รอดตายได้เพราะบารมีหลวงพ่อจรัญ
ดิฉัน นางรัมภา กลิ่นรอด เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจรัญมานานแล้ว จำได้ว่าเริ่มเข้ามาหัดปฏิบัติธรรมที่วัด อัมพวันตั้งแต่ตัวเองอายุประมาณ ๔๙ ปี ปัจจุบันดิฉันอายุ ๕๗ ปีเต็มแล้ว ครอบครัวเราเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจรัญกัน ทั้งบ้าน ที่ดิฉันมีอายุรอดมาได้จนถึง ๕๗ ปีนี้ก็เพราะได้บารมีหลวงพ่อคุ้มครองช่วยแผ่เมตตาให้ เหตุที่ดิฉันแน่ใจ ว่ารอดตายได้เพราะหลวงพ่อช่วยเป็นดังนี้
เมื่อกลางปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ดิฉันไม่สบายปวดตามเนื้อตามตัว ปวดหลัง ปวดไหล่ ไหล่บวมเป็นประจำ ดิฉันไป รับการรักษาที่โรงพยาบาลและไปให้แพทย์แผนโบราณบีบให้ อาการก็ทุเลาลงบ้าง ทุเลาปวดได้ประมาณ ๑ อาทิตย์ก็ปวดอีก ดิฉันก็ไปโรงพยาบาล และไปบีบอีก เดี๋ยวปวดมาก เดี๋ยวปวดน้อย เป็นอยู่อย่างนี้ จนปี๒๕๓๖ อาการเริ่มมากขึ้น ปวดมาก ปวดจนนอนไม่ได้ยกแขนไม่ได้ ใส่เสื้อเองไม่ได้ หวีผมเองไม่ได้ ปวดจนร้องครางทั้งคืน ลูกสาวจึงพาไปหาหมอจีนให้รักษา หมอจีนช่วยรักษาให้ยารับประทานและฉีดยา หมดไปหลายหมื่นบาท ก็พอทุเลาลง บ้าง พอช่วยตัวเองได้เล็กน้อย เริ่มใส่เสื้อ หวีผมได้ แต่ลึก ๆ แล้วตัวเองยังรู้สึกว่ามันปวดลึก ๆ ปวดอยู่ข้างในตามข้อมือ ข้อเท้า หัวไหล่ยังบวมบ้างยุบบ้าง เป็นบางวันจนกระทั่งถึงเดือนเมษายน เป็นวันครบรอบวันเกิดของสามีดิฉัน เราเคยไปถือศีล ปฏิบัติธรรมด้วยกันทุกปีในช่วงวันเกิด จึงกำหนดเดินทางไปวัดอัมพวันในวันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ ๒๕๓๖ ไปพร้อมกับพิศมัย พี่ประภาศหงษ์จินดา พี่สาวพี่เขย ถึงเวลาสามีและน้องสาวดิฉันได้ทักท้วงว่า เลื่อนไปอีกหน่อยจะดีกว่า เพราะว่าดิฉันยังบวมอยู่ เกรงว่าจะไปเดินจงกรมไม่ไหว แต่ดิฉันเองกลับไม่ยอมเลื่อนการเดินทางไปวัด คิดว่าตั้งใจแล้วก็ไม่อยากโลเล พอทนได้ก็ไปถือศีลดีกว่า ทนเจ็บเอาหน่อย กลางคืนวันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๖ ก่อนเข้านอน ดิฉันก็สวดมนต์ ตั้ง จิตอธิษฐานว่า พรุ่งนี้ลูกจะไปถือศีลปฏิบัติธรรมที่วัด อัมพวัน ขอให้ลูกไปได้ อย่ามีอุปสรรคขัดข้อง ให้เดินทางปลอดภัย ให้ได้เข้ากราบหลวงพ่อ แล้วเข้านอน
เช้าวันที่๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๖ ก็เตรียมตัวเดินทางโดยลูกสาวขับรถไปส่ง พอขึ้นนั่งรถ ทุกคนมีจิตใจ ผ่องใส พี่สาว พี่เขย สามี และลูก ๆ คุยกันตลอดทาง แต่ตัวดิฉันเองไม่อยากคุย พอขึ้นรถได้ ก็ตั้งจิต ยกมือพนม ขึ้นจรดเหนือหัว ขอให้ลูกและคณะเดินทางปลอดภัย วันนี้ขอให้ลูกได้เข้ากราบหลวงพ่อ ที่ตั้งจิตขอพบหลวงพ่อก็เพราะรู้สึกตัวเองไม่ค่อยสบาย เจ็บตามเนื้อตามตัว แต่ไม่มากนัก ยังพอทนได้ มีความรู้สึกอยากกราบหลวงพ่ออยากบอกหลวงพ่อว่าตัวเองไม่ค่อยสบาย อยากขอบารมีหลวงพ่อให้ช่วยคุ้มครอง เมื่อกำหนดจิตอยากกราบหลวง พ่อแล้ว ก็สวดอิติปิโส ห้องเดียวไปตลอดทาง ไม่ค่อยจะพูด กับใคร ลูกพูดด้วยก็ถามคำตอบคำจนถึงวัด เข้าไปกราบแม่ใหญ่ แล้วไปลงทะเบียนที่คุณแม่ชีสมคิด เอาข้าวของเก็บเข้าห้อง รอเวลาตอนเย็นไปรับศีล รับกรรมฐานจากหลวงพ่อ รู้สึกดีใจที่จะได้กราบหลวงพ่อตามที่ได้ตั้งจิตขอไว้ หลังจากเสร็จพิธีรับศีล รับกรรมฐานแล้ว หลวงพ่อเทศน์จบแล้ว ก็อนุญาตให้ผู้ถือศีล เข้ากราบถวายของและ ปัจจัยตามลำดับ ดิฉันก็ได้คลานเข้าไปกราบถวายปัจจัยรอจนทุกคนถวายกันหมดแล้ว ดิฉันจึงคลานเข้าไปเป็นคน สุดท้าย เมื่อถวายปัจจัยแล้ว ดิฉันได้กราบเรียนหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อเจ้าคะ ตัวลูกเองไม่ค่อยสบาย มันเจ็บตามตัว ทั่วตัว เจ็บตลอดเวลา เวลาเดิน เวลานั่ง เวลานอน เจ็บไม่พัก ได้ไปรักษาหมดตัวไปหลายแล้ว ก็ยังไม่หาย รู้สึกว่า มันจะเป็นมากขึ้น ลูกมากราบหลวงพ่อ ขอบารมีหลวงพ่อเป็นที่พึ่ง ขอบารมีหลวงพ่อช่วยเมตตาลูกด้วยเจ้าค่ะ”หลวงพ่อมองหน้าแล้วถามว่า “นี่เราจะมาอยู่กี่วัน” “อยู่วันเจ้าค่ะ” ดิฉันตอบ หลวงพ่อก็สั่งว่า “ปฏิบัติเลิกแล้ว ให้แม่ชีพาไปหาที่กุฏิ” ดิฉันก็ถามอีกว่า “ปฏิบัติครบ ๗ วันแล้ว ให้ไปหาที่กุฏิหรือคะ” หลวงพ่อบอกว่า “ไม่ใช่ หมายความคืนนี้ หลังจากเลิกปฏิบัติแล้ว ให้แม่ชีพาไปหาที่กุฏิเลย” ดิฉันตอบ “เจ้าค่ะ” ก้มลงกราบด้วยความดีใจและโล่งใจ รู้สึกว่าตัวเองมีที่พึ่งแล้ว ก้มลงกราบแล้วคลานถอยออกไป คืนนี้ก็อยู่ปฏิบัติกันที่ศาลาจน๒๐๐ นาฬิกา คุณแม่ชีก็ปล่อยให้พัก ดิฉันได้เข้าไปบอกคุณแม่ชีว่า “หลวงพ่อสั่งไว้ว่า เมื่อเลิกปฏิบัติแล้ว ให้คุณแม่ชีพาดิฉันไปพบที่กุฏิ” คุณแม่ชีก็กรุณาพาไปทันที เมื่อถึงกุฏิหลวงพ่อ ดิฉันคอยอยู่ข้างล่าง คุณแม่ชีขึ้นไปพบหลวงพ่อ สักครู่ก็ลงมาพร้อม กับมีแก้วใส่ยาลงมาให้ บอกว่า “หลวงพ่อให้ยามารับประทาน” ดิฉันรับยายกขึ้นเหนือหัว “ขอบารมีหลวงพ่อ ช่วยรักษาให้ลูกหายเจ็บหายไข้ด้วยเจ้าค่ะ” แล้วดื่มยาหมดแก้ว เสร็จแล้วลาคุณแม่ชีกลับที่พัก คืนนั้นนอนไม่ค่อยหลับเพราะปวดตามตัว
เช้าวันที่ ๑๑ ตี ๔ ก็ลุกขึ้นปฏิบัติธรรมตามปกติ แต่ก็ทำไม่ได้เต็มที่เพราะเดินไม่ค่อยไหว มันเจ็บตามตัวไปหมด เดินบ้าง นั่งบ้าง กำหนดได้บ้างไม่ได้บ้าง ตอนสาย คุณแม่ชีก็เอายามาให้ดื่มอีก ทนปฏิบัติอยู่จนเย็น พอตกค่ำ คุณแม่ชีก็เอายามาให้ดื่มอีก ผ่านไปได้อีกวัน
เช้าวันที่ ๑๒ ตี ๔ ตื่นตามปกติ รู้สึกเจ็บไปหมดทั้งตัว แขนขา มันแข็ง ๆ ต้องฝืน จะลุกขึ้นก็ลำบาก ต้องเกาะข้างฝาโหนตัว หรือเหนี่ยวโต๊ะ เหนี่ยวหน้าต่าง จึงจะ ลุกขึ้นได้ เวลาเดินก็ขัดโคนขาและปวดมาก ตอนสายคุณแม่ชีก็เอายามาให้ดื่มอีก ปฏิบัติธรรมได้บ้างเล็กน้อย จนเย็นคุณแม่ชีก็เอายามาให้ดื่มอีก ตอนกลางคืนปวดมากนอนไม่ได้ ต้องสวดอิติปิโสฯ บ้าง กำหนดบ้าง ตลอดคืน คุณแม่ชีสั่งไว้ว่า เวลาปวดให้กำหนดไป ปวดหนอ ปวดหนอ ก็พยายามทำตามที่คุณแม่ชีบอก
เช้าวันที่ ๓๓ ตี ลุกขึ้นปฏิบัติธรรมตามปกติ วันนี้มีอาการมากขึ้น คอแข็ง มีเม็ดขึ้นในคอ เจ็บคอ บริเวณใกล้ต่อมทอนซิล ไม่รู้เป็นอย่างไร ใจมันวูบขึ้นมาทันทีบอกตัวเองว่าอาการไม่ดี แล้วน้ำตาร่วงลงมาเอง เริ่มเดินไม่ค่อยไหว ต้องคลานเอา ตอนสายคุณแม่ชีเอายามาให้ตามเคย ทานยาแล้วลงไปหาแม่ใหญ่ บอกแม่ใหญ่ “ลูกเป็นอะไรไม่ทราบ คอแข็ง มีเม็ดขึ้นในลำคอ และเจ็บในลำคอ ค่ะ แม่ใหญ่กรุณาช่วยปัดเป่าให้ลูกที่ค่ะ” แม่ใหญ่ก็ได้กรุณาเป่าให้ กราบขอบพระคุณแม่ใหญ่ แล้วกลับขึ้นห้อง ปฏิบัติต่อ ได้บ้างไม่ได้บ้าง ส่วนใหญ่จะนั่งกำหนด เวลาปวดมาก็นอนกำหนด
วันที่๑๔ เหมือนเดิม แต่อาการยิ่งเพิ่มขึ้น ลงไปให้แม่ใหญ่เป่าอีกครั้ง มีอาการไอเพิ่มขึ้น ไอมาก ๆ ก็หอบหายใจไม่ทัน มันเจ็บระบมไปหมด กระทั่งบนศีรษะก็บวมฟันในปากปวดหมด เหมือนกับว่ามันโยกทั้งปาก คุณแม่ชีสมคิดได้กรุณาเอาทั้งยากิน ยาพ่นคอ ยาทามาให้ แล้วบอกว่าอย่าตกใจ พยายามกำหนดให้มาก ๆ ตอนเย็นของวันนี้ คุณแม่ชีพาคณะปฏิบัติธรรมไปศาลาเพื่อฟังเทศน์ดิฉันได้พยายามตามไปด้วย เพราะดิฉันชอบฟังเทศน์ของหลวงพ่อ ฟังแล้วจดจำเอาไว้สอนตัวเองในสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำ บางครั้งฟังแล้วน้ำตาไหล มันไหลของมันเอง ฟังแล้วมีกำลังใจที่จะทำความดีตั้งใจปฏิบัติมากขึ้น เมื่อเทศน์สั่งสอนจบก็ถวายสังฆทาน ถวายปัจจัย ดิฉันก็คลานเข้าไปถวายปัจจัยด้วย เมื่อถวายแล้ว ดิฉันก็บอกหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อเจ้าคะ ลูกแย่แล้ว ลูกเจ็บเหลือเกิน เดินจะไม่ไหวแล้ว ต้องคลาน หลวงพ่อช่วยลูกด้วยเจ้าค่ะ” หลวงพ่อ ก็ตอบว่า “อดทนหน่อย พยายามกำหนดเข้าไว้ เรากำลัง ช่วยอยู่แล้ว” ดิฉันก้มลงกราบแล้วคลานถอยออกไป หลวง พ่อก็ลงจากศาลาไป คุณแม่ชีพาคณะปฏิบัติกลับที่พัก วัน ต่อมาเหมือนเดิม เจ็บปวดทรมานคลานอยู่ในห้อง ได้รับความกรุณาจากคุณแม่ชีช่วยดูแลอยู่จนครบ ๗ วัน ถึงวัน ที่จะลาศีลกลับบ้าน ดิฉันจึงชวนพี่สาวไปหาหลวงพ่อที่กุฏิเพื่อกราบลากลับและขอยาไปทานต่อที่บ้าน เมื่อไปถึงกุฏิหลวงพ่อกำลังจะออกไปธุระข้างนอกไปงานศพ หลวงพ่อลงจากข้างบน ดิฉันรีบกัมลงกราบและบอกว่า “ลูกมาอยู่ปฏิบัติครบ๗ วันแล้ว จะมากราบลาขออนุญาตกลับและขอยาไปทานต่อที่บ้านเจ้าค่ะ” หลวงพ่อตอบว่า “ยาที่เราให้กินอยู่นี่เป็นยาช่วยชีวิตคนมาหลายรายแล้วนะ คนเรามันอยู่ที่ศรัทธา เราพูดไปเชื่อก็ดี ไม่เชื่อก็ไม่ดี” พูดแล้วหลวงพ่อก็ออกเดินจะไปขึ้นรถ ดิฉันเห็นท่าไม่ดี ลุกตามก็ไม่ทัน ขามันแข็ง ก็เลยพูดเสียงดังตามหลังไปว่า “หลวง พ่อเจ้าขา ลูกเชื่อเจ้าค่ะ เชื่อทุกอย่าง หลวงพ่อจะให้ลูกทำอย่างไร ลูกเชื่อทั้งนั้น ขอให้หลวงพ่อสั่งเถอะค่ะ ลูกจะทำตามที่หลวงพ่อสั่ง ลูกไม่มีที่พึ่ง ขอบารมีหลวงพ่อเป็นที่พึ่งเจ้าค่ะ” หลวงพ่อไม่ตอบ เดินไปขึ้นรถออกไปธุระงานศพ ข้างนอก ดิฉันชวนพี่สาวกลับที่พัก ถึงที่พักแล้วดิฉันคิดเฉลียวใจในคำพูดของหลวงพ่อที่บอกว่า “ยาที่เราให้กินอยู่นี่นะเป็นยาช่วยชีวิตคนมาหลายรายแล้ว” แสดงว่า การเจ็บป่วยของเราเองคงเข้าขั้นถึงชีวิตแน่ จึงบอกพี่สาวว่า “ตกลงตัวดิฉันจะยังไม่ลาศีล อยากจะรอฟังคำสั่งหลวงพ่อ ก่อนว่า จะให้ดิฉันทำอย่างไรต่อไป ให้พี่ ๆ กับสามีลาศีลกลับไปก่อน”
เช้าวันรุ่งขึ้น คุณแม่ชีก็เอายาลงมาให้แล้วบอกว่า “พี่รัมภา หลวงพ่อสั่งมาว่า พี่ยังกลับไม่ได้ พี่เป็นมะเร็งน้ำเหลือง ถ้ากลับไปโรงพยาบาลตอนนี้ ต้องตายแน่” ดิฉันยก มือขึ้นเหนือหัว สาธุ ตกลงใจทันทีว่ายังไม่กลับบ้าน ให้พี่สาวกับสามีกลับไปก่อน สามีดิฉันกับพี่สาวตกใจ จะรีบเช่ารถพากลับไปโรงพยาบาล ส่วนดิฉันบอกไม่ยอมกลับ ขออยู่วัดถือศีลต่อ สามีอยากพากลับ คุณแม่ชี คุณแม่ฉ่ำชื่น พี่สมประสงค์ และผู้ใหญ่ในวัดอีกหลายท่านได้ทักท้วงสามีดิฉันว่า หลวงพ่อทักแล้วนะ ควรให้อยู่วัดต่อ สรุปแล้วตกลงให้สามีโทรศัพท์ไปหาลูกสาวที่กรุงเทพฯ ให้มาดูแลแม่ต่อ เพราะช่วยตัวเองไม่ค่อยไหว เย็นนั้นลูกสาวก็มาถึง วัดเพื่ออยู่ดูแลดิฉัน พี่สาวพี่เขยสามีก็กลับไป ดิฉันนอน ป่วยอยู่ในวัดก็ถือศีลแปด ก็นั่ง ๆ นอน ๆ กำหนดไปเวลาปวดมากก็ยกมือขึ้นจบเหนือหัว อาราธนาขอบารมีหลวงพ่อช่วยลูกด้วยเจ้าค่ะ เช้าเย็นลูกจะลงไปขอยามาให้ทุกวัน เป็นอยู่อย่างนี้จนสิ้นเดือน อาการก็ยังทรงอยู่ ก็คิดว่าไม่รู้ตัวเองจะต้องนอนปวดอยู่อย่างนี้อีกนานเท่าไหร่เกรงใจทางวัดก็เกรงใจ สงสารลูกก็สงสาร ต้องทิ้งงานทางกรุงเทพฯ ไปเฝ้าแม่ทั้งกลางวันกลางคืน ไม่ได้หลับไม่ได้นอน ไม่มีใครผลัดเปลี่ยนเลย ปรึกษากันว่า จะกลับไป บ้านแต่ต้องขออนุญาตหลวงพ่อก่อน ขอยาไปทานต่อที่บ้าน ถ้าหลวงพ่อไม่อนุญาตก็คงไม่กลับ ปรากฏว่าหลวง พ่ออนุญาตให้กลับบ้านได้ คุณแม่ชีสมคิดได้กรุณาจัดยาให้เอากลับไปทานที่บ้านด้วยโหลใหญ่ ไปอยู่บ้านแล้วทานยา ต่อ อาการยังทรงอยู่ ก็กำหนดไป สวดอิติปิโสฯ ไปทั้งวันทั้งคืน มันปวดจนไม่ได้นอน ยาหมดลูกสาวก็ไปขอที่วัดอีกหลายครั้ง จนกระทั่งตอนหลังลูกไปเอายาไม่ค่อยได้ เพราะยาไม่พอแจก หลวงพ่อทำให้ไม่ทัน มีคนป่วยไปขอยาหลายราย คุณแม่ชีได้รับรู้จากลูกสาวว่าแม่อาการยังไม่ดีขึ้น ยาก็จะหมดแล้ว คุณแม่ชีเลยแนะนำให้ทานยาหม้อต้ม ต่อ เป็นยาที่คุณแม่ีเคยใช้รักษาให้พี่สาวของคุณแม่ชีหายมาแล้ว ตกลงทานยาที่คุณแม่ชีแนะนำให้ต่อ ยานี้แรงมาก ยิ่งทานยิ่งปวด ลูกสาวก็รีบไปหาคุณแม่ชี บอกแม่ยิ่งปวดมากขึ้น คุณแม่ชีบอกว่า ไม่เป็นไร พยายามกำหนดไว้และให้ทานยาแก้ปวดช่วยด้วยได้ ยานี่หมอรับรองว่า ทานได้ ๕ หม้อแล้วอาการต้องดีขึ้น
ช่วงที่ทานหม้อที่ ๓-๔ อาการหนักมาก ปวดมากปวดจนต้องนอนอยู่กับที่ จะกระดิกตัว จะพลิกตัวเองยังไม่ไหว ต้องให้สามีหรือลูกสาวจับตัวยกพลิกให้ มันปวดจนตัวเองคิดว่า นี่เราจะทนปวดอย่างนี้ไปได้สักกี่วันหนอ เพื่อน บ้าน พี่น้องใกล้ไกล พากันมาเยี่ยมแล้วลงความเห็นว่า ดิฉันไม่รอดแน่ แอบบอกสามีให้พาดิฉันส่งโรงพยาบาลสามีบอกญาติว่า คนไข้ไม่ยอมไปโรงพยาบาล ดิฉันปวดจน ต้องสั่งสามี สั่งลูกว่า ถ้าวันใดดิฉันอาการหนักจนพูดกันไม่รู้เรื่องขออย่างเดียวว่า ไม่ต้องพาไปโรงพยาบาล ขอให้พาไปหาหลวงพ่อจรัญที่วัดอัมพวัน ถ้ามันถึงกำหนดหมดบุญ จะตายกลางทางก็ช่างมัน แต่ถ้าบุญยังพอมีอยู่บ้าง ก็คงจะทนไปถึงมือหลวงพ่อ ขอบารมีหลวงพ่อแผ่เมตตาให้หลวงพ่อก็คงช่วยให้รอดตายได้ ดิฉันมั่นใจอย่างนั้น มั่นใจในคำสั่งของหลวงพ่อ อีกประการหนึ่ง คือเมื่อต้นปี ๒๕๓๓ ดิฉันได้เคยฝันว่า ตัวเองอยู่ที่ไหนไม่ทราบ รู้แต่ว่าเป็นที่โล่งมืดมาก มีผู้ชาย ท่าน ร่างสูงใหญ่ ไม่ใส่เสื้อนุ่งแต่ผ้าถกเขมรสีแดง ตรงมาหาดิฉัน แล้วสั่งว่าต้องไปแล้ว ถึงเวลาแล้ว ขณะที่สั่งนั้นปากของท่านทั้ง ไม่ได้ขยับขึ้นลงเหมือนพวกเรา แต่ทำไมดิฉันรับรู้ได้ว่าสั่งดิฉัน ดิฉันก็เถียงว่าจะไม่ไป ท่านทั้ง ๔ ก็บอกว่าต้องไป ดิฉันก็เถียง อีกว่าไม่ไป ดิฉันไม่มีความผิดอะไร จะพาไปไหนดิฉันไม่ไป แต่ท่านทั้ง ๔ กลับสั่งอีกว่า เขาสั่งมาต้องไปแล้ว และตรงเข้าจับแขนดิฉันตรงข้อมือ ลากข้างละ๒ ท่าน ดิฉันก็เถียงว่า ไม่ไป ๆ พร้อมกับดิ้นรนไม่ยอมไป ท่านทั้ง ๔ ไม่ฟังเสียง ลากดิฉันไปกับพื้นจนขาทั้ง๒ ข้างลากลู่ตามพื้นไป ดิฉันพยายามดิ้น แต่ดิ้นไม่หลุด ขณะที่ดิ้นอยู่นั้น เกิดความรู้สึกบอกตัวเองว่าไม่ไหวแล้ว ดิ้นไม่ไหวสู้แรงไม่ไหวแล้ว บอกตัวเองว่า สวดมนต์เถอะ ดิฉันจึงหยุดดิ้นแล้วเริ่มสวดมนต์ ทั้งที่ตกใจ กลัวมาก แต่ปากก็รีบสวดมนต์ สวดอิติปิโสฯ เป็นการใหญ่ เรียกว่าหลับหูหลับตาสวดกันเลย สวดไม่หยุด สวดไปได้พักใหญ่ ก็เห็นว่าท่านทั้ง ๔ ที่จับมือลากอยู่ค่อย ๆ เลือนหายไปทีละท่าน จนหมดทั้ง๔ ท่าน
เช้าตื่นขึ้นมาก็เล่าให้ลูกกับสามีฟัง แล้วก็ผ่านไปไม่ได้เฉลียวใจ ไม่เข้าใจว่าเป็นลางบอกเหตุร้าย จนกระทั่งมาเจ็บหนักเจียนตาย และรอดตายได้เพราะบารมีหลวงพ่อ ซึ่งเคยสั่งสอนไว้ว่าให้สวดอิติปิโสย เป็นประจำ จะช่วยคุ้ม ภัยได้ ก็เป็นจริงอย่างว่า เพราะช่วงที่เจ็บหนัก กระดุกกระดิกตัวไม่ได้ ก็นอนท่องอิติบิโสฯ ตลอดทั้งวันทั้งคืนกำหนดพองยุบตลอดสลับกันไปตามแต่จะนึกได้ จิตใจมุ่งอยู่แต่สวดมนต์ เจ็บมาก ๆ ก็ยกมือขึ้นจบเหนือหัวอาราธนาขอบารมีหลวงพ่อจรัญช่วยลูกด้วยเจ้าค่ะ นอนภาวนาอยู่หลายเดือน ลูกสาวเห็นแม่ทรุดหนัก ก็ไปวัดอัมพวันถือศีลปฏิบัติธรรม แผ่ส่วนกุศลให้แม่ประมาณ ๕ วัน เมื่อไปวัด ทุกคนที่วัด คุณแม่ใหญ่ คุณแม่ฉ่ำชื่น คุณแม่ชีสมคิด คุณตา พี่สมประสงค์ และอีกหลายท่าน ต่างกรุณาถามไถ่ ฝากเยี่ยม ให้กำลังใจ ให้ศีลให้พรให้หายจากโรคร้ายฝากลูกสาวไปบอกอาจารย์สมพรกรุณาส่งยาไปให้ที่บ้านทางไปรษณีย์ คุณวิไลได้กรุณาไปเยี่ยม เอายาไปให้ถึง ที่บ้าน ดิฉันได้รับทราบด้วยความปลื้มใจ และสำนึกในบุญคุณของทุกท่านอยู่เสมอ เมื่อลูกสาวกลับไปบ้านเฝ้าแม่ต่อเปลี่ยนให้พ่อไปถือศีลปฏิบัติธรรม แผ่ส่วนกุศลให้ดิฉันด้วยอีก ๗ วัน ดิฉันนอนเจ็บอยู่ประมาณปีครึ่ง อาการจึงค่อยทุเลา และดีขึ้นเป็นลำดับ
จนปัจจุบันนี้ ดิฉันช่วยตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องมีคนอุ้ม เริ่มมาถือศีลปฏิบัติธรรมได้บ้างแล้ว และรู้ตัวเองว่ารอดตายแน่แล้วในการเจ็บครั้งนี้ ด้วยบารมีของหลวงพ่อ ช่วยแผ่เมตตาให้และด้วยอานิสงส์ของการสวดอิติปิโสฯตามที่หลวงพ่อสอนไว้แน่นอน ลูกขอกราบแทบเท้าสำนึกในพระคุณของหลวงพ่อ คุณแม่ใหญ่ กราบขอบพระคุณคุณแม่ชีสมคิดและอีกหลาย ๆ ท่านมา ณ ที่นี้ด้วย ลูกขอกราบอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ให้ช่วยปกป้องและคุ้มครองหลวงพ่อ ให้มีพละกำลังกาย กำลังใจเข้มแข็ง ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน จะได้อยู่เป็นที่พึ่งของลูกศิษย์และ สัตว์ผู้ยากทั้งหลายต่อไปอีกยาวนาน
รัมภา กลิ่นรอด
๑๐/๒ คันนายาว
กรุงเทพมหานคร ๑๐๒๓๐
โทร. ๙๔๓๗๙๙๖