คำสารภาพจากห้องกรรมฐาน

โดย นิตยา พึ่งทอง
๑๗ เม.ย. ๓๕

คุณนิตยา พึ่งทอง

ดิฉันได้มาปฏิบัติกรรมฐานที่วัดหลวงพ่อตั้งแต่ปี ๒๕๒๗ จนถึงบัดนี้เป็นเวลาเกือบ ๘ ปี ตลอดเวลามาดิฉันก็ทำเล่น ๆ ไม่ได้จริงจังจนกระทั่งปีนี้ ดิฉันมีปัญหาธรรมถามหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ให้มาปฏิบัติที่วัด เพราะเรื่องที่ถามมีมาก ดิฉันก็มาตามหลวงพ่อบอก ไม่ได้คิดจะปฏิบัติจริงจังอะไร เมื่อดิฉันถามหลวงพ่อเรื่องทำกสิณ กายคตาสติ เพ่งอสุภกรรมฐาน หลวงพ่อก็บอกว่า ไม่ต้อง กำหนดพอง ยุบ และเจริญสติปัฏฐานสี่ สองอย่างก็พอแล้ว ก็จะระลึกชาติได้ รู้กฎแห่งกรรม แก้กรรมของตัวเองได้

ดิฉันฟังแล้วก็คัดค้านในใจว่า นั่งตั้งนาน ทำสองอย่างจะไปได้อะไร หลวงพ่อให้กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ทำกรรมฐานมาก ดิฉันก็ปฏิบัติตรงข้ามกับที่หลวงพ่อสอนตลอดมา สองวันแรกดิฉันทำเล่น ๆ นั่งอู้ให้หมดชั่วโมง ไม่ได้กำหนดอะไร เมื่อยก็เอาขาลง ขี้เกียจเดินก็ยืนหลับตาคิดอะไรเล่นเพลิน ๆ คนอื่นเขาคงคิดว่าเดินจงกรมเก่ง  ไม่นั่ง แต่พอตกกลางคืนหลวงพ่อมาเทศน์เรื่องคุย ทำเล่น ๆ ไม่เห็นของจริง เรื่องเอาความเกลียดชังโกรธแค้นอาฆาตพยาบาทมาคิดอยู่ในห้องกรรมฐานไม่อโหสิกรรม เป็นบาปกรรมของคนอื่นไปเอามาเป็นของตัวทำไม กรรมของใครเขาสร้างเขาก็รับของเขาไป ปฏิบัติตั้งนานไม่ได้อะไร จิ้ม ๆ จ้ำ ๆ เล่น ๆ หลวงพ่อก็จะอยู่อีกไม่นาน ทำไมไม่รีบปฏิบัติ เมื่อดิฉันกลับไปที่พักได้บอกเพื่อนร่วมห้องว่าวันนี้ถูกหลวงพ่อเทศน์เรื่องพูดมาก ต่อไปจะต้องพูดให้น้อยเท่าที่จำเป็น มีอะไรข้องใจขอให้ไปถามคุณชี หรือแม่ใหญ่ จะตั้งใจปฏิบัติ

วันที่ ๓ ดิฉันตั้งใจทำ เดินให้ช้าลงเพราะหลวงพ่อเทศน์ตอนกลางคืนแล้วว่าเดินเร็ว นั่งก็ทำตามที่หลวงพ่อบอก คือกำหนดพอง-ยุบ จนมีเวทนามากทนไม่ได้ จึงไปกำหนดเวทนา ต้องใช้ความอดทนมาก ตั้งแต่นั่งมาไม่เคยนั่งถึง ๑ ชั่วโมง ต้องออกก่อนเสมอ ดิฉันพยายามแข็งใจต่อสู้กับกิเลส มันชวนให้พอเถอะ ทรมานตัวเองทำไม เจ็บปวดออกอย่างนี้ ดิฉันกัดฟันสู้นึกว่าคนอื่นทำไมเขาทำได้ เราก็ต้องทำได้ ให้มันรู้ไปว่ามันตายเพราะความปวด ทนจนสุดถึงขีดสุด แยกเวทนาออกจากจิตได้ ก็หายปวด เบาสบาย สว่าง สงบ เพิ่งจะรู้ว่า อ๋อ ที่หลวงพ่อเขียนไว้ตรงทางเข้าสำนักวิปัสสนาว่า สงบ สว่าง มันเป็นอย่างนี้เอง มิน่าพระธุดงค์กรรมฐาน ท่านถึงชอบเข้านิโรธสมาบัติ

เมื่อคุณชีให้แผ่เมตตาแล้วดิฉันลุกขึ้นอย่างกระปรี้กระเปร่า ไม่ปวดเมื่อยเลย ตอนสายก็พยายามข่มกิเลส อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ธรรมที่ได้เปลี่ยนไป เป็นการเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแทน ทุกข์จนถึงที่สุดแล้วความทุกข์ก็ดับไป ไม่มีอะไรแน่นอน ไมได้ตั้งอยู่ตลอดเวลา ถึงเวลาความทุกข์ได้ดับลง ในตอนบ่ายธรรมที่ได้ก็เปลี่ยนไปอีก ในตอนแรกปวดมากวิตกว่าคงจะทำไม่ได้เหมือนเมื่อเช้า เพราะนั่ง ๒ ชั่วโมงแล้ว ขาไม่ยอมร่วมมือด้วย มันอุทธรณ์ตั้งแต่ยังไม่ได้นั่งว่าปวด แต่ก็พยายามนึกถึงคนที่เขาเป็นมะเร็ง เป็นโรคเอดส์ เขาคงจะปวดยิ่งกว่านี้หลายเท่า เราต้องทนให้ได้ ถ้าเราเป็นโรคนั้นเราจะได้ทนได้ไม่ทุกข์มาก แข็งใจนั่ง จนทนไม่ไหว ปวดมากน้ำตาไหลซึมออกมา แต่ก็ยังแข็งใจทน จนถึงที่สุดความปวดหายไป เกิดปีติที่ตัวเองเอาชนะกิเลสได้ น้ำตาไหลพรากเต็มสองแก้ม ใครจะมาชนะเราได้ ถ้าเราเข้มแข็งเราต้องชนะใจตัวเราเอง ไม่มีอะไรที่มนุษย์ทำไม่ได้ถ้าพยายามทำ ดิฉันรู้สึกเป็นสุข ตัวเบา ไม่มีกาย ไม่มีจิต มีแต่ความว่าง ออกจากสมาธิแล้วจิตใจปลอดโปร่งแจ่มใสมาก ไม่ปวดเมื่อย ร่าเริงในธรรมที่ตัวเองไม่เคยพบเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา

ในตอนเย็นพยายามท่าไร ๆ ก็ทำไม่ได้เหมือนที่เคย นั่งเป็นทุกข์ว่าทำไมไม่เป็นเหมือนเมื่อเช้า ตอนกลางคืนหลวงพ่อก็มาเทศน์เรื่องอะไรก็เป็นอนิจจัง เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา จะให้เหมือนเดิมไม่ได้ ในวันหลัง ๆ ดิฉันก็เลยไม่ได้พยายามฝืนทน ไม่กำหนดนั่ง ๑ ชั่วโมง ตามคุณชีบอก แต่บอกตัวเองว่าทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทนได้ ส่วนใหญ่ได้แค่ ๔๕ นาทีก็ทนไม่ไหว ในวันที่ ๔ มีปัญหา พอง-ยุบ ไม่ชัด พี่แดงเธอก็บอกว่าเดินให้ช้าลง ยุบพองจะได้ชัด

พี่แดงเธอสอนให้กำหนดทุกอย่างที่ทำ เช่น รินหนอ เดือดหนอ คนหนอ แขวนหนอ ฯลฯ ต่อมาดิฉันเคยชินกำหนดละเอียดมาก บางครั้งมากเกินไปจนกลายเป็นวิจารณ์ เธอก็จะบอกว่าไม่ต้องถึงขนาดนั้น เอาแค่กำหนดรู้ก็พอ

ตกกลางคืนหลวงพ่อก็เทศน์ว่า คิดอะไรแล้วคิดใหม่ได้ ทำอะไรแล้วไม่ดีแก้ตัวใหม่ได้ ดิฉันก็เอาไปคิดเป็นการบ้าน วันรุ่งขึ้นความคิดก็เปลี่ยนไป เพราะตอนเย็นปรึกษาพี่แดงว่ากลัวถูกชนล้มจัง มีคนชอบมาเดินฉวัดเฉวียนใกล้ ๆ ตอนยืนน่ะไม่มีปัญหา แต่ตอนกำลังเดินแล้วถูกชนมีหวังล้มแน่ พี่แดงก็ให้ธรรมะว่า พอเห็นเขามาใกล้เธอก็กำหนดยืนเสีย อย่าเดิน ดิฉันจำไว้ แล้วจริงๆ อย่างที่กลัว ถูกชนจริง ๆ ดิฉันเห็นแล้วเดินปิดตามาจนชิดต้องชนแน่รีบกำหนดยืนทันที พอชนปุ๊บดิฉันกำหนดชนหนอทันที จิตก็นิ่งเดินต่อไปได้เหมือนไม่มีอะไรเลย ดิฉันก็เลยได้ความคิดว่าทำไมเราถึงไปวิจารณ์เขา ทำไมไม่ยกเขามาเป็นครู ว่าเราจะไม่ทำอย่างเขา เราจะไม่เดินเร็ว ๆ อย่างเขา ถ้าทำอย่างเขา คนอื่นเขาก็จะกลัวอย่างเรา และคนที่เขาเดินเป็นเขาจะหัวเราะเยาะเราว่าเดินจงกรม หรือเดินสวนสนาม

เอ๊ะ แล้วทำไมเราไม่แผ่เมตตาให้เขาล่ะ ให้เขาเดินช้า ๆ อย่างเรา ดูเราเป็นตัวอย่าง เขาจะได้ไม่มีวิบาก เราก็จะได้กุศล ดิฉันก็รีบแผ่เมตตาให้เขา แล้วส่งกระแสจิตบอกว่าให้เดินให้ช้า ๆ จะได้ประโยชน์ เดินเร็ว ๆ เหนื่อยแล้วก็เมื่อย ได้ผลเขาเดินช้าลง วันต่อ ๆ ไปก็ช้าลง วันแรก ๆ ที่เขามา เขาคุยกันดังมาก ตอนแรกรู้สึกฉุน แต่พอมีสติก็บอกตัวเองว่าดีซิเขามาเป็นครูอีกแล้ว กำหนดเข้าซิ ก็กำหนดเสียงหนอ ๆๆ เสียงก็เงียบไป วันหลัง ๆ เขาก็เงียบลง ไม่คุยกันอีก แยกกันปฏิบัติ ก็บอกตัวเองว่าครูไม่มาสอนแล้ว พอบ่าย ๆ ก็มีแม่ลูก ๓ คนมา ลูกคนเล็กดิ้นพราดอยู่กลางพรม ใคร ๆ ก็ไปดูไปช่วยกัน ดิฉันก็ยืนกำหนดเดินไปเรื่อย ๆ บอกตัวเองว่าเรากำลังทำงานของเรา ไม่ควรแส่ส่ายเรื่องคนอื่น เดี๋ยวสมาธิแตกนั่งไม่ได้

ตอนกลางคืนหลวงพ่อมาเทศน์เรื่องนางพันธุรัต แม่ของสังข์ทอง แม้จะเป็นแม่เลี้ยงก็รักลูก อกแตกตายเพราะลูก หมาก็ยังรักลูก คนไม่รักลูกมีหรือ ก่อนกลับหลวงพ่อก็ดุแม่ของเด็กคนที่ชอบดุลูก ดิฉันก็สงสัยว่าทำไม เขาชอบดุ จนดิฉันมีโอกาสเดินจงกรมสวนทาง หยุดยืนพิจารณาโหงวเฮ้ง ก็ได้รู้ว่าที่แม่เขาดุเพราะเขาดื้อ หู ๒ ข้างทั้งใหญ่ทั้งกาง ไม่ใช่ดื้ออย่างเดียว ปากบางและยังมีไฝที่ปากอีก อย่างนี้เถียงคำไม่ตกฟากเลย ตาก็เล็กขวาง มองไม่ได้หลบสายตาเลย อย่างนี้แม่คนไหนก็ต้องดุแน่ ๆ ดิฉันก็เลยเพ่งกระแสจิตใส่ตาเขาว่าลูกเอ๋ย หนูจะต้องท่องคาถา ๓ บทนี้นะ ไม่ดื้อ ไม่เถียง ไม่รั้น แล้วแม่เขาจะไม่ดุหนู หนูจะหายจากโรคนี้ หลวงพ่อท่านช่วยหนูแล้ว ดิฉันก็ส่งกระแสจิตให้แม่เขาว่าต้องเอาคาถาของหลวงพ่อไปท่องเมื่อลูกดื้อ เถียงรั้น ให้ท่องคาถา เมตตา คุณณัง อะระหัง เมตตา หลาย ๆ จบจะได้ไม่ต้องดุลูก แต่ดิฉันไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับเขา วันสุดท้ายที่ดิฉันกลับเห็นเขามีความสุขกับการถวายสังฆทาน ดิฉันก็อนุโมทนาส่วนบุญส่วนกุศลที่เขาทำด้วยความดีใจ เคราะห์กรรมเขาคงจะบรรเทาเบาบางลง

ตอนเช้าหลังจากคืนที่หลวงพ่อเทศน์เรื่องนางพันธุรัต แม่ลูกคู่นี้ก็มาเดินจงกรมกลางพรมเหมือนเมื่อวันที่มา แต่ลูกไม่ยอมเดิน แม่ก็เลยต้องอุ้มลูกเดิน เมื่อเขาเดินมาใกล้ ๆ ดิฉันก็ส่งจิตออกนอก วิจารณ์อีกว่า แม่ลูกคู่นี้ช่างมีเวรมีกรรมจริงหนอ ลูกไม่เดินแม่ก็อุตส่าห์อุ้มเดิน เดินคนเดียวก็แย่แล้วยังจะเอาลูกมาอุ้มอีก แล้วลูกก็ไม่ใช่ตัวเล็ก ๆ แม่เดินไปลูกดิ้นสะบัดขาไป ขาไม่ถึงพื้น ดิฉันเดินไปวิจารณ์ไปจนสติมาก็กำหนด เห็นหนอ รู้หนอ

ทันใดนั้นภาพที่ดิฉันเห็นไม่ใช่ภาพผู้หญิงคนนั้นอุ้มลูกของเขา แต่กลับเป็นภาพแม่ของตัวเองอุ้มท้องแก่สัก ๘ – ๙ เดือน สำนึกลึก ๆ ที่ดิฉันไม่เคยนึกถึงแม่ในมุมนี้ก็ผุดขึ้นมาในสำนึก ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อก็เทศน์ให้ฟังแต่ดิฉันก็รู้สึกเฉย ๆ เมื่อเดือนเมษายน ปี ๒๕๓๓ ดิฉันมาปฏิบัติธรรมกับคุณแม่สิริ พันเอกทองคำ ศรีโยธิน ท่านเล่าถึงพระคุณแม่ ดิฉันก็ซาบซึ้งพระคุณคุณแม่ท่าน ไม่เคยซาบซึ้งพระคุณแม่ตัวเอง แต่ภาพที่ดิฉันไม่เคยนึกคือภาพความทุกข์ของแม่ที่ต้องอุ้มท้องมา ต้องคลอดเจ็บปวดขนาดไหน ดิฉันไม่เคยนึกถึง เมื่อนึกถึง ดิฉันยืนร้องไห้ เดินต่อไปไม่ได้ ต้องกำหนดยืน ปิดตาร้องไห้น้ำตาไหลเปียก ๒ แก้ม ไหลลงไปตามคอลงไปในเสื้อ ขี้มูกก็กำลังจะไหล ดิฉันได้สติ ก็กำหนดเสียใจหนอ ร้องไห้หนอ ไม่ร้องแล้วหนอ น้ำตาก็หยุด จึงลืมตา แล้วดิฉันก็บอกตัวเองว่า อ๋อ เขามาเป็นครูให้เรา สิ่งนี้คือสิ่งที่ปิดกั้นการทำกรรมฐานของดิฉันตลอดเวลา ๘ ปีที่ผ่านมา ตราบใดที่ดิฉันยังไม่สามารถสำนึกในบุญคุณของบิดามารดา การทำกรรมฐานของดิฉันก้าวหน้าไม่ได้ ต่อไปนี้การทำกรรมฐานของดิฉันคงคล่องตัวขึ้น

ตั้งแต่ดิฉันกลับมาจากวัดอัมพวันตั้งแต่วันที่ ๑๓ เมษายน ดิฉันยังร้องไห้ไม่จบไม่สิ้น เมื่อนึกถึงบาปที่ได้ทำกับพ่อแม่ และกับสัตว์ที่ดิฉันทรมานเขาด้วยความไม่รู้ถึงผลกรรมที่จะตามทันเพราะเป็นเด็ก ๒๐ กว่าปีแล้วที่ดิฉันต้องชดใช้กรรม สำนึกเรื่องกรรมของดิฉันเพิ่งจะชัดเจนในคราวที่มาปฏิบัติครั้งนี้ บางคืนดึก ๆ ก็ตื่นขึ้นมาร้องไห้ นึกถึงบาปกรรมของตัวเองที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ชีวิตแล้วชีวิตเล่าที่ตายไปเพราะความอาฆาตของดิฉัน ชีวิตมากมายที่ต้องรับกรรมจากความสนุกของดิฉัน โดยไม่ได้สำนึกบาป ดิฉันเพิ่งรู้ว่ากรรมมี ไม่ต้องคอยชาติหน้า คนที่ปฏิบัติกรรมฐานก็จะได้รับกรรมไวทันตาเห็น

เพิ่งจะรู้ว่าที่ดิฉันเป็นโรคริดสีดวง แล้วได้แถมเป็นโรคความดันต่ำ โรคโลหิตจางอีกโรคนั้นเป็นเพราะกรรมที่ทำไว้ตอนเด็ก ๆ และที่ไม่มีโอกาสซื้อบ้านเป็นของตนเองกระทั่งมีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านก็ยังมีปัญหาขัดมาเป็นสิบ ๆ ปีไม่มีทางสำเร็จ ต้องอยู่ห้องแคบ ๆ เล็ก ๆ บ้านพ่อแม่ก็มี ก็ไม่ยอมกลับไปอยู่ทั้ง ๆ ที่สบายทุกอย่างนี่เป็นวิบากกรรมที่ดิฉันทำด้วยความสนุก ตอนเล็ก ๆ ดิฉันต้องทุกข์ทรมานกับโรคริดสีดวง โรคคันในร่มผ้า ต้องไปหาหมอตรวจภายในปีละหลาย ๆ ครั้ง ได้รับความทุกข์อย่างแสนสาหัส ผลไม้ที่รับประทานแล้วถ่ายท้อง เช่น มะละกอ กล้วยน้ำว้า ก็รับประทานไม่ได้ แต่ถ้าเป็นกล้วยปิ้งที่ทำให้ท้องผูกรับประทานได้ เพิ่งรู้ว่ามันเป็นวิบากกรรม

วันที่ ๔ ของการปฏิบัติกรรมฐาน เจ้ากรรมนายเวรเขาก็มาทวงเมื่อกลับมาถึงที่พัก อาเจียนเป็นนมบูด รีบไปที่ห้องพี่แดง ขอน้ำร้อนดื่ม พี่แดงบอกว่าครูมาสอนเธอแล้วกำหนดรู้เสีย แล้วชงยาหอมให้ครึ่งแก้ว ดิฉันดื่มไปกำหนดไป รู้สึกสบายตัวขึ้น กลับไปที่พัก เตรียมอาบน้ำ ปวดท้องอุจจาระ แต่ไม่ออกกระอักกระอ่วนมาก  นึกถึงที่หลวงพ่อเทศน์ ถ่ายอุจจาระก็ให้กำหนด ก็กำหนดเป็นขั้น ๆ จนสุด เจ็บก้นมากก้มดูเลือดสด ๆ สีแดง ๆ  ไหล กำหนดเห็นหนอ รู้หนอ

แล้วภาพที่ลืมไปนานเกือบ ๓๐ ปีก็มาปรากฏ ภาพที่ไปเล่นที่โรงเรียนข้างบ้านสมัยเด็ก ๆ เขาสร้างตึกแล้วไม่ราดปูน ถมดินทรายไว้ ที่ดินทรายมีหลุมเล็ก ๆ เหมือนเวลาฝนตกแล้วเป็นหลุม ความเป็นเด็กซนและชอบสงสัย ก็เอามือเขี่ยดูว่าทำไมเป็นหลุม ๆ เจอตัวกลม ๆ นิ่ม ๆ ก็ไม่รู้สึกขยะแขยง เอานิ้วไชเล่น มันก็หนีหัวซุกหัวซุน ก็ไม่หมดความพยายาม ไปหาไม้เสียบไอติมมาเขี่ย หาขวดแม่โขงแบนมาด้วย เขี่ยได้ก็ใส่ขวด ได้ครั้งละครึ่งขวดก็คงเป็นร้อย ๆ ตัว เล่นเบื่อก็เทออกไว้ที่เดิมบ้าง เทที่อื่นบ้าง และก็ไม่ใช่เล่นครั้งเดียว ไปเล่นบ่อย คนเดียว เมื่อสำนึกนี้ปรากฏ ดิฉันรีบบอกว่าขออโหสิจะแผ่เมตตาไปให้

วันรุ่งขึ้นเวลาเดินจงกรมจะคันก้น อยากถ่ายอุจจาระ ต้องรีบบอกว่ารู้แล้ว เดี๋ยวจะแผ่เมตตาให้ วันสุดท้ายนั่งกรรมฐานก่อนจะถึงกำหนดเวลา ดิฉันเห็นส้วม เล่าให้พี่แดงฟัง เธอก็บอกว่าพี่ไม่รู้ ดิฉันกลับมาคิด ๒ วัน ก็คิดออกว่ากรรมของดิฉันคือไปทำให้คนอื่นเขาเป็นทุกข์ เอาไม้ไปทิ่มก้นเขา เพราะเขามุดหัวลงดินเอาไม้ไปเขี่ยก็ต้องโดนก้น เราจึงได้เป็นโรคริดสีดวง คันในร่มผ้า

และที่ต้องมีปัญหาแตกแยกต้องทุกข์ทรมานมาตลอดเวลาเป็นสิบปี ต้องอยู่คนเดียวในห้องแคบ ๆ ก็เพราะไปพรากเขาให้จากที่อยู่ แยกลูกแยกผัวเมีย แยกญาติพี่น้องเขา จับเขาใส่ไว้รวม ๆ ในที่แคบ ๆ ตัวเองก็ย้ายที่อยู่  บ่อย ๆ บางที่อยู่ได้แค่เดือนเดียวก็ต้องย้าย อยากกลับไปอยู่บ้านที่มีที่ปลูกดอกไม้ก็ทำไม่ได้ วิบากกรรมไม่หมด  ทั้ง ๆ ที่ขอย้ายเมื่อใดต้องได้เมื่อนั้น แต่ก็ไม่ทำ ทนอยู่ห้องเล็ก ๆ แคบ ๆ เกือบ ๒๐ ปีแล้ว เมื่อคิดอยู่สองวัน ดิฉัน ก็คิดเรื่องส้วมได้ ว่าที่นั่งแล้วเห็นส้วมนั้นเพราะโรคที่เป็นเกี่ยวกับส้วม วิบากกรรมของดิฉันจะเบาบางลงได้ก็ต่อเมื่อดิฉันได้ทำบุญด้วยส้วม ดิฉันขอบริจาคส้วมโถ ๒ โถ พร้อมท่อน้ำสำหรับทำความสะอาด ๒ สาย สำหรับกุฏิกรรมฐานใหม่ที่หลวงพ่อจะสร้างเป็น ๒ ชั้น ทุบของเก่าทิ้ง ขอให้เป็นห้องชั้นล่างใกล้ที่ปฏิบัติสำหรับผู้ปฏิบัติสูงอายุ ผู้หญิงหรือสตรีมีครรภ์ ๑ ห้องและผู้สูงอายุชาย ๑ ห้อง เมื่อเขามาปฏิบัติกรรมฐานได้รับความสะดวกในการขับถ่าย เขาจะได้อนุโมทนาในส่วนบุญกุศลที่ดิฉันได้บริจาค แล้ววิบากกรรมของดิฉันจะได้เบาบางลงบ้าง

วิบากกรรมของดิฉันไม่ใช่มีแค่นี้ เรื่องขาข้างซ้าย แม่บอกว่าเป็นตั้งแต่เดินได้ ยังไม่แน่ใจว่ากรรมสร้างชาตินี้หรือชาติที่แล้ว เมื่อปี ๓๓ ที่ดิฉันมาปฏิบัติกรรมฐาน ดิฉันเดินไม่ได้ปวดมาก เจ็บปลายเท้ามากที่สุด ตอนนั้นศาลาสร้างยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ยังไม่ได้ปูพรม เดินเมื่อไหร่เจ็บเมื่อนั้น ดิฉันต้องแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร แต่ยังไม่ค่อยแน่ใจ ตอนนอนเห็นผู้ชายตัวดำ ๆ หนวดดำ ๆ มาปีนข้างฝาห้อง ตอนนั่งก็เห็น ได้แผ่เมตตาไปให้ พี่กาญแนะนำให้ไปตัดรองเท้าเสริมส้นตั้งหลายปี ก็ไม่ยอมไปตัด อ้างว่าเคยตัดแล้วใส่ไม่ได้หนัก หกล้ม แต่หลังจากมาปฏิบัติแล้วยอมไปตัด ความทุกข์เรื่องเจ็บหัวเข่าเจ็บเท้าหายไป มาปฏิบัติปีนี้เดินได้ครั้งละ ๒ ชั่วโมง ไม่ปวด พูดกับพี่แดง พี่แดงบอกว่าไม่ดีนะ ไม่ปวดน่ะ เมื่อลองไปเดินที่พื้นดูยังเจ็บ เลยไม่เดิน

บอกตัวเองว่าจะไปทนเจ็บทำไม คนอื่นเขาก็เดินบนพรม เราควรศึกษาเรื่องอื่นบ้างแทนที่จะกำหนดเวทนาปวดขาอยู่อย่างเดียว แล้วไม่ยอมไปเดินที่นอกพรมอีก แต่วันท้าย ๆ รู้สึกเจ็บปลายเท้าบ้าง แต่ยังไม่เห็นกรรม นี้ชัดเจน คงต้องทำต่อไป ส่วนที่ดิฉันชอบรับประทานอาหารเค็ม ๆ จนพี่กาญบอกว่าตายแล้วไม่เน่า ฉันก็กลัวโรคไตมาก แต่วิบากนั้นลดลงตั้งปี ๓๓ ที่มาปฏิบัติ เดิมดิฉันนึกว่าเป็นกรรมที่นึกว่าพ่อในใจว่ากินเค็ม

แต่พอทำกรรมฐานแล้วถึงรู้ว่าไม่ใช่ แต่เป็นเพราะความไม่รู้ในวัยเด็ก ดิฉันปลูกผัก ดอกไม้ หลังบ้านแล้วมีหอยทากมากิน ดิฉันโกรธมาก เกลียดด้วย จึงจับใส่ถุงพลาสติกแล้วแขวนข้างรั้ว ตากแดดไว้แล้วมันตาย ต่อมามีคนแนะนำว่า ให้หงายขึ้นแล้วเอาเกลือใส่ ก็ทำตาม ทำมากด้วย พอใส่เกลือมันก็จะน้ำลายไหลแล้วแห้งตายเพราะกลับตัวไม่ได้ วิบากกรรมนี้ทำให้ดิฉันชอบอาหารเค็ม ๆ ขณะที่รับประทานอาหารเกือบเสร็จก็มีคนเอาลูกหว้ามาเดินแจก ดิฉันบอกว่าอิ่มแล้วเขาก็ไม่ฟัง ตักใส่ให้เกือบสิบเม็ด ดิฉันตักเข้าปาก เค็มปี๋ ภาพวิบากกรรมที่ดิฉันทำไว้ปรากฏขึ้นทันที คราวที่แล้วเลยต้องแผ่เมตตาให้หอย อาหารในคราวนี้ก็มีไข่เค็มติด ๆ กัน ๒ วัน ดิฉันนำมาพิจารณาแล้วก็แผ่เมตตาให้หอย คิดว่าวิบากนี้คงจวนจะหมดแล้ว เพราะบางวันอาหารจืดแต่ดิฉันก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร

วิบากทุกอย่างที่ดิฉันทำไว้ ดิฉันได้รับขณะปฏิบัติกรรมฐานครั้งนี้มาก พี่ที่ทำงานรู้ว่าดิฉันปฏิบัติธรรม ไปพบรองเท้าสีขาวก็ซื้อมาฝากไว้ใส่ปฏิบัติธรรม แต่พี่เขาไม่ทราบว่ารองเท้าไม่มีที่หนีบดิฉันใส่ไม่ได้มันหลุด พี่เขาให้มาเจตนาดี ก็เลยเอามาใช้ กะว่าใช้แล้วจะไว้ที่วัด เวลาเดินก็รำคาญนึกในใจว่าเมื่อไหร่จะไม่ต้องใส่เสียทีรำคาญ จนนึกถึงพี่เขาได้แผ่ส่วนกุศลให้พี่เขาแล้ว ลงมาจากศาลา รองเท้าหายไป ไม่ทราบใครเผลอสติ ยืนคอยจนคนสุดท้ายก็ไม่เห็นมีรองเท้าที่เหมือนหรือคล้ายเลย จำใจต้องเดินเท้าเปล่า กำหนดเจ็บหนอ ร้อนหนอ ไปตลอดทาง

นี่ก็วิบากกรรมที่ทำสัตว์ร้อน ชอบฉีดยาฆ่าแมลงก็เป็นไซนัส หายใจไม่ออก ปวดศีรษะบ่อย ๆ น้ำหอมก็เหม็น หายใจไม่ออก ล้วนแต่มาจากกรรมที่ได้เบียดเบียนสัตว์ ชอบจับแมงสาบใส่ถุง เกลียดมัน แทนที่ปฏิบัติกรรมฐานแล้วจะมีเมตตาสัตว์แผ่เมตตาให้  มอดขึ้นข้าวแทนที่จะทิ้งกลับเอาใส่หม้ออบแล้วก็หุงเพราะเสียดายเงินแค่ ๒๐ ๓๐ บาท ยอมฆ่าสัตว์เป็นร้อย แล้วก็ได้รับวิบากถูกไฟลวกถูกน้ำร้อนลวกเป็นประจำ ดิฉันทราบว่าตนเองทำปาณาติบาต ขาถึงได้เป็นอย่างนี้ แต่ก็ยังทำกรรมปาณาติบาตอยู่ ศีลข้อนี้ดิฉันรักษาไม่ได้ แต่ต่อไปจะพยายามให้ล่วงเกินสัตว์ให้น้อยที่สุด

ในขณะที่ปฏิบัติธรรม ดิฉันสำนึกในกรรมที่ได้ล่วงเกินหลวงพ่อตลอดมา ไม่ค่อยเชื่อฟังคำสอน รั้นค้านโน่นค้านนี่ตลอดเวลา

เมื่อก่อนดิฉันไม่เชื่อเรื่องหลวงพ่อจะรู้อะไรเกี่ยวกับการกระทำของคนอื่น แต่เดี๋ยวนี้รู้แล้ว หลวงพ่อเทศน์เรื่องการรู้วาระจิตของคนอื่น เป็นสิ่งที่ดีจะได้ไม่ประมาท จะได้แก้กรรม ดิฉันเขียนไปถามหลวงพ่อว่า ถ้ากำหนดผิดไม่เป็นอกุศลวิบากหรือและการกำหนดวาระจิตไม่เป็นอุปาทานหรือ หลวงพ่อไม่ตอบ ดิฉันก็เลยเอากลับมาคิดได้คำตอบว่าถ้าเรากำหนดรู้ เราช่วยหาทางแก้ไขให้เขาได้ก็ทำไป ทำไม่ได้ก็วางเฉย ปล่อยไปตามกรรมของเขา เราไม่จำเป็นจะต้องพูดทุกสิ่งที่เรารู้หรือเราเห็น แต่เราต้องรู้สิ่งที่เราพูดทุกสิ่งว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศลวิบาก ดิฉันนึกถึงเรื่องต่าง ๆ ที่ลืมไปแล้ว และไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นการกำหนดวาระจิต รู้แต่ว่ามันมีสิ่งที่รู้ขึ้นมาเอง ดิฉันมักจะคิดว่าเป็นอุปาทาน แต่เมื่อกลับมาจากวัดแล้วนำมาคิด ก็รู้ว่านั่นไม่ใช่อุปาทาน แต่เป็นการกำหนดรู้วาระจิตเหมือนที่หลวงพ่อบอกพี่แดงว่าคนนี้เขามีอะไรดี ๆ ดิฉันก็ไม่เข้าใจว่าอะไร

จนการปฏิบัติครั้งนี้ถึงได้รู้ว่าอะไรดี ๆ ที่หลวงพ่อพูดหมายถึงอะไร เพราะการปฏิบัติครั้งนี้ ศีลของดิฉันไมบกพร่องเพราะพูดน้อย ศีลข้อ ๔ จึงไม่ขาด ดิฉันกำหนดไว้ตลอดเวลาว่าจะไม่ค่อยเผลอสติ เอาของคนอื่นมาเป็นของตน ศีลข้อ ๒ ก็ไม่ขาด เวลาเดินก็ไม่คุย ได้แผ่เมตตาให้แก่สัตว์ไม่ทำชีวิตสัตว์ตกหล่น เพราะกำหนดเห็น กำหนดเดิน ตลอดเวลา ศีลข้อ ๑ ก็ไม่ขาด เพิ่งรู้อานิสงส์ของการพูดน้อยก็ครั้งนี้ ทำให้ศีลไม่ขาด เมื่อศีลบริสุทธิ์  ก็เกิดสมาธิ และปัญญาตามมา

เคยสงสัยว่าปัญญาอะไร ทางไหน เดี๋ยวนี้ก็ได้คำตอบว่าปัญญาที่เกิดจากการเห็นธรรม วันแรก ๆ ปวดก็ใช้ยาทา ยารับประทาน ปวดไหปลาร้าก็แก้ปัญหาด้วยการเอามือไปไขว้ข้างหน้า แต่พอปัญญาเกิดก็นึกถึงธรรมโอสถของหลวงตาบัว วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี ได้ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าธรรมโอสถที่ท่านพูดถึงหมายถึงอะไร สงสัย เก็บความสงสัยเข้าไปห้องกรรมฐาน จนหลายวันจึงนึกได้ว่า สัตว์อยู่ในป่าไม่ต้องกินยา ไม่มีโรงพยาบาล เขาก็อยู่ได้ ทำไมแค่ปวดจะต้องกินยา ทายา ก็กำหนดเข้าซิ ปวดท้องก็กำหนดเข้าปวดอย่างมากก็คืนเดียว อะไรก็อนิจจังทั้งนั้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ครูปวดมาสอนให้กำหนด กำหนดเข้า

มาปฏิบัติธรรมครั้งนี้ ดิฉันได้ธรรมมาก เห็นอะไรเป็นครูสอนไปหมด กระทั่งขี้ไก่ ขี้หมา วันแรก ๆ  ไม่เห็น ได้แต่นึกว่า เอ ทำมาไก่ชี้เลอะเทอะจัง แต่พอหลาย ๆ วันยิ่งเพิ่มปริมาณมาก ก็กำหนดเห็น มีสติ ไม่เผลอเหยียบ ก็นึกได้ว่าเขาเป็นครูให้เราใช้สติ ไม่เหยียบ อาจลื่นหกล้ม คิดว่าตอนพักกลางวันจะมาทำความสะอาดสักวัน แต่ก็คิดว่าถ้าพระท่านเห็นว่าดีที่ไปช่วยท่านทำความสะอาดเราก็ได้กุศล แต่ถ้าท่านนึกว่าเป็นความบกพร่องของท่าน เราต้องมาทำ เราก็จะเกิดวิบาก ก็เก็บไปคิดว่าจะทำอย่างไรดี

ก็คิดได้ว่าเราต้องกำจัดที่เหตุ ถ้าเราไปถู ไก่ก็มาขี้ทุกวัน เราต้องทำไม่ให้ไก่มาขี้ วิธีที่จะทำได้ก็คือแผ่เมตตา พอนั่งสมาธิเสร็จลุกแผ่เมตตาให้ไก่ทั้งหลาย สุนัขทั้งหลายในวัดอัมพวัน อย่ามาขี้ให้สกปรก อาศัยข้าววัดกิน อาศัยลานวัดอยู่ ได้รับบุญกุศลจากผู้ทำกรรมฐาน ไม่ควรขี้ให้ศาลาสกปรก ไม่ช่วยทำความสะอาดแล้ว ก็อย่าสร้างวิบากกรรมให้พระ ชาติต่อไปจะได้เกิดดี วันต่อ ๆ มาดิฉันไม่ได้ยินสียงไก่ ไม่เห็นทั้งไก่และสุนัข และเขาก็ไม่มาขี้ให้ สกปรกอีก

ในวันโกนตอนราว ๆ สักสองทุ่มกว่า ดิฉันได้ยินเสียงคล้ายเสียงนกดังมาก ตอนแรกคิดว่าเป็นเสียงนก  แต่เสียงนกไม่ใช่อย่างนี้ ดิฉันจำเสียงนกที่ร้องทุกวันได้ และมืดแล้วนกกลับรัง ไม่มาร้อง จึงกำหนดเสียงหนอ ๆๆ จิตบอกว่าเป็นเสียงเปรตมาขอส่วนบุญ แต่ก็แปลกทำไมหมาไม่หอน ก็บอกไปในสมาธิว่า คอยเดี๋ยว ยังนั่งสมาธิไม่ดี และหลวงพ่อไม่ให้แผ่เมตาขณะนั่ง เสียงนั้นก็เงียบไป เป็นเสียงร้องเหมือนที่เคยได้ยินเมื่อไปวัดหนองป่าพง วันนั้นก็เป็นวันโกนเหมือนกัน เสียงที่ดังอยู่หลังโบสถ์ไม่ต่ำกว่า ๓๐ เสียง น่าจะเป็นร้อย นั่งเสร็จก็แผ่เมตตาให้เปรตในวัดอัมพวันทั้งหลาย

วันแรกที่ไปปฏิบัติเห็นพระรูปสมเด็จพระสังฆราช นึกในใจว่าหลวงพ่อเป็นผู้ที่มีความเคารพผู้ใหญ่มาก ทุกครั้งก่อนที่หลวงพ่อจะเทศน์ ดิฉันเห็นหลวงพ่อกราบท่าน กำหนดเห็นหนอ พอหลวงพ่อเทศน์ว่าเขาก็มีดี เราก็มีดี แต่ดีคนละอย่าง ก็ได้ธรรมว่าคนที่เขาใหญ่กว่าเรา เขาจะดีหรือไม่ดีก็เรื่องของเขา เขาก็ต้องมีดี ไม่อย่างนั้นเขาไม่ได้ใหญ่ สิ่งที่เราควรทำคือนอบน้อมเพื่อให้เกิดมงคลแก่ตัวเอง เมื่อหลวงพ่อเทศน์ไปนาน ๆ หลวงพ่อก็เอามือตีที่เข่า เมื่อก่อนก็คงเห็นว่าเป็นตีเข่าประกอบการพูด แต่วันนั้นบังเอิญดิฉันฟังอย่างตั้งใจ กำหนดเห็นหนอ เลยรู้ว่าการตีเข่าของหลวงพ่อเป็นอุบายหยุดการเจ็บปวดหัวเข่า ดิฉันลองไปทำดู คิดว่าใช่

เดี๋ยวนี้ดิฉันมีความสุข ประสบผลสำเร็จในการปฏิบัติ เป็นเพชรที่หลวงพ่อได้เจียระไนให้เหลี่ยมคม น้ำใสมีประกาย ไม่มีสีติดให้ด่างพร้อย เป็นเพชรน้ำเอกอีกเม็ดหนึ่งที่ผ่องใสเจิดจ้าไร้มลทิน เพราะความกรุณาของหลวงพ่อ

 

นางสาวนิตยา พึ่งทอง (ศศ.บ)
อาจารย์ ๒ ระดับ ๖
ร.ร.ราชวินิตมัธยม นางเลิ้ง