สำนึกบาป
โดย ศิษยา ธาดาสีห์
ฉันเคยได้ยินมาว่านวนิยายได้มาจากชีวิตจริง สิ่งที่ฉันจะถ่ายทอดออกมานี้อาจจะเป็นนวนิยายน้ำเน่าในสายตาของคนบางคน แต่คนบางคนจะรู้ดีว่าได้สัมผัสกับรสพระธรรมได้ซึมซาบในความบริสุทธิ์แห่งสายธารนี้ ยากที่จะบรรยายออกมาเป็นตัวอักษรได้
เกือบครึ่งชีวิตที่ผ่านมาของฉันซึ่งมีทั้งความสุขและความทุกข์ ฉันภาคภูมิใจตัวเองกับความเชื่อมั่นและการท้าทายในชีวิต ฉันคิดว่าฉันประสบความสำเร็จแล้วในทุก ๆ ด้าน แม้ว่าสิ่งเหล่านี้กว่าที่จะได้มาจะลำบากแสนเข็ญ ฉันเหน็ดเหนื่อยเสมอมา ชีวิตของฉันอยู่กับยายเสียเป็นส่วนมาก พ่อและแม่เป็นเพียงผู้ให้กำเนิดเท่านั้น ยายรักฉันมากกว่าตัวยายเอง ยายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของฉัน ฉันรักยายมากกว่าใครในโลก ยายเป็นคนดีมีธรรมะอยู่ในใจ ยายใส่บาตรเป็นนิจศีล
ฉันใกล้ชิดกับยาย แต่ฉันกลับหลีกหนีสิ่งที่ยายมี ฉันเชื่อมั่นว่าตัวฉันนี้แหละคือพระ ฉันไม่เคยนับถือศาสนาใดเป็นหลัก แต่ก็ไม่เคยลบหลู่ด้วย ฉันแทบจะนับครั้งของการสวดมนต์ได้ จำเป็นด้วยหรือที่จะกราบไหว้สิ่งที่เรามองไม่เห็น ชาติหน้ามีจริงหรือ ใครจะบอกฉันได้ ฉันไม่เคยยกมือไหว้ใครถ้าไม่ศรัทธา พระสงฆ์องค์ไหนฉันจะไหว้ก็ต้องแน่ใจว่าดี
ฉันไม่เคยคิดว่าใครจะดีไปกว่าตัวฉัน หรือแม้กระทั่งพ่อแม่ฉันเอง ฉันก้าวร้าวกับผู้ให้กำเนิดเสมอ ฉันมีปากเสียงกับพ่อบ่อย สมัยเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่แม้ว่าท่านจะได้ชื่อว่าเป็นคนดุ ท่านเคยไล่ฉันออกจากบ้านเมื่อท่านโกรธฉันมาก ฉันไม่กลัวหรอก ฉันยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อเพิ่มอารมณ์โกรธให้ท่านมากยิ่งขึ้น
ฉันนับถือในหลวงรัชกาลที่ ๖ มาตั้งแต่ฉันเคยยกมือไหว้พระรูปของท่านและขอให้ได้ทำงานในที่แห่งหนึ่ง และฉันก็ได้แบบไม่คาดฝัน วันนั้นฉันวิ่งขึ้นไปฟ้องท่านว่าฉันถูกพ่อลงโทษอย่างไม่ยุติธรรม ฉันขอให้ท่านทำให้พ่อต้องออกจากบ้านภายในเจ็ดวัน หลังจากนั้นพ่อก็มีอันต้องออกจากบ้านของพ่อเอง
พ่อได้กลับมาบ้านอีกครั้ง แต่ครั้งนี้พ่อได้กลับมาเพียงเพื่อให้ลูกได้ดูแลยามที่โรคร้ายรุมเล่นงานพ่อ ฉันไม่เคยดูแลท่านเลย ฉันยิ้มอยู่ในใจพร้อมกับชัยชนะว่า เห็นหรือไม่ในที่สุดฉันก็ชนะแม้กระทั่งพ่อ ที่ฉันต้องเล่าเรื่องราวนี้ก็เพื่อให้ใคร ๆ รู้ว่าฉันอาฆาตแม้กระทั่งพ่อ เวลาฉันมาเรื่องกับใครและผ่านขั้นตอนโต้ตอบอย่างเผ็ดร้อนจากฉันไปแล้ว ฉันมีความคิดว่าขั้นต่อไปฉันจะทำดีด้วยแต่สักวันหนึ่ง ฉันจะกอดเขา ยิ้มกับเขา และฉันจะใช้มีดปักหลังเขาจนมิดด้ามให้เขาตกใจตายภายในวงแขนฉันเอง แค่นี้คงพอสำหรับรับแรงแก้แค้นที่ฝังลึกอยู่ในตัวฉัน
ฉันถูกผ่าตัดตั้งแต่เล็ก ๆ เช่น ต่อมทอลซิล ไส้ติ่ง และมาเรื่อย ๆ ซีสตามตัว ถุงน้ำดี และสุดท้ายคือตัดมดลูก ทุกครั้งที่รู้ว่าต้องผ่าตัด ฉันไม่เคยแสดงอาการหวาดกลัวเลย ซึ่งตรงกันข้ามกับคุณแม่ที่ดูจะกังวลไปหมด ฉันไม่เคยเฉลียวใจเลยว่าเป็นเพราะเหตุใด มาระยะหลังฉันเข้าโรงพยาบาลบ่อยขึ้นจนเกิดความเบื่อตัวเองที่ร่างกายเป็นภาระในการดำเนินชีวิต ถ้าจะเทียบระหว่างความรู้ของฉันกับหน้าที่การงานแต่ละแห่ง ฉันออกจะโชคดีที่ไม่เคย
มีหัวหน้างาน นอกจากนายโดยตรง งานที่ฉันทำนานที่สุดถึง ๑๒ ปี คืองานโรงแรม ฉันชอบงานด้านบริการให้คนอื่นเป็นชีวิตจิตใจ ฉันเอาใจคนรอบข้างเสมอยกเว้นแม่ฉันเอง ฉันพูดกับแม่เหมือนผีเข้าสิง ฉันเลวได้อย่างบริสุทธิ์กับแม่เสมอ แต่ไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งแม่ก็ไม่เคยตอบแทนความเลวของฉันเลย แม่อดทนต่อความชั่วของฉัน ฉันไม่เคยถูกแม่ตีสักครั้ง ฉันจะไม่พูดกับแม่ได้เป็นระยะเวลานาน ๆ ดูจะเป็นความสุขของฉันที่เห็นแม่มีความทุกข์ สาแก่ใจดี
ฉันขอเงินแม่ซื้อรถใหม่ในขณะที่แม่ต้องใช้รถคันเก่ามานานเต็มที แม่ไม่ยินยอมในตอนแรก จนกระทั่งฉันเขียนจดหมายว่าด้วยถ้อยคำเจ็บปวด ฉันได้รถใหม่สมใจ ฉันชนะแม่อีกแล้ว ฉันอยากเล่าความชั่วที่ฉันทำกับแม่อีก แต่คงพอแล้วที่จะนึกภาพเอาเองในความอกตัญญูของฉันที่มีต่อแม่ผู้บังเกิดเกล้า เพราะถ้าฉันจะเล่าต่อ ความยาวคงยาวกว่ากระดาษชำระอย่างหนาหลายเท่านัก
ฉันค่อนข้างแปลกกับลางสังหรณ์ของตัวเองที่ค่อนข้างแม่นมาก เวลาฉันบอกใครก็ไม่ค่อยมีคนเชื่อฉันบอกกับตัวเองว่าฉันไม่ต้องการทานของเหลือจากจากการเซ่นไหว้หรือทานของเหลือจากใคร ฉันไม่ชอบรดน้ำมนต์ และ ในความชั่วนี้ฉันก็นิยมการทำทาน ในวันเกิดของฉันเมื่ออายุครบ ๓๖ ฉันซื้อปิ่นโตห้าชั้นอย่างดีพร้อมอาหารหวานคาวนำไปให้เด็กนักเรียนยากจนเท่าจำนวนอายุของฉัน ในวันนั้น เด็กทุกคนกล่าวขอบคุณฉันด้วยน้ำตานองหน้า แต่ก็ยังไม่ต่างไปจากฉันเท่าไรนัก การทำบุญคงมีไม่มากนัก เพราะฉันไม่รู้ว่าบุญจะได้กันเมื่อไร แต่ทำทานฉันเห็นได้ในทันที ฉันช่วยคนยากจนเสมอ ให้ได้จนหมดในขณะนั้น ฉันมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำบุญ หรือทำทาน แต่แปลกที่พอฉันรู้สึกตัวก็จะคัดค้านทุกทีไป
ครั้งสุดท้ายของผลกรรมที่แสดงออกชัดเจน คืองานที่ฉันทำอยู่มีอุปสรรคแทบทุกอย่าง ปัญหามีได้ทุกวันเป็นเส้นยาแดงผ่าแปด ฉันแทบหมดกำลังใจ ไม่อย่างสู้อีกแล้ว เพื่อนสนิทสองสามีภรรยา มาเยี่ยมฉันที่โรงพยาบาลและพาฉันไปพักผ่อนที่พัทยา ฉันได้พักจริง ๆ คือได้กินและนอน เกือบห้าวันที่ฉันถูกจูงใจให้เข้าหาวัด รู้จักพระธรรม แต่ดูจะเป็นเรื่องเพ้อเจ้อและเหลวไหลสำหรับฉัน ฉันตัดความรำคาญบอกไปว่าแล้วฉันจะไปบวชตามคำชักชวน
วันสุดท้ายที่พัทยา ฉันหิ้วลิ้นจี่กระป๋องจากกรุงเทพฯไปหาพระเพื่อทำบุญ ได้พบพระรูปหนึ่งโดยบังเอิญท่านบอกฉันหลังจากที่รู้วันเดือนปีเกิดแล้วว่า คอขาด ฉันไม่รู้สึกอะไรหรอก นอกจาก จะบ้าหรือไงตลกจริง แต่ฉันถามท่านไปว่าแล้วจะมีวิธีไหนที่จะช่วยได้ ท่านบอกว่าให้ไปจุดธูปเทียนบูชาพระ แล้วนอนลง ท่านเอาผ้าขาวคลุมร่างฉัน แล้วบอกว่า ฉันตายแล้วนะ ให้นึกว่าขณะนี้ฉันตายแล้ว ครู่เดียวท่านก็เอาผ้าออกแล้วให้นอนกลับหัวใหม่ และเช่นกันคราวนี้ให้คิดว่า กำลังจะเกิดใหม่ ให้อธิษฐานเอง ฉันนึกในใจว่า สนุกดีเล่นอะไรนะ แต่ก็สนุกไปด้วยการขอว่า ขอให้ฉันเป็นคนดี ซื่อสัตย์ ไม่เอาเปรียบใคร ยังไม่ทันขอต่อว่าขอให้รวย ท่านก็ดึงผ้าออกแล้ว
วันนั้นฉันทำบุญไปหมดตัวเพียงเพราะคิดว่า ท่านช่วยทำพิธีให้ฉันเท่านั้น ระหว่างทางที่ฉันจะกลับกรุงเทพฯ ก็ไม่รู้ว่าตอบตกลงกับเพื่อนไปได้อย่างไรว่าจะไปบวชชีที่วัดอัมพวัน ซึ่งความจริงฉันเคยไปวัดนี้เมื่อคราวบวชเพื่อนเท่านั้น ไม่เคยสนใจสิ่งใดในวัดนี้เลย แต่ก็แปลกที่เพื่อนผู้นี้ไม่ถามหรือคัดค้านประการใด
ฉันกลับมาบอกคุณแม่และใครต่อใครว่าฉันจะไปบวช ผู้คนรอบข้างตกใจและแปลกใจกับข่าวนี้ เหมือนได้ฟังว่าพระอาทิตย์ขึ้นตอนเที่ยงคืน ฉันมั่นใจว่าฉันจะได้ไปบวช เหมือนฉันถูกเรียกให้ทำสิ่งนี้ ฉันไปหาซื้อชุดบวชด้วยตนเอง ฉันเตรียมของทุกอย่างราวกับว่าจะไปอยู่นาน ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรฉันจึงนึกอยากจะกราบเท้าขอขมาคุณแม่ ก่อนไปบวชหนึ่งวัน ฉันเอากะละมังสะอาดพร้อมน้ำไปกราบเท้าขอขมาแม่ ฉันบอกแม่ว่า สิ่งใดก็ตามที่ฉันเคยทำผิด เคยทำให้แม่เสียใจหรือร้องไห้และในทุก ๆ อย่างตั้งแต่เกิดมา ฉันขอให้แม่อโหสิ แม่ตอบทันทีว่า แม่ขออโหสิให้หมดเลย เพื่อน ๆ และน้อง ๆ ที่ทำงานไปส่งฉันที่วัดอัมพวัน
ฉันบอกแม่ชีว่า ฉันไม่มีกำหนดที่จะบวช ไม่รู้ว่าทำไมจึงตอบไปอย่างนั้น ฉันอยู่วัดนี้ได้สองวันเกิดมีความรู้สึกว่า ตัวเราจะบ้าหรือไงที่มาเดินก้าวขวาก้าวซ้าย และนั่งลง ไม่เห็นได้อะไรเลย ที่นี่เหมือนโรงพยาบาลบ้า พวกที่เข้ามาที่นี้คือคนบ้า ฉันอายที่จะไปบอกใคร ๆ ว่าฉันเคยมาที่นี่ ฉันตั้งใจว่าจะโทรศัพท์ทางไกลให้เพื่อนมารับกลับ
แต่คืนนั้นฉันได้ฟังหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิ์คุณเทศน์ ฉันฟังจนจบโดยไม่ง่วงเลย คืนนั้นท่านเทศน์ถึงห้าทุ่ม ถามตัวเองว่าฟังพระเทศน์ได้อย่างไรกัน คำพูดของท่านเหมือนฝังลึกเข้าไปในโสตประสาทของฉัน ไม่เข้า หูซ้ายออกหูขวาเหมือนเมื่อก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ฟังพระเทศน์จนจบแต่ตัวฉันกลับไม่รู้สึกว่าได้ฟังพระเทศน์ กลับรู้สึกว่าเหมือนกับฟังพ่ออบรมสั่งสอน แต่เป็นพ่อที่ดุจังเลย ฉันไม่ลุกไปไหน ฉันถูกบังคับหรือไม่ ถามตัวเอง อีกแล้ว ฉันเริ่มท้าทายแม้แต่หลวงพ่อ ไหนใคร ๆ ว่าท่านสูงไง สูงเป็นอย่างไร อยากรู้จัง ก็มีคนบอกฉันอีกว่าแม่ใหญ่หมายถึงผู้ทรงศีลท่านหนึ่งที่ดูแลพวกเราอยู่ ท่านรู้อดีตรู้อนาคต เรื่องเหลวไหลทั้งเพ ไปเปิดสำนักงานหมอดูซิ แก่ป่านนี้แล้วจะมีความสามารถขนาดไหน จิตใจและร่างกายของฉันมีการต่อต้านสำหรับการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างมาก ฉันเริ่มเบื่อและท้อแท้ ท้าทายทั้งหลวงพ่อและแม่ใหญ่
เมื่อฉันกำลังจะหมดความอดทน ฉันก็พูดในใจกับหลวงพ่อว่า ขอให้ฉันมีพลังที่จะนั่งสมาธิให้ได้ตามเวลา ฉันลืมตาเมื่อครบกำหนด ก็คงเป็นเหตุบังเอิญกระมัง วันต่อมาฉันลองดีกับท่านอีก ผลเป็นอย่างไรหรือฉันลืมตาเมื่อถึงเวลาเดิมไง คนต่อมาก็คือแม่ใหญ่ ท่านขึ้นมาปฏิบัติธรรมหลังตีห้าเล็กน้อย ฉันพยายามเดินไปให้ใกล้ท่านมากที่สุดตั้งจิตไว้ว่า ขอพลังจากท่านให้นั่งสมาธิจนถึงหกโมงเช้า ฉันลืมตาอีกครั้งเมื่อเวลาหกโมงตรง วันต่อมาท่านมาเวลาไล่เลี่ยกัน ฉันก็ขอพลังจากท่านอีก ใครจะเชื่อว่าฉันลืมตาในเวลาเดิม ตอนนี้แหละที่ฉันเริ่มมีความรู้สึกกลัวแล้วว่า มันคงไม่ใช้เหตุบังเอิญบ่อยนัก
วันพระถัดมา หลวงพ่อขึ้นเทศน์ฉันก็ฟังไปงั้นแหละ แต่พอเวลาผ่านไปได้ครู่ใหญ่ ฉันเหมือนถูกบังคับให้ร้องไห้ ฉันพยายามสุดกำลังที่จะไม่ทำตามนั้น และต่อมามือของฉันก็พนมขึ้นจนจรดหน้าผาก ฉันกราบไปยังทิศทางที่หลวงพ่อนั่งอยู่ และอีกสักครู่ฉันก็เปลี่ยนไปกราบในทิศทางที่แม่ใหญ่นั่งอยู่ ทั้ง ๆ ที่หลับตา คราวนี้ฉันพนมจรดที่ปาก และก้มลงกราบจนติดฟื้น คล้ายคนแก่หลังงอ ฉันมีสติตลอดเวลา ฉันได้ยินเสียงผู้คนรอบข้าง เสียงสะอื้นของฉันคงดังพอแก่การได้ยินของคนใกล้ชิด แต่แปลกที่เขานั่งเฉยกัน ฉันร้องไห้เสียใจถามตัวเองว่า ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ทำไมต้องร้องไห้ ทำไมไม่ขัดขืน เหมือเป็นพลังที่ฉันไม่อาจต่อสู้ได้เลย คืนนั้นฉันมีความรู้สึก ว่าฉันถูกลงโทษที่ลบหลู่ท่านทั้งสอง ฉันเริ่มเกิดความกลัวแล้ว ไม่ใช่กลัวผีเหมือนเมื่อก่อน แต่เริ่มกลัวบาป ฉันรู้ สึกบาป แล้วเกิดอะไรขึ้นกับตัวฉัน ฉันเปลี่ยนไปได้อย่างไรกัน
ในวันต่อมาฉันมีความตั้งใจในการนั่งสมาธิดีขึ้น ฉันคิดถึงแม่ขึ้นมาอย่างจับใจ มองเห็นความเลวของตัวเองขึ้นมาทีละอย่าง มันเหมือนดอกเห็ดที่ขึ้นเต็มไปหมด ฉันเริ่มรู้สึกเสียใจต่อการกระทำของตัวเองที่มีต่อแม่ ทำไมท่านจึงดีต่อฉันมากมายปานนี้ วันที่ฉันไปขอขมาท่าน ฉันสมควรที่จะถูกกระทืบมากกว่าการอโหสิ ฉันจะต้องตกนรกขุมไหนกันหนอ
แต่ฉันก็ยังคงท้าทายต่อไป มีพระอีกรูปหนึ่งบังเอิญฉันได้มีโอกาสพบท่าน ฉันก็ว่าท่านในใจแล้ว ว่าไม่เห็นสมควรเป็นพระเลย ท่านบอกฉันว่า โยมเป็นคนมีทิฐิ ถ้าใช้ไปในทางที่ดีก็จะมีประโยชน์ ฉันไม่พอใจเลย แต่ก็นั่งเฉย วันต่อมาฉันเกิดความท้ออีกแล้ว ก็นึกในใจว่า ขอพลังหน่อยซิคะ ผลหรือ วันนั้นฉันนั่งสมาธินิ่งจนรู้สึกเลย นี่อะไรกัน พระรูปนี้เป็นใครกันหนอ ฉันหาธูปแพเทียนแพไปขอขมาท่านในเวลาต่อมา วันสุดท้ายก่อนที่ฉันจะกลับ ฉันเตรียมพวงมาลัยสำหรับลาศีลและบอกแม่ใหญ่ว่าพรุ่งนี้ฉันจะกลับแล้ว ท่านบอกฉันว่า ขออยู่ต่ออีกสองวันไม่ได้หรือ ฉันก็ไม่รู้ว่าตอบตกลงไปได้อย่างไรกัน ก็ฉันอยู่มาครบเก้าวันแล้วนี่ นับว่านานสำหรับความรู้สึกที่คนอื่นมีต่อฉัน แต่สำหรับฉันนับเป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดในชีวิต ฉันไม่ได้นับวันกลับเลย รู้แต่ว่ายังมีภาระที่ต้องรับผิดชอบรออยู่เบื้องหน้า วันที่ฉันกำหนดจะกลับในตอนแรก ฉันรู้มาว่า วันนั้นมีพระสงฆ์ที่เพิ่งสึกออกไป ถูกรถชนเลยหน้าวัดไปนิดเดียว คุณพระช่วย! ถ้าวันนั้นเป็นวันที่ฉันกลับไปเล่าอะไรจะเกิดขึ้นกับฉัน หลังจากฉันรู้ข่าวนี้ ความรู้สึกบอกเลยว่า รีบไปกราบขอบพระคุณแม่ใหญ่โดยเร็ว ท่านช่วยชีวิตฉันไว้แล้ว
สองวันสุดท้ายยังเป็นช่วงท้าทายและลองดีของฉันอีก ฉันมีนาฬิกาปลุกมาด้วย ฉันคิดในใจว่า ถ้าฉันตื่นเองตอนตีสามครึ่งติดกันสองวัน ฉันจะยกนาฬิกานี้ให้กับแม่ชีที่รับฉันเข้ามาปฏิบัติธรรม และวันสุดท้ายฉันก็โอกาสนำนาฬิกาปลุกนี้ไปมอบให้แม่ชีตามที่คิดไว้ ฉันมีเรื่องราวทำนองนี้มากมายกว่าที่ฉันเล่า แต่บอกแล้วว่า จะมีคนคิดว่าฉันเขียนนวนิยายน้ำเน่า วันนี้และเวลานี้ฉันอยากจะไปและไปเล่าและเล่าให้ใคร ๆ ได้รับรู้ว่า กรรมมีจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย
ฉันให้สัญญากับหลวงพ่อว่าฉันจะไม่กลับไปหาสิ่งชั่วร้ายอีกต่อไป ฉันขอพรจากท่านให้ความดีอย่าไป ความชั่วอย่ามา ฉันเข็ดและกลัวเหลือเกิน ฉันเพิ่งรู้ว่าผลและอานิสงส์ของการมาปฏิบัติธรรมจะทำให้หูตาของฉันสว่างและสดใสรู้จักตัวเอง ละอายใจและเกรงกลัวต่อบาป ฉันคงไม่กล้าบอกว่าฉันเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน แต่จากการที่ไม่ค่อยจะสวดมนต์กลายมาเป็นว่าฉันสวดพุทธคุณมากกว่าที่หลวงพ่อสั่งโดยไม่มีการนับ คนรอบข้างมองฉันแปลก ๆ เหมือนวันที่ฉันบอกว่าฉันจะไปบวช แต่ความรู้สึกแปลกในวันนี้ มีแววฉายของความปีติยินดีในชีวิตใหม่ของฉัน ชีวิตที่สดใสปราศจากมลพิษของความชั่วร้ายในจิตใจ จิตที่เบิกบานกับรสพระธรรม ท่านอ่านเรื่องราวของฉันแล้ว ไม่อยากรู้หรือว่าถ้าท่านได้มาปฏิบัติอย่างฉัน ท่านจะได้สมบัติมีค่าติดตัวกลับไป อาจมากกว่าที่ฉันได้รับในขณะนี้
และสุดท้ายนี้ฉันขอตั้งจิตอธิษฐานต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอกราบขอบพระคุณต่อท่านที่ได้ประทานธรรมสำหรับฉัน เป็นเสมือนน้ำทิพย์ที่รดชุ่มฉ่ำในชีวิตของฉันต่อหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณ แม่ใหญ่ คุณชีทุกท่าน ผู้ดูแลฉันที่วัดอัมพวัน และผู้ที่พาให้ฉันได้เข้ามารู้จักกับรสพระธรรม พลังของทุก ๆ ท่านจะเป็นทำนบที่กั้นความชั่วให้ห่างไกลไปลิบลับจากใจฉัน และบางทีสุดท้ายของชีวิต ฉันอาจกลับมารับใช้ตอบแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณทุก ๆ ท่าน ณ ที่นี้
ศิษยา ธาดาสีห์
๔๑๐ สุขุมวิท ๖๓ กรุงเทพฯ ๑๐๑๑๐