ซาบซึ้งใจที่ได้เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ
โดย เรือโทหญิง ฉัตรกมล สว่างเนตร
ข้าพเจ้าเริ่มรู้จักและเคารพในปฏิปทาของพระราชสุทธิญาณมงคล หรือหลวงพ่อจรัญ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๙ เมื่อได้เข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นครั้งแรก ณ วัดอัมพวัน ซึ่งในครั้งนั้น โดยได้รับการแนะนำจากอาจารย์สมนา พูนพิพัฒน์ ให้เข้ารับการอบรม จัดโดย ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย เป็นเวลา ๗ วัน ในระหว่างที่ข้าพเจ้าเป็น “ลูกโยคี” ของคุณแม่สิริ กรินชัย อยู่นั้น หลวงพ่อจรัญท่านกรุณาสละเวลามาอบรมสั่งสอนและชี้แนะถึงวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ในช่วงกลางคืนหลายครั้ง ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจในธรรมเทศนาของท่านมาก เพราะอุดมไปด้วยความลุ่มลึก แต่อธิบายได้อย่างแจ่มแจ้งเข้าใจง่าย มีการแทรกคติคำสอนใจอย่างไพเราะ และยังแฝงไปด้วยความสนุกสนาน แม้ระยะเวลาที่ท่านเทศน์จะยาวนานกว่า ๒ ชั่วโมง แต่ข้าพเจ้าและผู้ปฏิบัติธรรมท่านอื่น ๆ ต่างตั้งใจฟังอย่างไม่รู้สึกเบื่อหรือง่วง
หลวงพ่อมีงานมาก เวลาพักผ่อนของท่านจึงมีน้อย ทำให้สุขภาพของท่านไม่ดีเท่าที่ควร หลายครั้งที่ข้าพเจ้าเห็นหลวงพ่อมีอาการอาพาธและอ่อนเพลีย แต่ท่านก็ยังคงปฏิบัติกิจในการโปรดญาติโยมต่อไปไม่ปริปากบ่น ความรู้สึกเลื่อมใสของข้าพเจ้าที่มีต่อหลวงพ่อจรัญ “พุทธบุตร” ผู้เสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อเกื้อกูลต่อชาวโลกตามรอยบาทพระศาสดาจึงมีมาตั้งแต่นั้น
กลับจากการปฏิบัติธรรมครั้งนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ตั้งใจที่จะกลับไปยังวัดอัมพวัน เพื่อฟังธรรมจากหลวงพ่อเท่าที่โอกาสจะอำนวย และข้าพเจ้าก็ได้พบว่า หลวงพ่อท่านอบรมสั่งสอนผู้ใฝ่ใจในธรรมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ อยู่ที่วัดตลอดมาไม่เคยว่างเว้น กุฏิศาลาและห้องปฏิบัติกรรมฐาน ถึงแม้จะได้รับการสร้างเพิ่มเติมขึ้นมาอย่างมากมาย ก็ดูจะยังไม่เป็นการเพียงพอต่อศรัทธาญาติโยม พุทธบริษัทผู้เห็นคุณค่าของวิปัสสนากรรมฐาน และใครจะได้ลองลิ้มชิมรสแห่งธรรมะที่จะได้รู้เอง เห็นเองจากการปฏิบัติตามคำสอนของท่าน
ความเมตตาของหลวงพ่อมิได้มีวงจำกัดเพียงพุทธบริษัทชาวไทยเท่านั้น แม้แต่คนต่างชาติต่างศาสนาก็ยังได้รับความเมตตาจากหลวงพ่ออยู่เนือง ๆ หลายท่านเดินทางมาถึงวัดอัมพวันเพื่อบวชและปฏิบัติธรรม ได้รับผลเป็นที่น่าพอใจยิ่ง ข้าพเจ้าฟังธรรมะจากหลวงพ่อมากขึ้นเพียงไร ยิ่งรู้สึกถึงความลุ่มลึกและภูมิปัญญาชั้นสูง ซึ่งแฝงอยู่ในคำสอนที่เรียบง่ายและสนุกสนานมากเพียงนั้น ผู้ที่ตั้งใจฟังและพิจารณาดี ๆ จะสามารถนำคำสอนนั้นไปใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อความสุขความเจริญแห่งตนและครอบครัวได้เป็นอย่างดี โดยท่านมักจะเน้นให้ผู้ใหญ่ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีและให้การศึกษาแก่ลูกหลาน รวมทั้งสอนให้เด็กเป็นคนดีมีความกตัญญู เนื่องจากท่านมองการณ์ไกลว่าเด็กในวันนี้ จะต้องเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นพลเมืองหลักในการพัฒนาประเทศในอนาคต
*เรือโทหญิง ฉัตรกมล สว่างเนตร กรรมการบริหาร ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยฯ
นอกจากเทศน์อบรมสั่งสอนโดยทั่วไปแล้ว หลวงพ่อยังต้องรับภาระเป็น “ผู้แก้ปัญหาชีวิต” ให้แก่บุคคลทั้งหลายที่พากันมากราบเรียนปรึกษา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาครอบครัว ปัญหาสุขภาพ ปัญหาการศึกษา ปัญหาการงาน และปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งหลวงพ่อท่านจะเมตตาแนะนำข้อปัญหาเหล่านั้นอย่างแยบคาย ภายใต้หลักกฎแห่งกรรม จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลยที่กุฏิของหลวงพ่อ จะเต็มไปด้วยผู้คนจากทุกสารทิศ ภารกิจของหลวงพ่อ จึงดูไม่มีวันจบสิ้น แต่กระนั้นท่านก็มิเคยแสดงถึงความย่อท้อหรือเบื่อหน่าย ท่านมักปรารภเสมอว่าท่านต้องการ “ใช้หนี้มนุษย์” ให้หมดในชาตินี้ เพราะท่านไม่อยากเกิดมาพบกันมนุษย์ที่ส่วนมากจะเป็นผู้ที่มีความขี้เกียจ ขี้โกง มักง่าย มักได้ และปากเป็นบุญแต่ใจเป็นบาป
ผู้ที่มีจิตใจสูงได้นั้นต้องพากันเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน อันเป็นทางสายเอก ที่จะทำให้สามารถคลายทุกข์และส่งผลให้ผู้ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ มีชีวิตที่ร่ำรวย-สวย-ดี มีปัญญาแก้ปัญหาชีวิตได้ด้วยตนเอง นอกจากเน้นให้ปฏิบัติธรรมแล้ว ท่านยังสั่งสอนให้ลูกศิษย์ทุกคนหมั่น สวดมนต์เป็นนิจ – อธิษฐานจิตเป็นประจำ เพื่อความสุขความสำเร็จและเป็นมงคลแก่ชีวิต อันได้แก่ บทพาหุงมหากา
ข้าพเจ้าได้รับผลดีและมงคลอย่างเอก จากการสวดมนต์บทนี้ด้วยตนเอง คือในช่วงที่ข้าพเจ้าสมัครเข้ารับราชการทหารเรือนั้น ข้าพเจ้าต้องประสบกับปัญหาและอุปสรรคเกี่ยวกับตำแหน่ง เมื่อรู้สึกหนักใจและเกรงไปว่า จะไม่สามารถเข้ารับราชการได้ จึงเข้ากราบเรียนปรึกษาหลวงพ่อท่านในวันหนึ่ง หลวงพ่อท่านยิ้มอย่างเมตตา และบอกให้ข้าพเจ้าสวดมนต์บท “พาหุงมหากา” ก่อนนอน เมื่อจบแล้วให้แผ่เมตตาแล้วอธิษฐานจิตว่า “หากข้าพเจ้าเคยเป็นทหารเรือมาแต่อดีต แล้วไซร้ ขอให้ชาตินี้ข้าพเจ้าจงได้เป็นทหารเรือโดยปราศจากอุปสรรคด้วยเถิด”
นอกจากหลวงพ่อจรัญท่านจะให้ธรรมทาน และธรรมโอสถแก้ปัญหาชีวิตแก่ผู้คนทั้งหลายแล้ว ยังได้เมตตาจัดตั้งโรงทานเพื่อเตรียมอาหารทั้งคาวหวานไว้บริการแก่ลูกศิษย์ และบุคคลทั่วไปตลอด ๒๔ ชั่วโมง อาหารเหล่านั้นล้วนเป็นอาหารที่มีรสเลิศ สะอาด ถูกหลักอนามัยจากแม่ครัวฝีมือดีของวัด และด้วยกิตติศัพท์ด้านโรงทานของหลวงพ่อนี้ นอกจากแม่ครัวฝีมือดีของวัด และด้วยกิตติศัพท์ด้านโรงทานของหลวงพ่อนี้ นอกจากบุคคลผู้ใฝ่ใจธรรมะของหลวงพ่อแล้ว ยังปรากฏว่ามีคณะบุคคลที่ไปทัศนาจรหรือทำบุญจากที่อื่น ๆ พากันแวะเวียนเข้ามารับประทานอาหารที่วัดอัมพวันจำนวนครั้งละมาก ๆ เสมอ
แม้กระนั้นข้าวปลาอาหารของวัดอัมพวันก็มิได้เคยขาดแคลน สมกับคำที่หลวงพ่อพร่ำสอนศิษย์ให้มีความเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ท่านสอนว่า “ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด หมดแล้วไม่มา เราไม่หวงกัน หมดแล้วมีมาเรื่อย ๆ” ซึ่งก็เป็นความจริงตามนั้น เพราะข้าวสารอาหารแห้งของวัด จะมีผู้มาบริจาคเข้าวัดครั้งละมาก ๆ เสมอ เหมือนกระแสน้ำที่ไหลมาเรื่อย ๆ ไม่รู้จักหมด อันเป็นผลมาจากการที่หลวงพ่อได้อบรมสั่งสอนศิษย์ และบุคคลทั่วไป แล้วเขาทั้งหลายได้รับความสุข ความเจริญในครอบครัวและหน้าที่การงาน เงินไหลนอง – ทองไหลมา แล้วมีความระลึกถึงคุณของหลวงพ่อ จึงพากันหวนกลับมาทำบุญและถวายข้าวสาร อาหารแห้ง เพื่อเป็นการเพิ่มกุศลให้แก่ตนเอง โดยของเหล่านี้ หลวงพ่อมิได้เคยเรียกร้องหรือกล่าวเชิญบริจาคแต่ประการใด
ข้าพเจ้าได้ไปทำบุญที่วัดอัมพวันบ่อย ๆ ได้พบเห็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อที่มีหน้าตาผ่องใส ร่ำรวยด้วยกิจการที่ก้าวหน้า มีความรู้ความสามารถในระดับสูง และมีความสุขสมบูรณ์กันเป็นอย่างมาก การที่คนบางกลุ่มมีความเข้าใจอย่างผิด ๆ ว่า พระพุทธศาสนาสอนให้คนขี้เกียจและทำให้ประเทศไทยไม่เจริญนั้น จึงไปเป็นความจริงแต่ประการใด คนที่ไม่เข้ามาศึกษา และปฏิบัติตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างหาก ที่มีชีวิตอันเลื่อนลอย ไร้หลักยึดอันเป็นแนวทางอันประเสริฐ และเป็นมงคลแก่ชีวิต ชีวิตจึงจะประสบแต่ความวุ่นวายและอุดมไปด้วยความทุกข์อย่างไม่รู้เท่าทันในการแก้ไข
หลวงพ่อจรัญท่านเป็นนักอนุรักษ์นิยมด้านศิลปะ และวัฒนธรรมไทยท่านหนึ่ง หลายครั้งที่ท่านเล่าให้คณะศิษย์ฟังถึงเรื่องราวเก่า ๆ ด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย ซึ่งไม่มีการบันทึกไว้ในเอกสารใด ๆ ทุกเรื่องเป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่ง เช่น คำขวัญประจำจังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งมีมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล แต่ในปัจจุบันน้อยคนจะทราบคือ ปลามันแม่ลา น้ำยาบางเลา สาวสวยบ้านแป้ง แตงหวานบ้านไร่ ในปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็น ถิ่นวีรชนกล้า คู่หล้าพระนอน นามกระฉ่อนปลาแม่ลา ย่านการค้าภาคกลาง
นอกจากการเล่าเรื่องในอดีตแล้ว หลวงพ่อยังได้ลงมือปฏิบัติเพื่อเป็นตัวอย่างในการดำรงรักษาวัฒนธรรมอันดีงามของบรรพบุรุษด้วย เช่นในวันที่ ๑๕ เมษายนของทุกปี หลวงพ่อท่านจะจัดให้เป็น “วันกตัญญู” ที่วัดอัมพวัน จะมีการนิมนต์พระเถรานุเถระชั้นผู้ใหญ่ของจังหวัดสิงห์บุรีและจังหวัดใกล้เคียง มาเจริญพระพุทธมนต์และฉันเพล จากนั้นหลวงพ่อจะแจกผ้าผ่อนท่อนสไบแก่ผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งเป็นภาพน้อยนักที่จะมีโอกาสเห็นพระให้ของแก่ชาวบ้าน ในส่วนของคณะศิษย์แล้ว การให้ของหลวงพ่อนั้น พวกเราต่างเห็นเป็นประจำ จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา แม้แต่อาคารสถานที่ของทางราชการอันเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ซึ่งทางราชการไม่มีงบประมาณจะสร้าง หลวงพ่อท่านก็จะเป็นผู้อุปถัมภ์ค่าก่อสร้างให้หลายแห่ง
สำหรับช่วงสุดท้ายของงานวันกตัญญูนั้น หลวงพ่อท่านเปิดโอกาสให้พระสงฆ์องค์เณร ผู้เข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และคณะศิษย์ผู้มาร่วมงานเข้าสรงน้ำ ภาพประทับใจในวันนั้นจึงเป็นภาพของพระเณร ผู้ปฏิบัติธรรมในชุดขาวสะอาดตา และเหล่าพุทธศาสนิกชนจำนวนมากเข้าแถวเพื่อรอสรงน้ำหลวงพ่อ เป็นระยะทางยาวอย่างมีระเบียบ กินเวลานานหลายชั่วโมง ซึ่งมิใช่เพียงวันนี้ที่วัดอัมพวันจะอุดมไปด้วยผู้คน วันสำคัญอื่น ๆ เช่น วันขึ้นปีใหม่ วันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อ ๑๕ สิงหาคม วันคล้ายวันหลวงพ่อคอหัก ๑๔ ตุลาคม และวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ก็จะมีผู้คนหลั่งไหลมาทำบุญร่วมกับหลวงพ่อจนแน่นวัดเสมอ แสดงให้เห็นถึงความเลื่อมใสศรัทธาที่คนทั้งหลายมีต่อหลวงพ่อ ได้ขจรขจายไปในทุกสารทิศ ส่งผลให้วัดอัมพวันเป็นประดุจดั่งต้นโพธิ์พฤกษ์ร่มไม้ใหญ่ที่มีกิ่งก้านสาขาอันอุดม เป็นรมณียสถานที่ให้ความร่มรื่นชื่นบานแก่ผู้มาเยือน เพื่อหวังพึ่งร่มเงา อันนำมาซึ่งความสุข ความสงบและความสบายในที่สุด
หากจะกล่าวถึงการอบรมสั่งสอนศิษย์ของหลวงพ่อนั้น ท่านจะมุ่งเน้นถึงการใช้เวลาทุกนาทีอย่างมีค่า นำมาซึ่งประโยชน์ โดยไม่มีการผัดวันประกันพรุ่ง โดยเฉพาะการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น ท่านจะเน้นให้บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายรีบเข้ารับการปฏิบัติเพื่อคลายกิเลส และสร้างปัญญาอันเป็นอริยทรัพย์ติดตามตัวบุคคลนั้นไปในทุกภพทุกชาติ โดยย้ำว่าท่านก็จะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน คำเตือนของท่านนี้ ทำให้จิตใจของบรรดาศิษย์รู้สึกเศร้าสลดอย่างมาก เมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อคราใด คณะศิษย์ก็จะพากันอาราธนา ขอให้หลวงพ่อเมตตาอยู่อบรมสั่งสอนและเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรไปอีกนาน ๆ หลวงพ่อท่านมักจะยิ้มและตอบว่าท่านจะอยู่ตราบเท่าที่สังขารของท่านจะทนอยู่ได้ ซึ่งในปัจจุบันหลวงพ่อมักอาพาธบ่อย เนื่องจากการปฏิบัติกิจในการโปรดญาติโยม ชนิดหามรุ่งหามค่ำ แม้กระนั้นท่านก็มิได้ปริปากบ่นถึงทุกขเวทนาที่ได้รับ ให้คณะศิษย์ต้องห่วงใย
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประทาน “สมบัติชิ้นเอก” แก่ชาวโลกมานานกว่า ๒๕๓๗ ปีแล้ว และตกทอดมาถึงเราก็ด้วยอาศัย “พุทธบุตร” ผู้เป็นสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งหลวงพ่อจรัญท่านเป็นองค์หนึ่งในหมู่สงฆ์เหล่านั้น ท่านเป็น “พระสุปฏิปันโน” ซึ่งเหล่าเทวดาและมนุษย์ผู้เป็นสัมมาทิฏฐิทั้งหลายพึงกราบไหว้บูชาได้อย่างเต็มหัวใจ เป็นเนื้อนาบุญผู้ซึ่งเราท่านจะสามารถหว่านพืชด้วยบุญกุศลแล้วจะบังเกิดดอกผลเป็นความสุขความเจริญไพบูลย์อย่างทันตาเห็น
ด้วยอำนาจแห่งเมตตาบารมีและปฏิปทาอันแน่วแน่ในการอบรมวิปัสสนากรรมฐานแก่พระสงฆ์องค์เณร ตลอดจนบุคคลทั่วไป โดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากหรืออุปสรรคใด ๆ เป็นระยะเวลายาวนานของหลวงพ่อนี้ แม้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประมุขแห่งสงฆ์ก็ทรงทราบ และได้ทรงแสดงความชื่นชมยินดีต่อปฏิปทาของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าได้มีโอกาสติดตามหลวงพ่อและคณะศิษย์เข้ากราบถวายพระพรและถวายปัจจัยจำนวนแสนเศษแด่สมเด็จพระสังฆราช เนื่องในวโรกาสคล้ายวันประสูติ ๓ ตุลาคม ๒๕๓๖ โอกาสนี้หลวงพ่อได้กราบทูลให้ทรงทราบถึง ความก้าวหน้าของการก่อสร้างและปรับปรุงวัดอัมพวันให้เป็นสัปปายะต่อการเจริญธรรม และกราบทูลถึงจำนวนผู้มีศรัทธาเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตลอดปี ๒๕๓๖ สมเด็จพระสังฆราชทรงมีพระเมตตาประทานโอวาทพร้อมกับทรงกล่าวอนุโมทนากับหลวงพ่อเป็นเวลานาน ทั้งยังได้ประทานปัจจัยที่หลวงพ่อถวายพระองค์ คือกลับมาเพื่อใช้ในการร่วมสนับสนุนกิจกรรม อันเป็นประโยชน์ของวัดอัมพวันสืบไป ครั้งนั้นคณะศิษย์ต่างปีติและอิ่มเอมในหลวงพ่อ ผู้ซึ่งแม้องค์ประมุขแห่งสงฆ์ผู้ประเสริฐสูงสุดในเหล่าพุทธบุตร ยังทรงอนุโมทนาและสนับสนุนต่อกิจกรรมอันเป็นยอดแห่งกุศลที่หลวงพ่อเพียรกระทำเพื่อตามรอยบาทพระศาสดา
หลวงพ่อจรัญท่านเปรียบประดุจดัง “พ่อทางธรรม” ผู้ชี้ทางแห่งความสุขและความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมให้แก่ข้าพเจ้า เมื่อมีโอกาสข้าพเจ้าก็จะเดินทางไปวัดอัมพวันเพื่อฟังธรรมและช่วยงานวัด เพื่อเป็นการแทนคุณครูบาอาจารย์ ส่วนในใจนั้นได้เคยตั้งปณิธานไว้เสมอว่า หากมีโอกาสที่จะส่งเสริมและสนับสนุนการเผยแผ่พุทธธรรมไปสู่เยาวชนและสังคมโดยส่วนรวมแล้ว ข้าพเจ้ายินดีและเต็มใจที่จะกระทำกิจกรรมเหล่านั้น เพื่อเป็นการสนองคุณพระพุทธศาสนา
ในเวลาต่อมา ข้าพเจ้าได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจ เมื่อได้รับเชิญจากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งข้าพเจ้าเป็นศิษย์เก่าให้ไปเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องประสบการณ์ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานให้นักเรียนโรงเรียนสาธิตเกษตรฯ ซึ่งเข้าปฏิบัติวิปัสสนาที่ธรรมสถานว่องวานิช โดยยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยฯ เป็นผู้สนับสนุนโครงการ เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาส “แสดงธรรม” อย่างเป็นทางการ ทำให้รู้สึกถึงความสุขและอิ่มบุญจาก “ธรรมทาน” เป็นอย่างมาก หลังจากเป็นวิทยากรครั้งนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสเป็นวิทยากรรับเชิญของยุวพุทธฯ และต่อมาอีกไม่นาน โอกาสแห่งการเข้าช่วยในการส่งเสริมพระพุทธศาสนาครั้งสำคัญในชีวิตก็มาถึง เมื่อข้าพเจ้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการ บริหารของยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
ในช่วงแรก ๆ ข้าพเจ้าเกรงว่าจะไม่มีเวลาเข้าร่วมกิจกรรม หรืออาจลำบากใจ ที่จะเข้าประชุมร่วมกับผู้ใหญ่ซึ่งไม่เคยรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน แต่เมื่อได้เข้าประชุมกลับรู้สึกเป็นสุขใจที่ได้มีส่วนในการรับใช้พระศาสนาและอบอุ่นใจ ที่ได้ร่วมงานกับคณะกรรมการซึ่งส่วนใหญ่ได้ผ่านการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมาแล้ว แต่ละท่านมีเมตตาและจิตใจเป็นกุศล มุ่งหวังที่จะส่งเสริมให้มีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แพร่หลายไปในหมู่เยาวชนและชาวโลก การประชุมแต่ละครั้งแม้จะใช้เวลานานถึง ๖-๗ ชั่วโมง แต่กรรมการส่วนใหญ่ก็ยังคงร่วมประชุมกันอยู่ด้วยความเป็นกันเอง ประดุจดังญาติสนิทปรึกษางานบุญที่จะจัดขึ้นในครอบครัว ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า สมาคมแห่งนี้ช่างน่าชื่นใจที่จะเข้ามาร่วมงานเพราะเป็นดัง “เทวสมาคม” อันประกอบด้วยนางฟ้าและเทวดาผู้ใฝ่ธรรม
ปัจจุบันยุวพุทธฯ จึงเป็นสมาคมทางพระพุทธศาสนาที่มีความเหนียวแน่นด้วยทีมงานบริหารอันเข้มแข็ง ไม่เป็นสองรองใครในการจัดกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา โดยมุ่งเน้นในการเชิญชวนให้ชาวไทยและชาวต่างประเทศ ที่สนใจเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นสำคัญ และได้มีการอบรมธรรมะแก่เยาวชนและผู้สนใจไปแล้วเป็นจำนวนมาก ซึ่งในปัจจุบันมีผู้สนใจเพิ่มมากขึ้น ศูนย์วิปัสสนากรรมฐานของยุวพุทธฯ จึงถูกจองล่วงหน้าไว้ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นบริษัท ห้างร้าน โรงเรียน กลุ่มประชาชน หรือแม้แต่ชาวต่างชาติก็ได้เข้ามาปฏิบัติอย่างจริงจัง และประสบผลอันดีอย่างน่าพอใจ ทั้งนี้คงเป็นเพราะสถานที่ตั้งของยุวพุทธฯ ซึ่งแม้จะอยู่ใจกลางเมืองอันชุลมุนวุ่นวาย แต่บรรยากาศภายในนับแต่อาคารสถานที่ไปจนถึงต้นหมากรากไม้ ล้วนงดงามและร่มรื่น นอกจากนั้นยังมีสัปปายะด้านอาหารและที่พักอาศัย จึงเป็นสถานที่เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อถึงวันนี้ ข้าพเจ้าจึงรู้สึกสุขใจที่มีโอกาสใช้ชีวิตอันมีปริมาณน้อยนี้ ให้มีประโยชน์และคุ้มค่ากับการที่ได้กำเนิดเกิดมามีอัตภาพ เป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา ทั้งนี้เพราะข้าพเจ้าได้มีโอกาสยกระดับจิตใจ ให้เกิดปัญญาด้วยวิปัสสนากรรมฐาน และยังได้มีโอกาสอันดีที่จะได้มีส่วนในการรักษา และส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองในจิตใจของเยาวชนและชาวโลก ในนามของยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย สมกับคำที่หลวงพ่อจรัญท่านเคยสั่งสอนไว้ว่า “บุคคลผู้ช่วยเหลือตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใคร ๆ ในการดำรงชีวิตนั้น เป็นคนใช้ได้ หากจะให้ดีต้องช่วยเหลือพ่อแม่ ญาติพี่น้องได้ แต่จะให้ดีที่สุดนั้นจะต้องฝึกฝนและอบรมตนให้มีสติปัญญา ในอันที่จะสามารถช่วยเหลือเกื้อกูลสังคมโดยส่วนรวมได้” ข้าพเจ้ามีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะทำวันทุกวันให้เป็นวันที่ดีที่สุด เพื่อดำเนินรอยตาม “พุทธบุตร” ผู้ประเสริฐแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดไป