ปัญญาในการแก้ปัญหา

โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
๘ มีนาคม ๒๕๓๗

จริญพรผู้ปฏิบัติธรรมทุกๆ ท่าน ที่ใคร่ธรรมสัมมาปฏิบัติ ท่านมาปฏิบัติกรรมฐาน ก็คือมาบวชตัวท่านเอง มาสร้างบุญสร้างกุศลของท่านเอง ไม่ใช้สร้างอย่างอื่น ไม่ใช่ไปสวรรค์นิพพาน ต้องการมาสร้างบุญให้เกิดความสุข ให้เกิดความสนุกในการทำงาน

ถ้าท่านรู้ว่าบุญคือความสุข รู้ว่าปฏิบัติจิตใจให้สะอาดจึงจะมีความสุข ท่านจะปราศจากทุกข์ มีความสุขด้วยความไม่มีมลทินในจิตใจ และท่านจะรู้ต่อไปว่า ความสุขเกิดจากความสงบเงียบสงัด ปฏิบัติเห็นแจ้งของจริง เห็นทุกสิ่งมีเหตุผล ถึงจะเรียกว่าได้กุศลในการบวช

ไม่ใช่ว่ามาบวชชีพราหมณ์ตามที่เขาเรียกกัน เราไม่ใช้พราหมณ์ แต่เห็นว่าไม่โกนผม ก็เลยเรียกว่าพราหมณ์ ไม่ใช่นะ! เรียกกันไปตามสักแต่ว่าเขาเรียกกันเท่านั้น หรือบางแห่งเรียกศีลจาริณี สตรีผู้ทรงศีลก็ไม่ใช่อีก ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย ปฏิบัติเข้าถึงพุทธะไม่ลดละภาวนา อย่างนี้เป็นต้น

โปรดได้ตั้งใจฟังโอวาทเพื่อไม่ให้เสียเวลาในที่ประชุม ท่านต้องการมาบวชตรงไหน ได้กรรมฐานตรงไหน แก้ไขปัญหาได้อย่างไร ขอท่านตั้งใจฟังสืบไป ณ โอกาสบัดนี้ ขอเจริญพรทุก ๆ ท่าน

อาตมาขอแสดงความยินดี และอนุโมทนาแก่ผู้ใคร่ธรรมทุก ๆ ท่าน ทั้งโยมหญิงโยมชายในวันนี้ ที่ท่านเห็นความจริงใจเกิดขึ้น ท่านรักตัวไม่กลัวตาย เสียสละเวลามาสร้างบุญให้กับตัวเอง

บุญประเภทที่ทำให้ตัวเองนี้มีคนทำน้อย ไปสร้างบุญนอกตัวเองกันหมด ถึงได้วุ่นวายแก้ปัญหาไม่ได้ รู้แต่ของปลอม ไม่รู้ของจริง

ที่เรามานี่ต้องการทราบว่าชีวิตจริงเป็นอย่างไร มาแสวงหาความสุขอย่างไร จะฝึกให้จิตอดทนอย่างไร และชีวิตจริงอยู่ตรงไหน ชีวิตปลอมอยู่ตรงไหน เราอยู่ที่บ้านมีแต่ชีวิตที่จอมปลอมหลอกลวงตลอดรายการ

เรามาหาทางสงบ ก็ต้องการให้มีใจประเสริฐ ต้องมาฝึกให้ชีวิตนี้ต่อสู้กับการงานและหน้าที่ ต้องสร้างความดีให้แก่ตัวเอง อย่างนี้มีคนทำน้อย ไปสร้างความดีให้คนอื่นโดยไร้เหตุผล โดยไม่เอาความสุขของเขามาเป็นความสุขของตน แล้วเอาความทุกข์โยนให้เขาไป เป็นที่น่าเสียดาย ขอฝากท่านทั้งหลายไว้ด้วย

เดี๋ยวนี้เกิดกลียุคแล้ว คนไร้คุณธรรมมาก คนไม่มีสมบัติมนุษย์ อาตมาไปพบของจริงเลยคือ ลูกฆ่าแม่ที่

สุราษฎร์ธานี เมื่อเร็ว ๆ นี้ ฆ่าสมภารที่ อ.อินทร์บุรี สมภารก็อายุ ๘๐ กว่าแล้ว น่าเสียดาย ได้เงินไปหมื่นเดียวเท่านั้น

คนไร้ศีลธรรม ขาดคุณภาพ คนเราเดี๋ยวนี้มันขาดคุณภาพ ชีวิตคนมันตก คุณภาพของคนไม่มี จึงสร้างความดีกันไม่ได้ นี่หรือชายไทย ชาวพุทธที่ปากเป็นบุญใจเป็นบาป จึงได้ฆ่าพ่อแม่ ฆ่าพระได้ลงคอ เดี๋ยวนี้เกิดฟ้าต่ำแผ่นดินสูงอย่างไรเราก็ไม่ทราบ

นี่แหละเกิดกลียุค คนละล้มหายตายจากกันมากมาย คนอายุสั้นมาก ถ้าใครรู้แล้วหลบเข้าร่มโพธิ์ร่มไทร บำเพ็ญจิตภาวนา สร้างบุญสร้างกุศลให้แก่ตัวเอง จะปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน จะมีที่พึ่งติดตัวของท่านไป

เดี๋ยวนี้ไปทัวร์บุญกันมากมาย ปากเป็นบุญใจเป็นบาป ถ้าใจเป็นบุญแล้วท่านจะทะเลาะกันไหม จะกินแหนงแคลงใจกันไหม บ้านเดียวยังนั่งทะเลาะกัน พี่น้องยังทำลายกัน สามีภรรยาก็แหนงแคลงใจกัน หาความสุขในครอบครัวไม่ได้เลย ตรงไหนล่ะที่จะแก้ปัญหาของท่าน

ทางออกของท่านจะออกด้วยวิธีไหน จะออกด้วยวิธีดื่มสุรา เล่นการพนัน นั่งทะเลาะกันด้วยความโมโหโทโสอย่างนั้นหรือ หรือจะหาทางออกด้วยการไปหาความสงบ

การปฏิบัติกรรมฐาน เป็นทางออกที่ดีมาก เราจะได้เดินทางไปด้วยความถูกต้อง การพิสูจน์ความถูกต้องคือใช้หลักพระพุทธศาสนา ใช้ศีลข้อเดียวก็ถูกต้องแล้ว

ศีลนี่ไม่ใช่ไปรับกับพระสงฆ์องค์เจ้า ท่านมี ปกติคือกรรมฐาน ก็เสริมจิตใจให้ท่านมีศีล ไม่ใช่รับแล้วจะมีศีล นั่นเป็นการรับศีลกับพระ เรียกว่าศาสนพิธี ทำกันได้ทุกบ้านทุกเมือง ทำทุกครอบครัว แต่ไม่มีศีลอยู่ในจิตใจ

ต้องเจริญพระกรรมฐาน จึงจะมีสติสัมปชัญญะ เป็นศีลเป็นสัตย์ เป็นการกำจัดจิตใจที่เศร้าหมอง ให้ผ่องใสสะอาดบริสุทธิ์ เหมือนทองคำธรรมชาติที่หล่อเหลา ให้มันผุดขึ้นมาเองไม่ใช่เรียนหนังสือ

เรียนหนังสือแล้วดีได้ที่ไหน ดีไม่ได้หรอก มันต้องสร้างความดีให้แก่ตัวเอง คือเอาบุญมาใส่ใจ ให้ใจมีความสุข ท่านจะหาทางออกไปช้อปปิ้ง ไปทัวร์วัดโน้นทัวร์วัดนี้ ท่านจะได้อะไรเกิดขึ้น จะเสียเวลากาลของท่าน น่าเสียดาย น่าใจหาย

น่าจะคิดถึงตัวเองว่า บุญคืออะไร บุญคือความสุข เราจะต้องหาความสุข เกิดจากตรงไหน บุญกุศลเกิดที่ไหน ไม่ใช่เอาเงินมาทำบุญกับอาตมาแล้วก็ได้บุญ ไม่จริง! ไม่ได้บุญตรงนั้นเลย

บุญอยู่ที่ตัวท่านใช่ไหม ถ้าท่านมีแต่ความทุกข์ มีแต่ทรมานจิต มีแต่ความเศร้าหมองใจ ไหนเลยล่ะท่านจะมีบุญวาสนากับเขา คนไร้บุญจะขาดวาสนา คนขาดวาสนาจะไม่นำพาส่งผลกุศลก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ผิดหวัง ทำอะไรก็ไม่ได้ผล ท่านจะได้อานิสงส์ตรงไหนเล่า

ไม่ใช่บวชชีพราหมณ์ไปสวรรค์นิพพาน ที่พระเขาสอนกันตามวัด ไปสวรรค์นิพพานหมด แต่สมบัติมนุษย์ไม่มีเลย คนที่มีมนุษย์สมบัติเมื่อใด บ้านนั้นจะไม่ทะเลาะกัน จะยิ้มแย้มแจ่มใส สามีภรรยาจะเป็นเพื่อนคู่คิดเป็นมิตรคู่บ้าน

คนที่ทะเลาะกันถึงจะมีความรู้เป็นปริญญาเอก อาตมาไม่สนใจคนประเภทนี้ คนไร้บุญเหมือนต้นไม้ไร้ใบ ขาดวาสนาเสียจริง ๆ

การเจริญกุศลภาวนาต้องการมาบำเพ็ญศีลให้เกิดผล บำเพ็ญสมาธิให้เกิดประโยชน์ของตน ปัญญาคือตัวแก้ปัญหา ท่านมาสำรวมแปลว่าสะสมสติสังวร แปลว่าสัมปชัญญะ มีความรู้ตัวอยู่ในจิตใจที่ถูกต้อง เกิดสมาธิเกิดจิตภาวนา สะสมหน่วยกิตไว้ในชีวิตของท่านแล้วนั่นแหละตัว ปัญญา ทำให้เกิดระวังไม่ประมาทระวังนอก ระวังใน ระวังจิตระวังใจ ระวังจิตที่เป็นพิษเป็นภัยแก่ตัวเอง

จิตเป็นธรรมชาติที่คิดอ่านอารมณ์ ถ้าคิดไปตามอารมณ์ของตน ตามใจตน ตามอารมณ์ของเรา จะไร้ผล ท่านจะเอาดีไม่ได้ ต้องฝืนใจ

การเจริญกรรมฐานต้องการฝืนจิตไม่ให้มีพิษ เพราะจิตเปรียบเหมือนน้ำย่อมไหลไปสู่ที่ต่ำ ถ้าเราไม่มีทำนบกั้นน้ำด้วยศีล คือสติสัมปชัญญะแล้ว จิตใจของท่านจะเหลวแหลกแตกลาญไปสู่ที่ต่ำ เป็นการถูกใจ ไม่มีการถูกต้อง

ท่านทั้งหลายเอ๋ย นานาจิตตัง จิตไม่เหมือนกันเลย เพราะต่างถิ่นต่างฐานต่างฐานะ พ่อแม่ก็ไม่เหมือนกัน วงศ์ตระกูลก็ไม่เหมือนกัน พี่น้องท้องเดียวนิสัยก็ไม่ตรงกัน ไม่ใช่ว่าคนมีความรู้ดีจะเป็นคนดีนะ อยู่ที่ นิสัยดีหรือไม่ดี ต่างหาก

ถ้านิสัยดีจะมีปัญญา จะรู้มากรู้น้อยไม่สำคัญ อยู่ที่นิสัย นิสัยแปลว่าแบบอย่าง เรามาฝึกแบบ มีตัวอย่างที่ดีของตัวเอง เราจะได้รู้ว่าอ่านตัวออก บอกตัวได้ ใช้ตัวเป็นอยู่ตรงไหน ในแง่คิด ในแง่มุมมอง ในแง่เหลียวซ้ายแลขวา ในแง่หันมุมกลับ นี่แหละท่านถึงจะได้รู้ว่า ท่านมีปัญญา รอบรู้ในกองการสังขาร

ถ้าท่านมานั่งเจริญกรรมฐาน บำเพ็ญจิตภาวนาแล้ว ท่านจะยังไม่ทราบว่าท่านมีปัญญา ต้องไปประสบการณ์ด้วยตนเอง ถึงจะรู้ว่าปัญญาแก้ปัญหาได้ตรงไหน

ถ้าไปประสบอุบัติเหตุหรือประสพทุกข์ขึ้นมา ปัญญาที่สะสมไว้จะออกมาแก้อย่างโน้นอย่างนี้ ทำอย่างนี้ทำอย่างนั้น ท่านถึงจะรู้ตัวว่าท่านมีปัญญา แก้ปัญญาได้ อย่างนี้ถึงจะถูกต้อง

ไม่ใช่ปัญญาในหนังสือ ปัญญาที่เรียนเป็นดอกเตอร์ หรือตำราที่เรียนมาจากครูบาอาจารย์ เป็นตำราเหตุผล ๒ ประการ

๑. พระพุทธเจ้าบังคับให้เรียนหนังสือ ให้มีวิชาใส่ตัวเองก่อน และบังคับต่อไปคือ
๒. มีวิชาต้องใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง เรียกว่าปฏิบัติธรรม มีกิจกรรมส่งเสริมวิชาการให้สูงขึ้น

ไม่ใช่ว่ามีความรู้เท่าทันเหมือนกันหมด เรียนทันกันหมด แต่ความดีไม่เท่ากันมันจึงลักหลั่นกัน คนเราจึงนานาจิตตัง จิตนิสัยไม่เหมือนกัน

เราคนเดียวก็ไม่เหมือนกัน ตั้งแต่เช้ามาอารมณ์เสีย ตอนบ่ายอารมณ์ดี เดี๋ยวสับสนอลหม่านในตัวเองไม่ใช่หรือ ตัวเองก็มีทั้งดีทั้งชั่ว อย่าไปตีความผิดเราทุกคนพร้อมด้วยอาตมาก็มีทั้งดีทั้งชั่ว แต่ปัญหามีอยู่อันหนึ่งคือ ต้องกำจัดความชั่วออกจากตัวให้ได้ ต้องพยายามอย่างยิ่ง

เอาอะไรมากำจัด เอาศีลมากำจัด ศีลแปลว่าปกติ ปกติอยู่ตรงไหน อยู่ที่เจริญกรรมฐาน กำหนดจิตให้มีสติทุกอิริยาบถ จะยืนเดินนั่งนอน เหลียวซ้ายแลขวา คู้เหยียด เหยียดขา มีสติหน่อยได้ไหม คู้หนอ เหยียดหนอ เป็นต้น มีสติสัมปชัญญะ นั่นแหละรู้ตัว รู้ทั่ว มันจะออกมาบอกเราว่านี่ซิเป็นปกติ มีมารยาทตลอดรายการ

จะทำอะไรก็มีระบบ มีระเบียบเพียบด้วยวินัย ถูกแบบ ถูกบท หมดจดทุกประการ จะเป็นแม่บ้านการเรือนเคหศาสตร์ก็ตาม จะมีระบบไปหมด นี่คือศีลใช่หรือไม่

ถ้าโยมขาดสติสัมปชัญญะ จะเป็นพ่อบ้านก็เป็นพ่อบ้านที่ไม่ดี จะเป็นแม่บ้านก็เป็นแม่บ้านที่ไม่ดี ฉุยแฉกแตกลาญ มันอยู่ตรงนี้

การเจริญกุศลภาวนา ต้องการบำเพ็ญศีล ต้องการเอาศีลมาไว้ในใจ คือมีสติประจำจิตประจำใจของตน และมีความรู้ตัวเป็นสัมปชัญญะปัพพะเป็นตัวเหตุผล ทำให้คนสร้างกุศลจิต ตัวสำรวมจิตคือตัวสติ สำรวมเข้าไว้ระลึกเสมอว่าเราทำอะไรอยู่ ณ บัดนี้

ขณะทำปัจจุบันเป็นตัวสัมปชัญญะเรียกว่าตัวรู้ มาผนวกบวกกันเรียกว่าตัวปัญญา รอบรู้ในกองการสังขาร โยมจะได้อ่านตัวออก บอกตัวได้ ใช้ตัวเป็นเป็นปัญญา รอบรู้ในเหตุผล แก้ปัญหาได้ทุกประการ

การที่จะแก้ปัญหานั้นไม่ใช่แก้ได้ทุกคน เพราะคนไหนผูกคนนั้นต้องแก้ คนไหนทำคนนั้นต้องแก้ ไม่ใช่ไปวานคนอื่นมาแก้ไข เป็นไปไม่ได้ เราเป็นผู้รู้ ตัวเองว่าเราดีหรือชั่ว เราไปสร้างตัวเลวหรืออย่างไร เราเท่านั้นเป็นผู้รู้ แต่เราจะยอมรับตัวเองไหม

บางคนไม่ยอมรับความจริงเลย โกหกขึ้นห้วยลงเขา แก้ตัวเก่งนัก คนประเภทนี้ คนไร้ความจริง จึงแก้ตัว คนที่มีความจริงใจจะแสดงออกเสมอ ว่าข้าพเจ้าทำมาอย่างนี้เป็นความจริง แสดงออกด้วยจิตใจ ถึงจะเป็นชายจริงเป็นหญิงแท้ เป็นคนแก่ที่น่าบูชา ออกมาในลักษณาการอย่างนี้

การปฏิบัติกรรมฐานต้องการให้คนเป็นคนแท้ เป็นคนแก่ที่น่าบูชา เป็นคนจริงทุกสิ่งแก้ไขปัญหาได้ ถ้าชายไม่จริงหญิงไม่แท้รับรองโยมแก่ลงไปไม่มีใครนับหน้าถือตา พวกขึ้นห้วยลงเขา หละหลวมเหลาะแหละเหลวไหล จะดูตรงไหนล่ะ ดูกันตรงนี้นะ

อาตมาถึงได้กล่าวไว้ชัดเจนแล้ว ตีความแล้วว่าการเจริญกรรมฐานต้องการมาศึกษาสภาพชีวิต ต้องการรับผิดชอบในหน้าที่การงาน กับอายตนะธาตุอินทรีย์

ตาเห็นรูปกำหนดเห็นหนอ ส่งกระแสจิตที่หน้าผาก เสียงหนอตั้งสติไว้ที่หู ว่าเขาด่าเราหรือเขาว่ากระไร เขาโกหกหรือเปล่า มันจะบอกออกมาชัดเจน ทำได้หรือยังต้องทำตรงนี้

ไม่ใช่โยมมานั่งคุยกันนะ โยมจะเสียเวลากาล ชีวิตจะไม่มีค่า เวลาจะไม่มีประโยชน์ จะเสียเวลาเปล่านะ จะไม่ได้อะไรติดตัวไป ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ ขอฝากนักปฏิบัติไว้ด้วย มีความหมายอย่างนี้

จิตอยู่ที่ไหน ต้องพัฒนาตรงนั้น ไม่ใช่พัฒนาไปผิดหลัก เดี๋ยวนี้คนเราพัฒนาผิดหลัก รดน้ำต้นไม้ก็รดที่ยอดจะได้ออกดอกไว ๆ จะถูกต้องหรือ ต้องรดที่ราก

คนเราจะดีได้อยู่ที่จิตใจ ใช่หรือไม่ ถ้าจิตใจเลว ดีไม่ได้ ตะกั่วหรือจะเป็นทองคำได้ ดูกันตรงนี้ มีความหมายมาก บัวเหล่าที่สี่อยู่ใต้ดินแล้ว จะโผล่บานพ้นน้ำเป็นไปได้ยากมาก ขอเจริญพรอย่างนั้น

ใครมีบุญมาเอง คนไร้บุญขาดวาสนาไม่ค่อยอยากจะสร้างบุญให้กับตัวเอง คนไร้บุญวาสนาจะเอาบุญสงเคราะห์คนอื่นเขา ชอบทำบุญตักบาตร ข้าวขันแกงโถไปวัด ชอบทอดกฐินผ้าป่า แต่บุญที่จะเอาไว้ในจิตใจตนให้เกิดความสุขในครอบครัว ไม่มีใครสร้าง ไม่มีใครทำแต่ประการใด

ต้องการบุญสงเคราะห์เพราะคนเขาเห็น แต่บุญสงเคราะห์ตนเอง เป็นนามธรรมประจำตัว ไม่มีใครเขาเห็นจึงไม่อยากจะสร้าง มันมองเห็นไม่ชัด แต่ถ้าสร้างรูปธรรมขึ้นมา คนโน้นเห็นคนนี้เห็น ป้อยอกันมากมาย เพราะเอาหน้าเอาชื่อเสียงกัน

แต่ชื่อเสียงด้านนามธรรมที่คนอื่นมองไม่เห็นนั้น เราเป็นผู้มองเห็น เราสร้างความดี เรารู้ดีของเราเอง คือปัจจัตตัง เราก็ดีใจของเราเอง อิ่มใจนั่น คือบุญที่เป็นความสุขในชีวิตของท่าน

มันเป็นบาปตรงไหนล่ะ เราไปสร้างบาปตรงไหน หรือ สิ่งใดทำแล้วไม่เป็นบุญวาสนา สิ่งนั้นทำไปโดยความเบียดเบียนกัน เป็นไปในทางที่ไม่ถูกต้อง และเป็นไปในทางที่ไม่มีโทษ ไม่มีประโยชน์แก่ตนเลย อย่างนั้นไม่ถูกต้อง เป็นการผิดพลาดอย่างน่าเสียดาย

ไม่ใช่ไปบวชชีพราหมณ์ไปสวรรค์นิพพาน ญาณโน้นขึ้นญาณนี้ขึ้น มันจะมากไป ข้ามขั้นตอนจากประถมไม่ต้องเรียน ไปขึ้นมัธยมได้ไหม จากมัธยมไม่เรียนไปขึ้นมหาวิทยาลัยคงไม่ได้ มันต้องเป็นไปตามขั้นตอน

ขึ้นบันไดบ้านต้องขึ้นไปทีละขั้นกว่าจะถึงชั้นสูง การปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน คนเราจะก้าวไปเลยคงไม่ได้ กระโดดลงมาก็คงไม่ได้

ท่านสร้างบ้านไว้สวย ไม่มีบันไดน่าเสียดายนะ มีบ้านสวยแต่ไม่มีบันได จะปีนป่ายขึ้นก็ยากมาก นี่แหละเช่นเดียวกัน ตัวเราสวย บ้านหรูหรา แต่ไม่มีขั้นตอนของชีวิตเลย และไม่มีระบบขาดความมีระเบียบ

คนไหนมีธรรมะ คนนั้นมีวินัย คนไหนไร้ธรรมะ คนนั้นจะไร้วินัย พระท่านจึงเรียกว่า ธรรมวินัย พระก็เช่นเดียวกัน มีธรรมะจึงจะเรียกว่ามีวินัย ไม่ต้องไปอบรมวินัยให้เสียเวลา

คนไหนไร้คุณธรรม คนนั้นจะไม่มีวินัย คนนั้นจะไม่มีระบบขาดระเบียบ ทำอะไรไม่มีผัง ไม่มีแผน ไม่มีแปลน ไม่มีหัว ไม่มีหาง จะไปพูดตรงไหนใครเขาจะเชื่อถือ

คนที่จะไปหาบุญมาช่วยตัวเองร้อยละหนึ่งก็แสนยาก ร้อยละเก้าสิบเก้าทำบุญนอกตัวทั้งนั้น ไปทำบุญที่โน่นเอาชื่อเสียงที่นี่ก็ว่ากันไป แต่ตัวเองไร้บุญขาดวาสนา เหมือนต้นตาลไม่มีกิ่งก้านสาขา มีลูกก็ไม่โต ปลูกต้นโพธิ์ก็ไม่ได้ร่ม เลี้ยงลูกไม่โตกันทั้งนั้น ตรงนี้จะมีบุญวาสนาอย่างไร

การเจริญสติปัฏฐานสี่ นั่นแหละเป็นทางสายเอกที่พระพุทธเจ้าสอนมาให้อุดมสมบูรณ์ ญาติโยมหญิงโยมชายโปรดฟังทางนี้ ถ้าหากโยมมีสติควบคุมจิตได้อุดมสมบูรณ์ เงินไหลนอง ทองไหลมา ถ้าขาดสติสัมปชัญญะ เงินไหลออกทองไหลออก สิริมิ่งขวัญมงคลก็ไม่มีแก่ตนด้วย ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ

“ยืนหนอ” ขอฝากไว้ทำให้ได้ บางคนไม่เอามาพูดเล่นกันเสียแล้ว รับรองอีกร้อยปีก็ไม่ได้อะไรนะ ไร้บุญขาดวาสนาเหลือเกิน คนที่ไม่มีบุญก็ไม่อยากจะทำบุญอย่างนี้ บุญอย่างนี้ไม่ต้องเสียสตางค์ เอาบุญมาไว้ที่ใจ หาความสุขให้แก่ชีวิต หาข้อคิดให้เกิดปัญญา เพื่อต้องการแก้ปัญหาให้ครอบครัว

ท่านทั้งหลายคิดทุกคน ท่านต้องการแก้ปัญหาให้ลูกของท่านใช่ไหม ท่านมีลูก ๕ คน ต้องการให้ลูกท่านเป็นอะไร ถ้าท่านมีเทคนิคในชีวิตของท่าน และมีปัญญาแล้ว ลูกของท่านจะมีเหตุผล มีกุศล จะเป็นใหญ่เป็นโตอยู่ตรงนี้ ท่านจะเอาข้างไหน จะเอาอะไรมาเป็นหลัก ไม่ใช่ทำบุญสร้างศาลาร้อยล้านพันล้านแล้วเป็นคนดี เป็นไปไม่ได้ ไม่ได้สร้างตัวเองเลย

การเจริญสติปัฏฐานสี่ ทำให้คนอุดมสมบูรณ์ ไปทำที่ไหนก็อุดมสมบูรณ์ ถ้าโยมเป็นแม่ค้า มีสติสัมปชัญญะดี มีบุญวาสนา จะขายดิบขายดีมั่งมีศรีสุข ขายเทน้ำเทท่า ซื้อง่ายขายคล่อง ตรงนี้ซิบุญ ขายดิบขายดี เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี มั่งมีศรีสุข ออกมาทำนองนี้จึงจะถูกต้อง ไม่ต้องไปหานางกวักตามวัด เช่ามาทำไมให้เสียเงินเสียทอง

นางกวักศีลธรรม ถ้าท่านมีวิชาเป็นมหานิยม มีนางกวักคือมีธรรมะประจำจิต ไปอยู่ที่ไหนเงินไหลนองทองไหลมาตลอดรายการ นี่ซิคือบุญวาสนา ไม่ใช่ว่า ไปหาคาถาอาคม ไปหาเสน่ห์เล่ห์กล จะใช้ได้ที่ไหน

คนมีค่าราคาคน คนมีคุณธรรม ราคามันแพง เดี๋ยวนี้คนราคาตก ไม่มีใครซื้อ มันก็ออกมาขี้เกียจขี้โกงขี้อิจฉาริษยา มันออกมาในจิตใจของท่านทุก ๆ คน เราไม่ชอบ เราไม่พอใจ เราก็อิจฉา เราผูกพยาบาทฆาตพยาเวร เขาก็เหมือนผูกตัวเอง ฆาตตัวเอง ไม่มีความสุขความเจริญแต่ประการใด พฤติกรรมแสดงออกนี่คือกรรมฐาน

เราต้องการแผ่เมตตาให้ลูกมีความสุข เราได้สุขก่อนลูก เพราะมันออกจากจิตใจเราใช่ไหม เราแช่งคนอื่นให้ฉิบหายตายโหง เราก็ตายโหงก่อนคนนั้น มันออกมาอย่างนี้เลย

เราไปด่าเขา จิตใจเราก็เลว คนที่โดนด่าเขาไม่รู้เรื่อง มันไม่เป็นบาปเป็นกรรมของคนโดนด่า คนด่าซิรู้เรื่องจึงได้ด่าเขา บอกว่ากูจะด่าให้แสบ ใครแสบ คนโดนด่าไม่แสบหรอก คนด่านั่นแหละแสบไส้ บางคนแช่งขอให้เขาไฟไหม้บ้าน กลับไหม้บ้านตัวเอง เป็นพฤติกรรมแสดงออก

การเจริญกรรมฐานเป็นพฤติกรรมเป็นกิจกรรมอันหนึ่ง กิจกรรมแปลว่า สิ่งที่ต้องศึกษา ต้องเรียน ญาติโยมผู้หญิงโปรดทราบ

ไม่ยอมเรียนหรือจะรู้  ไม่ยอมดูหรือจะเห็น  ไม่ยอมฟังหรือจะได้ยิน
ไม่ยอมทำหรือจะเป็น  จะลำเค็ญย่ำแย่จนตาย  ตายฟรี

บวชชีพราหมณ์ไปสวรรค์นิพพานตรงไหน มีตัวอย่างที่ลพบุรี บวชชีพราหมณ์กลับมาเรียกสามี มาสอบเลย สามีเป็นนายพลไม่ได้ แม่บ้านไม่ดีสามีเป็นใหญ่เป็นโตไม่ได้ ขอฝากไว้ด้วย นี่เป็นเรื่องแสดงออก

เมื่อตะกี้คณะ รพช. (เร่งรัดพัฒนาชนบท) จากกรุงเทพฯ มาฟังบรรยายสรุปว่าจะเร่งรัดตรงไหน ไม่ใช่เร่งคนอื่นเขา ต้องเร่งตัวเองก่อน ต้องมีสื่อการสอน ใครเป็นครูอาจารย์ขอฝากไว้ด้วย ท่านจะไปสื่อตรงไหน เอาไปคิดตีความด้วยนะ

การเจริญกรรมฐาน ต้องทิ้งความรู้หมด เอาวิชาการใส่ตู้หมด อย่าเอาวิชาการมาปะปนกัน ต้องทำเป็นคนโง่ โง่บ่เป็น บ่เป็นใหญ่ โง่ไว้ให้มันผุดขึ้นมาเอง นี่ของจริงอยู่ตรงนี้ ถ้าเรารู้มากไม่ใช่ของจริงหรอก คนรู้มากมันเยอะ ไม่ใช่รู้ของจริง

การมาเจริญปฏิบัติต้องการรู้ของจริงใช่ไหม โยมผู้หญิงรู้ของจริงหรือยังจ๊ะ รู้ไม่จริงหรอก มีสามีสวย สาวแก่แม่หม้ายชอบมากดีไหม อาตมาว่าดี เป็นเกียรติแก่ภรรยา สามีไม่สวยเหมือนตอม่อยุ้ง ไม่มีคนชอบ ไปพูดเขาจะเชื่อไหม เป็นเจ้าของบริษัทไม่ได้ ต้องมีคนชอบ นี่คือเหตุผล ฟังอาตมาบ้างนะ

การเจริญกรรมฐานต้องการให้มีสติควบคุมจิต เป็นการฝึก จะระลึกได้ยาวนาน

๑. ระลึกชาติได้ มี ๓ ระดับ

๑.๑ ระลึกถึงตัวเองได้ ว่าตัวเองเมื่อปีที่แล้วเป็นอย่างไร จะทบทวนชีวิตตลอดรายการ ปัญญาจะบอกว่า ปีที่แล้วเป็นอย่างไร ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ มีเหตุผลประการใด
๑.๒ ระลึกถึงบุพการี จะไม่ลืมพ่อแม่ จะไม่ลืมครูอาจารย์ที่สอนวิชาให้ จะไม่ลืมชาติภูมิ มาตุภูมิของตน
๑.๓ ระลึกชาติก่อนไปเกิดที่ไหน เช่น ทหารยศสิบโทถูกระเบิดตายที่ตาคลี เมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง ไปเกิดที่หล่มสัก แม่เก่ายังอยู่ มาอบรมที่นี่ ขณะนี้ไปอยู่สหรัฐอเมริกา เป็นดอกเตอร์แล้ว อาตมาไปสหรัฐอเมริกา เขาก็มาต้อนรับ

ไม่ใช่รำลึกอย่างที่เขารำลึกกันตามวัดนะ ว่าใครเป็นสามีใครเป็นภรรยา เดี๋ยวก็ต่อยกันยุ่ง มันถึงได้วุ่นวายกันในสังคม ไม่ใช่รำลึกอย่างนั้น ผิด! มันไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมแต่ประการใด

๒. รำลึกกฎแห่งกรรมได้ ว่าเราไปทำอะไรมา รำลึกได้ตอนเกิดเวทนา อย่างเช่นคนมาเลเซียมาปฏิบัติ แม่ชีซูง้อสอนกรรมฐานให้ ปฏิบัติไปปวดขามาก เขาก็กำหนด “ปวดหนอ ปวดหนอ” ที่ขา กำหนดไปเรื่อย ๆ ตายให้ตาย หนักเข้าก็เกิดสภาวะ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป นิมิตออกมาว่า เคยไปขว้างขาหมู แล้วหนอนกิน เลยให้เขาฆ่าให้ตาย ตัวเองเลยเป็นโรคปวดขาอย่างนี้ กำหนดไปก็หายเลย

มีคนที่กรุงเทพฯ พูดภาษาจีนกลางได้ บอกว่าจะมาเป็นล่ามให้ แต่เขาพูดธรรมะไม่ได้ สติกำหนดอย่างไร จีนกลางว่าอย่างไร เขาพูดไม่ได้ เขาไม่ได้เรียนธรรมะ จึงพูดเป็นล่ามให้ไม่ได้ ไม่ใช่ใครเป็นล่ามก็ได้ พูดส่งเดชนะ ต้องศึกษาในธรรมะและปฏิบัติได้ จึงจะพูดได้ ถึงจะลึกซึ้งทำให้เขาเข้าใจได้ ยากมาก

เขากำหนด “ปวดหนอ ปวดหนอ” กำหนดไป หายไป จึงรู้ว่าทำกรรมอะไรไว้ แผ่เมตตาให้เขา ถ้ามีบุญวาสนาเขารับเมตตาที่แผ่ให้ ก็จะหายไปเอง เดินได้เลย ลูกชายของเขาก็มาด้วย ส่งภาษาบอกว่า กลับไปนี่ยอมเลิกเลี้ยงหมู จะสร้างวัดแบบจีนต่อไป

นี่กฎแห่งกรรมรู้ได้จากเวทนา จำไว้ บอกให้เสียเลย บางคนปวดหน่อยเลิกเลยอีกร้อยปีก็ไม่ได้ผล บางคนบอกว่า หลวงพ่อคะ พองหนอ ยุบหนอ วัดนี้ทำยาก ไปวัดโน้นแค่ ๕ นาที ฉันไปสวรรค์เลย อาจารย์เขาบอก

พอนั่งว่า “พุทโธ พุทโธ” พระพุทธเจ้ามาคุยกับฉันเป็นชั่วโมงเลย อย่างนี้เป็นโรคทันสมัย (โรคประสาท) แล้ว ๖๐% มันจะเบลอมากไป เห็นตัวเองซิ

บางคนไปเห็นบ้านโน้นมีเงิน บ้านนี้มีต้นไม้ โง่! ต้องเห็นตัวเองว่าเงินในกระเป๋าพอส่งลูกเรียนหนังสือไหม เงินในกระเป๋าจะพอซื้อที่ดินไหม จะดูตรงไหน

วัดอัมพวันปฏิบัติยาก ไปวัดอื่นดีกว่า ทำไปได้ ๕ นาที เดี๋ยวก็รำไปแล้ว ว่าชาติก่อนเคยเป็นหงส์ น่าเสียดายมาก ยังเป็นอย่างนี้กันเยอะ

สติตัวเดียวเท่านั้น ที่จะแก้ไขปัญหาชีวิต เพราะฉะนั้น ยืนหนอ ๕ ครั้ง ต้องทำให้ได้ทุกคน ต้องเอาสติตามจิตให้ทันเท่านั้น พอตามทันขึ้นลง ๕ ครั้งได้ เห็นคนเดินมาสัมผัสปั๊บ ดูศีรษะถึงปลายเท้า ปลายเท้าถึงศีรษะโดยอัตโนมัติมันจะเห็น ๓ ภาพ

ภาพที่ ๑ แต่งตัวอย่างนี้เขาจะไปไหนกัน
ภาพที่ ๒ คนนี้มีโรคประจำกาย เป็นโรคมะเร็งและอัมพาต
ภาพที่ ๓ นิสัยไม่ดี เป็นมิตรตอนกู้ เป็นศัตรูตอนทวง คบไม่ได้

จะออกมาอย่างนี้ไม่ผิดพลาดเลยนะ ถ้าโยมสำรวจจิตไว้มากมาย จะเห็นว่าบางคนหัวหายไปเลยนะ มันจะบอกออกมาว่าต้องตายภายใน ๗ วัน ไม่เคยพลาดเลยนะ

ถ้าเราจะเตือนใครแล้วใครเขาจะเชื่อเรา ให้สวดมนต์เท่าอายุ เจริญกรรมฐานต่ออายุได้ดีที่สุด ถ้าเห็นผมขาวรับรองเลยว่า ไม่เป็นอัมพาตก็คางเหลือง ขอฝากไว้นะ ถ้าเชื่อก็ว่ากันไป ถ้าไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ไม่ได้พูดให้โยมเชื่อ พูดให้โยมมีสติปัญญาแก้ไขปัญหาของโยมเอง ไม่ได้พูดให้เชื่อนะ พูดตอนนี้ขอให้หลักหน่อย

พระพุทธเจ้าสอนชาวโลกว่า อย่าเพิ่งเชื่อข้าพเจ้า อย่าเพิ่งเชื่อพ่อแม่ ไปไตร่ตรองเอาเองแล้วค่อยเชื่อตามเหตุผล เพราะถ้าพ่อแม่สอนให้เป็นโจร เชื่อพ่อแม่ก็เป็นโจรไป พระพุทธเจ้ามีกลวิธีการสอนดีที่สุด

ห้ามเชื่อเพื่อน ถ้าเพื่อนเป็นอันธพาล เราเชื่อขณะนั้นก็เลวมาก

 คบคนพาลได้ผิด  คบบัณฑิตได้ผล

คบคนชั่วพาตัวให้อับจน  คบคนดีให้ผลจนวันตาย

เมาเพศหมดค่า  เมาสุราหมดความสำคัญ

 เมาการพนันหมดตัว  เมาเพื่อนชั่วหมดดี

ท่านบอกว่าเชื่อเพื่อนก็แนวเดียวกัน แต่แล้วก็ไม่เท่ากับเชื่อใจเราที่ขณะเลวร้ายที่สุด ขณะมีโลภ มีความโกรธ แล้วไปเชื่อตามนั้น โยมจะบ้านแตกสาแหรกขาด เชื่อตอนมีโมหะไร้ปัญญา และไปทำงานโดยโง่ ๆ รับรองเลวร้ายยิ่งไปกว่าเชื่ออย่างอื่น

ตัวเองนี่ร้ายที่สุด ขออย่าเชื่ออารมณ์เราขณะมีโลภ มีความโกรธและมีความหลง ถ้าเชื่อตามนั้นแตกแหลกลาญแน่ ๆ ต้องตั้งสติไว้ในอารมณ์ก่อน ตั้งสติกรรมฐานไว้ในจิตใจก่อน แล้วค่อยแก้ปัญหาข้อเท็จจริง ขอฝากไว้เป็นหลัก

การกำหนดจิตมีความสำคัญมาก โกรธก็กำหนด คิดก็กำหนด อย่าให้อารมณ์ค้าง ไม่เคยกำหนดเลยจึงไม่ได้ผล เขามาด่าเราก็กำหนดเสียงหนอซิ แยกรูปแยกนามได้ คำด่าก็กลับไปหาเขาเอง

ถ้าเรามีศีลดี เขามาด่าเรากลางถนน จะออกไปไหม นักกรรมฐานชอบออกนัก กำหนดเสียงหนอ เสียงหนอ ปัญญาเกิดจะออกมาบอกเลยว่า เขาด่าเราเรื่องอะไร เพราะเราไปทำอะไรให้เขา หรือเมื่อชาติก่อนเราไปด่าเขาไว้ เขามาด่าเราให้ใช้หนี้ ก็หมดเรื่องกันไป

หายใจให้ยาว ๆ คนที่มีกิเลส โลภ โกรธ หลง หายใจสั้น คนที่โกรธฉุนเฉียวเก่งหายใจสั้น และกลิ่นตัวมันจะบอก หายใจยาว ๆ ไว้จะมีสติกำหนดได้

กำหนดยืนหนอ ๕ ครั้ง ถ้าทำได้ พองหนอยุบหนอก็ง่ายขึ้น และเวลาเดินจงกรม อย่าไปเอาหลักอื่น ดูที่ปลายเท้าเป็นการฝึกหัด พอหัดได้ชำนาญแล้ว ไปดูมันทำไมเล่า อย่างทหารฝึกขวาหันซ้ายหัน นับสี่ นับแปด เรียงสี่ เรียงแปด เวลารบจะไปเข้าแถวได้เหรอ

การเดินจงกรมก็เหมือนกัน เวลาฝึกขวาย่างหนอ ช้าเพื่อไว เสียเพื่อได้ พอฝึกสติแล้ว เพื่อนเขาเอารถมาคอย จะมัวแต่เดินช้า ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอได้หรือต้องวิ่งไป สติก็ไปด้วย อย่างนี้แหละ ช้าเพื่อไว เสียเพื่อได้ จำมุมกลับไป เสียเพื่อได้ ช้าเพื่อไว คล่องแคล่วว่องไว รวดเร็วทันใจ ถูกต้องเป็นธรรม

เวลาถึงบทจำกัดเขตขึ้นมา จิตใจก็ดี สติก็ดี วิ่งก็ได้ มันจะล้มตรงไหนมันจะบอกออกมา ที่เรามาฝึกกันนี่ไม่ใช่เดินสวนสนามกันนะ ไปห้องน้ำก็เดินจงกรมไป ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์

ปัญญาเราสะสมในหน่วยกิตเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่รู้ว่าอะไรคือปัญญา เวลามีปัญหามันจะมาช่วยแก้ เราถึงได้รู้ตัวว่าเรามีปัญญา ไม่ใช่บ่นว่า มานั่งหลายวันปัญญาไม่เกิดสักที อย่าไปบ่น มันสะสมไว้ อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ เวลามีทุกข์มันจะออกมาแก้เองโดยอัตโนมัติ นี่ซิถึงเรียกว่าปัญญา

ไม่ใช่มานั่งแล้วบอกว่า ไม่เห็นอะไรเลย มันจะไปเห็นอะไรเล่า คนละเรื่องกัน เรามา สร้างบุญก็เอาแต่บุญซิ แต่บุญนี้ช่วยได้แน่ มีเรื่องอะไร จะแผ่เมตตาให้ใคร ก็ตามเอาบุญใส่ตัวก่อน ถ้าบุญมีมากแล้วค่อยแผ่ไปทีหลัง ไม่ใช่ยังไม่มีบุญวาสนาเลยแผ่ไปแล้ว

เปรียบเสมือนขายของยังไม่ได้ ยังไม่มีใครมาซื้อ แล้วจะเอากำไรไปให้ใครล่ะ เอาทุนไปให้เขาหมดได้หรือ นี่บอกเหตุผลให้โยมตั้งใจปฏิบัติกัน

หายใจยาว ๆ เข้าไว้ หายใจเข้ายาว ๆ หายใจออกยาว ๆ ให้เสมอ ค่อย ๆ ทำไป โยมจะใจเย็นลงเยอะ และจะมีปัญญาแก้ไขปัญหาได้เยอะ ไม่ต้องไปหาหมอดู ไม่ต้องไปหาใครมาแก้ปัญหา เพราะเราเป็นเจ้าของปัญหา ต้องแก้เอง จะให้คนอื่นเขาแก้ให้เราได้อย่างไร ขอฝากทุกคนไปคิดให้มี สติปัญญาในการแก้ปัญหา

ญาติโยมจงตั้งใจปฏิบัติธรรม ดีที่สุดแล้วไม่ต้องใช้เงินทองแต่ประการใด อย่ากังวลใจ กังวลนี้ไม่ดีเลย ทำ

อะไรก็ไม่มีความสุข มันมีแต่กังวลวุ่นวาย สับสนอลหม่าน เหมือนพระอาทิตย์พระจันทร์ผลัดกันลงผลัดกันขึ้น เดี๋ยวก็คืนเดี๋ยวก็วัน ไม่ได้อะไรติดตัวท่านไป

ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ท่านทั้งหลาย ขอทุกท่านจงเจริญฯ ด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ นึกคิดสิ่งหนึ่งประการใด สมความมุ่งมาดปรารถนาด้วยกันทุกรูป ทุกนาม ณ โอกาสบัดนี้เทอญ ขอเจริญพรทุกท่าน