ปัญญาในตัว
โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
๑๖ เมษายน ๒๕๓๙
เจริญสุขท่านผู้ใคร่ธรรมสัมมาปฏิบัติ ทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ วันนี้เป็นวันพระเราก็แสวงหาพระ จิตใจจะได้ สะอาด สว่าง สงบ ปรารถธรรมได้ เราทำได้ประการนี้ได้มาจากการเจริญพระกรรมฐาน
คนที่จะมีปัญญาต้องอยู่ด้วยความสงบ อยู่ด้วยความเรียบร้อย อยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ ทาน ศีล ภาวนาของเราจะได้ครบ ถ้าท่านไม่มีทาน ขาดเมตตา จิตของท่านจะเหลวแหลกแตกลาญ จะขุ่นมัว หาที่พึ่งไม่ได้ ไม่มีอะไรสว่างในใจเหมือนยืนอยู่กลางป่า ไม่ทราบว่าจะเกิดเหตุอันใด ถ้าท่านมีแสงสว่าง คือ ปัญญา จะได้แก้ปัญหาด้วยจิตสงบ
พระพุทธเจ้าท่านหาปัญญาในตัวของท่าน ท่านเสด็จออกบรรพชาถึง ๖ พรรษา กว่าจะได้ของดีมาสอนชาวโลกให้พ้นทุกข์ คือปัญญาตัวนี้ ท่านทั้งหลายที่มาเจริญกรรมฐานก็ต้องการหาปัญญาให้เกิดขึ้นในตัวเอง
ผู้ที่มีปัญญาในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์องค์เจ้าเรียบร้อยหมด ปฏิบัติกิจวัตรอย่างเคร่งครัด และถือสัจจะเหมือนอย่างท่านรับกรรมฐาน รับศีล ข้าพเจ้าขอปฏิญาณตนต่อคุณพระศรีรัตนตรัยจะเจริญกรรมฐานด้วยความจริงใจของข้าพเจ้า ถ้าเสียสัจจะที่ขอ ท่านจะเสียหายจะไม่ได้ผล ไม่ได้อานิสงส์แต่ประการใด
ท่านสาธุชนทั้งหลาย เราหาที่พึ่งกันไม่ได้แล้ว นอกจากคุณพระศรีรัตนตรัยที่จะเป็นที่พึ่งของเราได้ พึ่งบิดามารดาที่ท่านเลี้ยงเรามา เรียนหนังสือหาความรู้ก็ต้องพึ่งครูอาจารย์ทำงานเจริญได้ตำแหน่งหน้าที่ต้องพึ่งผู้บังคับบัญชาที่สูงได้อุ้มชูเราขึ้นมา ถ้าเราไร้บุญขาดวาสนาแล้วใครจะมาอุ้มชูเราไม่มีใครช่วยเราแน่ ตัวใครตัวมันต้องช่วยตัวเอง ต้องสร้างปัญญาในตัว
ท่านทั้งหลายเอ๋ย ท่านมีปัญญาในตัวกันแล้วหรือยังปัญญาทางโลกที่เรียนหนังสือกันมาเป็นปัญญานอกตัว แก้ไขปัญหาไม่ได้ ปัญญาในตัวนี้ ได้มาจากการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เจริญสติ เจริญสมาธิ เจริญกุศลภาวนาให้เสมอต้นเสมอปลาย มีศีล สมาธิ ปัญญาไว้ในจิตใจทำให้ชีวิตของท่านมีค่า
การเจริญพระกรรมฐานไม่ใช่ง่ายและไม่ใช่ยากนัก ถ้าท่านตั้งใจจริงแล้วได้ผล ทำด้วยความตั้งใจ อย่างท้อแท้ ต้องมีขันติ ความอดทน ต้องสู้ตาย ถ้าท่านสู้ตายเมื่อใดท่านได้ผลเมื่อนั้น ถ้าท่านไม่สู้ความรู้ก็จะเป็นหมัน ชีวิตท่านจะไร้สาระไม่มีประโยชน์โสตถิผลแต่ประการใด
ท่านทั้งหลายตั้งใจมาเจริญพระกรรมฐาน ตั้งสัจจะอธิษฐานจิต ปฏิญาณตนต่อพระรัตนตรัย และครูอาจารย์ ดังที่กล่าวไปแล้วนั้นจริงหรือไม่ประการใด ถ้าขาดการจริงใจในการปฏิบัติหน้าที่อันนี้ ท่านจะไม่ได้อะไรติดตัวไปแน่นอน ดีแต่คุยกัน พูดกัน แต่ไม่ทำ พูดแต่เรื่องไร้สาระขาดเหตุผลจะทำตัวให้อับจน ไม่เป็นคนรวย ไม่เป็นคนสวย ไม่เป็นคนดีและไม่เป็นคนมีปัญญาด้วย
คนเราจะดีชั่วประการใดดูที่ข้อปฏิบัติของเขา ไม่ต้องไปดูที่รูปร่างสวย พูดดี พูดเพราะเท่านั้นนะ ดูวิธีการและดูนโยบายของเขา เขาปฏิบัติงานมาดีไหม เขาตั้งตนไว้ที่ชอบหรือไม่ มีกิริยามารยาทหรือไม่ประการใด พูดจริงหรือไม่แล้วตั้งอยู่ในความดีความมีปัญญาแล้ว ท่านผู้นั้นจะเป็นคนดีกับเขาได้ในสังคมนั้น
การเจริญพระกรรมฐานไม่ค่อยจะทำตามครูสอน ยืนหนอยังทำไม่ได้ คนมามากด้วยกัน อาตมาหวั่นใจเหลือเกินว่า ผู้ปฏิบัติจะไม่เข้าใจเมื่อไม่เข้าใจแล้ว จะทำอะไรไม่ได้เลยดีไม่ได้ การไม่เข้าใจวิธีปฏิบัติไม่ให้ประโยชน์แก่ตัวท่านเลยท่านมาแล้วขอให้ท่านได้ประโยชน์ไป จะได้นำไปทำที่บ้าน
บางคนรู้มากแต่ขาดความรู้จริง อาตมาสังเกตหลายคน ทำเหยาะๆ แหยะๆ เสียเวลาจริงๆ น่าจะสร้างประโยชน์จริงจังดังเขาว่าบ้างนะ ยืนหนอก็ยังทำไม่ได้ อย่าไปดูที่ลมหายใจ เดี๋ยวมันจะหายใจเป็นจังหวะของมันเองโดยอัตโนมัติ ยืน…ตั้งแต่ศีรษะถึงสะดือ แล้วก็ลง หนอ…ลงไปปลายเท้านั้น แล้วสำรวมจากปลายเท้าขึ้นมา ยืน…ถึงสะดือ แล้วก็ หนอ…ขึ้นไปถึงศีรษะ ยืนหลับตามนึกมโนภาพตามจิตไป
อาตมาพูดว่า หลับตานึกมโนภาพตามไป เขาไม่เข้าใจกัน คำว่า มโนภาพนี้ก็ดูภาพสังเกตตัวเราว่าหลับตา แล้วยืนอยู่อย่างนี้ นี่ศีรษะดูลงไปถึงปลายเท้า ทำไมทำไม่ได้ ยืน… หนอ… แล้วสำรวจติจากปลายเท้าขึ้นมาก ยืน… หนอ…ถึงสะดืออาจถอนหายใจก็ได้ แต่ไม่ต้องไปดูลมหายใจ ง่ายที่สุดยากแท้…แต่เราไม่เคย มันถึงยากพอฝึกเข้าบ่อยๆ เคยเข้ามันก็ง่ายแท้ มันไม่ยากเลย ตรงนี้ซิน่าคิดเหลือเกิน
แต่ท่านจะเอาผลเลอเลิศ จะเอาญาณ ๑๖ บ้าง บางคนบอกว่าได้ญาณ ๑๖ แต่ยืนหนอยังทำไม่ได้ น่าเสียดายนะยืนหนอ ๕ ครั้ง ตจปัญจกกรรมฐาน ตีความดังนี้ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตโจ ทันตา นขา โลม เกสา เบื้องต่ำปลาผมลงไป เบื้องบนปลายเท้าขึ้นมา ชัดเจนแล้ว
พระพุทธเจ้าสอนว่า กรรมฐานเป็นหัวใจของชาวโลกที่จะต้องแก้ไขปัญหา ถ้าใครไม่มีกรรมฐานจิตใจจะเลเพลาดพาด หละหลวมเหลาะแหละเหลวไหล จิตไม่มั่นคง จะแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ โยมฟังแล้วนำไปคิด อย่างเพิ่งเชื่ออาตมานะอาตมาไปได้มาจากหลวงพ่อในป่าว่า ยืนหนอ ๕ ครั้งนี่คือ ตจปัญจกกรรมฐานนั่นเอง
ลิ้นปี่อยู่กึ่งกลางระหว่างจมูกถึงสะดือ คือขั้วแบตเตอรี่ของเราที่จะชาร์ทไฟเข้าหม้อ ตอนอาตมาคอหักได้ตำราเพิ่มขึ้นเยอะเลย มันจะมีความคิด มีสติอยู่ที่ลิ้นปี่ เรียกว่าเจตสิก อาศัยหทัยเดียวกับจิต วิธีแก้ปัญหาอยู่ตรงนี้ ตอนอาตมาคอหักมันคิดได้ตรงลิ้นปี่นี่นะ
บางคนไม่ทำตาม คิดหนอไปอยู่ที่สมอง ไม่ถูกนะเสียใจหนอไปกำหนดที่หัวใจ ก็ไม่ถูกอีก อาตมาจะถามโยมว่า หัวใจของเรามีหน้าที่ทำอะไร มันสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกาย มันเป็นจิตที่ไหน ถ้าเป็นติตอยู่ที่หัวใจเมื่อเราเปลี่ยนหัวใจก็กลายเป็นเจ้าของหัวใจไปเสียซิ
จิตไม่มีตัวตน จิตเป็นธรรมชาติต้องคิดอ่านอารมณ์รับรู้อารมณ์ไว้ได้นานเหมือนเทปบันทึกเสียง ลมหายใจเข้าออกนี่แหละตัวอารมณ์ละ ถ้าอารมณ์ร้อน อารมณ์ไม่ดี มันจะหายใจสั้นและโมโหเก่ง คนประเภทนี้ ถ้าหายใจช้าๆ จะไม่โมโห อารมณ์ร้อนจะเย็นลงไป ตรงนี้น่าแก้กันนะแต่ไม่ยอมแก้กัน
พองหนอ ยุบหนอนี่ก็ไม่ยาก หายใจให้มันยาวๆ พองหนอยาวๆ ยุบหนอยาวๆ บางคนกำหนดไม่ทันเลยไม่ทำตามไปกำหนด พองยุบ พองยุบ หรือว่าของเก่าไปเลย บ้างก็ว่า พุทโธ อรหัง สุคโต อิติปิ โส ภควา เลยไม่ได้อะไรกัน นี่แหละจึงไม่ได้ผลดังที่กล่าวมา
ตอนนี้อาตมาสอนเอง มีแค่ ๙ คน ๑๐ คน เดินจงกรมกันเงียบไม่ได้คุยกันเลย ภายใน ๗ วัน ได้ผลแน่ ขอให้ทำจริงๆ ถ้าเรามาคุย มาสาธยายกันมันจะไม่ได้ผลอะไรเลย นี่แหละใหม่ๆ ขอให้ทำอย่างนี้ เอาสติตามจิตไปถึงปลายเท้า ใหม่ๆก็ ยืน…อาจจะถอนหายใจตรงสะดือนี่แล้ว หนอ…จากสะดือลงไปถึงปลายเท้า พอทำได้แล้วไม่ต้องมีหยุด สติดีจิตดีแล้ว มันจะพอกัน ยืน… หนอ…ไปเลย ถ้าเข้าขั้นมันจะเข้าอัสสาสะ ปัสสาสะ มันอัดลมนะ ยืน…หนอ… ยืน…หนอ… หายใจเข้า หายใจออก อัสสาสะ ปัสสาสะ แต่จะไม่อธิบายสูงเดี๋ยวโยมจะเขว
ยืน…ถึงสะดือแล้วมันจะถอนหายใจอัตโนมัติ หนอ…ลงไปปลายเท้า จากปลายเท้า ยืน…ถึงสะดือ หนอ…คนละครึ่ง พอง…ก็เหมือนกันคนละครึ่งก่อน หนอ…ยุบ…หนอ…คนละครึ่ง ถ้าทำไม่ได้แบ่ง ๔ ส่วน พอง ๑ ส่วน หนอ ๓ ส่วน ได้แน่ หายใจให้ยาวไว้ พอง…หนอ… ถ้าทำได้ก็พองครึ่งหนอครึ่ง ถ้าเราพองเต็มที่แล้วจะหนอได้อย่างไร พอจะหนอแล้วมันก็ยุบ ยุบ…ยังไม่ทันจะหนอ มันก็พองแล้ว นี่นะจึงไม่ได้ผลขอฝากไว้ นี่พูดให้ชัดเจนแล้ว
กำหนดเวทนาก็ยังทำกันไม่ได้ เวทนาเกิดขึ้นก็กำหนดปวดหนอๆๆๆ ตายให้มันตายไป อย่าไปพลิกมันซิ ดูซิจะตายไหม มันไม่ตายหรอก เราจะได้รู้สภาพของความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันปวดด้วยกันทุกคน ไม่มีใครว่าไม่ปวด ไม่ใช่เหล็กไหล มันเป็นเนื้อหนังมังสัง มันอาศัยรูปเกิด และจิตปรุงแต่ง สังขารปรุงแต่งขึ้นมา มันก็ต้องปวดเป็นธรรมดา
โยมรู้ไหมอาตมานั่งมานานยังไม่ได้พลิกเลย ปวดไหม? มันก็ปวดด้วยกันทั้งนั้นแหละ ตั้งสติไว้ ถ้าเราฝึกไว้ดีเวลาเจ็บระทวยป่วยไข่จะเป็นโรคอะไรก็ตาม มันจะได้ทุเลาเบาบางจะได้ตั้งสติไว้ไม่โวยวาย ยังไงก็ต้องตั้งสติไว้ตลอดรายการ จะจากโลกนี้ไปก็จะไปสู่สุคติ ต้องมีขันติความอดทนไว้ก่อน บางทีก็ไม่เข้าใจในเรื่องนี้กันมาก
การเจริญกรรมฐานนี้ ถ้าเสียใจก็กำหนดที่ลิ้นปี่ เสียใจหนอๆๆๆ ถ้าปล่อยความเสียใจดองไว้ในสันดานจะเกินสนิมขุม เกิดกาฝากขึ้น ตัวเราก็จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ต้นไม้มีกาฝากมันจะหงอย มันจะไม่งาม มันจะร่วงโรยไปตามสภาพเพราะกาฝากมันมากนั้น บางคนก็ไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้แล้วจะเอาอะไรกับการที่จะอดทน อดกลั้น อดออมไว้ก็หามิได้
การเจริญกรรมฐานต้องการให้เรามีสติดี มีสัมปชัญญะให้เราควบคุมจิตไว้ให้ได้ มีอะไรก็ตั้งสติไว้ อาตมาพูดมาตลอดไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครนำไปแก้ปัญหา การแก้ปัญหาในตัวเองก็แก้ตรงนั้น ใช้กรรมฐาน ใช้การเดินจงกรม การเดินจงกรมทำให้เราอดทนต่อการเดินทางไกลและบำเพ็ญเพียร โรคภัยไข้เจ็บก็น้อย อาหารก็ย่อยง่าย อาพาธก็น้อยลงไป สมาธิจะตั้งได้นานกว่านั่งสมาธิ สมาธิที่เกิดจากการนั่งกับเดินน่ะ เดินได้ผลมากกว่า มันจะได้เปลี่ยนอิริยาบพของการ เดิน นั่ง นอน แล้วก็กำหนดตามที่อาตมากล่าว ยืน เดิน นั่ง นอน กำหนดตั้งสติไว้ที่ท้อง พองหนอ ยุบหนอ ไปจนกว่าจะหลับ ตั้งสติไว้ ถ้าทำได้อย่างนี้แล้วมันจะมีจิตสำนึกขึ้นมาว่าจะตื่นตอนไหน ก็ตื่นได้ ไม่ต้องปลุกนาฬิกาด้วย คนที่มีสติดี มีปํญญาจะมีองค์คุณของเขาเถิดขึ้นจากกรรมฐาน
ถ้าเสียใจก็กำหนด ร้อยครั้ง พันครั้งที่ลิ้นปี่นี่ ไม่ใช่ที่หัวใจอย่างที่เขาสอนกันนะ แล้วคิดให้เจ็บไปหมดที่หัวสมองคิดตรงที่ลิ้นปี่นี่ หายใจยาวๆ หายใจลึกๆ เดี๋ยวจะคิดออกสอนไม่เหมือนกันนะ อาตมาได้จารถชนคอหัก และได้จากหลวงพ่อในป่าสอนมา ใช้ได้ผลมาก ท่านสอนก่อนรถชนรู้ล่วงหน้า ๖ เดือนว่าจะ ต้องตาย เตรียมการล่วงหน้าไว้ได้ดีมาก มีประโยชน์แก่ตัวท่านเองนะ อย่าระเริงหลงไปหาสนิมกาฝาก มาไว้ในจิตใจอีกต่อไปเลย ต้นไม้จะเฉาพราะกาฝากคนเราจะเฉาเพราะขาดสติปัญญา มันจะไม่รุ่งโรจน์แต่ประการใด อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ
การเจริญพระกรรมฐาน พระพุทธเจ้าท่านใช้ปัญญาในตัวมาแก้ปัญหา ปัญญานอกตัวแก้ไขปัญหาไม่ได้เลย ความจริงของชีวิตที่จะต้องแก้ไขทุกทิศทุกทางเป็นสิ่งสำคัญมากควรทำให้ได้แต่ละอย่างไป เวทนาเกิดขึ้นก็กำหนดให้รู้ว่าเป็นเวทนาเท่านั้น จิตจะได้ไม่พะวงสงกาจิตจะได้ไม่เป็นอุปาทานไปยึดเอาไว้ ถ้าจิตไม่ยึดเมื่อไรแล้วมันจะหายไปเอง เพราะว่ามันปวดที่ตรงไหน จิตจะไปปวดด้วย ถ้าจิตไม่ไปสนใจกับการปวด มันจะมากเท่าไรสติจะรู้ได้ จิตจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวจิตจะไม่เข้าไปพัวพัน และไม่มีอุปาทานเกิดขึ้น ตรงนี้ซิต้องการนะ
บางทีที่ปวดน่ะ เพราะลมไม่เดินจะเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ตั้งสติกำหนดไปเรื่อยๆ ก็หายได้เหมือนกัน ถ้าร่างกายสังขารมันตาย ลมไม่เดิน ถ้าไม่ปวดจะไม่หาย ถ้าปวดขึ้นมาตรงไหนจะหาย ลมจะเดิน หนักเขามันจะปวดรวดร้าวไปทั่วสกนธ์กาย เดี๋ยวก็หาย
ขอฝากญาติโยมไว้ เสียใจกำหนด คิดอะไรไม่ออกก็ตั้งสติกำหนด นี่คือปัญญาในตัว มันจะแก้ไขปัญหาได้ในโลกนี้แต่ไม่เคยกำหนดกันเลย ปัญญานอกตัวน่ะมันแก้ไขปัญหาองค์คุณองค์การของโบราณที่เกิดจากการเจริญกรรมฐานมีดังต่อไปนี้
- ๑. เกิดความรู้
- ๒. เกิดความคิด
- ๓. เกิดความตั้งใจจริง
- ๔. เกิดประสบการณ์
ปัญญาจะเกิดขึ้นในตัวแน่นอนที่สุด คือ ประสบการณ์ของตัวเอง ท่านจะมีความรู้อยู่ ๓ ระดับ จากการปฏิบัติธรรมคือ
- ๑. ความรู้จำมาจาการเรียน การเรียนวิชาจัดเป็นต้นทุนของคนทุกคนต้องเรียนวิชาการทั้งนั้น ถ้าคนไหนไม่เรียนจะไม่มีต้นทุน จะขาดบุญกุศลในอานาคต
- ๒. ความรู้แจ้งมาจากการศึกษา มีผลทำให้คนทำงานตามหน้าที่ได้ดี
- ๓. ความรู้จริงมาจาการปฏิบัติกรรมฐาน มีผลทำให้คนครองตนอยู่ด้วยความสำเร็จ มีปัญญาในตัวแก้ไขปัญหาจนสำเร็จ
โยมลงไปคิดดูนะว่ามันจะถูกต้องไหม ต้นทุนของคนอยู่ตรงไหนและทำตามหน้าที่การงานอยู่ตรงไหน ความจริงของชีวิตอยู่อย่างไร ถ้าขาดการเจิรญพระกรรมฐานที่ถูกต้องแล้วจริงแล้ว โยมจะไม่ได้รับความจริงมีผลครองตนให้สำเร็จเลย ตนจะไม่มีความสำเร็จ จนกระทั่งแก่ตายก็เอาดีไม่ได้ตรงนี้เป็นหลัก ๓ ประการ
การปฏิบัติธรรมทำให้เรามีโอกาสบริหารตัวเอง บริหารกายให้เข้มแข็ง บริหารจิตให้อดทน บริหารเวลาให้มีประโยชน์ทำงานเสร็จตามกำหนด การงานที่ดีคืออะไร ถ้าท่านทำกรรมฐานได้จริงจะตอบได้ มันจะมีหลักดังนี้
- ๑ อตรงต่อหน้าที่
- ๒. ความมีธรรมต่อคนอื่น
- ๓. ความจงรักภักดีต่อท่านผู้ใหญ่
- ๔. ความกตัญญูเวทีต่อท่านมีพระคุณ
จะออกมาในรูปแบบ ๔ ประการนี้ ชัดเจนมากไม่ต้องไปหาเรียนที่ไหนแล้ว ถ้าท่านปฏิบัติกรรมฐานได้จะบริหารชีวิตท่านได้ดีมาก จะซื่อตรงต่อหน้าที่เสมอ
การปฏิบัติธรรมจะเจริญยศ เจริญศักดิ์ เจริญชื่อเสียงและความรัก มันจะออกมาเป็นอานิสงส์ยุคปัจจุบันนี้แน่นอนมันจะออกมาอีกดังต่อไปนี้
- ๑. ไม่มีขี้เกียจ คนที่เจริญกรรมฐานแล้วขี้เกียจไม่อยากเอางานเอาการ ไม่ร่วมงานกับใครทั้งนั้น อาตมาไม่เชื่อว่าท่านทำกรรมฐานได้ ไม่มีความขยันไม่เชื่อแน่ ขี้เกียจตลอดรายการไม่ใช่นักกรรมฐาน นักกรรมฐานจะขยันและริเริ่มงานเสมอ จะออกหน้าเขาเสมอ จะเอางานเอาการเป็นชีวิตของนักปฏิบัติกรรมฐาน
- ๒. สติประจำ ไม่ขาดสติแม้แต่นาทีเดียว เพราะเรากำหนดจิตอยู่ตลอดเวลา
- ๓. มีการงานสะอาด การงานไม่สกปรก ทำอะไรไม่ลามกในจิตใจ
- ๔. มีปกติใคร่ครวญแล้วจึงทำ คือ สัมปชัญญะ จะทำอะไรก็ใคร่ครวญแล้วใคร่ครวญอีก เรียกว่า คิดหนอๆๆ แล้วคอยทำ ทำแล้วท่านจะไม่ผิดพลาดแต่ประการใด
- ๕. มีความสังวรสำรวมทุกประการ สำรวม แปลว่ามีสติดีทุกอิริยาบถ จะหยิบก็กำหนด จะเห็นก็กำหนด ได้ยินเสียงก็กำหนด ได้กลิ่นอะไรก็กำหนด รับรสเปรี้ยวหวานมันเค็มก็กำหนด กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งก็กำหนด นี่แหละมีความสำรวม จะสำรวมตัวเอง สังวรและระวังตลอดรายการดีแน่ๆ
- ๖. มีการเลี้ยงชีพโดยชอบธรรม อาชีพชอบธรรมเป็นอย่างไร โยมต้องไม่มีอาชีพคดโกง อาชีพของงานสุจริตอยุติธรรมเสมอ ถ้าเป็นพระก็ต้องมีอาชีพชอบธรรม คือ อาชีพบำเพ็ญกุศล ช่วยเหลือประชาชน อาชีพของพระสงฆ์ คือ ปัจจัยสี่ ได้จากโยมอุปถัมภ์ อุปัฏฐากเท่านั้น ไม่ต้องออกไปทำไร่ไถนาหรืออาชีพอื่น
- ๗. ไม่มีความประมาท
นี่แหละหลัก ๗ ประการ สำหรับผู้ทำกรรมฐานต้องได้แน่ ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่มีหลักนี้แน่นอน และตัวเองจะมีธรรมะตลอดชีวิต จะมีขันติความอดทน มีความขยัน มีความเอ็นดูและเมตตา มีความระมัดระวัง มีความเผื่อแผ่ มีการเสียสละแบ่งปันตลอดรายการ หมั่นตรวจตราพบสิ่งที่ไม่ดีก็กล้าแก้ไขปล่อยไว้ไม่ได้มันจะเสียหาย มันจะเกิดมาอย่างนี้เป็นต้น
คนที่มีกรรมฐานดีจะรู้จักกาลเทศะ รู้กิจจะลักษณะแน่นอนจะกล่าวแต่วาจาที่ดี ดังนี้
- ๑. กล่าวในกาลที่ควรกล่าว
- ๒. มีสัจจะความจริง
- ๓. กล่าวแต่สิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์
- ๔. วาจาสุภาพอ่อนโยน
- ๕. กล่าวแต่สิ่งที่มีความรู้เมตตาต่อกัน
จะออกมาอย่างนี้ชัดเจนถ้าท่านทำได้นะ การพูดที่ดี คือพูดอย่างไรหรือ ถามหลายคนมาแล้วตอบไม่ถูก การพูดที่ดี เป็นดังนี้
- ๑. พูดในสิ่งที่เป็นความจริง
- ๒. พูดนุ่มนวล
- ๓. พูดสมานสามัคคี
- ๔. พูดแต่สิ่งที่มีประโยชน์ต่อกัน จะไม่เสียหายแต่ประการใด
คนพูดชั่วน่ะพูดอย่างไร ถ้าทำกรรมฐานจะรู้ตัวว่าพูดชั่ว คือ พูดในสิ่งต่อไปนี้
- ๑. พูดผิดเวลา
- ๒. พูดด้วยน้ำใจที่เหี้ยมโหดทารุณ
- ๓. พูดเท็จ
- ๔. พูดให้แตกความสามัคคี
- ๕. พูดหยาบคายมาก
- ๖. พูดเหลวไหลไร้สาระ
- ๗. พูดส่อเสียด
- ๘. พูดไม่เป็นธรรม
การพูด ๘ ประการนี้ ผู้เจริญกรรมฐานจะต้องรู้แน่ว่าเป็นการพูดชั่ว พูดเอาตัวไม่รอด มันจะออกมาอย่างนี้ชัดเจนแล้ว
ขออนุโมทนาสาธุแก่ท่านทั้งหลาย การเจริญพระกรรมฐานจะมีบทความประจำชีวิตอย่างนี้จริงๆ คนที่ธรรมะจะมีแต่ซื่อสัตย์ สุจริต เป็นนิจ ขยัน ประหยัด ให้มั่น หันหลังให้อบาย ไม่มีทางไปสู่อบายอีกต่อไป มีประโยชน์มากแก่ผู้เจริญกรรมฐานได้จริงนะ
ไม่ใช่มาทำเหยาะๆ แหยะๆ แล้วไปเสียดสีคนโน้นเสียดสีคนนี้ ว่าร้ายป้ายสีคนโน้นคนนี้เป็นต้น มันจะเสียความสามัคคี ผู้ปฏิบัติถ้าอิจฉาริษยา ผูกพยาบาทคาดพยาเวรใครมันจะออกมา ๕ ประการคือ
- ๑. เป็นสาเหตุให้แตกความสามัคคีกัน
- ๒. เป็นอุปสรรคในการประสารงานที่ดี
- ๓. เป็นที่เสียขวัญกำลังใจต่อกัน
- ๔. สร้างศัตรูให้ตัวเอง
- ๕. ขาดความจริงใจต่อเพื่อนร่วมงาน
ถ้าคนปฏิบัติธรรมจะไม่เป็นอย่างนั้นนะ จะมีแต่ความสามัคคี พูดดีตลอดรายการ ไม่พูดชั่วอีกต่อไปแล้ว พูดสรุปในธรรมสั้นๆ คือ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ มีแต่อ่อนน้อมถ่อมตนตลอดรายการจะเคารพผู้ใหญ่เสมอ ไปไหนอ่อนน้อมถ่อมตนไปหมด จะมีการเคารพบูชาท่านผู้หลักผู้ใหญ่ มีบิดามารดา เป็นต้น อามิสบูชา ปฏิบัติบูชา ได้จากนักกรรมฐานมาก
อามิสบูชา ให้ผ้าผ่อนท่อนสไบ อาหารการบริโภคหยูกยารักษาโรค บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ผู้มีพระคุณคุณครูบาอาจารย์เป็นต้น ดอกไม้ธูปเทียน เรียกว่าอามิสบูชาทั้งนั้น
การปฏิบัติบูชา ผู้เจริญกรรมฐานได้จริง ท่านจะกลับกลายไปว่า มีพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ท่านไม่มีทานก็ให้ท่านทำทาน ไม่มีศีลก็ให้รักษาศีลอุโบสถ ถ้าไม่มีภาวนาก็ให้สวดมนต์ไหว้พระ นี่ซิปฏิบัติบูชา เป็นอภิชาตบุตรที่ดีที่สุดแล้ว
กตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณของท่านทั้งหลาย มีความหายและไม่ทำลายน้ำใจของพ่อแม่…ไม่ปากกล้าขาแข็งกระด้างคางแข็งต่อท่านผู้ใหญ่แต่ประการใด มันจะออกมาโดยปัญญาในตัวของเขาเอง
จะเป็นเด็ก เป็นกุลบุตร กุลธิดาเล็กๆ เราสอนสวดมนต์ภาวนาไว้ จะว่านอนสอนง่าย จะเชื่อฟังได้ง่ายมาก จะไม่ทำให้พ่อแม่ต้องเดือดร้อนแต่ประการใด
พระพุทธเจ้าจึงสอนนักสอนหนาว่า เวลาบวชในพระศาสนาต้องจดเวลาไว้ต้องการให้เคารพอาวุโสผู้มีอายุมากกว่าผุ้มีพรรษามากกว่า นี่แหละเอาไปใช้ได้เลย ผู้น้อยต้องเคารพผู้ใหญ่ ถึงจะมีระเบียบวินัย ทำอะไรก็เชื่อฟังผู้ใหญ่ โบราณท่านว่าไว้ตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด ไม่มีเสียหายแน่นอน
ถ้าท่านปฏิบัติได้ ศีล จะสิงสถิตอยู่ในจิตของท่าน สมาธิ ก็จะแน่วแน่อยู่ในหน้าที่การงาน ปัญญา ก็จะเกิดมาแก้ไขปัญหา คือ การเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี่แหละ ทำให้เรามีกุศล คือ สติ ทำให้เรามีสมาธิ โดยสัมปชัญญะ ทำให้มีสติสัมปชัญญะผนวกด้วยปัญญา ปัญญาในตัวก็เกิดมาแก้ปัญหาเกิดขึ้นตอนไหนก็แก้ได้ตอนนั้น เกิดตอนนี้แก้ได้ตอนนี้ แต่เกิดเมื่อวานไม่ต้องไปแก้ ผ่านมาแล้วแก้ไม่ได้
อนิจจังเอ๋ยไม่เที่ยง เป็นทุกข์หาเหตุที่มาของทุกข์ได้จึงจะเป็นอนัตตา ถ้ามีอัตตาเมื่อใดถึงจะรู้อนัตตา ถ้าไม่มีตัวไม่มีตน เมื่อใช้ตนเป็นที่พึ่งแล้วจะไม่มองเห็นอนัตตาอีกต่อไปแน่นอน ออกมาอย่างนี้ชัดแจ้งแล้ว
ขออนุโมทนาในวันธรรมสวนะเป็นวันฟังธรรม เป็นวันรักษาอุโบสถ เป็นวันกำหนดจิตให้มีสติสัมปชัญญะ แม้แต่วันหนึ่งคืนหนึ่ง ตั้งใจให้สงบ อย่างวุ่นวาย ตั้งใจให้เป็นบุญเป็นกุศล ให้มีหลวงพ่อสติ หลวงพ่อสัมปชัญญะ หลวงพ่อขันติธรรม ประจำใจสักวันหนึ่ง ทำไปเรื่อยๆ ท่านก็จะพบความจริง
สุดท้ายขออนุโมทนาสาธุการแก่ผู้ใคร่ธรรมสัมมาปฏิบัติในหน้าที่ เพื่อนำพุทโธโลยีไปแก้ไขปัญหา คือ ปัญญาในตัวเอง สิ่งทั้งหลายก็จะหายคลายคลี่กลับร้ายกลายดีต่อไป
ขอท่านทั้งหลายจงเจริญสุข เจริญยศ เจิรญศักดิ์ เจริญศรี หน้าที่การงานของท่าน และทุกท่านจงเจริญไปด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ นึกคิดสิ่งหนึ่งประการใดสมความมุ่งมาดปรารถนาทุกรูปทุกนามด้วยกันทุกท่าน ณ โอกาสบัดนี้เทอญ