อัสสาสะ-ปัสสาสะ
(การหายใจเข้า – การหายใจออก)

โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

ารเดินจงกรมนี้ ขอให้ญาติโยมเดินให้ช้าที่สุด ก้าวขวาย่างหนอย่างไปแล้วหยุดหายใจ แล้วก็จะยกเท้าซ้าย มันจะมีน้ำหนักยกขึ้นซ้ายมันจะกดทางขวา ซ้ายย่าง ขณะนั้นมันจะกดข้างขวาเข้าไว้ หนอ ลงซ้าย กระเบนเหน็บถึงปลายเท้ามันจะตึง จิตจะเป็นกุศลแล้วเดินจงกรมให้ช้า ถ้าเพ่งภาวนาอยู่ จิตจะไม่ฟุ้งซ่านเลย จิตมันจะไปถ่วงอยูที่ปลายเท้า ก็ทำให้อวัยวะปกติ

การเตินจงกรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงไว้ ในหลักสูตรของสติปัฏฐาน ๔ ถ้าเราเดินมีสติดี รู้ตัวขณะเดิน อวัยวะจะเข้าไปสู่สภาวะแห่งความเป็นปกติ ท้องจะเคลื่อนย้าย ท้องคือศูนย์สะดือที่ระหว่างท้องจะทำงานการเดินจงกรมทำให้ช้า มันจะถ่วงอวัยวะไว้ดีมาก ท้องจะทำงานธาตุทั้ง ๔ ที่เรียกว่า ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ก็จะปกติ พยายามเดินให้ช้าที่สุด ทำให้จิตนี้ไม่ออกไปข้างนอก มันอยู่ที่ปลายเท้า แล้วก็ ยืนหนอ ๕ ครั้ง

วิธีปฏิบัตินั้นพูดกันมานานก็จริง เวลาจิตที่เรียกว่า คาบลม อัสสาสะ ปัสสาสะ อยู่ตรงนี้เองนะ อัสสาสะ-ปัสสาสะ หมายความว่า กระไร เคยถามผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญวิชาการ ตอบไม่ได้เลย คำว่ายืนหนอ ยืนอย่างไร สำรวมจิตปักไว้ที่ปลายผมลงไปนั้น ก็มีการหายใจเข้าออกให้ได้จังหวะ เช่น สำรวมเท้าขึ้นมาหายใจอย่างไร ยืนหนอ หายใจขึ้น ยืนลงไปหายใจอย่างไร หายใจเข้า ยืนหนอขอให้ทำให้ได้ ยืนอีกหายใจออกให้ยาว เรียกว่า อัสสาสะ-ปัสสาสะให้ยาว หายใจยาว แล้วจิตจะไม่ฟุ้งซ่าน

อันนี้พูดกันมานาน เท่าที่ถามโยม โยมตอบไม่ได้ แสดงว่า ทำไม่ได้ตามจุดที่สอน ตรงนี้สำคัญมาก “ยืนหนอ” หายใจเข้าไว้ ยืนนี่ตั้งแต่ศีรษะให้หายใจเข้า หายใจเข้าไปเลย ให้ยาวไปถึงเท้า ยืนหายใจเข้ายาว ๆ สูดยาว ๆ อย่างที่ไสยศาสตร์เข้าใช้กัน เรียกว่า คาบลม

คาบลมสำคัญมาก คาบลมนี่อยู่ในจุดสมาธิ เรียกว่า อัสสาสะ-ปัสสาสะ ที่พระพุทธเจ้าทรงทำมา แต่ทุกคนหรือพระอาจารย์ที่ทำไม่เป็น ก็สอนกันอย่างนั้น หายใจเข้ายาว ๆ ไปถึงปลายเท้า แล้วก็ยืนสูดหายใจเข้ามาให้ยาวไปถึงกระหม่อม อัสสาสะ-ปัสสาสะ แล้วจิตจะเป็นกุศล ทำให้ยาว รับรองอารมณ์ของโยมที่เคยฉุนเฉียว จะลงลงไปเลย แล้วก็จิตจะไม่ฟุ้งซ่านด้วย โรคภัยไข้เจ็บมันจะค่อยเบา อวัยวะเลือดลมจะเดินได้อย่างปกติถึงศีรษะลงสู่ปลายเท้า ตจปัญจกกรรมฐานข้อนี้เอง พระพุทธเจ้าทรงสอนนักสอนหนา มูลกรรมฐานอยู่ตรงนี้ มูลฐานของชีวิตอยู่ตรงนี้ หายใจยาว ๆ ยืนหนอลงไป หายใจออก ยืนหนออย่างนี้เป็นต้น

อาตมาไปฝึกหัดสมาธิ หุงน้ำมันมนต์ กับหลวงพ่อจง วัดหน้าต่าง จ.พระนครศรีอยุทธยา ไปทำมาเดือนแล้วไม่ได้ ไม่มีอภินิหารของน้ำมันเลย วันสุดท้ายจะขอลาท่านมา บอก หลวงพ่อ ผมไม่ได้ผลเลย คาถาเสกน้ำมันพุทธมนต์ก็ไม่มีอะไร คาถาพุทธคุณ ๑๐๘ พาหุงมหากานี่แล้ว อะสังวิสุโส ปุตสะพุทภะ มะอะอุ อุอะมะ อะมะอุ อะไรทำนองนี้ ทำไม่ได้ น้ำมันเดือด แล้วจุมก็ไม่ได้ ใช้น้ำมันเปล่า ๆ ก่อน ใช้น้ำร้อนเดือด ๆ จุมก็พองหมด ลิ้นพองหมด ทำอย่างไร อ๋อ! ตรงนี้เอง อัสสาสะ-ปัสสาสะ ถึงจะเกิดสมาธิ ถึงจะเกิดจิตเป็นกุศล นี่หลวงพ่อจง วัดหน้าต่าง จ.พระนครศรีอยุทธยา ท่านก็สิ้นชีวิตไปนานแล้ว หลวงพ่อจาด จ.ปราจีนบุรี หลวงพ่ออินทร์ หลวงพ่อเรื่อง หลวงพ่อเดิม อ๋อ ! ใช้อย่างนี้เอง ใช้อย่างนี้เอง แล้วอาตมาก็ได้จุด

พอได้จุด ลองทำคืนนั้น หนึ่งเดือนแล้วที่ไปอยู่กับหลวงพ่อจง วัดหน้าต่าง ก็ลงมือทำตอนตีหนึ่ง หายใจเข้า อ๋อ! ได้เลย หายใจออก ก็คาบลมมันก็เพ่งไปตามสมาธิถึงจุดนั้นเลย มันมีพลังสูงมาก มีพลังสูง อ๋อ! ได้ตรงนี้เอง เราว่าคาถาให้มันจบ มันก็ไม่ได้ผล เช่นยกตัวอย่าง หลวงพ่อศุข วัดมะขามเฒ่า เสกใบมะขามเป็นตัวต่อ เสกเข้าไปเถอะว่าคาถาถูก มันก็ไม่ได้ ไม่เท่ากัน เพราะอัสสาสะ-ปัสสาสะ ลมหายใจเข้าออกไม่เป็นคาบ ที่โบราณบอกคาบลม เช่น นะโมพุทธายะ หายใจออกไปให้จล นะโมพุทธายะ พอยะธาพุทธโมนะ หายใจเข้าให้ได้จบ อ๋อ! นี่อัสสาสะ-ปัสสาสะ มันจึงจะมีอภินิหารของอารมณ์ จิตถึงจะเป็นกุศล เท่าที่ได้ฟังพระอาจารย์สอนมาหลายองค์ท่านทำไม่ได้ ท่านก็ทำ บางทีเราทำขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ปากมันว่า จิตมันไม่ว่าอย่างนี้เอง จิตมันไม่ไป จิตไม่เป็นกุศล จึงไม่ได้ผลโดยวิธีนี้ประการหนึ่ง จึงไม่สามารถจะอดทนได้ มีหลายนัย มีความหมายอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ตั้งแต่นี้ไปนะ ก็ขอให้ตั้งใจจริง ๆ มันจะได้ผลโรคภัยไข้เจ็บที่ว่าแบ่งโรคได้ ฝากโรคไปเก็บไว้ก่อน แล้วตัวเราก็ไปโดยไม่ต้องเก็บ นี่ใครเป็นคนทำได้ นี่ท่านเจ้าคุณอุบาลีสิริจันโท วัดบรมนิวาส ที่ท่านสิ้นชีวิตไปนานแล้ว เป็นคนทำให้ อันนี้ก็ได้ผลอย่างนี้ อันนี้ขอให้ญาติโยมตั้งใจจริง ๆ ต่อไป เช่น โยมร้องไห้เก่ง ๆ ใจน้อยเศร้าใจ น้อยใจ มันจะไม่มีเพราะหายใจยาว ๆ ที่อาตมาบอกโยมให้หายใจยาว ๆ โยมก็ไม่ค่อยเข้าใจ ตอนนี้จะเน้นหลักหนักไปทางนี้ให้มาก จะไม่พูดกันลามปาม ต้องทำแล้วให้ได้ด้วยโดยวิธีนี้

ดังนั้น “ยืนหนอ” กว่าอาตมาจะทำได้ ๑๐ ปี ที่ว่ากว่าจะรู้จากพระอุปัชฌาย์ว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา ก็คือ “ยืนหนอ” ๕ ครั้ง นี่เอง กว่าจะรู้เรื่องใช้เวลานาน เหลือเกิน ยืน หายใจยาว ๆ ฝึกตรงนี้ หายใจลงไป สูดหายใจยืนหนอหายใจลงไปถึงเท้า หยุดลมหายใจ สูดลหายใจสูดเข้ายาว ๆ

ยืน แล้ว ก็ หนอ ว่าในใจนะ ไอ้ปากว่านั่นมันฝึก ที่ครูเขาบอกว่า ยืน…หนอ… นี่ฝึกให้เราทำตามหลักวิชานี้ แล้วคนฝึกไม่เป็น ก็ว่าปากเอาเอาเลย ให้ว่าในใจว่า ยืน…หนอ..อย่างนั้นเอง ถ้าจิตไปได้สักครั้งหนึ่งนะ รู้ภาวะของเราเลย ยืนหายใจยาว ๆ ยืนอย่าให้ขาดลมอัสสาสะ-ปัสสาสะ

ถ้าดูในประวัติพระพุทธเจ้าแล้ว อาตมาเคยไปถามพระอาจารย์กรรมฐานหลายองค์ว่า อัสสาสะ-ปัสสาสะ ทำอย่างไรคารับ ก็ได้รับคำตอบว่า ก็อัดลม อั้นลม อั้นที่ไหนเล่า ไม่ใช่อั้น อัสสาสะ-ปัสสาสะ คือ คาบลม พระอาจารย์ไสยศาสตร์ท่านว่าอย่างนี้ บางทีคาถายาวตั้งวา ก็เรากว่าจะว่าจบนี่ก็หายใจตั้งหลายครั้ง แต่ข้อเท็จจริงหายใจครั้งเดียวจบแล้ว คือมันแม่น มันจำแม่น พรวดเดียวจบแล้ว หายใจออกไปหนึ่งจบ หายใจเข้ามาพรวดออกไปหนึ่งจบ มันจะมีพลังจิต อัสสาสะ-ปัสสาสะ ไม่ใช่ไปอั้นลมหายใจ บางคนตอบไม่ได้เลย เพราะทำไม่ได้ อันนี้สำคัญมาก ไม่ใช่ไปนั่งกรรมฐานเสร็จแล้ว เราก็ไปสอนกัน อันนี้เราก็เน้นหลักหนักไปในทางนี้ให้มาก เราจะเอาคุณภาพ อย่าไปพูดกันอย่างนั้น อย่างคนถึงอั้นลมได้นะ เช่น นะโมพุทธายะ ว่าไปนี่ยาว ถอยมาสั้น นี่อย่างนี้

ยกตัวอย่าง อาตมาไปเรียนมากับ หลวงพ่อลี เคยตามท่านไปธุดงค์ กว่าจะรู้เรื่องนานหมือนกัน ท่านบอกว่าอยากจะสะเดาะลูกกุญแจไหมเล่า เป่าลูกกุญแจให้หลุด ก็บอกท่านว่า อยากครับ ทำอย่างไรครับ ต้องใช้จิต เอาจิตไปไข เหมือนเอาลูกกุญแจไปไข โยมมีปัญหาในใจ เอาลูกกุญแจไขจิต ให้มันหลุด จิตนี่เป็นลูกดอกกุญแจไขปัญหา ลูกกุญแจคือ อะไร คือ สติ ไขออกทุกราย คือแก้ปัญหา ไขปัญหา ไขความแก้ปัญหาชีวิตได้ ไม่ต้องไปถามหมอดูแล้ว อยู่ตรงนี้ คนที่ไปหาหมอดูคือคนโง่ โง่ที่สุด แก้ไขปัญหาไม่ได้ไปหาหมอดูมากเท่าไร หาเจ้าเข้าทรงมากเท่าไร มัปัญหามากเท่านั้น มีปัญหาจริง ๆ

วันนี้จะมาพูดให้เข้าใจ เดินจงกรมให้ช้าที่สุด เหมือนคนตาย เวลาจะ ขวา..ย่าง ไปกว่าจะลงน มันจะถ่วงซ้าย นี่เห็นไหม เคยสังเกตไหม นี่ถ่วงไว้มันจะตึงเป๋งเลย ให้ช้า ขวาย่างไป ขาจะสั่น ปั๊บ ๆ ๆ สติดีมันจะไม่สั่น มันจะตึงเปรี๊ยะ มันจะโน้มลงไป เวลาซ้ายจะย่าง ซ้ายมันจะยก มันจะหนักเข้าไปทางขวา แล้วเวลาย่างไปนี่ อวัยวะมันจะตั้งอย่างปกติไม่ได้ ก้าวไป สติดี มันจะตั้งอยู่อย่างปกติ โรคจะลดน้อยลงไป โรคภัยไข้เจ็บในตัว มันจะค่อย ๆ หายเส้นมันจะยึด แล้วก็หย่อนด้วยสภาวธรรม จากสติสัมปชัญญะ นั่นเอง มันจะบอกชัดเลยนะ ขอให้เดินช้า ๆ อย่าเดินไวมันจะถ่วง ซ้ายถ่วงขวาอย่างไร เดี๋ยวจะเห็นชัดในสภาวธรรม มันจะตึงไปหมด ปวดรวดร้าวสกลกาย มันสามารถจะมีอานิสงส์ยืดยาว เดินทางไกลได้โดยไม่เหนื่อย โรคภัยไข้เจ็บอาพาธน้อยจริง ๆ เลือดลมจะเดิน สะดวก คนที่เลือดลมไม่ดี ยกตัวอย่างพวกสาว ๆ ขอประทานโทษ ขออนุญาตกล่าว ประจำเดือนไม่ดี ปวดท้องเก่งนัก ปวดหัว เดินจงกรมช้า ๆ เดินให้มาก ๆ รับรองปวดท้อง ปวดประจำเดือน จะไม่เป็นต่อไป บางคนก็ไม่เอา เดินกันจ้ำ ๆ อย่างนั้นจะไปหายอะไร เพราะสติไม่ดี จิตมันไม่ไข ความมันจะไม่แจ้ง แสดงออกไม่ได้ ธรรมะมันจะไม่แดงแจ๋ อะไรทำนองนี้ ที่ฝากความเจ็บไว้ก่อนเอาตัวไปนะ แน่นอนนี่เรื่องจริง แยกเวทนาออกเป็นสัดส่วนได้เมื่อไร รับรองได้เลย อาตมาเคยถามมา หลายพระอาจารย์

ทำอัสสาสะ-ปัสสาสะให้ได้ ใครทำได้โทรจิตได้ มันอยู่ตรงนี้ มันมีเทคนิคอยู่ตรงนี้ พระอาจารย์กรรมฐานยังทำไม่ได้กันเยอะ เอาวิชาการมาสอนกันเยอะ การอยู่ปริวาสกรรม วัดโน้นวัดนื้ทำกันใหญ่โต น่าสงสารและเสียดายมาก มีจุดมุ่งหมายอยู่ตรงนี้เอง อันนี้อย่าลืมนะโยมนะ หายใจเข้ายาว ๆ จากกระหม่อมนี่เอง กระหม่อมนี่เป็นเซลล์ บางคนกระหม่อมบาง บางคนก็เซลล์บาง จะกระหม่อมอ่อน รับรองไหวติงง่ายจังเลย อยู่ตรงนี้มูลกรรมฐาน พระพุทธเจ้าทรงละเอียดมาก แต่เราทำกันไม่ได้ พระอาจารย์กรรมฐานไม่รู้ กดตรงนี้ให้แรง ยืนกดอัสสาสะ-ปัสสาะ ยืน หายใจเข้าไว้ ยืนหนอ พอสำรวมปลายเท้า หายใจออก ยืน หายใจออกไป หนอ พอดีเลย ถ้าทำได้คล่องแคล่วว่องไวดี รับรองอัสสาสะ-ปัสสาสะได้ สามารถจะส่งกระแสจิตได้ ตรงนี้นะอาตมาไม่ค่อยจะพูดให้ฟัง เพราะพูดแล้วไม่เข้าใจ ต้องทำให้ช่ำชองก่อน แล้วค่อยมาหัดเทคนิคตรงนี้ ได้ตรงนี้รับรองแยกเวทนาได้ ส่งกระแสจิตได้โดยวิธีนี้นะ หัดไว้เสียให้ได้ เรื่องไสยศาสตร์ก็เป็นเรื่องเล็กไป อาตมาไปฝึกกับหลวงพ่อลี ท่านบอกว่าอยากเป่าลูกกุญแจ ที่คู่กับอาตมาก็คือ พ.อ.ชม

สุคันธรัตน์ แต่อาตมาเลิกแล้ว พ.อ.ชม ท่านรู้ ว่าอาตมา ทำอะไรได้บางไปฝึกกันมาแล้ว ก็อัสสาสะ-ปัสสาสะนี่เอง มีอภินิหารทางโทรจิต

ยกตัวอย่างให้มัดตัว เวลาจะฝึกเป่าลูกกุญแจให้มัดตัวก่อน เอาเชือกมัดขามัดแขนก่อน แล้วเอาไปทิ้งไว้ในป่าช้าให้ความกลัวหายก่อน ถ้าคนไหนยังกลัวโน่นกลัวนี่ ไม่ขลังนะ ไม่ขลัง แล้วทำอย่างไร คาถาไม่มีอะไร นวรหคุณ ๙ ว่าถอยหลังกลับ ว่าคาบลมอย่างนี้เอง หายใจเข้า ๑ จบ หายใจออก ๑ จบ พอหายใจเข้าแล้ว อย่างมัดดัวนี่ มัดหลายเงื่อนกันจังเลย จะแก้อย่างไรได้ นี่ยกตัวอย่างให้โยมฟัง หายใจเข้า ๑ จบ หายใจออก ๑ จบ พอพลังจิตมันสูง อัสสาสะ-ปัสสาสะมันสูง ความดันเพดาน เพดานนี้ตันกระหม่อมจะแข็ง มาจากไหน มาจาก ยืนหนอ นี่เอง ยืนหนอพอหายใจเข้าเป็นคาบลม หายใจออกเป็นคาบลม สมาธิมันจะไปกับลมหายใจ มันจะพุ่งไปที่มือนี่ แล้วมันจะหลุดไปเองเลย เชือกที่ผูกนี่หลุดไปเลย อย่างนี้เอง แต่ทุกคนไม่รู้ ไปเรียนแต่คาถาให้ว่าอีกกี่หมี่นปีก็ไม่สำเร็จ มันอยู่ที่คาบลมอัสสาสะ-ปัสสาสะ

อานาปานสติ ที่พระพุทธเจ้าสอนก็ได้จากสติปัฎฐาน ๔ ที่เราต้องทำกัน ถ้าหากนอกเประเด็นที่ไปทำกัน ไม่ใช่ พองหนอ-ยุบหนอ

ถ้า ยืนหนอ ได้แล้วได้หมดได้อย่างไร ขณะนั้นโยมกำลังคิดอะไรไม่ออก เสียใจ มันเกิดมีฟุ้งซ่านเข้ามาในใจ นั่งตรงไหนก็ได้ หายใจยาว ๆ จากจมูกถึงสะดือเท่านั้น และง่ายกว่ายืนหนอ ยืนหนอนี่ยาก ทำยืนหนอได้แล้ว ที่สั้น ๆ แค่จมูก ถึงสะดือทำไมจะทำไม่ได้ หายใจเข้ายาว ๆ ไปถึงสะดือ หายใจออกไปถึงจมูก แล้วเอาจิตปักไว้ที่ลิ้นปี่ ตั้งสติให้มั่น คิดหนอ เสียใจหนอ จะถูกไขออกมาด้วยลูกกุญแจ เสียใจเรื่องนี้แก้อย่างนั้น นี่แก้ได้ผลอย่างนี้ ได้มาจากยืนหนอนะ

นี่คาบลม มันมีพลังจิตสูง ผลพลอยได้เยอะหลายอย่าง ยกตัวอย่าง เราหลับตานึกถึงนาย ก. นาง ข. อยู่ตรงไหนนึกไว้ อัสสาสะ-ปัสสาสะมันมาแล้ว มันจะพุ่งไปตามลมหาย ถึงนาย ก. นาง ข. พอดี ให้เขาอยู่เย็นเป็นสุข ได้ผลเลยใจ จิตจะไม่เป็นอกุศลกรรม นี่วิธีนี้ ดังนั้นยืนหนอ ขอให้ทำช้า ๆ ไว้ หายใจยาว ๆ ไว้

บางทีที่อาตมากล่าวไว้ ถีบจักรยานช้า ๆ ถีบยาก มันคอยจะล้มลงไป แต่ถ้าถีบยาก ๆ ได้แล้ว ไม่ล้มแล้ว เรื่องเร็วเรื่องเล็ก อายุมากแล้ว เดินอย่างไรก็ไม่ล้ม ส่วนใหญ่จะไม่เป็นอัมพาต อัมพฤกษ์

พองหนอ-ยุบหนอ ได้จังหวะ ลมหายใจอัสสาสะ-ปัสสาสะ จากยืนหนอ รับรองได้เลย โรคภัยไข้เจ็บไม่มี อย่าลืมนะคน ที่มีโรคนั้นมาจากท้องนะ อวัยวะไม่ได้ตั้งอยู่ในความปกติ นี่อาตมาไม่ได้อธิบายลึกซึ้ง เราะเห็นได้ว่า พวกฝรั่งเขาจะเอาศพไปไหน เขาจะผ่าท้องทิ้งเลยนะ จะล้างท้องให้หมดไปเลย แล้วเขาเอาพวกยาฉุน ๆ ยัดในท้องแล้วเย็บ รับรองศพไม่เน่าเลย คนเราจะเน่า เน่าที่ท้องนะ คนที่ธาตุไม่ปกติจึงมักมีโรคแสดง ออกทางกายชัด ถ้าท้องปกติจะไม่มีโรคนะ คือพองหนอยุบหนอ นี่สำคัญมากนะ ท้องนี่มีประโยชน์เหลือเกินนะ

เพราะฉะนั้นจะเสกอะไรต้องคาบลมอัสสาสะ-ปัสสาสะนี่ มีความหมายมาก บางทีน้ำกร่อย ๆ นี่ หายใจเข้า ๑ จบ หายใจออก ๑ จบ โดยไม่ต้องใช้คาถาเลย อัสสาสะ-ปัสสาสะ เพ่งจิตออกไปตามลมหายใจ มันจะมีพลังที่น้ำ น้ำจะกลายรสทันที

ใบพลูเอามา ๓ ใบ ใบพลูนี่มันเผ็ด ลองดูเลย หายใจเข้า ๑ จบ อัส-ปัส หายใจออก ถ้าเราจะใช้คาถาก็ได้ ใช้จิตเพ่งไปตามคาบลม ให้ได้ระยะยาวไปที่ใบพลู ใบพลูจะเปรี้ยวทันที สูงกว่านั้น ใบพลูจะหวานนี่มาจากกรรมฐานทั้งหมด บางคนไม่รู้ รู้ไม่จริง

คาถาโบราณเขาว่าอย่างนี้ ว่า คาถา อัส-ปัส อั้นลมแล้วเอาลิ้นกดเพดาน เขาว่าปืนยิงไม่ออก พลุยิงไม่ได้ จริงเลยเห็นจริง ถ้าจิตสงบนะ เป็นได้เลยนะ ถ้าว่า แต่คาถาหมื่นจบก็ไม่มีอะไร พลุมันก็ดัง ตะเกียงมันก็ไม่ดับ มันมีความหมายมาก

ท่านครูบาศรีวิชัย ทำได้เก่ง มาก ทีนี้เราทิ้งแล้ว เอาเรื่องจริงที่ทำให้พ้นทุกข์ดีกว่า ทำไมจะไปตักจุดนั้นอยู่ต่อไปเล่า มีความหมายมากไม่ต้องไปเป่ายันต์ เป่าอะไรหรอก ใช้จิตเป็นกุศล แผ่เมตตาไปใช้ได้

ดูอย่าง หลวงพ่อมี ท่านจะตายแล้ว เอ้า! ช่วยท่านหน่อย ถ้าจำเป็นจะตายก็ให้มีสติหน่อย รับสังฆทานก่อน แผ่เมตตาก่อน แล้วขอไปเยี่ยมท่าน แล้วแผ่เมตตา อัส-ปัส ลงไป ท่านลืมตาเลย พอตกกลางคืน พระอุปัฏฐากที่อยู่ที่วัดไม่ได้เจอกัน ท่านฝันว่า อาตมาไปบีบให้ ค่อยยังชั่วเลย ออกจากห้องไอซียู เลยไปไว้ในห้องพักฟื้น นี่อายุ ๘๔ แล้ว นี่ทำให้ได้อย่างนี้

บางที จะโทรจิตให้ลูกให้หลานอยู่ไกลแสนไกล ให้ทำอย่างนี้แผ่เมตตาออกไป มันมีความหมายมาก ขอให้ทำให้ได้นะ