กาฝากกุมารทรมานแม่
โดย พลตรีวสันต์ พานิช
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าทางภาคเหนือเป็นดินแดนถิ่นไทยงาม มีทิวทัศน์ภูมิประเทศสวยงามอุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยป่าไม้ ภูเขา อากาศสดชื่นบริสุทธิ์เย็นสบาย เป็นที่อยู่อาศัยของชาวพื้นเมืองหลายเผ่าพันธุ์มาช้านานแล้ว มีผิวพรรณงาน หน้าตาสดสวย พูดจาไพเราะเพราะพริ้ง อ่อนหวานเมื่อยามได้ยินการเจรจาอู้คำเมือง รักษาจารีตประเพณีเคร่งครัดสืบทอดกันมาจนกระทั่งปัจจุบัน ยังมีชาวพื้นเมืองส่วนน้อยนับถือผีสาง ทรงเจ้าเข้าทรง มีตำนานกล่าวขานถึงวิญญาณร้ายมาเล่นงานชาวบ้านทุกรูปแบบ มันเป็นเรื่องสลับซับซ้อนยากที่จะเข้าใจได้ในระดับจิตธรรดาอย่างพวกเราขณะนี้ก็ยังมีปรากฏให้เห็นต่อสายตาแก่ครอบครัวหนึ่งซึ่งมีอาชีพรับจ้างปลูกผักทำสวน ตั้งบ้านเรือนอยู่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ผัวเมียคู่นี้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความลำเค็ญ มีความขยันอดทนต่อสู้ มีลูกหลายคน ครั้งสุดท้ายในปี ๒๕๑๑ ได้คลอดลูกฝาแฝดที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค จ.เชียงให่ม ได้ตั้งชื่อเล่นๆว่า อ้อย (เป็นหญิง) และ หนึ่ง (เป็นน้องชาย) อายุต่างกันไม่กี่นาที อ้อยร่างเล็กสมสัดส่วน ใบหน้าคมคาย ร้องเก่ง พูดเก่งแต่น้องหนึ่งมีลักษณะรูปร่างขาว สูง น่ารัก ไม่ค่อยร้องพูดน้อย แม่ทะนุถนอมเลี้ยงดูลูกเป็นอย่างดี แต่ขัดสนเงินทองจำใจต้องยกลูกแฝดนี้ให้กับภรรยาข้าราชการผู้หนึ่งไว้อุปการะ สามีภรรยาได้จ้างแม่นมเลี้ยงเด็กคู่นี้อย่างดีจนเด็กมีอายุได้ ๑-๒ ขวบ เป็นวัยน่ารักน่าเอ็นดู ในกาลต่อมาแม่เลี้ยงได้ล้มป่วยถึงแก่กรรมลง คนเลี้ยงลาออก ไม่มีใครเลี้ยงดูฝาแฝด ชีวิตของทารกคู่นี้ได้ถูกส่งคืนไปสู่อ้อมอกแม่ยังถิ่นเดิมของตนอีกครั้งหนึ่ง เมื่อชีวิตเจริญวัยอายุเข้าเกณฑ์ศึกษาภาคบังคับ แม่ก็ส่งเข้าเรียนในโรงเรียนประจำอำเภอนั้น จากผลการศึกษาของเด็กสองคนนี้ปรากฏว่า อ้อยผู้พี่ขยันเรียนสนใจใฝ่ศึกษาได้คะแนนดีกว่าน้องหนึ่ง ซึ่งชอบเล่นมากกว่าเรียน นิสัยชอบงานช่าง เมื่อเป็นดังนี้แม่ก็ส่งลูกอ้อยมาอยู่กับน้า เรียนต่อในตัวเมืองเชียงใหม่ แล้วส่งเข้าเรียนต่อในกรุงเทพฯ สำเร็จจากโรงเรียนอาชีวะแห่งหนึ่ง แล้วเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐบาล ขณะนี้กำลังศึกษาในวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ส่วนลูกหนึ่งเมื่อชอบงานช่าง แม่ได้ฝากให้ทำงานอยู่กับน้า ฝึกหัดเป็นช่างแกะสลักเครื่องเงิน เครื่องถม เมื่อมีความชำนาญดีแล้ว น้าก็ส่งหลานชายหนึ่งไปควบคุมดูแลกิจการร้านที่ต่างจังหวัดเป็นการชั่วคราว นานๆหลายปีพี่น้องคู่นี้จะหาโอกาสมาพบกันที่บ้านในกรุงเทพฯ แล้วพากันไปเที่ยวต่างจังหวัดชายทะเลอย่างมีความสุขตามประสาวัยรุ่น
ในเวลาต่อมาชีวิตของลูกหนึ่งเริ่มจะอับแสงลง เนื่องจากเป็นมะเร็งในเม็ดเลือด เข้ารักษาตามโรงพยาบาลหลายแห่ง สุดท้ายไม่มีทางรักษาตัวได้เพราะเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายกระจายไปทั่วแล้ว เจ้าหน้าที่แนะนำให้นอนพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านจะเหมาะสมกว่า ลูกหนึ่งหมดอาลัยในชีวิต อนิจจามันไม่ใช่พรมลิขิต มันต้องเป็นกรรมลิขิตตัวเราเองอย่างแม่นมั่นหนีไม่พ้น เรากิดมาได้เพราะแรงกรรมสมดังพุทธานุสติที่ว่า “เกิดมาในเบื้องต้น มีการเปลี่ยนแปรในท่านกลางและมีการแตกสลายในที่สุด” เป็นสัจจธรรมจริงแท้แน่นอนทันสมัยอยู่เสมอ ท่านหลวงพ่อจรัญได้พูดย้ำอยู่เสมอว่า “ให้มีสติสัมปชัญญะ อย่างประมาท ให้สร้างกรรมดี ละกรรมชั่ว จงอโหสิกรรมให้เจ้ากรรมนายเวรด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งเป็นทางสายกลาง ผู้ปฏิบัติจะรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง”
มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ มีการเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย แต่ละคนไม่อยากแก่-เจ็บ-ตาย จำต้องดิ้นรน มียาดีที่ไหน มีอาจารย์เก่งๆที่ใด ก็จะต้องดั้นดันไปพบให้ถึงที่สุด ในทำนองเดียวกัน ลูกหนึ่งอยู่ในวัยรุ่นยังไม่ได้แต่งงาน แต่จะต้องตายเพราะโรคร้ายนี้ จำเป็นอยู่เองจะต้องปรึกษาหารือในหมู่ญาติเพื่อนฝูงเพื่อหาหนทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยจากโรคร้ายนี้ ทุกคนลงความเห็นว่าควรบรรพชาแก้บนอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรเป็นการต่ออายุไปในตัว ต่อมาพ่อแม่ญาติพี่น้องจึงได้ทำการบวชลูกหนึ่งที่วัดแห่งหนึ่ง จ.เชียงใหม่ เมื่อปี ๒๕๓๔ พระภิกษุหนึ่งได้ศึกษาธรรม มีจริยาวัตรเคร่งครัดในพระวินัย ตลอดจนปฏิบัติกรรมฐานตามพระอาจารย์ที่ได้สั่งสอนมา และฝึกภาคปฏิบัติการเดินธุดงค์ด้วย เคยเดินทางไปแคว้นสิบสองปันนา อาการของโรคมีแต่ทรงกับทรุดลงเรื่อยๆ อาจจะเป็นการปฏิบัติที่ไม่ถูกจังหวะตามขั้นตอน หรือขาดอาจารย์ที่มีความชำนาญควบคุมแนะนำการปฏิบัติให้ถูกต้อง หรืออดีตชาติได้ทำกรรมหนักไว้มาก จนสุดที่เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรมให้ได้เป็นการเตือนล่วงหน้าหมดสัญญาจะต้องทิ้งร่างจากโลกนี้ไปสู่ภพใหม่ก็น่าจะเป็นไปได้ อยู่มาวันหนึ่งพระภิกษุหนึ่งมีจิตร้อนรนคิดถึงโยมอุปัฎฐาก (อดีตเป็นร่างทรง) จึงเดินทางไปเยี่ยม (บวชชีแล้ว) ที่ จ.ลำพูน เมื่อมาถึงบ้านเกิดเป็นลมหน้ามืดล้มฟุบสลบลง โยมได้พิจราณารู้ว่าพระภิกษุหนึ่งได้กาลมรณภาพแล้ว เพื่อมิให้แม่ต้องเสียใจในการตายของลูกชาย จึงแก้ปัญหาโดยเชิญวิญญาณกุมารเข้าสิงร่างพระภิกษุรูปนี้ทันที แล้วได้เลี้ยงกุมารไว้ที่บ้านอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วมีสิ่งดลใจให้โยมนึกถึงแม่ของพระ ถ้าไม่บอกให้แม่เขารู้จะเกิดเรื่องราวใหญ่โตในวันข้างหน้าได้ จำต้องส่งข่าวให้แม่มารับศพพร้อมกุมารกลับคืนไปเลี้ยงยังบ้านของตนที่ตัวเมืองเชียงใหม่
แม่รู้สึกเศร้าโศกเสียงใจในการสูญเสียลูกชายเป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นการสิ้นเคราะห์เพราะรู้ตัวล่วงหน้าแล้วว่าไม่วันใดวันหนึ่งลูกต้องจากไปแน่ๆ ก็เตรียมจัดงานศพไว้แล้วแต่คราวนี้มันเกิดมีปัญหากับศพเพราะมีกุมารมาสิงร่างอยู่ จะทำฌาปนกิจได้อย่างไรกัน จำต้องข่มใจ ใจเย็นสู้เสือ เอาน้ำเย็นเข้าลูบไล้กุมารไปก่อน คงจะมีทางขอร้องให้ออกในวันข้างหน้า แม่ก็ยินดีรับศพพร้อมด้วยกุมารไปเลี้ยงที่บ้านโดยแยกอยู่ต่างหาก บ้านนี้มีแต่แม่คอยอยู่ดูแลปฏิบัติรับใช้ลูกกุมารเป็นอย่างดีเหมือนลูกคนหนึ่ง ซื้อของเก็บไว้ตู้เย็น มีนม ไก่สด อื่นๆ แช่ไว้ให้ลูกกุมารกิน คอยเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิดไม่คลาดเคลื่อนไปจากสายตาเลย แม่ได้ทนเลี้ยงกุมารมาหลายเดือน สังขารของตนเริ่มโรยราความชราเข้ามาแทนที่และยังไม่รู้ชะตากรรมว่ากุมารจะออกจากร่างเมื่อใด แทบจะเหลืออดเหลือทนอยู่แล้ว จึงโทรศัพท์ลงมาบอกลูกอ้อยเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังขอให้รับขึ้นไปด่วน หัวอกแม่จะแตกอยู่แล้วลูกอ้อยจึงลางานรีบเดินทางไปหาแม่ทันที ต่อมาลูกอ้อยก็ได้โทรศัพท์ทางไกลเล่าเรื่องชีวิตประจำวันของกุมารที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ให้คุณอาได้ทราบ และถ่ายทอดมาให้ข้าพเจ้าได้ทราบพอสรุปได้ดังนี้
- กุมารอยู่ในร่างพระภิกษุหนึ่ง (เอาจีวรออกแล้ว) สามารถ ยืน-เดิน-นั่ง-นอน เข้าส้วมถ่ายทุกข์เหมือนคนเวลาหิวจะเปิดตู้เย็นดื่มนม ทิ้งหัวนมเกลื่อนห้อง กินไก่สดๆ รูปร่างสูงใหญ่ (ลูกหนึ่งรูปร่างสูง) ผอมผิวหนังหุ้มกระดูก ตาโปนน่ากลัว น้ำเสียงพูดเป็นผู้ชาย พูดภาษาเหนือ
- กุมารปกติจะไม่ค่อยหลับนอน จะนอนในมุ้งที่กางไว้ สวมหมวกไหมพรม เวลาหิวจะเรียกแม่ๆ กุมารเคยพูดว่าไม่อยากจะอยู่ในร่างนี้เพราะหนักเกินไป จะออกก็ไม่ได้เนื่องด้วยพ่อ (ตายไปนานแล้ว เป็นชาวกะเหรี่ยง) บังคับไม่ให้ออกกุมานั่งบริกรรมคาถาป้องกันตัวของเขาเองได้
- แม่จะเอาผ้าชุบน้ำลูบตัวให้กุมาร เป็นผิวหนังเน่าเฟะ มีกลิ่นเหม็นสาบแบบซากศพจำต้องฝืนใจทำ
- กุมารไม่ยอมให้ใครถ่ายรูปตัว และโยมอุปัฏฐาก (ร่างทรง) ด้วย ใครจะทำอะไรรู้หมด เป็นที่หวาดกลัวของคนทั่วไป แต่ญาติใกล้ชิดเห็นเป็นเรื่องธรรมดา และกุมารก็ไม่ทำร้ายใคร ยังใบ้หวยให้คนจนได้ด้วย
- แต่ต้องการให้กุมารออกจากร่าง เพื่อจะฌาปนกิจศพลูกชายหนึ่ง แต่หมดปัญญาไม่รู้จะทำประการใด อาจารย์เก่งๆทางขับไล่ผีก็มรณภาพหรือตายไปหมดแล้ว
- พวกอาได้ขอร้องให้ข้าพเจ้าแจ้งข่าวขอความเมตตาจากหลวงพ่อจรัญช่วยเหลือในเรื่องนี้ด้วย
ข้าพเจ้าได้ดำเนินการตามข้อ ๖ แล้วเมื่อ ๑๑ ธ.ค. ๓๗ และได้แนะนำขั้นตอนวิธีปฏิบัติ เพื่อขอบารมีหลวงพ่อจรัญให้ลูกอ้อยทำพิธีที่บ้านเชียงใหม่นั้นด้วย
เรื่องที่ได้เล่ามานี้มันแปลกประหลาดแต่จริง เพราะมีพยานบุคคลรู้เห็นนำมาอ้างอิงได้ ก่อนเมื่อ ข้าพเจ้าขอเล่าเรื่องกุมารที่เคยได้ทราบมาเมื่อประมาณปี ๒๕๐๖ ข้าพเจ้าและพรรคพวกมีโอกาสได้เห็นหลวงพ่อหรุ่น วัดนวลจันทร์ในเขตมีนบุรี ได้รดน้ำมนต์ไล่กุมารที่สิงอยู่ในร่างหญิงสาวอายุประมาณ ๑๖ ปี (พ่อแม่นำมา) หลวงพ่อตักน้ำมนต์ในถังสาดไปที่ตัวหญิงสาวพร้อมขู่ตะคอก เอาไม้เรียวตีที่พื้นกระดานซักไซ้ให้กุมารบอก “ใครส่งมึงมาเข้าร่าง ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน” กุมารไม่ยอมบอกได้แต่ร้องโอยๆ “กูเจ็บ กูกลัวแล้ว แต่กูไม่บอก” “ทำไม่จึงไม่บอก” “ก็กูหิวนี่หว่า กูจะกินกล้วยนี่” “ถ้าข้าให้กิน มึงอิ่มก็ไม่บอกกู กูไม่ให้กิน” หลวงพ่อก็สาดน้ำมนต์เรื่อยๆไป เอาไม้เรียวตีพื้นกระดานไปด้วย ถังที่หนึ่งหมดก็มีถังที่ ๒-๓ ลูกศิษย์ลำเลียงมาให้เรื่อยๆ เห็นร่างเด็กเปียกปอนไปหมด ตัวสั่นเทิ้มอ่อนเอนไปมาดูแล้วน่าเวทนา ขืนทำต่อไปเด็กสาวจะเป็นอันตรายถึงตายได้ เพราะถูกกระทำมานานแล้วต้องค่อยๆไล่ไปเรื่อยๆ วันนั้นกุมารไม่ออกจากร่าง แต่หลวงพ่อเหนื่อยหอบเพราะอายุมากแล้ว หลวงพ่อพูดว่า “พวกหมอแขกมันเลี้ยงผี ปล่อยคุณไสย สำหรับรายนี้มีผู้ชายมาขอแต่งงานกับหญิงสาวคนนี้ แต่แม่เห็นว่าผู้ชายฐานะไม่ดี จึงตอบปฏิเสธไป มันจึงจ้างแขกเอากุมารเข้าร่างดังที่เห็นนี้แหละ” ข้าพเจ้าได้ฟังท่านพูดก็เลยถามหลวงพ่อว่า “เมื่อไล่กุมารออกไปแล้วมันไปอยู่ที่ไหนครับ” “มันก็อยู่ในวัด ขณะนี้เลี้ยงกุมารสองพี่น้องไว้ อาตมาใช้มันให้ไปเลี้ยงควายวัดตอนเย็นมันก็ต้อนควายกลับ กุมารก็มานอนศาลาที่เรานั่งอยู่นี่ ยังมีผีนั่งอยู่ที่เสาต้นนั้นเห็นไหมล่ะ” “ถ้าผมไปนั่งทับมันกุมารก็เอาผมแย่ซีครับ” “ไม่เป็นไรเขาเห็นเราจะนั่งทับ เขาก็หนีไปก่อน” พวกเราตั้งใจจะมาขอเลขเด็ดจากท่านกลับมากเจอแบบนี้เข้าเลยต้องรีบแจวกราบลา ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าไม่กล้าไปหาท่านอีกเลย พลวงพ่อหรุ่นเป็นพระเกจิอาจารย์มีชื่อเสียงโด่งดังมีญาณสูง เป็นศัตรูกับพวกหมอแขกที่รับจ้างทำเสน่ห์ปล่อยผีเข้าคนโน้นคนนี้ หลวงพ่อมีหน้าที่ไล่ผีช่วยคนเดือดร้อน คนจ้างทำก็มาต่อว่าหมอ ทางหมอแขกก็หาทางกำจัดหลวงพ่อทุกวิถีทาง เช่น เอาอาหารปนยาพิษใส่ปิ่นโตมาถวายเพล หลวงพ่อพิจารณาก่อนฉันก็ลอยลงน้ำไป บางทีหมอแขกมาอาเจียนหน้ากุฏิ ปล่อยคุณไสยท่านก็แก้ได้สารพัด ผลสุดท้ายหมอแขกยอมจำนนตั้งแต่นั้นมา ท่านเจ้าคุณพระราชสุทธิญาณมงคลได้เขียนเรื่องผีเข้าสิงในร่างของคนเป็น เป็นส่วนใหญ่ สมัยเดินธุดงค์เคยพบผีดิบในป่าเขาส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่ก่อนตายมีจิตอาฆาตเคียดแค้น จะดูดเลือด หากขุดเอาศพไปเผาวิญญาณร้ายก็จะหายไปเอง การจะค้นหาที่ฝังศพได้นั้นต้องเสี่ยงชีวิต ต้องมีคาถาอาคมป้องกันตัว มีวีธีการสะกดรอยค้นหาในยามค่ำคืน น่าตื่นเต้น ซึ่งคุณ ท.เลียงพิบูลย์ ได้เขียนไว้ในเรื่องที่ ๑๑๙ ความลับในดงดิบ (หนังสือกฎแห่งกรรมทำดีได้ดี-ทำชั่วได้ชั่ว) มีสาระสำคัญเรื่องผีดิบ ได้เล่าว่าผีดิบเป็นร่างครึ่งสัตว์ครึ่งคน มีหน้าตาน่ากลัวนิสัยดุร้าย หากินในยามค่ำคืน ชอบดูดเลือดคนและสัตว์ การปราบผีดิบต้องมีวิชาความรู้ด้านไสยศาสตร์ติดตามสะกดรอยจนรู้ที่อยู่ของมัน ขุดศพแล้วเผาเสีย ผีร้ายก็จะสิ้นฤทธิ์ระหว่างติดตาม มันจะต่อสู้ทุกรูปแบบเพื่อปกป้องปิดบังอำพรางที่อยู่ของมัน จะต้องใช้ธนูเพลิงกายสิทธิ์ (พระธุดงค์ญาณแก่กล้ามอบให้) ยิงไปเป็นแนวทางเดินตามลูกธนูนั้นไป เมื่อได้ยิงลูกธนูดอกสุดท้ายไปตก ณ ที่ใดก็ช่วยกันขุดค้นหาจนกว่าจะพบศพ (เล็บยาว-ผมยาว-ไม่เน่าเปื่อย) เอาขึ้นเผาทำลายซากศพนั้น มันก็จะหมดฤทธิ์ ถ้ายังค้นหาได้มันก็ยังแสดงฤทธิ์เดชทำลายล้างต่อไป ไม่มีที่จบสิ้น
สำหรับกุมารรายนี้ผิดกับกุมารธรรมดา สามารถสิงสู่อยู่ในซากศพคนอื่น สามารถบังคับสังขารที่เน่าเปื่อย เคลื่อนไหวได้ พูดได้ กินได้ ขับถ่ายได้ มีสภาพร่างกายกึ่งผีดิบ ยังคงอยู่ทรมารแม่อีกนานเท่าใดไม่มีใครจะหยั่งรู้ได้ ถ้ากุมารเกิดจะออกจากร่างนี้ และจะไปสิงอยู่ในร่างไหนต่อ มันเกิดมีปัญหาให้น่าขบคิดสืบต่อเนื่องไม่มีที่จะสิ้นสุด เพราะยังมีอาจารย์และพ่อของกุมารคอยกำกับกุมารนี้อยู่ เปรียบเสมือนหอยเสฉวน มันอาศัยเปลือกหอยที่ตายแล้วเข้าอยู่ได้ตามใจชอบ เมื่อ ๑๗ ธ.ค. ๓๗ ลูกอ้อยกลับลงมาจากบ้านเชียงใหม่ข้าพเจ้าได้ซักถาม อยากรู้ความคืบหน้าของลูกหนึ่งเป็นอย่างไร จึงได้รับทราบจากลูกอ้อย (อย่างไรค่อยจะเต็มใจนัก) เพียงรู้ว่าได้นิมนต์พระมาอัญเชิญวิญญาณกุมารให้ไปอยู่ที่อื่นคนป่วยอาการดีขึ้นทำงานได้อย่างคนธรรมดา แต่อาการของโรคเดิมยังไม่หาย และได้ปฏิเสธเรื่องราวที่กล่าวในครั้งแรกๆในบางเรื่อง ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าลูกกอ้อยยังมีความหวดกลัวกุมารจะทำอันตรายได้จึงได้พูดผิดเพี้ยน ก่อให้เกิดการสับสนไม่ตรงกันในรายละเอียดปลีกย่อย แต่เค้าโครงเดิมยังไม่เปลี่ยนแปลง เพื่อให้ได้ทราบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเรียนถามท่านเจ้าคุณพระราชสุทธิญาณมงคล ในงานพระราชทานเพลิงศพคหบดีท่านหนึ่งที่วัดบางลี่ อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี เมื่อ ๑๘ ธ.ค. ๓๗ พระคุณเจ้าได้พูดว่า “ได้รับโทรพิมพ์แล้ว พิจารณาแล้วเห็นว่า กุมารสิงอยู่ในร่างจริง ได้แผ่ส่วนกุศลให้แล้วในวันนั้น ผู้ป่วยเป็นอย่างไรบ้าง ในที่สุดก็ต้องเสียชีวิต ข่าวสารที่ได้มายังสับสนที่เท็จจริงปะปนกัน จะต้องตรวจดูให้แน่นอนเสียก่อน” ต่อจากนั้นท่านหลวงพ่อได้บรรยายธรรมเป็นเวลา ๒๕ นาที แล้วเดินทางกลับวัดอัมพวันเมื่อเสร็จพิธีพระราชทานเพลิงศพ ข้าพเจ้าก็เดินทางกลับบ้าน วันรุ่งขึ้นจึงมีโอกาสเล่าเรื่องให้ญาติๆได้ทราบความเป็นไป ในขณะเดียวกันพวกญาติได้ชี้แจงข้อเท็จจริงว่าลูกหนึ่งได้เสียชีวิตนานแล้ว กุมารยังอยู่อย่าได้สนใจช่วยเหลือเขาเลยเพราะญาติพี่น้องของเขาหลงงมงาย มีส่วนเกี่ยวข้องผีเจ้าเข้าทรงเป็นเดิมพันอยู่แล้ว ในเวลาต่อมากุมารได้ขอร้องให้แม่พาเขาไปยังบ้านเดิมที่อำเภอเชียงดาว พวกน้าได้จัดรถพากุมารไปตามความปรารถนาเมื่อ ๒๔ ธ.ค ๓๗ เวลา ๐๓.๐๐ น. กุมารได้ออกจากร่างไป แม่จึงจัดการฌาปนกิจลูกหนึ่ง ณ วัดแห่งหนึ่ง ทุกอย่างสำเร็จสมประสงค์ดังแม่ได้ตั้งใจไว้ เป็นการสิ้นเวรสิ้นกรรมกันเสียที
ข้าพเจ้านึกถึงการยอมตัวเป็นร่างทรงได้นั้น จะต้องเป็นบุคคลมีศรัทธา มีจิตอ่อน วิญญาณยอมรับและมีการกระทำพิธียกครูมอบให้ตามระเบียบของเขา วิญญาณที่เข้าประทับมีทั้งของจริงและของปลอม เรื่องอย่างนี้พระพุทธองค์ไม่สงเสริมสนับสนุน อย่างได้หลงงมงายจะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ จะไม่มีของดีติดตัวไปในภพหน้า จะต้องมาเสียใจในภายหลังเพราะกาลเวลาไม่ย้อนคืนกลับมาให้แก้ตัวได้อีก คนเราเกิดมาต้องรักษาสัจจะ พูดจริง ทำจริง จะบังเกิดผล ดีแก่ผู้ปฏิบัติในด้านคลาดแคล้วปลอดภัย ซึ่งหลวงพ่อจรัญได้ยกตัวอย่างไว้ในหัวข้อเรื่อง อานิสงส์ของการมีสัจจะ
สุดท้ายนี้ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลที่ได้บำเพ็ญมาแล้วให้กับดวงวิญญาณลูกหนึ่งและกุมาร จงไปสู่สุคติในสัมปรายภพ และให้แม่หนึ่งจงพ้นทุกข์สำเร็จตามที่ปรารถนา และขอนอบน้อมคารวะหลวงพ่อจริญไว้เหนือเกล้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องแผ่พลังจิตอุทิสส่วนกุศลให้วิญญาณที่ล่วงลับไปสู่แดนสุขาวดีชั่วนิรันดร อย่างได้มีเวรมีกรรมต่อกันและกันเลย จงโปรดอโหสิกรรมต่อกันตลอดไป