ประสบการณ์ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วัดอัมพวัน
โดย สว่างจิต ศรีระษา
ดิฉันเริ่มรู้จักวัดอัมพวัน จากจดหมายของเพื่อนชาวไทย ที่อยู่อเมริกาเขียนส่งข่าวมาบอกว่า เธอและสามีที่เป็นชาวอเมริกัน ได้เข้ามาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วัดอัมพวัน เป็นเวลา ๑๐ วัน ในเดือนสิงหาคม ๒๕๓๖ ดิฉันรู้สึก เป็นสุขและอนุโมทนาสาธุในการปฏิบัติธรรมของเพื่อนและสามีของเธอด้วย
ช่วงปลายปี ๒๕๓๖ เพื่อนของดิฉันที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้เล่าเรื่องราวถึงวัดอัมพวันให้ฟังอีก และด้วยความสนใจในการศึกษาเรียนรู้ จึงเดินทางไปวัดอัมพวันในเวลาต่อมา การฝึกฝนปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วัดอัมพวัน ได้ให้ประสบการณ์แก่ตัวเองเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอบรมวันแรก ที่รับศีลแปด พระอาจารย์ได้สอนวิธีการเดินจงกรมและการนั่งสมาธิให้ และตลอดช่วงของการฝึกปฏิบัติ ในธรรมศาลาก็ได้รับการอบรมสั่งสอนหลักการปฏิบัติวิปัสสนาเป็นอย่างดีจากอาจารย์และแม่ชีผู้สอน
ในการปฏิบัติกรรมฐานครั้งนี้ ดิฉันตั้งใจที่จะเรียนรู้ฝึกฝนตัวเองให้รู้หลักปฏิบัติอย่างเข้าใจ และต้องการตอบคำถามในใจว่าสมาธิเป็นอย่างไร เราอยากรู้อยากเห็นด้วยตัวเอง เพราะได้เรียนรู้อยู่เสมอว่าพระธรรมนั้นเป็น “สันทิฏฐิโก เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง และเป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน” การได้อ่านประวัติและธรรมเทศนา ของพระอาจารย์หลายองค์ ที่เคารพศรัทธานั้น เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความอยากรู้อยากเห็นและต้องการฝึกฝนตนเอง
วันที่สอง เริ่มฝึกกรรมฐานด้วยจิตใจที่แจ่มใส สนใจและตั้งใจเอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะหลักวิธีการเดินจงกรมนั้นให้ความสนใจมาก เพราะยังไม่ได้เรียนรู้หลักการสอนที่เป็นขั้นตอนจากไหนมาก่อน จึงฝึกฝนเดินจงกรมและนั่งสมาธิอย่างตั้งใจยิ่ง วันแรกนั่งสมาธิได้ไม่นานก็ต้องขยับเปลี่ยนท่านั่งเพราะปวดขาและหลับตาได้ไม่นานก็ลืมตาเพราะทนไม่ได้ การเดินจงกรมก็ทำได้ไม่ดี อาจารย์ผู้สอนบอกให้ “ปักจิต” ลงกลางกระหม่อมในขณะที่จะกำหนด “ยืนหนอ” พยายามปักเท่าใด จิตก็ไม่ยอมปักนิ่งกลางกระหม่อม แม้จะใช้เวลายืนนาน ๆ แล้วก็ตาม วันแรกผ่านไปด้วยความตั้งใจจริง และเข้านอนประมาณ ๔ ทุ่ม ด้วยอาการปวดกล้ามเนื้อไปหมดทั้งตัว แต่นอนหลับสบายและนอนคนเดียวในห้องพักด้วย ก่อนนอนได้กราบระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพระคุณบิดามารดา พระคุณครูบาอาจารย์ทั้งหลาย รวมทั้งหลวงพ่อจรัญด้วย
วันที่สาม ลุกปฏิบัติกรรมฐานตามปกติและรู้สึกปวดกล้ามเนื้อตามตัวมาก แต่ก็ตั้งใจปฏิบัติตามช่วงเวลาที่อาจารย์ผู้สอนได้อบรมสั่งสอน ในช่วงกลางวันได้พบเห็นผู้มาปฏิบัติกรรมฐานมีลักษณะอาการต่าง ๆ บางคนนั่งสมาธิโอนเอนไปมากจนจะหงายหลัง และบางคนอาเจียนเสียงดัง จนเราต้องลืมตาขึ้นมาดู ในวันนี้การปฏิบัติกรรมฐานช่วงเวลา ๑๘.๐๐ – ๒๑.๐๐ น. นี้ แม่ชีซูง้อเป็นผู้สอน เมื่อหมดเวลาฝึกกรรมฐาน แม่ชีซูง้อได้บอกผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนว่า ก่อนนอนให้เอามือวางที่ท้องและภาวนา “พองหนอ ยุบหนอ” ๕ ครั้ง ดิฉันทำตามที่แม่ชีบอก รู้สึกว่าจะหลับแต่ไม่หลับ ความรู้สึกปวดตามเนื้อตามตัวก็ยังปรากฏอยู่ทั่วร่างกาย รู้สึกเจ็บที่ศีรษะเหมือนมีใครเอาของแหลมมากดที่ศีรษะ สักครู่เดียวก็หายไปแล้วรู้สึกตัวเบาสบาย ไม่มีอาการเจ็บปวดตามร่างกาย เบาโล่งจริง ๆ ตัวเบาสบาย สบายจนรู้สึกได้แล้วก็หลับไป
วันที่สี่ วันนี้เป็นวันสำคัญมาก ฝึกปฏิบัติกรรมฐานได้ดีกว่าสองวันก่อน ช่วงเช้าก่อนนั่งสมาธิได้ระลึกขอให้หลวงพ่อจรัญและเทพกาหลง ได้ช่วยให้เกิดสมาธิในการปฏิบัติกรรมฐาน เมื่อนั่งสมาธิไปก็รู้สึกว่าได้ดำดิ่งเข้าสู่ภวังค์ แล้วรู้สึกเบานิ่งอยู่นาน บริเวณมือและแขนว่างเปล่า รู้สึกว่าตัวเองเกิดปีติขึ้นมา ได้ถามตัวเองในใจว่า สมาธิเป็นเช่นนี้หรือ ต่อมาในช่วงฝึกปฏิบัติกลางคืนประมาณ ๒ ทุ่ม ขณะที่นั่งสมาธิและภาวนาพองหนอ – ยุบหนอ นั้น ปรากฏว่าเมื่อภาวนาคำว่า พองหนอ จะรู้สึกว่า หน้าตักเราเหมือนมีอาการพองขึ้นจนคับแถวหน้าตักที่มือวางอยู่ พองอยู่สักระยะหนึ่งก็ค่อย ๆ แฟบลง จนมาอยู่ในภาวะว่างเบาเฉย ๆ แล้วสักครู่ก็พองขึ้นมาใหม่อีก ปรากฏเช่นนี้ ๓ ครั้ง ในครั้งที่ ๓ นี่รู้สึกว่าพองแน่นแข็งมาก พองจนต้นแขนซ้ายจะให้หลุดออกไปให้ได้ ดิฉันก็พยายามขัดขืนไว้ไม่ยอมให้แขนหลุด แต่ก็เหมือนแรงดันอย่างแรงและแรงขึ้นจนดิฉันรู้สึก และถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกับดิฉัน ความรู้สึกขณะนั้นไม่ได้กลัว แต่ก็ทราบว่านี่คือปรากฏการณ์ของสมาธิ รู้สึกปีติขึ้นมาด้วย เมื่อรู้สึกเหนื่อยล้ากับการต้านและการท่อง พองหนอ – ยุบหนอ ก็ไม่หายจากอาการแน่นแข็ง จึงมาพักสมาธิที่ใต้จมูก หยุดบริกรรมพอดีหมดเวลา ในคืนนี้มีผู้ปฏิบัติธรรมคนหนึ่งย้ายเข้ามาพักในห้องด้วย และทางวัดได้จัดผู้มาลงทะเบียนปฏิบัติธรรมอีกคนและดิฉันก็นอนไม่หลับตลอดคืน
เมื่อไม่ได้นอนทั้งคืนก็รู้สึกอ่อนเพลียมึนศีรษะมาก ปฏิบัติกรรมฐานไม่ได้ เดินจงกรมก็มึนหัวตัวส่ายไม่มั่นคง จึงลงนั่งสมาธิพิงฝาผนังศาลา นั่งหลับสบายไปจนหมดชั่วโมงปฏิบัติ วันนี้เป็นวันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นวันลอยกระทง และเป็นวันที่ดิฉันมีโอกาสได้กราบหลวงพ่อจรัญ ท่านได้นำสวดมนต์ทำวัตรเย็น ที่ศาลาปฏิบัติกรรมฐาน ขณะที่หลวงพ่อและผู้ปฏิบัติธรรมกำลังสวดมนต์อยู่นั้น ผู้ปฏิบัติธรรมคนหนึ่งนั้น เธอได้ร้องโหยหวนเสียงดังขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่แม่ชีซูง้อได้นำเธอออกจากกลุ่มผู้ปฏิบัติธรรม ไปดูแลอยู่ด้านหน้าของแถวแล้วก็ไม่สามารถช่วยควบคุมสติของเธอได้
หลังจากสวดมนต์จบแล้ว หลวงพ่อได้เทศนาธรรมโปรด ในหัวข้อเกี่ยวกับวันลอยกระทง เมื่อรับฟังเทศนาธรรมจบแล้ว ที่วัดอัมพวันได้จัดให้มีการลอยกระทงด้วย ช่วงนี้ดิฉันและเพื่อนร่วมห้องได้ไปลอยกระทงด้วยกัน เพื่อนร่วมห้องคนนี้ได้ถามว่า ตอนสวดมนต์ได้ยินเสียงหมาหอนมาจากไหน ดิฉันจึงได้บอกว่า ไม่ใช่เสียงหมาหอน เป็นเสียงร้องของผู้ปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง ที่แม่ชีได้ดูแลอยู่ด้านหน้าแถว
ในวันเพ็ญเดือน ๑๒ นี้ เมื่อดิฉันทราบว่าหลวงพ่อจะลงศาลานำสวดมนต์เทศนาธรรมและรับมาลัยจากผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ดิฉันได้ถวายพวงมาลัย และได้นึกในใจว่า อยากได้นั่งแถวหน้าสุด เพื่อจะได้เห็นและกราบหลวงพ่ออย่างใกล้ชิด ในตอนแรกก่อนหลวงพ่อจะลงศาลา มีการจัดระเบียบแถวนั่งไว้แล้ว ดิฉันได้นั่งแถวที่ ๓ แต่เมื่อใกล้เวลาที่หลวงพ่อจะลงศาลา อาจารย์ผู้สอนกรรมฐาน ได้ให้ดิฉันไปนั่งแถวหน้าสุด พร้อมกับเพื่อนปฏิบัติธรรมคนหนึ่งที่ควบคุมสติตัวเองไม่ได้ ดิฉันจึงได้ย้ายจากแถวที่ ๓ มานั่งแถวหน้า
วันที่หก ปฏิบัติกรรมฐานได้ดีกว่า ๒ วันที่ผ่านมา ตอนเย็นของวันนี้ ลาศีล ๘ และ วันที่เจ็ด ได้ปฏิบัติกรรมฐานในช่วงเช้าตรู่ ทำสมาธิและเดินจงกรรมได้ดี ตัวเบาและไม่รู้สึกเหนื่อยเพลีย นั่งสมาธิกำหนดสติได้ดี ลมหายใจเบาละเอียด และสามารถนั่งสมาธิได้เกินกว่า ๑ ชั่วโมง ไม่รู้สึกเจ็บปวดต้นขาเวลานั่งติดต่อกันนาน ๆ เพียงรู้สึกเจ็บต้นขาเล็กน้อยก็หาย และเบาสบายตลอด