แผ่เมตตาข้ามทวีป
ตอนที่ ๒ แผ่เมตตาสอนกรรมฐาน
โดย พระนรินทร์ สุภากาโร
หลังจากที่โยมตรีรัตน์ และโยมสุนีย์ ได้พูดคุยและเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้อาตมาฟังแล้ว โยมทั้งสองยังได้เล่าถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ขณะที่หลวงพ่อเดินทางอยู่ในทวีปยุโรป และเล่าจนกระทั่งถึงการเดินทางวันที่ ๗ ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๓๖ ในวันนั้นหลวงพ่ออยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส คณะของหลวงพ่อซึ่งประกอบด้วย หลวงพ่อ, คุณอำนาจ บัวศิริ, คุณฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร, คุณประเทือง เจียไพแก้ว, คุณตรีรัตน์ ภาสเวคิน, คุณสุนีย์ พันธสุภร, และคุณสมจิตร ญาณวัฒนา (หมวย) ได้เดินทางไปยังบ้านหลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านของ พ.อ.อ.นิพนธ์ ศรีทองอินทร์ และได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งชื่อว่า น.ส.นิดจิตรา เป็นลูกสาวชาวลาว
ในวันนั้นคณะของหลวงพ่อได้กลับถึงโรงแรมประมาณ ๑ ทุ่ม ที่นั่นมีคณะญาติโยมคนไทยกลุ่มหนึ่งคอยพบหลวงพ่ออยู่ ซึ่งมีคณะของคุณนิพนธ์รวมอยู่ด้วย หลวงพ่อท่านพูดคุยให้โอวาทกับคณะที่คอยท่านอยู่ประมาณ ๑ ชั่วโมง ท่านจึงเดินทางไปตามที่โยมนิพนธ์ได้นิมนต์ท่านไว้
คณะของหลวงพ่อออกเดินทางสองทุ่มเศษ ๆ ไปถึงบ้านคุณนิพนธ์เวลาสามทุ่ม ซึ่งที่นั่นมีญาติโยมกลุ่มหนึ่งรอพบท่านอยู่ประมาณยี่สิบกว่าคน ท่านพูดคุยกับญาติโยมที่มารอพบท่านจนเวลาผ่านไปประมาณ ๓๐ นาที เด็กสาวคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับพ่อแม่ของเขา เขาคลานเข้ามากราบหลวงพ่อ ชี้ให้พ่อแม่ของเขาดู และพูดออกมาเป็นภาษาลาวว่า “พระองค์นี้แหละที่ไปเข้าฝัน ใช่องค์นี้แน่นอน”
ในตอนนั้นหลวงพ่อท่านก็ถามคุณซูซานภรรยาของคุณนิพนธ์ว่า เด็กคนนี้เขาพูดว่าอะไร คุณซูซานซึ่งสามารถพูดภาษาลาวได้ก็แปลให้หลวงพ่อฟัง และเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้หลวงพ่อฟัง พร้อมเป็นล่ามในการสนทนาระหว่างหลวงพ่อกับเด็กสาวนิดจิตรา หลวงพ่อท่านย้อนถามกลับไปว่า “แน่ใจหรือว่าเป็นพระองค์นี้” เด็กผู้หญิงก็ตอบว่า “ใช่องค์นี้แน่นอนใส่แว่นตาด้วย” หลวงพ่อก็บอกว่า “พระสงฆ์แบบนี้เมืองไทยมีหลายองค์ พระที่ใส่แว่นตาก็มีตั้งหลายองค์นะ” เด็กผู้หญิงก็ตอบหลวงพ่อว่า “ใช่องค์นี้แหละ จำได้ชัด มองข้าง ๆ ก็จำได้ รูปร่างก็แบบนี้ เสียงที่พูดก็เสียงนี้ และใส่แว่นตาด้วย ใช่องค์นี้แน่นอน”
หลวงพ่อท่านจึงสนทนาต่อไปว่า “ถ้ามาสอน สอนอะไร” เด็กหญิงก็ตอบว่า “สอนการปฏิบัติ” หลวงพ่อก็ถามว่า “ปฏิบัติอย่างไร ยืนหนอยืนอย่างไร และเดินจงกรมเดินอย่างไร” เขาก็สามารถปฏิบัติได้
หลวงพ่อท่านได้สนทนากับเด็กผู้หญิงซึ่งขณะนั้นอายุยังน้อย ประมาณ ๑๖ ปี ตัวก็เล็กผอมซีด เหมือนคนอมโรค แต่เมื่อพบหลวงพ่อแล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เด็กผู้หญิงมีความผ่องใส และอุปนิสัยดีขึ้นด้วย การพบกับหลวงพ่อในวันนั้นเหมือนเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ให้กับเขา เขาเหมือนได้พบอะไรที่ถูกใจ หรือที่อยากได้ เมื่อได้พบแล้วก็ดีใจ
หลวงพ่อสนทนากับญาติโยมคณะนั้นจนกระทั่งถึงเวลาสองยามกว่า ๆ ท่านจึงได้เดินทางกลับ สู่โรงแรมที่พัก
เมื่ออาตมาได้ยินเรื่องนี้ ทำให้นึกย้อนถึงเมื่อครั้งที่หลวงพ่อ เรียกอาตมาเข้าไปสอนเรื่องการโทรจิตสามารถแผ่เมตตาเป็นตัวหนังสือได้ หลวงพ่อบอกกับอาตมาว่า
การโทรจิตนี้ หลวงพ่อได้เรียนรู้มาจาก ท่านเจ้าคุณอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส เปรียญธรรม ๖ ประโยค) วัดสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น เมื่อครั้งที่ท่านเดินทางไปจังหวัดขอนแก่นเมื่อพ.ศ. ๒๔๙๔ การโทรจิตสามารถกระทำได้ แต่ทำยาก ต้องฝึกให้จิตสงบดี ไม่คิดฟุ้งซ่านใด ๆ ถึงจะสามารถส่งกระแสจิตออกไปได้ สมมุติว่าเราจะโทรจิตออกไปยังประเทศทางยุโรป เราก็สวดมนต์ปฏิบัติกรรมฐาน ให้จิตสงบดี จนกระทั่งเลิกจากการปฏิบัติ เราก็แผ่เมตตาบทสัพเพสัตตาฯ กรวดน้ำบทอิทัง โนฯ เสร็จเรียบร้อยดีแล้ว เราก็ตั้งมโนภาพคิดถึงประเทศทางยุโรปว่าอยู่ทางทิศไหน และอธิษฐานจิตถึงญาติที่อยู่ในทิศทางนั้น สำรวมจิตส่งกระแสพุ่งออกไป และถ้าจิตดีสมาธิดีก็สามารถส่งเป็นตัวหนังสือได้ เหมือนครั้งที่หลวงพ่อส่งกระแสจิตเป็นตัวหนังสือลา ก่อนประสบอุบัติเหตุคอหัก ไปถึงคุณชาญ กรศรีทิพา (ติดตามอ่านได้จากกฎแห่งกรรมเล่ม ๑ เรื่องผลกรรมของหลวงพ่อ)
ในการไปทวีปยุโรปในครั้งนั้น ก่อนหน้าวันเดินทาง ๗ วัน หลวงพ่อได้เจริญกรรมฐานแผ่เมตตาเคลียร์พื้นที่ไว้ล่วงหน้าแล้วเป็นเวลาถึง ๗ คืน พร้อมทั้งท่านยังอธิษฐานจิตไว้ว่า “หากใครคนใดก็ตามที่เป็นญาติในอดีตของข้าพเจ้าทางทวีปยุโรปแล้ว จงมารับและมาให้ข้าพเจ้าพบ และขอให้อำนาจจิตจากการแผ่เมตตาของข้าพเจ้า จงไปสถิตอยู่ด้วยคำสอนของข้าพเจ้า ณ บัดนี้ด้วยเทอญ” ซึ่งผลที่ตามมาภายหลังจากการแผ่เมตตาในครั้งนั้นทำให้ไปเข้าฝันนางสาวนิดจิตรา ว่าได้มีพระสงฆ์ไทยไปสอนกรรมฐานและเขียนหนังสือทิ้งไว้ให้เป็นเวลา ๗ คืน ซึ่งตรงกับวันเวลาที่หลวงพ่อแผ่เมตตาไปพอดีประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง ทำให้เกิดมีญาติโยมมารอรับหลวงพ่อที่ยุโรปเป็นระยะ ๆ และอุบาสกท่านหนึ่งที่มารับหลวงพ่อนิมนต์ท่านไปที่บ้าน จนเป็นเหตุให้พบกับเรื่องราวที่น่าประหลาดนี้ก็คือ พ.อ.อ.นิพนธ์ ศรีทองอินทร์ ซึ่งเป็นผู้รวบรวมเรื่องราวและอยู่ในเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยตลอด โยมนิพนธ์ ได้เล่าว่า…
คำบอกเล่า
จาก พ.อ.อ.นิพนธ์ ศรีทองอินทร์
โดย พ.อ.อ.นิพนธ์ ศรีทองอินทร์
เหตุการณ์ในวันที่หลวงพ่อจรัญท่านเดินทางไปที่ประเทศฝรั่งเศส และเมตตามาเยี่ยมผมที่บ้านซึ่งขณะนั้นผมยังไม่ได้ย้ายภูมิลำเนากลับมาอยู่เมืองไทย เรื่องมีอยู่ว่า
คุณอาซูซาน มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อว่า ทองถุ่ย ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียน เรียนหนังสือมาด้วยกันตั้งแต่วัยเด็ก มีสามีชื่อ คุณแสงเพชร อินทรกุมาร กระผมรู้จักกับสามีภรรยาคู่นี้มาตั้งแต่คุณแสงเพชรทำงานอยู่ที่สถานทูตอเมริกาประจำประเทศไทยเมื่อประมาณ ๒๐ กว่าปีมาแล้ว
คุณทองถุ่ยมีน้องชายคนหนึ่งชื่อว่า ทองหาย คุณความดี ซึ่งเป็นบิดาของ นางสาวนิดจิตรา คุณความดี ชื่อเล่นว่า เบเบ๊ หรือเบ๊ ซึ่งเป็นต้นเรื่องของเหตุการณ์ในครั้งนี้
ก่อนหน้าที่หลวงพ่อจรัญจะเดินทางไปฝรั่งเศสประมาณ ๑ อาทิตย์ คุณทองถุ่ยได้มาที่บ้านผมที่เมืองวิลเลอแปง (Villepinte) ได้เล่าให้ภรรยาของผม (คุณอาซูซาน) ฟังว่าหลานสาวของเขามีอาการแปลกประหลาดมาตั้งแต่เด็ก คือ เหมือนมีวิญญาณมาคอยรบกวนอยู่เสมอ (จิตถูกหลอน) บางครั้งเหมือนมีคนมาร้องเรียก ทำให้เบ๊เกิดอาการคลุ้มคลั่ง ต้องเข้าหาวัดเพื่อฝึกทำสมาธิและถือศีล จึงทำให้อาการดีขึ้น และบางครั้งเบ๊จะฝันเห็นเจ้าแม่กวนอิม และพระสงฆ์ไทยเป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถจะช่วยรักษาเบ๊ให้หายจากอาการป่วยไข้ได้
ตอนนั้นบอกตามตรงว่าผมและคุณอาซูซานภรรยาของผมไม่ได้คิดอะไร ฟังแล้วก็รู้สึกเนิบ ๆ จนกระทั่งหลังจากนั้นอีก ๑ สัปดาห์ ก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณตรีรัตน์ว่า ได้มาถึงประเทศอิตาลีแล้วโดยเดินทางมากับหลวงพ่อจรัญ และจะแวะมาเยี่ยมวัดไทยในประเทศฝรั่งเศส ก่อนที่จะเลยไปยังประเทศอังกฤษ ขอให้ผมพยายามนิมนต์หลวงพ่อไปที่บ้านให้ได้เพื่อเป็นสิริมงคล
ผมก็เลยโทรศัพท์ไปหาคุณแสงเพชร และคุณทองถุ่ย ชวนให้เขามากราบขอพรหลวงพ่อ ถ้าประสบโอกาสที่สามารถนิมนต์หลวงพ่อให้เดินทางมาที่บ้านผมได้
ขณะที่ผมขับรถเพื่อจะมาคอยหลวงพ่อที่โรงแรม ในปารีส ซึ่งบ้านผมอยู่ห่างจากปารีสไปทางสนามบินชาร์ลเดอร์โกล ประมาณ ๒๐ กม. ระหว่างทางผมได้ปรึกษากับภรรยาว่าเราจะถามอะไรหลวงพ่อดี ถ้าหากท่านไม่มีเวลามาเยี่ยมเราที่บ้าน
จะเป็นด้วยโชค, บุญ, เหตุการณ์บางอย่างก็เหลือจะคาดเดาได้ เพราะในคืนที่ท่านมาถึงท่านก็ต้องไปเยี่ยมวัดไทยกว่าจะกลับถึงโรงแรมก็ค่อนข้างจะดึก ที่โรงแรมมีผู้คนทั้งไทย ลาว รวมทั้งผมและภรรยาอยู่ด้วย เพื่อคอยจะกราบท่านอยู่เต็มไปหมด พอเห็นคนเยอะภรรยาผมก็บอกว่าหลวงพ่อท่านคงจะเหนื่อยมาก เราจะมีหวังที่จะนิมนต์ท่านได้หรือ แล้วเราจะบอกกับญาติพี่น้องที่เราให้เขามาคอยหลวงพ่อที่บ้านอย่างไร
ผิดคาดครับ เมื่อหลวงพ่อมาถึง ท่านก็เดินเข้ามาหากลุ่มญาติโยมเลย พอนั่งได้ท่านก็ร่ายยาวคุยกับพวกเรา (ท่านคุยของท่านเพียงองค์เดียว) เชื่อไหมครับ สิ่งที่ท่านพูดออกมา ล้วนแต่สิ่งที่ผมกับภรรยาเตรียมจะถามท่านทั้งนั้น อาจรวมถึงคำถามของคนอื่นด้วย ท่านพูดประมาณ ๑ ชม. ไม่มีใครถามอะไรท่านเลย นอกจากเรื่องการเดินทางของคณะท่านเล็กน้อย แต่ที่แน่ ๆ สำหรับผมแล้ว ผมได้รับคำตอบอย่างเต็มอิ่ม จึงตัดสินใจนิมนต์ท่าน ท่านก็มากับผมพร้อมมีผู้ขอติดตามมาคุยกับท่านต่อ รวมทั้งคุณตรีรัตน์ด้วย
พอมาถึงบ้าน ผมก็นิมนต์ให้หลวงพ่อนั่ง ญาติพี่น้องของภรรยาผมก็เข้ามากราบท่าน ท่านก็ให้ศีลให้พร และคุยกับทุกคน ส่วนผมรีบโทรศัพท์เรียกคุณแสงเพชร และภรรยาให้มากราบหลวงพ่อได้เลย ซึ่งทั้งสองก็พาหลานสาวคือนิดจิตรามาด้วย พอทั้งสามคนมาถึงบ้าน เบ๊เห็นหน้าหลวงพ่อ ก็ดึงแขนทองถุ่ยซึ่งเป็นป้า และสะกิดคุณอาซูซานเข้าไปในครัวและบอกว่า “ใช่แล้ว พระอาจารย์องค์นี้แหละที่ฝันเห็น ที่บอกว่าเป็นพระศักดิ์สิทธิ์ที่จะมารักษาหนูให้หาย”
และต่อไปก็เชิญอ่านประวัติความเป็นมาของ น.ส.นิดจิตรา หรือเบ๊ ได้จากจดหมายซึ่งผมขอให้ คุณแสงเพชร อินทรกุมาร ไปสอบถามหลานสาวด้วยตนเอง แล้วบันทึกส่งมาให้ผม เป็นภาษาลาว ผมได้แปลและเรียบเรียงเรื่องราวเป็นภาษาไทยไว้ดังนี้
ประวัติความเป็นมา
ของนางสาวนิดจิตรา คุณความดี
โดย แสงเพชร อินทรกุมาร (เขียน)
พ.อ.อ.นิพนธ์ ศรีทองอินทร์ (แปล)
นิดจิตรา คุณความดี (ชื่อเล่น เบเบ๊) เป็นบุตรสาวคนโตในจำนวนพี่น้องร่วมกันสามคนเกิดเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ (ค.ศ. ๑๙๗๕) ที่นครเวียงจันทน์ ประเทศลาว บิดาชื่อว่า ทองหาย มารดาชื่อว่า ขันทะวิจิตร นามสกุล คุณความดี
ได้อพยพจากประเทศลาวมาอยู่ประเทศฝรั่งเศส ณ บ้านเลขที่ ๑ ถนนวาลลัง เมืองนัวซี่เลอกรัง (๑ Rue du Vallon, Noisy Le Grand) เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๗๗
เมื่อตอนวัยเด็ก อายุประมาณ ๒ หรือ ๓ เดือน มักร้องไห้อยู่บ่อย ๆ จนเป็นที่ผิดสังเกต แพทย์ได้พยายามตรวจดูอาการก็ปรากฏว่า ไม่พบสิ่งผิดปรกติแต่อย่างใด เมื่อเป็นดังนี้ ตามความเชื่อถือของชาวลาว ผู้เฒ่าผู้แก่จึงปลูกแขนให้ด้วยเกรงว่าเป็นเพราะแม่กำเนิด (แม่ซื้อ) มารบกวน ปรากฏว่าการร้องไห้ก็ทุเลาไป
ต่อมาเมื่ออายุได้ ๑ ถึง ๒ ปี นิดจิตราก็กลับเป็นเด็กที่น่ารักน่าถนอม ใครเห็นใครก็อยากอุ้ม นิดจิตราก็กลับเป็นจุดสนใจของทุก ๆ คน
เมื่อนิดจิตราเข้าโรงเรียนจนกระทั่งเรียนถึงมัธยมศึกษาปีที่ ๕ นิดจิตราเกิดมีอาการผิดปรกติ จนไม่สามารถเรียนหนังสือได้ตามปรกติ เพราะในแต่ละวันจะมีแต่ความเมื่อยปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนที่มีอายุได้ ๑๓ ปี ก็มีอาการเจ็บที่หัวใจ เหมือนกับมีใครมาบีบคั้นไม่ให้หายใจได้ ทำให้ต้องทรมานมาก
นิดจิตราต้องไปหาหมอเพื่อตรวจอาการ แต่ก็เช่นเคย หมอไม่สามารถหาสาเหตุได้ พยายามหาอย่างไรก็ไม่สามารถตรวจพบได้ พยายามหาสาเหตุว่าเป็นไส้ติ่งหรือโรคพยาธิและโรคอื่น ๆ ก็ไม่มี
ในเวลาตอนกลางคืน ขณะที่นิดจิตรานอนอยู่บนบ้านก็เหมือนกับว่ามีคนคอยมาเรียกให้ลงไปหา นิดจิตราจะมีอาการคลุ้มคลั่ง (มีความโกรธและโมโหร้าย) พ่อแม่หรือใคร ๆ พยายามช่วยกันพูดสักเท่าไรก็ไม่สามารถทำให้นิดจิตราพึงพอใจได้ จนในที่สุดนิดจิตราก็มีความรู้สึกอยากเข้าวัด ฟังธรรม แล้วก็ขอบวชชี ถือศีล นุ่งผ้าขาว อยู่ที่วัดศรีลังกา เมืองเลอบวกเย (Le Bourger) ฝรั่งเศส
ภายในห้องนอนของนิดจิตราจะมีแต่รูปภาพของพระพุทธเจ้า และพระพุทธรูปต่าง ๆ ซึ่งนิดจิตราให้ความเคารพบูชามาตลอด ด้วยความศรัทธา และความเชื่อถือในพระบารมีขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้อาการต่าง ๆ ของนิดจิตราเริ่มดีขึ้น มีอาการยิ้มแย้ม แจ่มใส เบิกบาน
จนกระทั่งคืนหนึ่ง นิดจิตราได้นอนหลับและฝันไปว่าได้ล่องลอยไปเบื้องบน เพื่อรับสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นความขาวบริสุทธิ์ (ผู้แปลไม่สามารถจะแปลว่าอะไร จะหมายความว่า พรหมจรรย์ก็ได้) และได้นุ่งผ้าขาวห่มขาว และได้นั่งสมาธิ เวลาที่นิดจิตรานั่งสมาธิ ก็เคยเห็นพระแม่กวนอิม มาคอยให้การปกปักรักษาด้วยความห่วงใย
ต่อมาในคืนหนึ่ง นิดจิตราได้ฝันเห็นพระพุทธเจ้า ในขณะที่ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนฝูงหลายคน และก็ได้มีคนพาไปหาพระสงฆ์ (พระอาจารย์) ผู้ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้ท่านช่วยรักษาให้หายจากอาการป่วยไข้ ซึ่งในความฝันนั้น พระสงฆ์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่นิดจิตราฝันเห็นนั้นจะเป็นพระสงฆ์ไทย ท่านได้สอนนิดจิตราปฏิบัติกรรมฐาน และเขียนสลักคำสอนของท่านเป็นตัวหนังสือภาษาไทยไว้ที่บ้านของนิดจิตรา แต่นิดจิตรา ไม่สามารถแปลความหมายของตัวหนังสือเหล่านั้นได้ เพราะเป็นตัวหนังสือภาษาไทย ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้เลยว่าท่านเขียนว่าอะไร รู้ได้แต่เพียงว่าเป็นภาษาไทยแน่ ๆ
ในวันเวลาต่อมา เรื่องราวความฝันของนิดจิตราก็เป็นความจริง จะเป็นความโชคดีของนิดจิตราก็ได้ เพราะโดยไม่คาดฝัน คุณนิพนธ์ และคุณแม่ซูซาน ศรีทองอินทร์ ได้เรียกให้ไปกราบขอพรจากหลวงพ่อจรัญ ซึ่งท่านเดินทางผ่านมาประเทศฝรั่งเศส เพื่อจะเดินทางต่อไปยังประเทศอังกฤษ
ณ ที่บ้านพักของคุณนิพนธ์ และคุณแม่ซูซาน ศรีทองอินทร์ ท่านได้เรียกให้นิดจิตรามากราบหลวงพ่อในก้าวแรกเดินเข้ามาบ้านและพบเห็นหลวงพ่อ นิดจิตราได้แสดงอาการดีใจ และสะกิดคุณซูซาน และคุณป้าของนิดจิตราพร้อมทั้งบอกว่า “ใช่แล้ว พระองค์นี้แหละคือพระสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ฝันเห็น และได้เขียนหนังสือไทยทิ้งไว้ให้หนู”
นับแต่คืนนั้นที่ได้พบหลวงพ่อ นิดจิตราก็มีอาการดีขึ้นมาก ซึ่งจะถือได้ว่าอาการผิดแปลกแต่ก่อนมาได้หายสาบสูญไปสิ้น หลวงพ่อจรัญเป็นผู้มอบชีวิตใหม่ให้กับนิดจิตรา ทำให้นิดจิตราเป็นคนใหม่ มีจิตใจรักพ่อรักแม่ และญาติมิตร เป็นผู้ชอบเสียสละเพื่อส่วนรวม และเพื่อบำรุงพระพุทธศาสนา
ตลอดเวลานิดจิตราจะรำลึกถึงพระคุณของหลวงพ่อจรัญ และคิดว่าสักวันหนึ่ง คงจะได้ลงมากราบไหว้หลวงพ่อที่บางกอก ประเทศไทย เหรียญหลวงพ่อที่คุณนิพนธ์นำไปให้นิดจิตรา ทุกวันนี้นิดจิตราจะแขวนเหรียญหลวงพ่อตลอดเวลา
ส่งท้าย
ท้ายที่สุดนี้หลังจากที่อาตมาเขียนเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว อาตมาได้ไปเรียนถามหลวงพ่อถึงเรื่องนี้ทั้งหมดอีกครั้งและข้อหนึ่งที่อาตมาสงสัยมากคือข้อความจากข้อมูลในจดหมายเรื่องที่หลวงพ่อแผ่เมตตาออกไปเป็นตัวหนังสือ ซึ่งคุณนิพนธ์ได้แปลจากภาษาลาวออกมาเป็นใจความว่า
“ในความฝัน พระอาจารย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวเป็นคนไทย สังเกตจากการเขียนสลักลงบนผนังก้อนอิฐโดยฝีมือของท่าน ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้เลยว่าท่านเขียนว่าอะไร รู้ได้แต่เพียงว่าเป็นภาษาไทยแน่ ๆ”
หลวงพ่อท่านเมตตาอธิบายคำถามนี้กับอาตมาว่า คงเป็นการเข้าใจผิดหรือแปลความหมายผิด เพราะคำที่ท่านเขียนไว้ เป็นการเขียนลงบนกระดาษ ติดไว้ให้กับผนังปูนที่บ้านของเธอ และคำไทยที่เขียนไว้ให้แต่นิดจิตราอ่านไม่ออกคือคำว่า “สติปัฏฐาน ๔”
อีกคำถามหนึ่งที่อาตมาถามท่านคือ เรื่องที่ท่านแผ่เมตตาสอนกรรมฐาน ท่านสอนอย่างไร ใช้ภาษาอะไร เพราะอาตมาทราบว่านิดจิตรารู้คำไทยไม่มาก และคำส่วนมากที่เกี่ยวกับการปฏิบัติจะเป็นคำที่ยาก หลวงพ่อท่านก็บอกกับอาตมาว่า หลวงพ่อท่านสอนเป็นภาษาไทยนั่นแหละ ยืนหนอ ก็บอกยืนหนอ เดินจงกรมสอนอย่างไรก็สอนไปอย่างนั้น นิดจิตราเขาเข้าใจ และรู้ได้ตามสามัญสำนึกของเขา
และคำถามสุดท้ายที่อาตมาถามท่านคือ “ทำไมหลวงพ่อท่านจึงสามารถแผ่เมตตาไปสอนกรรมฐานแก่นิดจิตรา และคนบางคนได้” หลวงพ่อท่านก็เมตตาอธิบายว่า
การที่หลวงพ่อสามารถแผ่เมตตาไปแล้วเขาสามารถรับรู้ได้ ก็เนื่องจากเขาเคยเป็นญาติแต่ในครั้งอดีต เคยมีความผูกพันเป็นญาติกันมา สายสัมพันธ์อันนี้ก็สามารถทำให้เป็นสื่อถึงกันได้ และอีกประการหนึ่งก็คือ ถ้าคนเรารู้จักกัน มีความผูกพันกัน เหมือนเป็นศิษย์กับอาจารย์ที่มีความระลึกถึงกัน อาจารย์แผ่เมตตาไป ถ้าศิษย์ตั้งจิตตั้งใจดีก็สามารถรับกระแสนั้นได้ กระแสนั้นถ้าจะเปรียบก็เหมือนคลื่นวิทยุที่ส่งออกตามสถานี ถ้าอาจารย์ส่งออกสถานียานเกราะ แต่ลูกศิษย์ไม่สนใจ ก็เหมือนกับเปิดเครื่องรับไปกรมประชาสัมพันธ์ ก็ไม่สามารถรับกันได้ แต่ถ้าอาจารย์ส่งคลื่นออกสถานียานเกราะ ลูกศิษย์ตั้งใจปฏิบัติตามคำสั่งสอน มีความระลึกถึงครูบาอาจารย์ ก็เปรียบเสมือนเปิดเครื่องรับสถานีเดียวกัน คือสถานียานเกราะ ฉะนั้นก็สามารถรับรู้กันและกัน หรือได้รับกระแสจากการแผ่เมตตาได้