เห็นธรรมด้วยตนเอง
โดย บุญส่ง อินทวิรัตน์
คุณบุญส่ง อินทวิรัตน์ ได้ปฏิบัติกรรมฐานตามหลักพระพุทธเจ้าสอน คือ “ทางสายเอก” แสดงว่า คุณบุญส่ง อินทวิรัตน์ ได้เห็นธรรมด้วยตนเอง “ปัจจัตตัง เวทิตัปโพ วิญญูหิ” รู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น เป็น อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา มองเห็น อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต
อาตมาขออนุโมทนาคุณบุญส่งที่ อ่านตัวออก-บอกตัวได้-ใช้ตัวเป็น นี้คือความถูกต้องแล้ว -มองเห็นตัวตาย นี่คือ ความเกิด-ดับทุกขณะลมหายใจแล้ว
ขอเชิญทุก ๆ ท่านเข้ามาพิสูจน์ ความถูกต้องกันต่อไปเถิด
พระภาวนาวิสุทธิคุณ (หลวงพ่อจรัญฯ)
แสงธรรมผ่องอำไพ
ข้าพเจ้าและภรรยา นายบุญส่ง-นางพรศรี อินทวิรัตน์ กราบบูชานมัสการท่านหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณ วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี เป็นปณิธานศรัทธา ที่จักได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ได้มีโอกาสทำบุญอะไรสักอย่างที่เป็นถาวรวัตถุและใช้ประโยชน์เกื้อกูลงานปฏิบัติธรรมภาวนา
ข้าพเจ้ามีภูมิรู้น้อย แต่ศรัทธาในองค์พระตถาคตอย่างไม่รู้แปรปรวน จะเกิดอีกกี่พันชาติก็ขออธิษฐานทุกภพ ทุกชาติ ขอให้ได้มีโอกาสเจริญสมาธิภาวนา เข้าใกล้พระพุทธศาสนา ได้เกิดในปฏิรูปเทสอันปรากฏพระพุทธศาสนา เป็นที่พึ่ง
มีหลายแง่หลายมุมที่ปรากฏในคำสอนของหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณ ที่จี้จุดปลิดวิญญาณและปลุกวิญญาณ ที่ถูกสาปให้กลายเป็นหิน ของข้าพเจ้าให้ตื่นขึ้นมา เหมือนดอกบัวมุดโคลนตมโผล่ขึ้นมารับละอองไอของอรุณรุ่งกับ แสงทองแสงธรรมผ่องอำไพ เมื่อได้สัมผัสคำสอนและวิธีสอนของหลวงพ่อจรัญ
หลวงพ่อจรัญเอ่ยถึงบางตอนว่า นึกเป็นอดีตของรู้ ต้องนึกคิดก่อน พอตัวรู้มันเกิด ตัวนึกมันเป็นอดีต เมื่อสติเลื่อนไหล ขณะเดินจงกรม ยืนจงกรม สติเลื่อนไหลจากกลางกระหม่อมลงสู่เบื้องปลายเท้า ที่ผ่านมานั้นเป็นอดีตแล้ว เมื่อย่างเท้าซ้ายย่างหนอ พอขยับขวาย่างหนอ ซ้ายเป็นอดีตไปแล้ว ครั้นมาถึงวิธีอธิบาย เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ข้าพเจ้า ได้พบ ได้ฟังหลายสำนักอาจารย์สอนและเทศน์ แต่อธิบายไม่รู้เรื่อง
จนกระทั่งข้าพเจ้าได้มาพบคำอธิบายขยายความของหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณ ตรงรอยเชื่อมต่อพรมแดน เกิดตายหรือองค์แห่งภพ ระหว่างพรมแดนเกิดและพรมแดนตายที่มาประชิดติดกัน ทิ้งช่วงห่างกัน จังหวะพอดิบพอดี ของจุดเชื่อมต่อพรมแดนเกิดและตาย คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันมีช่องว่างและช่องประชิดอยู่ในจังหวะนี้ ตรงจุดนี้ ปรากฏมีองค์แห่งภพ ว่างในว่าง ประชิดเป็นรอยเชื่อมต่อจังหวะอย่างเหมาะเหม็งพอดิบพอดี ทำให้คนเราไม่รู้สึกตัวว่า ตนเองตายอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก และตนเองเกิดอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก
เหมือนกับวิชาหลักกลศาสตร์ ที่ลูกตุ้มถ่วงน้ำหนักมันอาศัยแรงโน้มถ่วงของโลกของจักรวาล ลูกตุ้มถ่วงน้ำหนักสามารถขับเคลื่อนกลไกฟันเฟืองให้หมุนไปตลอดชั่วนาตาปี ไม่ต้องหยุดเลย ไม่ต้องใช้เชื้อเพลิง ไม่ต้องใช้เครื่องยนต์ ฉุดขับลากดึง ลักษณะ ๓ เส้าของจุด เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และองค์แห่งภพของคำว่า ภวังค์
ตรงจุดนี้ ข้าพเจ้าสว่างลุกโพลงของดวงปัญญา สว่างไสวอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน นับแต่เกิด ก็เพิ่งจะมาพบวิธีการอธิบายแยบยล ด้วยกุศโลบายง่าย ๆ เรียบ ๆ แต่ลุ่มลึกถ้วนถึง สว่างเหมือนใครเอาดวงอาทิตย์ไปวางไว้ในกลางวิญญาณของข้าพเจ้าเลยทีเดียว
แต่ก็มิได้หมายถึงว่าข้าพเจ้าทึกทักเอาว่า รู้แล้ว รู้แล้ว เปล่าเลย ข้าพเจ้ายังพลาดหลายจุดหลายประเด็น จึงปรารถนาเข้าใกล้พระภาวนาวิสุทธิคุณ คงถึงเข้าสักวัน
โทรจิตถึงหลวงพ่อ
ความตั้งใจจริงนั้น ข้าพเจ้าปรารถนาจะไปกราบนมัสการหลวงพ่อด้วยตนเอง แต่ติดข้องด้วยวิบากกรรม ข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคหัวใจ ส่วนคุณพรศรี ภรรยาของข้าพเจ้า ก็ป่วยเป็นโรคกระดูกข้อเสื่อม กล้ามเนื้อเกร็ง เป็นวิบากกรรม เจ้ากรรมนายเวรเขาตามมาทวงหนี้ก็ชดใช้เขาไป แต่ไม่เคยคิดทำชั่วตอบแทน นึกแต่ว่าชดใช้หนี้กรรม ขอตั้งจิตอธิษฐาน สร้างกุศลผลบุญ ได้ทำบุญทำประโยชน์ให้เป็นเครื่องทดแทน แสดงกตัญญูกตเวทิตาคุณต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งการทำบุญเท่านี้เห็นจะได้เพียงฝุ่นละออง เมื่อเทียบกับวิบากกรรม แต่ก็จักขอตั้งปณิธาน ชดใช้เขาไปเรื่อย ๆ คงถึงเข้าสักวัน สิ้นสุดเวรกรรม หลุดพ้นภพชาติกันเสียที
ก็เพราะป่วยไข้ จึงยังไม่สามารถมากราบหลวงพ่อด้วยตนเอง เท่าที่ทำได้คือส่งปัจจัยมาถวาย แต่นึกเอาเองว่าหลวงพ่อทราบด้วยญาณแก่กล้า คงอภัยที่ไม่ได้มาถวายด้วยตนเอง อธิษฐานจิตขอให้ได้มีโอกาสมากราบหลวงพ่อสักวัน ก่อนจะถูกเผาเป็นขี้เถ้าละลายคืนแม่ธรณี
ข้าพเจ้าได้แอบอธิษฐานจิต ใช้วิธีส่งโทรจิตติดต่อกับหลวงพ่อวันละหลาย ๆ ครั้ง หลังเดิน ยืน นั่ง ทำสมาธิแล้ว จะใช้วิธีส่งกระแสจิต โทรจิตติดต่อกับหลวงพ่อที่วัดอัมพวันและเลือกให้กระแสจิตไปพบเห็นหลวงพ่อได้จังหวะว่างพอดี ทำอย่างนี้ติดต่อกันมาตั้งแต่วันที่ ๑๑ พ.ค. ถึง ๒๓ พ.ค. ๓๕ ได้รับคำตอบจากหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณ ท่านจะเชื่อหรือไม่ว่า โทรจิตสื่อสารทางจิตเป็นของจริง มีจริง ทำได้จริง ถ้าไม่เชื่อ ต้องลองปฏิบัติสมาธิ
ทางสายเอก ปัจจัตตัง
รูปแบบการสอนธรรม เจริญสมาธิภาวนา วิปัสสนากรรมฐาน ก็มีหลากหลาย ข้าพเจ้าได้ศึกษาค้นคว้าจากหนังสือมาหลายสำนัก ฟังคำอธิบายมาบ้าง จนแล้วจนรอดก็ยังมีปัญญาแค่หางเต่าแค่หางอึ่งอยู่เท่าเดิม ทั้ง ๆ ที่จิตใจ รักทางฝึกสมาธิ
แล้วมาสนใจมาใฝ่หาหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณ เพราะได้ดูโทรทัศน์รายการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง ข้าพเจ้าชอบอกชอบใจลีลาการเทศน์ของหลวงพ่อมาก ท่านเทศน์แบบชาวบ้านพูดกับชาวบ้านมนุษย์พูดกับมนุษย์ ไม่ใช่แบบหอคอยงาช้างพูดกับคนข้างล่าง
จากนั้นก็ไปติดตามหาหนังสือตามแผง ใครเขาเขียนถึงหลวงพ่อจรัญ มีกี่เล่มหาซื้อมาอ่าน กี่สำนักก็ซื้อมาอ่าน ไม่จุใจ มาถึงอกถึงใจเอาก็ตอนที่ได้มาซื้อหนังสือ กฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อ ได้จากร้าน “ดวงกมล จังหวัดขอนแก่น” ซื้อมาประมาณสิบเล่ม อ่านเล่มละไม่ต่ำกว่า ๓๐ จบ อ่านชนิดแกะกันออกมาคำต่อคำเลย ทุกเล่ม ทุกฉบับจะอ่านอย่างน้อย ๓๐ จบ ทวนกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น
จากนั้นก็เอาหนังสือไปทำบุญเผยแผ่ให้ท่านผู้อื่นเขาได้อ่านกันต่อไป และตั้งปณิธานไว้ด้วยกันสองสามีภรรยาว่า จะส่งเงินปัจจัยไปช่วยหลวงพ่อจรัญในการจัดพิมพ์หนังสือ กฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติเรื่อยไปจนถึงห้าหมื่นบาท โดยวิธีทยอยส่งไปครั้งละมากบ้างน้อยบ้าง ขณะเขียนนี้ส่งงวดแรกไปทำบุญแล้วหนึ่งพันบาท และงวดสอง สามร้อยบาท เหตุใดจึงศรัทธาแข็งแรงนัก คอยตามดูว่าข้าพเจ้านึกคิดกับแง่มุมที่หลวงพ่อจรัญเทศน์ ทั้งในโทรทัศน์และหนังสือ มีอย่างไรบ้าง
ก่อนอื่นต้องขอกราบขออภัยที่ข้าพเจ้าเอ่ยถึงพระภาวนาวิสุทธิคุณด้วยการขออนุญาตเรียกหลวงพ่อจรัญ รู้สึกใกล้ชิดดี เหมือนไปนั่งอยู่ที่กุฏิท่าน แต่พอใช้คำว่า พระภาวนาวิสุทธิคุณแล้ว เหมือนไม่เห็นหน้าหลวงพ่อ
ที่ใครเห็นหลวงพ่อจรัญยิ้มตรงที่เห็นข้อเขียนของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้ากลับปลงอนิจจังตัวเอง หลวงพ่อช่างมีเมตตาจิตเปี่ยมล้นแท้หนอ ที่เมตตาให้เขียนเล่าประสบการณ์เจริญสมาธิภาวนา ทั้ง ๆ ที่ข้าพเจ้ายอมรับสารภาพว่า ตนเองปัญญาทึบ
เรื่องมีดังนี้ เดิมทีข้าพเจ้าใช้วิธีเจริญสมาธิ เดินจงกรมทุกวัน ๒ ทุ่ม และ ๕ ทุ่ม และนั่งทำสมาธิและยืนทำสมาธิ สลับกันไป แต่ทำทุกวันต่อเนื่อง นั่ง ยืน เดิน นอน ทำสมาธิหมดทุกอิริยาบถ จนกว่าจะหลับไป กลืนข้าวก็ทำสมาธิทุกคำไป
ค้นลึกในปฏิจจสมุปบาทมาก็หน่วงหนัก ก็ยังโง่ทึบอยู่อย่างนั้นทั้ง ๆ ก็รู้ ๆ ว่าปฏิจจสมุปบาทเป็นหัวใจ แสดงตนเป็นพุทธมามกะ ฝึกสมาธิก็หลายวิธี ปรมาจารย์ที่ฝึกสอนเผยแผ่วิปัสสนากรรมฐาน เจริญสมาธิภาวนา ดีทุกสำนัก ประเสริฐ แต่ว่าจริตของข้าพเจ้าไม่ถูกสเป็คก็อาจจะเป็นได้ จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นเหนือเห็นใต้ อาจารย์ทั้งหลายท่านอธิบายดีแสนดี ข้าพเจ้าก็ไปไม่รอดอยู่นั่นแล้ว เกือบท้อแท้ หมดกำลังใจ กำลังทำอาการใจฝ่อแล้วว่าโอ้ชาตินี้ เราคงไม่มีบุญวาสนา ได้เข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นแน่แท้แล้วหนอ
ก็อ่านหนังสือกฎแห่งกรรมธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณ อ่านเรื่อยไปเล่มละ ๓๐ จบ บางเล่มอ่านซ้ำถึง ๕๐ จบ ชนิดไม่ให้หลุดสายตา ไม่ให้หลุดพ้นจากสติ กลั่นกรองทุกคำทุกพยางค์เลยทีเดียว พิมพ์ผิดกี่คำ ไม่ต้องให้ใครตรวจปรู๊ฟ ข้าพเจ้าใช้วิญญาณถอดวิญญาณใส่ลงไปอยู่ในอักษรทุกคำเลยทีเดียว อ่านมาอ่านไป เจอเข้าให้หลายจุดในคำอธิบายธรรมะ พองหนอ ยุบหนอ ของหลวงพ่อ จะยกตัวอย่างให้ลอยเด่นเห็นกันชัด ๆ เลย
“ความนึกคิดเป็นปัจจุบันพอรู้ปั๊บ ได้ตัวนึกตัวคิด มันเป็นอดีต ตัวรู้เป็นปัจจุบันไปแล้ว พอความนึกคิดมันเลื่อนไหลลงไป ถึงตอนที่เราเข้าอกเข้าใจเราร้องอ๋อขึ้นมา ไอ้ตัวร้องอ๋อ นี่เป็นปัจจุบัน ได้ตัวนึกตัวคิดมันเลื่อนไหล ผ่านไปนั้นเป็นอดีต ไปแล้ว” เอาแค่นี้ถ้าจับประเด็นไม่ถูก เดินชนต้นตาลปีนต้นตาลไปลงอีกด้านกันเลยเชียว ถ้าคนมีปัญญาเดินวนรอบต้นตาล ไก่กระพือปีกก็พ้นต้นตาลพอดี ก็เท่านี้เอง เห็นไหมครับ มันเส้นผมบังภูเขากันอยู่ บังเหลี่ยมบังมุม กันอยู่นิด ๆ แค่นี้เอง แต่เข้าใจยากถ้าตอนไล่ตามจับประเด็นเพื่อหาความเข้าใจพอร้อง อ๋ออย่างนี้นี่เอง นั่นแหละสว่างโพลงโปร่งใส มันเกิดขึ้นแล้ว อันไหนเป็นอดีต อันไหนเป็นปัจจุบันแยกให้ออก เอ้าต่อไป ข้าพเจ้าสอนตัวเองนะครับ ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ พอขวาย่างหนอนี้ ซ้ายเป็นอดีตไปแล้ว พอรู้ทันแบบนี้ เดี๋ยวสติมันเกิดปุ๊บปั๊บ สัมปชัญญะ มันมา ตัวโง่มันหลุดไป
ตานี้ ตรงคำว่า ภวังค์ คำว่า ภวังค์ คำเดียวแค่นี้ ข้าพเจ้ายอมรับสารภาพว่า ตัวเองโง่มาตั้งแต่เกิดจนบัดนี้ใกล้เผาเป็นขี้เถ้าแล้วเพิ่งหายโง่นิด ๆ เพราะได้อธิบายจากหลวงพ่อจรัญนี่เอง หลวงพ่อบอกว่า คำว่า ภวังค์ ไม่ได้แปลว่า คนง่วงซึมเศร้า เหม่อลอย ไม่ใช่อย่างนั้น ในทางธรรมะแปลศัพท์ถอดความได้จริง ๆ แปลว่า องค์แห่งภพ รอยเชื่อมต่อพรมแดนประชิด และช่องว่าง ช่องประชิดระหว่างเกิดและตาย หรือแดนเกิดและแดนตาย มันประชิดและทิ้งจังหวะช่วงว่างจังหวะว่าง จังหวะประชิดมันสัมพันธ์กัน ชนิดถ้าใช้ปัญญาขบคิด จะไม่พบช่องว่างช่องประชิดตรงจุด ภวังค์ ตรงจุดนี้ของพรมแดนเกิดและตาย จะตกนรกขึ้นสวรรค์ จะกลับมาเกิดเป็นคนอีกหรือเปล่า ก็ตรงค้นพบหรือไม่พบกันตรงจุดนี้เลย ดูให้ดี ๆ นะครับ
ภวังค์มันไปแอบซุกอยู่ตรงไหน เอาละครับ ข้าพเจ้าจะเปิดมิติทุกมิติที่หลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณเปิดมิติแห่งภพซ้อนเหลื่อมๆ กันอยู่ให้ได้รู้ ได้เห็นกันไปบ้างแล้วเป็นบางส่วน ข้าพเจ้าทราบว่า หลวงพ่อจรัญรู้และเห็นอะไรมากกว่านี้ แต่ข้าพเจ้าก็ทราบว่ายังไม่ถึงเวลา ยังบอกไม่ได้ แล้วเราแอบมาขโมยดูกันก่อนเป็นไง หลวงพ่อท่านอุบไว้รอกาลเวลาสุก-งอม ข้าพเจ้าทนไม่ไหว อยากรู้ให้ได้ มันอะไรกันหนอ หลวงพ่ออุบเอาไว้ มีจริงของชั้นยอดชั้นประเสริฐชนิดที่ถ้าท่านทั้งหลายมีชีวิตอยู่ถึงวันที่หลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณเปิดผอบเมื่อไหร่ละก้อ อ้าปากค้างตาค้างกันเลย
ถ้าใครเคยเรียนวิทยาศาสตร์สมัยเป็นเด็กคงเคยเรียนวิชากลศาสตร์มากันทั่วแล้ว วัตถุตั้งนับไม่ถ้วนสามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยอัตราความเร็วคงที่และคำนวณได้โดยไม่ต้องมีเครื่องยนต์ฉุดลาก มาถึงตรงนี้ก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า ไม่เห็นมันจะมาเกี่ยวกับอธิบายประสบการณ์ฝึกสมาธิ พองหนอ ยุบหนอ ของหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณที่ตรงไหนเลย เกี่ยวชนิดผนึกหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวเลยเชียวขอรับ
หลายครั้งเรามักได้ยินคำเทศนาเรื่องไตรลักษณ์ ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป (โปรดสังเกตจังหวะเว้น พยางค์ให้ดี ๆ นะครับ) ท่านก็เทศน์แล้วเทศน์อีกซ้ำ ๆ ซ้อน ๆ วนอยู่ในเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่พระเดชพระคุณท่านมักจะมุ่งเจาะลึกเข้าไปในไตรลักษณ์ให้เห็น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นไตรลักษณ์ กล่าวเมื่อใด พูดเมื่อใด ก็ถูกเมื่อนั้น ตั้งแต่เกิดมาจนวันนี้ข้าพเจ้ายังไม่เคยพบใครอธิบาย ไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ได้สว่างโปร่งใส เหมือนพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ สักรายเดียว เพิ่งมาพบของหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณ ในหนังสือ กฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติ นี้เอง
ข้าพเจ้าจะอธิบายตรงคำว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ถามว่า มันประชิดและห่างกันใช่หรือไม่ นี่ต้องถามแบบนี้ ข้าพเจ้าขอตอบว่ามันมีช่วงจังหวะว่างถี่และห่าง คล้าย ๆ กระแสไฟฟ้าสลับผ่านหลอดไฟอย่างหลวงพ่อจรัญอธิบายนั่นแหละขอรับจริง เป็นความจริง ถ้าไม่เข้าใจ ไปมองดู เข้าใช้วิธีกลศาสตร์ ทำให้ลูกตุ้มเคลื่อนที่หมุนตุ๊กติ๊ก ๆ ไป เรื่อย ๆ ได้ยังไง
ใครเคยเห็นไหมครับ ลูกตุ้มกลม ๆ มันทิ้งเหวี่ยงขึ้นลง ตุ๊กติ๊ก ๆ เวียนไปวนมา ไม่ต้องใช้เครื่องยนต์ฉุดลากดึงเลย มันเคลื่อนไหวได้ตลอดเวลา จิตวิญญาณของเรามันเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาดังหลักวิชากลศาสตร์และดาราศาสตร์ จิตวิญญาณมันเคลื่อนไหวแล้วตามจับพลังงานให้รู้ทันให้เห็น จะไปทันไปเห็นพลังงานได้ยังไง ถึงจะได้เปิดมิติล่วงลึก เข้าไปรู้อดีตชาติ ปัจจุบัน อนาคต ได้ จะเอาสูตรสำเร็จสูตรไหนมาเป็นกุญแจเปิดมิตินรก สวรรค์ มนุษย์สามโลก จะเอา เทคโนโลยีชั้นยอดที่ไหนมาเปิดให้เห็นทะลุทะลวงได้
ข้าพเจ้าก็แอบไปเห็นเข้าจนได้ในคำอธิบายของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณ พบตรงคำอธิบาย เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ว่าถึงลักษณะอาการของไตรลักษณ์ แต่หลวงพ่อฯท่านอธิบายแยบยล ใช้กุศโลบาย หากอ่านหนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติ ให้ดี ๆ จะเห็นว่าหลวงพ่อบอกใบ้ปริศนาทิ้ง ๆ ไว้ให้เป็นคู่มือเอาไปเฉลย
ข้าพเจ้าก็แอบไปพบพรมแดนเกิดตาย ช่องว่าง ช่องประชิด จะเรียกว่าจังหวะว่าง จังหวะประชิดเหมือนกระแสไฟฟ้าสลับวิ่งผ่านหลอดไฟ มันดับสว่างสลับกันอยู่ด้วยอัตราถี่ยิบจนตาเนื้อเรามองไม่เห็น ตรงจังหวะห่าง จังหวะประชิด พรมแดนเกิดตายมันห่างกันไกลและใกล้ชนิดปลายหัวเข็มโตเท่ามหาสมุทรปานนั้นเลย นึกเทียบดูนะครับ เมื่อเอาปลายหัวเข็มไปเทียบกับมหาสมุทรว่าจังหวะทิ้งช่วง จังหวะประชิด พรมแดนเกิดและตาย มันมี “ว่าง” เสี้ยวจิ๋วของจิ๋วชนิดต้องทะลุนิวเคลียสยิงนิวเคลียสทะลุออกไปจะพบ “ว่าง” ตรงจุดนี้ เกิดพลังงานที่เราเรียกพลังงานนิวเคลียร์ แต่ข้าพเจ้าไม่ขอเอ่ยถึงเรื่องนิวเคลียร์ ทั้ง ๆ ของจริงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นพบนิวเคลียร์มากว่า ๒๕๓๕ ปีแล้ว ข้าพเจ้ามุ่งประเด็นเจาะลึกหา “ว่าง” ในจังหวะห่างจังหวะประชิดพรมแดนเกิดดับหรือเกิดตายของไตรลักษณ์ที่ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตรงจุดนี้ ตีประเด็นแตกทะลุโลกเลยขอรับ พระพุทธศาสนาเหนือชั้นกว่าวิทยาศาสตร์ เพราะวิทยาศาสตร์ใช้เหตุผลอธิบายได้ แต่ปรมัตถอรรถกถาธรรมของพระพุทธองค์เกินกว่าเหตุผลจะอธิบายได้ พระตถาคตให้วิชาดีไว้แล้วครับ แต่เราลืมใช้ คือ “สมาธิ” ตัวเดียวนี่แหละครับ เปิดมิติได้ทุกมิติ เปิดโลกได้สามโลกทะลุถึงกันโปร่งใส ใสกว่ากระจก “สมาธิ” ตัวเดียวนี่แหละครับในคำอธิบายของหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณ ในหนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติ ฟ้าเปลี่ยนสีเลยขอรับ กลับไปอ่านทบทวนดูทุกเล่มให้ดี ๆ อีกร้อยครั้งเถิดครับ
ส่วนนี้จะเล่าถึงเรื่อง “โทรจิต” ที่ข้าพเจ้าส่งไปถึงหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณ ว่าทำอย่างไรธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบอกว่ายากก็ไม่ถูก จะว่าง่ายก็ไม่ใช่ คือไม่ใช่ทวิภาค ไม่ใช่ของคู่เป็น หนึ่งเดียว เช่น สองแขนในหนึ่งกาย หลายใจในกายเดียว นึกออกไหมครับ หลายใจในกายเดียว จิตวิญญาณเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง ถ้าเราไล่วิ่งไขว่คว้าให้จิตวิญญาณมันหยุดนิ่งแล้วค่อยรอพบพระธรรม เข้าถึงธรรมะ ตายแล้วเกิดจนกระดูกกองเป็นภูเขา ก็เข้าไม่ถึงธรรมะ เหมือนอย่างกับว่า เราบอกว่า “ฉันยืนหยุดนิ่งอยู่กลางดิน” หรือ “ฉันนั่งสมาธินิ่ง ๆ อยู่บนพื้นดิน” ถามจริง ๆ เถอะ มันนิ่งที่ไหน โลกที่คุณนั่ง แผ่นดินที่ฉันนั่ง มันควงหมุนจี๋ยังกะลูกข่าง เราก็เลยไปหลงติดกับประเด็นที่ว่า “หยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว” จึงจะเข้าถึง
แท้จริง “เคลื่อนไหวอย่างระบบคลื่น เป็นระเบียบในความหยุดนิ่ง” ต่างหากจึงเข้าถึงธรรมะ ถ้าทบทวนตรงจุดนี้ เอาไปใช้ในวิชาโทรจิตกันเลยทีเดียว เรียนธรรมะแล้วง่วงนอน เรียนแล้วซึมเศร้า นั่นแสดงว่า ยังไม่เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า ถ้าเข้าใจ ยิ่งเรียนยิ่งขยัน ไม่ต้องมีใครมาบังคับ มันขยันอยู่ในตัวของมันเองเพราะ ตัวรู้ ตัวตื่น ตัวสว่าง มันพาไปเอง มันเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบระเบียบในความหยุดนิ่ง ตรงนี้แหละอย่างที่มีผู้กล่าวว่า “เราเดินหรือไปเหยียบสวิทซ์แห่งกาลเวลาเข้าให้ จึงเกิดภาพย้อนอดีต เปิดมิติแห่งภพชาติย้อนหลังและล่วงหน้าได้”
วันไหนข้าพเจ้าไม่ได้เดินจงกรม ไม่ได้นั่งสมาธิ ไม่ได้ยืนสมาธิ รู้สึกนอนไม่หลับ เหมือนกินข้าวลืมกลืนน้ำ ถ้าได้สักวันละ ๓ ชั่วโมง ตอนกลางคืน แหม มันสบายบอกไม่ถูก เดินจงกรมไป ยืนสมาธิ นั่งสมาธิแล้วตอนนี้ก็ทดสอบตนเอง ขอสอบผ่านเข้าประตูวัดอัมพวันกันเลยคราวนี้ หยุดนิ่งแล้วเพ่งกระแสจิตส่งโทรจิตไปถึงกุฏิหลวงพ่อ พระภาวนาวิสุทธิคุณ ช่วงระหว่างวันที่ ๑๑ พ.ค. – ๒๒ พ.ค. ๓๕ นึกตรวจสอบด้วยโทรจิต จูนภาพโฟกัสหาความชัดของเลนส์ในกระแสจิต ฉายไปเรื่อย ๆ โฟกัสภาพไปเรื่อย ๆ เห็นหลวงพ่ออยู่ขณะมีญาติโยมหลายคน ไม่เอาเปลี่ยนใหม่ โฟกัสภาพใหม่ จูนคลื่นกระแสจิตใหม่ เอาตรงจุดที่หลวงพ่อท่านว่าง เสี้ยวแว้บที่หลวงพ่อว่าง นี่แหละ โทรจิต โฟกัสภาพจูนคลื่นกระแสจิตพุ่งไปกระทบเฉียบพลันเปรี้ยงเลย หลวงพ่อตอบเป็นฉาก ๆ มาเลย หลวงพ่อยิ้มเบิกบานแฝงความเหน็ดเหนื่อยกรำงานปลูกคน ดังปราชญ์จีนท่านว่า “คิดการปีเดียวปลูกพืชล้มลุก คิดการสิบปีปลูกไม้ยืนต้น คิดการร้อยปีให้ปลูกคน” เหนื่อยแต่แฝงความเอิบอิ่มอยู่ในกระแสธาร บุญกุศลมหาศาลไหลหลั่งดุจทะเลกว้างใหญ่ ย่อมเป็นที่พึ่งของเหล่าสรรพสัตว์
คือต้นฉบับข้าพเจ้าเขียนไว้แล้ว แต่ไม่ส่งไป กลับส่งโทรจิตไปถามหลวงพ่อก่อนว่า ใช้ได้หรือเปล่า ความนึกคิดประสบการณ์ฝึกฝนแบบงู ๆ ปลา ๆ ของข้าพเจ้าเป็นอย่างไร หลวงพ่อตรวจทานต้นฉบับด้วยตาทิพย์ปรู๊ฟเสร็จ อีเอ็มเอส ด่วนจี๋ ให้รีบส่งต้นฉบับพร้อมรูปถ่ายมาให้ทันลงหนังสือ กฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อ ภายใน ๗ วัน
ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งเชื่อข้าพเจ้า เอาไปลองปฏิบัติสมาธิดูก่อน ใช้สมาธิเป็นกุญแจเปิดมิติแห่งกาลเวลา เราจะพบหมดทั้งสามภพ อดีต ปัจจุบัน อนาคต หมดเลยขอรับ
หลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณ มักตั้งคำถามว่า “นึกดูซิ มันใช่จิตดวงเดียวกันหรือเปล่า” จิตที่หดหู่เศร้าหมอง ในขณะนั้นพอมีใครมาบอกว่า เรา หรือ ตนเอง มีโชคดีนะ ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน หรือมีโชคลาภลอยได้เป็นแสนเป็นล้าน จิตที่เคยฝ่อห่อเหี่ยวหุบ เมื่อตอนที่นึกถึงวันแล้ววันเล่าถูกเจ้าของบ้านเขาทวงค่าเช่าบ้าน เขาทวงค่าผ่อนงวดบ้าน งวดรถ แล้วอยู่ ๆ มีโชคฟลุ้กลาภลอยและลาภเดินมาชน มีเงินทองไหลมาหา ปลดเปลื้องทุกข์หลุดพ้นไป โล่งอกไป จิตแต่ละช่วงแต่ละจังหวะที่สัมผัสแล้วกระทบเลื่อนไหล มันเป็นจิตดวงเดียวกันหรือเปล่า ข้าพเจ้าขอตอบว่าไม่ใช่จิตดวงเดียวกัน มันเคลื่อนเลื่อนไหล มันเปลี่ยนไป เป็นระบบดังนี้ครับ ระบบ ๒ จังหวะครับคือ อดีต กับ ปัจจุบัน เท่านั้นเอง
ในปัจจุบันมีอดีตอยู่แล้ว ในปัจจุบันมีอนาคตอยู่แล้ว อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันอยู่ในหนึ่งเดียวเท่านั้น บางทีทางนิกายเซน เขาสอนเคล็ดว่า ใช้วิธี “ลืมตัวไร้ตน” มันมีแค่ ๒ จังหวะ อดีตกับปัจจุบันเท่านั้น เมื่อมันมี ๒ จังหวะ เอาละต้อนเข้าคอก ตีรั้วล้อมเลย ต้อนให้จนมุมในกระดานเลย หมากเดินชุดนี้มันมีแค่ ๒ จังหวะ นึกเป็นปัจจุบัน พอรู้ ร้องอ๋อ เป็นยังไง นึก ตรึก คิด มันเป็นอดีตทันที่ เมื่อตัวรู้ ผุดขึ้นถูกไหมครับ มันมีแค่ ๒ จังหวะ เราจับจุดนี้เอามาใส่ลงว่า มันก็มีแค่เลข ๐ กับ เลข ๑ เท่านี้เอง พอขยายออกมาแบบนี้ นักคอมพิวเตอร์ป้อนข้อมูลใส่เข้าเครื่องได้แล้ว เดี๋ยวเถอะมันไหลออกมาเหมือนถอดเทปยาวไม่รู้จบเลย จะขอทราบเรื่องราวในอดีต ปัจจุบัน อนาคต เจ้าหลักการ ๒ จังหวะนี้มันจะคลี่ขยาย แปลงออกมาเป็นภาพลอยเด่นออกมาเลย เหนือกว่าเป็นตัวอักษรเสียอีก มันแปลงออกมาเป็นภาพชัดแจ๋ว เหมือนกับเรานั่งคุยกันอย่างนี้เลย
ก็เลข ๑ ถึงเลข ๙ มันเกิดจากหลักไหน มันเกิดจากเลข ๐ ตัวเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณถึงบอกได้ว่าใครไปขอหวยกับพระ ใครเข้าวัดไปให้พระรดน้ำมนต์ ไปขอหวยกับพระโง่ทั้งนั้น นึกออกไหมครับ โง่ตอนไหน ถามแบบนี้ โง่ตอนไหน พระพุทธเจ้าให้วิชาดีไว้แล้วขอรับ “สมาธิ” ตัวเดียว เน้นอีกครั้ง “สมาธิ” ตัวเดียว ค้นให้เจอะ หาให้พบ แล้วอย่างอื่นได้หมด นรกไม่ได้อยู่ใต้ดิน สวรรค์ไม่ได้อยู่บนฟ้า มันซ้อนเหลื่อมกันอยู่ในภพเดียวกะพวกเราที่เดินกันชุลมุนขวักไขว่อยู่วัน ๆ นี่แหละ
ข้าพเจ้าไม่ขออธิบายเรื่องกรรมนำไปเกิด เกิดเป็นสัตว์ เปรต เดรัจฉาน เทวดา มนุษย์ กรรมนำไปเกิดอย่างไร หลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณอธิบาย ผมใสสว่างตรงเรื่องกรรมนำไปเกิด ตรงนี้จนแต้มอธิบายไม่ได้ แต่เข้าใจ แล้วจะทำอย่างไร ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ “ครูใหญ่เจ้าเก่า” คือ “สมาธิ” เขามาอธิบายให้ข้าพเจ้าทราบเอง ใครอธิบายยังไงก็เข้าใจ เข้าใจอย่างมากก็ได้แต่ตอบว่า รู้แล้ว รู้แล้ว แต่ของจริง ๆ แล้วไม่มีทางรู้ได้จริง ๆ เลย ถ้า “ครูใหญ่เจ้าเก่า” คือ “สมาธิ” เขาไม่บอกอธิบายให้ฟัง
เป็นไงขอรับทฤษฎี ๒ จังหวะ ลบอดีตทิ้ง เหลือแค่ปัจจุบัน มันมีแค่ ๐ กับ ๑ เท่านั้นเอง อดีต กับ ปัจจุบัน อดีตมันเลข ๐ ถูกไหมครับ