหม่ ๆ

ดิฉันตั้งใจแน่วแน่ที่จะมา พอมาเข้ากรรมฐานได้หลายวันก็ลงไปเดินจงกรม เดินได้พักใหญ่ รู้สึกปวดท้องมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ดิฉันก็ปักจิตไปที่ท้องตรงที่ปวดกำหนดว่าปวดหนอ ๆ ๆ ก็ไม่หาย ยิ่งปวดมากขึ้น จึงได้เข้ามาในห้องพัก  นอนกำหนดจิตอยู่พักใหญ่ รู้สึกเพลียจึงม่อยหลับไป

พอลืมตาเห็นเป็นก้อนสี่เหลี่ยมสีขาว ดิฉันตกใจมาก พอระลึกได้กำหนดจิตว่าเห็นหนอ ๆ ๆ แล้วก้อนนั้นได้เลื่อนออกมาทางปลายเท้า

ดิฉันได้ไปบอกแม่ใหญ่ แม่ใหญ่บอกว่าโรคภัยไปหมดแล้ว ดิฉันก้มลงกราบแม่ใหญ่ รับพรของผู้ทรงศีล

 

โกสุม ตังคอารีย์

โรงพิมพ์ไทยอารีย์ สิงห์บุรี

ตั้งใจปฎิบัติธรรม

 

 

เทพเตือนสติ

คุณป้าโปร่ง ศิริกุล

ก่อนฉันจะมาเข้าวัด ฉันมีเรื่องเสียใจ ทำการค้าไม้แล้วขาดทุน มีเงินสี่สิบห้าสิบหมื่นก็หมด ทองก็หมด
นายี่สิบไร่ก็หมด เหลือเงินเพียง ๑,๐๐๐ บาท สามีก็แยกกันไป ฉันก็อยู่กับลูกอีก ๒ คน

ฉันไปซื้อน้ำมันระกำจะกินตอนลูกไปโรงเรียน ฉันก็อยู่คนเดียว พอจะกินทีไรก็หาวว้อด ว้อด หลับไป แล้วมีเสียงบอกว่า

อย่าฆ่าตัวตายนะ ฆ่าตัวตายต้องไปฆ่าถึง ๕๐๐ ชาติ ถึงจะหมดกรรม ตายเองไม่ได้นะ” ฉันก็เลยเลิกได้ยินเป็นเสียงผู้ชาย ทุกวันนี้จะทำบุญอะไรก็แล้วแต่ ฉันต้องแผ่เมตตาให้เขาเสมอ

หยุดไปได้ ๖-๗ วัน จะกินอีกพอจะรินก็หาวว้อด ๆ หลับไปอีกเสียงนั้นก็มาบอกอีกว่า

อย่าฆ่าตัวตายนะ ฆ่าตัวตายนี่บาปมากเชียว” ตอนนี้ฉันไม่ฆ่าแล้ว

ตอนกลางคืนลูกหลับ ฉันก็ร้องไห้ มีคนมาบอกฉันว่า “ไม่ต้องเสียใจหรอก อีกหน่อยเงินที่เสียจะได้คืนทุกบาททุกสตางค์ อย่าเสียใจ ให้สร้างความดี

ฉันก็ไม่กล้าบอกใคร แม้ลูกฉันก็ไม่กล้าบอก

ตอนนั้นฉันก็ไปปิ้งข้าวโพดขาย ลำบากลำบนขายทั้งกลางวันกลางคืน ฉันก็อุตส่าห์ทำมาหากินเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำอย่างไรถึงจะได้มีเท่ากับที่เสียไป

ฉันขายของมาปีนี้เป็นปีที่ ๔๐ แล้ว ฉันก็ได้เงินคืนมากกว่าเก่าอีกขายได้ก็ฝากธนาคาร

ฉันก็บอกเทวดาว่า “เออนี่! จริงของเธอบ้านฉันไม่ใหญ่ไม่โตแต่มีเทพอยู่ ฉันร้องไห้ทีไร เขาจะมาบอกว่าอย่าฆ่าตัวตายนะ” ใคร ๆ เห็นฉันกลุ้ม ไม่มีสติ ก็คิดว่าฉันจะต้องเป็นบ้า แต่ฉันไม่เป็น ฉันเข้าวัดปฏิบัติธรรม

เมื่อก่อนฉันไปปฏิบัติที่วัดคีรีวงศ์ ปากน้ำโพ กับอาจารย์มหาบุญรอด แต่ตอนหลังได้มาปฏิบัติที่วัดอัมพวัน เพราะใกล้กว่า

ตอนมาปฏิบัติที่วัดอัมพวัน ก็รู้ว่า มันไม่เที่ยง มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรารู้เห็นสังขารไม่เที่ยง ใจมันรู้เองนะ ไม่ได้มีใครมาบอกฉันนะ ฉันนั่งน้ำตาไหลคนเดียว

ทำกรรมฐานนี่ต้องใช้สติทั้งนั้น เผลอนิดหนึ่งก็ไม่ได้ สติต้องกำกับควบคุมอยู่เรื่อย อะไรมาทางไหนก็กำหนด มาที่หูก็กำหนดที่หู มาที่ตาก็กำหนดที่ตา ต้องมีสติตลอดเวลา เผลอไม่ได้ เราก็รู้ตัวเราอยู่

แม่ฉันตายไป ๑๐ ปีแล้ว วันหนึ่งนั่งกรรมฐาน มีนิมิตเห็นผีเสื้อตัวใหญ่ ไม่ใช่ผีเสื้อธรรมดา ใจก็รู้ว่า “อ้อ แม่ฉันนี่” ฉันก็ยกมือไหว้ผีเสื้อ บอกว่า “แม่ไม่น่าไปเกิดเป็นผีเสื้อเลย แม่ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้” แล้วฉันก็กรวดน้ำ แผ่เมตตาให้

วันหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ที่บ้าน เกิดความรู้สึกว่านั่งบนศาลาหลังใหญ่จุคนได้ประมาณสองพันคน มีคนนั่งเต็มไปหมด มีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิง ผู้ชาย

ศาลาสูงหลายต้นลำตาลแต่ไม่มีเสา ไม่มีบันได พอเลิกนั่งกรรมฐานแล้วฉันจะลงก็ลงไม่ได้ ก็เลยก้มมองดู ต้องก้มลงมามากถึงจะเห็นคนและบ้านเรือน

            ฉันก็เลยนั่งแผ่เมตตา รู้สึกตัวว่านั่งสมาธิอยู่ที่บ้าน พอวันพระไปถามแม่สุ่ม

            แม่สุ่มบอกว่า ที่เห็นนะไม่ใช่ของต่ำนะ เป็นของสูง ไปนั่งกรรมฐานกับพวกเทพเขา

            เดี๋ยวนี้ฉันก็รู้แล้วว่าเกิดมาทุกข์ ไม่เที่ยง เราต้องละวาง ปฏิบัติต่อไปให้พ้นทุกข์

ถึงเวลาช่วยลูกก็ช่วย แต่เวลาปฏิบัติ เราต้องปฏิบัติ เราต้องทำที่บ้านด้วย เพราะที่วัดมีเวลาน้อย อยู่บ้านมีเวลานั่งได้นาน ฉันเคยนั่งตั้งแต่ตี ๑๒ ถึงตี ๔ มีสติกำหนดรู้บ้าง ไม่รู้บ้าง บางครั้งพองยุบก็เงียบหายไป กว่าจะรู้ขึ้นมาใหม่ กำหนดรู้หนอ ประมาณ ๑๒ ครั้ง จึงมีความรู้สึกแรงเหมือนเดิม

เวลานั่งฉันมีเวทนา แต่ฉันไม่กลัว เรามีสติรู้ อะไรเกิดตรงไหนก็รู้ ขาดสติไม่ได้ กำหนดจนกว่าจะหาย บางทีก็หายเร็ว บางทีก็หายช้า หายแล้วฉันถึงจะเลิก

เมื่อถึงเวลาเลิก กำลังมีเวทนาเกิด ทำอย่างไรฉันก็ไม่เลิก นั่งต่อไปจนกว่าจะกำหนดให้หายแล้วถึงจะเลิก

บางทีฉันนั่งสบายใจดี นั่งได้ ๔-๕ ชั่วโมง สมัยก่อนในวันพระฉันมานั่งในโบสถ์ถึงตี ๑ ตี ๒ นะ ถึงจะกลับบ้าน เพราะหลวงพ่อท่านเทศน์สอบอารมณ์ตอนกลางคืนอีกครั้งหนึ่ง

 

โปร่ง ศิริกุล

๑๒๙/๑ ต.บางพุทรา อ.เมือง จ.สิงห์บุรี