กระแสไฟฟ้าแห่งจิต

โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

ท่านผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน ที่ได้มีโอกาสโชคดีได้มาเจริญวิปัสสนา ทำให้เกิดปัญญารอบรู้ในเรื่องเหตุผลและข้อเท็จจริงของท่านเอง โดยเฉพาะทั้งโยมหญิงโยมชายทุกคนคำว่าตั้งใจ และเจริญกุศล ต้องตีปัญหาให้แตก แยกออกว่า ความตั้งใจ คืออะไร คือ ตัวศรัทธาที่มุ่งหมายที่เราเข้าไปในจุดนั้น ความตั้งใจ คือความมีกุศลประกอบด้วยฉันทะ ความพอใจและศรัทธา ความเชื่อมั่น จิตก็เป็นสมาธิกุศล จึงเรียกว่า ตั้งใจ ไม่ใช่ตั้งใจแล้วก็ตีความหมายไม่ได้

บางคนพูดว่าตั้งใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าตั้งใจแล้ว มีองค์การองค์กรของมัน ความตั้งใจเราแยกออกไปว่า จิต นั้นคือ ธรรมชาติ ที่มันต้องคิดอะไร อ่านอะไร เขียนอะไร จิตมันเป็นอารมณ์ มันมองไม่เห็นตัว มองไม่เห็นรูปแบบ เอามือคลำก็ไม่ได้ จับก็ไม่ได้ เป็นกระแสคลื่นของอารมณ์ เรียกว่า ธรรมชาติ ชัดเจนเหมือนกระแสไฟฟ้า เรามีหลอดมีคลื่นกระแสไฟฟ้าให้เข้ากับเส้นสายแล้ว ก็พลังงานไฟฟ้ามีสวิตช์มีการปิดเปิด จิตมีทั้งปิดและเปิดได้ กระแสจิตให้มันเดินก็ได้คนไม่มีความเข้าใจ เหมือนกระแสไฟฟ้าอยู่ในหม้อแบตเตอรี่นี่ส่งสายมาไฟฟ้าภูมิภาค มีเครื่องปั่นไฟฟ้า มันก็ต้องเดินไปตามสายนั้น ก็เข้าเครื่องออกเครื่อง เช่น ยกตัวอย่างให้เห็นว่าไฟฟ้า ๑ กิโลวัตต์ แต่จะใช้ไปได้ ๘๐๐ เท่านั้น ใช้ถึง ๑,๐๐๐ ไม่ได้ เพราะกระแสคลื่นไฟฟ้านั้นอยู่ที่ไดนาโม จะอยู่นอกสายด้วยมันจะครบวงจรของมันทั้ง ๑๐๐% นั้นไม่ได้ เช่น ไฟ ๑ กิโลวัตต์ ๑,๐๐๐ โวลท์ มันจะใช้กระแสไฟได้เต็มที่ไม่เกิน ๘๐๐ เท่านั้น จิตเราก็เช่นเดียวกัน ปั่นเครื่องแล้วปล่อยให้มันเต็มทั้ง ๑๐๐ หนึ่งกิโล ๑,๐๐๐ แรงเทียนทั้งหมดเป็นไปไม่ได้ เดี๋ยวก็ได้ไหม้ เดี๋ยวเครื่องที่มันหมุนก็ไม่มีการหล่อเลี้ยงกระแสไฟอยู่ในเส้นลวด เขาเรียกอยู่ในไดนาโม มันต้องเลี้ยงไดนาโม ๒๐% มันถึงจะกล่าวได้ว่ากระแสคลื่นจะส่งไปเท่าไร เหมือนท่านมีน้ำหนัก ๑๐๐ กิโลกรัม จะแบกหามของที่หนักกว่าน้ำหนักตัวท่านคงจะยาก ตัวเราหนัก ๑๐๐ กิโลกรัม จะไปแบกกระสอบข้าวหนัก ๑๕๐ กิโลกรัม คงไม่ได้ แบกไม่ไหว ถ้าแบกหลังหัก มันเกินกำลังวงจรของเราไปฉันใดก็เช่นเดียวกัน จิตเรามันมีวงจรอย่างไร มันถ่ายเทเกิดดับอยู่มากหลาย มันมีวงจรที่จะเลี้ยงอยู่ในศีล ด้วยอำนาจศีล อำนาจเพิ่มพลังจิต มันอยู่ในความคิด อยู่ในอารมณ์นั่นเอง

ท่านสาธุชนทั้งหลายที่ท่านมาปฏิบัติธรรมท่านตั้งใจไหม เจตนาอันเป็นตัวกรรมจากการกระทำด้วยความตั้งใจเป็นบุญหรือเป็นบาป ถ้าจากเจตนาเป็นตัวกรรม การกระทำของท่านถึงจะแน่นอนถึงจะถูกต้องไม่ใช่ทำจิ้มๆ จ้ำๆ ส่งเดชเขาหลับตาก็หลับตากับเขาไม่ได้มีความตั้งใจเลยไม่มีศรัทธาเลย ไม่มีจิตมุ่งหมายอันนั้น เหมือนหม้อแบตเตอรี่ท่านหมดไฟไปแล้ว นี่คนเราเหมือนกันนะ ไม่เหมือนกันเลยเอาใจใส่ก็ไม่เหมือนกัน รักษาของก็ไม่เหมือนกัน ชอบรักษาของ ของตั้งเละละหมดไม่มีความตั้งใจ ถ้าตั้งใจจิตมันก็เป็นกุศล กุศลแปลว่าอะไร ตั้งหมั่นในงานในหน้าที่อันนั้น เรียกว่า สมาธิ ท่านถึงจะได้ผลได้อานิสงส์อย่างนี้เป็นต้น นี่เราก็ดูสังเกตการณ์อย่างนี้ไปเรื่อยๆ คนเราทำงานด้วยความไม่ตั้งใจก็เยอะ เจตนาไม่เป็นกุศล เจตนาเป็นอกุศล

อกุศลแปลว่าอะไร แปลว่า ทำไปโดยไม่ตั้งใจ ไม่มีเจตนาอันใดที่ตั้งใจให้ดี เลยตั้งใจให้เป็นให้ได้มักง่ายมักได้ จึงเป็นอกุศล อกุศลตัวนี้แปลว่าได้มาด้วยความไม่ราบรื่น ได้มาด้วยความขมขื่น ได้มาด้วยความแร้นแค้น ได้มาด้วยความไม่บริสุทธิ์ สิ่งใดที่เหนื่อยยากได้มาด้วยกุศล คือผลงานได้มาด้วยความมีสติปัญญาของตนโดยเจตนาเป็นต้นทุก เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ เจตนาเป็นตัวกระทำที่ถูกต้อง ทำด้วยจิตเป็นกุศลด้วย ผลงานคือเมตตา มีความปรารถนาในการงานและหน้าที่ ท่านจะสร้างความดีได้ชัดเจน ตรงนี้ขอฝากท่านไปปฏิบัติด้วย ไม่ใช่นั่งหลับตาแล้วไปสวรรค์นิพพานหมด แก้ไขปัญหาในครอบครัวยังไม่ได้

ถ้าท่านตั้งใจอย่างนี้ เจริญสมาธิภาวนาวงจรกระแสไฟฟ้า ท่านก็จะเข้าสู่ล็อค ท่านจะเก็บไฟในหม้อแบตเตอรี่ไว้ได้ รักษาหม้อแบตเตอรี่ไว้ดีด้วย หมั่นเติมน้ำกลั่นรถท่าน ท่านมีรถหรือขายรถก็ตามต้องรักษารถ เอารถมาจอดทิ้งไว้ไม่ใช้ จะสตาร์ทไม่ติด รับรองรถท่านเสียแน่ นี่ยกตัวอย่าง ให้เห็น เหมือนเรามีสมาธิไม่หมั่นทำ ไม่หมั่นเจริญสมาธิ สมาธิท่านก็หมดไปเอง รับรองสมาธิท่านก็ต้องเสื่อมไปตามสภาพ ไม่ใช่ว่าเรามานั่งกรรมฐานแล้วกลับไปเลิกเลย ไม่เจริญสมาธิภาวนา สมาธิยิ่งทำยิ่งดียิ่งมีปัญญา สามารถจะแก้ไขปัญหาได้

ขอฝากท่านสาธุชนไว้ กระแสไฟฟ้ามันหมดง่ายเหลือเกิน จิตมันตก ไปเชื่อคนโน้นคนนี้ อย่างไปเชื่องมงาย อย่างไปเชื่อหมอดู เราก็เหมือนหม้อแบตเตอรี่หมดไฟ ระวังนะหม้อแบตเตอรี่หมดไฟนี้จะไปไม่รอด จะไม่ปลอดภัย จะมีแต่เสนียดจัญไร จิตใจก็ตก จิตใจก็ไม่สบาย ทำอะไรไม่ได้ มันเป็นเสนียด มันไม่มีปัญญา ไม่รอบรู้ในกองการสังขาร คิดแล้วคิดเล่าเฝ้าแต่คิด เราจะไม่สามารถประดิษฐ์สร้างสวรรค์สิ่งใดได้

การเจริญกรรมฐานเป็นการรวบรวมจิตตั้งสติปัญญาเจริญสติปัฏฐาน ๔ กายานุปัสสนา ตัวนี้ท่านจะเดิน จะยืน นั่ง นอน เหลียวซ้ายแลขวา เอาสติจับเข้าไป ตั้งเข้าไว้ตลอดเหมือนเติมน้ำกลั่น น้ำกลั่นอย่าให้แห้งเหมือนจิตใจท่านจะไม่แล้งน้ำใจ ก็จะมีแต่อัธยาศัย มีแต่น้ำใจโอบอ้อมอารีเป็นต้น นี่แหละกระแสไฟ มันมีแสงสว่างเท่าไรเกิดเมตตามากเท่านั้น ถ้าท่านมืดท่านจะมีแต่อกุศล จะไม่ได้ผลงานแต่ประการใด เมตตาจะไม่มีกับคนที่ไร้สาระ คือขาดกระแสไฟ คนที่ไม่มีกระแสไฟน่ะคนโง่ คนโมหะมันต้องคลำไปมองไม่เห็นของจริง มองไม่เห็นของที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิต แต่ครอบครัวแต่ประการใดเลย กลายเป็นคนไร้สาระ ไม่มีสติปัญญาแต่ประการใด

การที่มีกระแสไฟทำให้เกิดแสงสว่าง บัดนี้ทำให้มันมืดแล้ว เราก็ใช้กระแสไฟฟ้า ท่านมีรถแต่ขาดไฟ หน้ารถก็ไม่มีไฟท้ายรถก็ไม่มี แล้วท่านจะวิ่งไปได้หรือ วิ่งไปไม่ได้หรอกเหมือนตัวเราก็เช่นเดียวกัน ขาดแสงสว่างก็คือขาดปัญญาคนเราขาดปัญญาแล้วจิตมันตก ไม่มีโอกาสตะเกียกตะกายขยันหมั่นเพียรได้ คนที่ขาดแสงสว่างขาดปัญญาส่วนมากจะขี้เกียจ ไม่อยากจะเอางานเอาการ ไม่อยากจะรับผิดชอบแต่ประการใด ขอฝากไว้อย่างนี้เป็นต้น

ท่านจะเป็นใครก็ตาม ท่านมาแล้วขอให้ตั้งสติ ตั้งมั่นมาทำด้วยความตั้งใจหน่อย ถ้าท่านตั้งใจแล้วมันจะมีฉันทะความพอใจมีความเลื่อมใสในตัวเอง จิตก็จะมั่งคงในตัวเองไม่ต้องไปพึ่งใคร ไม่ต้องไปหาหมอดู ไม่ต้องไปหาผีเข้าเจ้าทรง พึ่งไม่ได้แน่ ขอให้ท่านทั้งหลายเจริญสมาธิบำเพ็ญจิตให้เกิดพลังให้จงได้ จะได้พึ่งตัวเองให้มีแสงสว่างในตัวเองคือปัญญา เรียกว่า วิปัสสนาปัญญา จะเกิดเอง ปัญญาเกิดจากตัวท่านเอง ถ้าท่านไม่พบสมาธิ จิตท่านวอกแวก จิตใจแตกแหลกลาญ จิตใจไม่เข้าขั้นมีแต่กังวลมีแต่กระวนกระวายท่านจะไร้ที่พึ่ง จะขาดที่พึ่งทางใจ จะไปหาหมอดูที่ไหนล่ะจะไปหาพระหาเจ้า คุยกับผีคุยกับพระ เวลาคนขาดที่พึ่งใกล้จะเจ็บใกล้จะตายจะคิดถึงพระ กระซิบบอกเบาเบาฟังเขาสอน ชีวิตเราเกิดมาไม่ถาวร จะมานอนหลงเล่นไม่เป็นการไฟสามกองปองเผาอยู่เสมอ อย่าเลินเล่อทวนทำกรรมฐาน ชีวิตเราเกิดมาต้องตายไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ถึงเวลากรรมตัดรอนก็ต้องตายทั้งนั้น ก่อนตายญาติมิตรบอกให้คิดถึงพระอรหัง รู้ยากที่สุด คุณพระพุทธัง เพราะกำลังเวทนา ทุกขัง จะพึ่งใครได้เวลาจะตายจากโลกไป จะพึ่งสามีภรรยาก็พึ่งไม่ได้ พ่อแม่ก็จะพึ่งลูกไม่ได้ ลูกก็จะพึ่งพ่อแม่ไม่ได้ เวลาจะตายจากโลกไปความทุกข์ความระทมขมขื่น จะไปพึ่งใครเขาได้ พึ่งไม่ได้แน่นอน ขอเจริญพรอย่างนั้น

ท่านต้องตีความหมายให้เข้าใจ อย่างไปพึ่งใครเขาเลยพึ่งตัวเองเถิด อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตนเท่านั้นเป็นที่พึ่งแห่งตน นี่ละท่านทั้งหลายเราอยู่กันหลายคน มีปัญหามากคน ถ้ามีบริษัท มีแต่ปัญหามาก ถ้าคนมาก ปัญหามาก อยู่กับปัญหาต้องสู้กับปัญหา ต้องแก้ปัญหา ตั้งสติไว้จะได้ไปแก้ปัญหาได้ ถ้าขาดสติสัมปชัญญะ ท่านจะแก้ปัญหาไม่ได้เลยจิตใจท่านจะตก กระแสไฟหมดแล้ว แบตเตอรี่ก็หมดไฟ พอหมดไฟแล้วไม่เอาใจใส่ต่อไป สมาธิภาวนาหม้อเบตเตอรี่จะเสีย จิตจะตกมันจะเบลอ จิตจะเกิดเครียด ประสาทจะเครียดแล้ว เอาตัวไม่รอด ในเมื่อจิตตกระดับ ๘๐% ตกวงจรของสมาธิแล้วรับรองไปไม่รอด เครียด มีลูกมีหลานระวังถ้าเครียด ตกวงจรรับรองว่าเบลอ ไม่ต้องเรียนหนังสือ ไม่ต้องเรียนต่อไปแล้ว มีหลายรายที่มาที่วัด อาตมาขอฝากญาติโยมเอาไว้ด้วย อย่าให้เบลอ อย่าให้เครียด ท่านจะกล่าวไปอย่างนั้น น่าเสียดาย ขอฝากไว้คนเราเหมือนกันไม่ได้ ไปทิฏฐิเสียใจด้วย ขอให้ญาติโยมทั้งหลายพึ่งตัวเองให้ได้ ไม่ต้องหมายไปพึ่งคนอื่น พึ่งไม่ได้แน่ พึ่งตัวเองเถิด แต่เราให้เขาพึ่งเรา ดีกว่าเราไปพึ่งเขา

ท่านทั้งหลายที่เจริญกรรมฐาน ขอให้ตั้งจิต ตั้งสติกำหนดที่ลิ้นปี่นี่ รู้หนอ… ครั้งละ ๕ จุดหนึ่ง ๕ ครั้ง จุดหนึ่ง ๕ ครั้ง ๑ วินาที ๕ ครั้ง ๑ นาที ๕ ครั้ง ๑ นาที ๕ วินาที ๕ นาที ๕ ครั้ง กำหนดยาวๆ รู้หนอ… ตั้งสติให้นาน จากไวไปหาช้าแล้วจากช้ามาหาไว สติท่านดี ท่านจะรู้ได้ รู้จริงว่านี่เคราะห์ร้ายจริงไหม เคราะห์ไม่ร้ายเลยนะ อย่างไปเชื่อคนบอก อย่างไปเชื่อเขาว่าอย่างโน้นอย่างนี้ เคราะห์จะร้ายจะต้องตายเดี๋ยวนี้ จะต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ เป็นต้น อย่างไปเชื่อให้ตื่น บางคนตื่นข่าว ทำให้จิตมันตกไปเปล่าๆไม่เกิดประโยชน์แต่ประการใด คิดว่าเคราะห์ เขาว่าหมอดูเขาบอก เราก็เจริญกรรมฐาน ตั้งสติไว้ให้ดีจะไม่เคราะห์ร้าย เคราะห์จะหาย เคราะห์ร้ายจะกลับดี เคราะห์ดีจะมีโชคโฉลกดีต่อไป ถ้าจิตดีแสงสว่างดีแล้วมันจะเกิดโชคลาภ มันจะมีกิจการงานเพิ่มขึ้นจากแสงสว่างคือกิจการงานก็มากขึ้น แสงมันมืด แสงมันริบหรี่ คือ กิจการงานมันก็น้อยถอยหลังลงคลองไปก็มืด ร้านค้าก็มืด ไม่มีใครมาซื้อเลยนะ เขาต้องการร้านค้าที่สว่างไสว ร้านค้ามีแสงสว่างไสวมากมาย เห็นโน่นเห็นนี่ เห็นรถคันนั้น คันนี้สวย คันโน้นสวย ก็ขายดิบขายดีขึ้น นี้คือ กำลังจิดเป็นพลังงานที่เราจะรู้เหตุการณ์ชีวิตของเราได้

ขอฝากนักปฏิบัติไปด้วย เมื่อไม่สบายใจก็กำหนดตั้งสติเป็นหมดดูพิเภกโหราอยู่ในสุวรรณพลับเพลา คือตัวสติไอ้ทศกัณฑ์ยักษ์ร้ายก็จะต้องตาย เอาหัวใจไปฝากคนอื่นไม่เป็นตน ตนของมันคือ ไอ้ทศกัณฑ์สิบเศียรยี่สิบกร ก็ต้องตายด้วยหณุมาน เราก็เช่นเดียวกันอย่างไปตายแบบลิง ทิ้งขว้างจิตใจหละหลวมเหลวไหล ใจไม่มั่นคง ดำรงศาสน์ ชีวิตจะประมาทในโอกาสต่อไป ไหนเลยเล่าท่านจะได้ดีท่านจะมีปัญญา ที่เรามาปฏิบัติธรรม ใช้ธรรมะเป็นแนวนำชีวิต ไม่มีคนอื่นช่วยท่านได้ เรามีบุตรธิดาก็ช่วยแบกหามได้ เรามีทุกข์เราก็ต้องช่วยกัน ทุกข์นอกทุกข์ใน ปวดอกปวดใจ จะตายแล้ว ลูกก็ช่วยไม่ได้ ไม่มีใครช่วย แฟนก็ช่วยไม่ได้ สามีก็ช่วยไม่ได้ ภรรยาก็ช่วยไม่ได้แน่ ช่วยกรรมง่ายอย่างนั้นหรือสามีภรรยาบางบ้าน อาตมาเสียใจด้วย เป็นได้แค่เพื่อนตอนนอน ไม่เป็นเพื่อนทุกข์ เวลาทุกข์ก็หนีเลย เวลาเป็นเพื่อนแค่นอนคืนเดียว นอนติดกันแค่นั้นหรือ เวลาทุกข์ก็หนีเลย เวลาทุกข์ระทมขมขื่น ไม่มาดูลูกเต้า ขอฝากไว้เพื่อนที่รักคือ เพื่อนนอนเพื่อนกิน แต่เพื่อคู่ทุกข์คู่ยากคู่ลำบากด้วยกันมีน้อย มีลำบากเหลือเกิน มีน้อยมาก

ท่านผู้ปฏิบัติธรรมที่รักทั้งหลาย โปรดตีความหมายอันนี้สักหน่อยเถิด อาตมาวิจัยแล้วเห็นใจประชาชนคนไทยมากหน้าหลายตา ไม่มีเลยคู่ทุกข์คู่ยาก เพื่อนทุกข์เพื่อนยากลำบากมาด้วยกัน จูงกันไปถึงเมรุก็หายาก มีแต่เพื่อนนอนกับเพื่อนกิน เป็นคู่นอนกับคู่กินพอหรือ คู่ทุกข์คู่ยากที่เราลำบากรักกันดีปัญญา สนใจด้วยชีวิตดีกว่ารักกันด้วยน้ำใจรักกันด้วยเมตตามีบ้างไหม ท่านทั้งหลาย เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ ก็ตาม รักกันด้วยน้ำใจไหมและเมตตาหายาก รักกันด้วยคุณสมบัติไหม รักกันด้วยน้ำใจไหม รักด้วยความดีที่มีต่อกันหรือไม่

ในวงจรของกระแสไฟฟ้าบวกลบคูณหาร รักกันจะเกิดแสงสว่าง เพราะเพื่อนคู่คิดมิตรคู่บ้านเห็นใจสามี ภรรยาเห็นใจสามี สามีเห็นใจภรรยา ไม่จำต้องกล่าวแต่คู่นอนเท่านนั้น เป็นคู่คิดประดิษฐ์สร้างสรรค์ คู่กันมีอะไรก็ทุกข์ยากร่วมกัน สามัคคีกันในครอบครัว รับรองท่านจะอยู่กันจนกระทั่งตาย กระทั่งชีวิตหาไม่แน่ คือคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ของอาตมา รักกันดีมีปัญญา มีที่ไหน มีน้อยมาก เดี๋ยวนี้แย่มาก บอกอาตมาหลายราย กระทั่งที่สร้างสมบัติมาด้วยกันมาแบ่งแยกแตกกันแล้ว อาตมาช่วยไม่ได้ อย่างนี้เรื่องจิตใจคนเรื่องกระแสไฟของคน ไฟมันต้องเข้ากระแสกัน ไฟ ๑๓๐ หรือ ๑๔๐ หรือ ๒๓๐ ไฟเฟทไหน ๒ เส้น หรือ ๓ เส้น มันเป็นพยานหลักฐานของกระแสไฟ คือ สมาธิภาวนา ถ้าโยมเข้าถึงจิตใจเป็นกุศลเมื่อใด โยมจะมีแต่เมตตา สามีจะเห็นใจภรรยา ภรรยาจะเข้าใจสามี ต่างครองรักกันดี ที่ปัญญาแก้ไขปัญหานี่แหละ เพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากเพื่อนคู่ลำบากมาด้วยกันมีน้อยมาก

ถ้าเจริญกุศลภาวนาไปเรื่อยๆ กำหนดว่า เคราะห์ไม่ดี เคราะห์ร้าย กำหนดรู้ที่ลิ้นปี่ กำหนดรู้หนอ… ครั้งละ ๕ นาที กำหนด ๕ นาที ถึงแล้วกำหนดใหม่ รู้ ๑ วินาที รู้ ๒ วินาที รู้ ๓ วินาที ถึง ๖๐ วินาทีเป็น ๑ ชั่วโมง ชีวิตนี้จะรวมลงสมาธิภาวนา จิตใจจะได้ผล จะได้อานิสงส์สมความมุ่งมาดปรารถนาชัดเจนมาก เชื่ออาตมาเถิด ประเสริฐที่สุด เราไม่รู้ก็กำหนดให้มันรู้ให้ได้รู้จริง ให้มันผุดขึ้นมาจากดวงใจ อย่าไปรู้ปลอมตามที่เขาบอกเล่ามา ถ้าเขาบอกเล่ามาไม่เป็นความจริง อย่างคิดเลยว่าพรุ่งนี้จะมีทุกข์อย่าคิดเลยว่าพรุ่งนี้จะมีความสุข เขาจะเอาเงินมาให้เรา คิดในเดี๋ยวนี้ได้ไหม ในปัจจุบันนี่ เราต้องการมีความสุข ต้องการมีลูก มีหลานดี มีปัญญา ต้องการมีสามีภรรยา เพื่อนคู่คิดมิตรคู่บ้าน ต้องการตรงนี้มาก แล้วขอฝากไปที่ทำได้ยากไม่ยาก ไม่ง่าย ยืนหนอ… ๕ ครั้ง ทำให้มันได้ ยืนให้มันมีสติปัญญา ยืนเพ่งภาวนาในภาวะของตน กระแสก็จะเวียนวนในร่างกาย จิตก็เป็นกุศล ตั้งมั่นอยู่จิตใจของตนแล้วเห็นหนอ… มันจะรู้กระแสคลื่นของจิตคนนั้นว่าคนนั้นกำลังเลว นิสัยไม่ดี ที่เห็นนั้น คนนั้นกำลังมีชู้ คนนั้นจะไม่น่าดูพระองค์นั้นข้างในเป็นทองเหลือง พระองค์นั้นข้างในเป็นตะกั่ว มันก็จะบอกไป แล้วแต่จิตใจผู้มีได้ปัญญาด้วยความตั้งมั่นด้วยกุศลกรรมจากาการกระทำของตนเท่านั้น อย่างอื่นอย่าไปคิด คิดซิว่าวันนี้เราทำอะไร หมั่นสวดมนต์ไหว้พระเป็นต้น

บางคนก็มาถามอาตมาทั่วไป หลวงพ่อคะ บางทีก็สามีมาถาม หลวงพ่อครับ ผมไม่ได้บอกให้แม่บ้านรู้หรอกผมยักเงินไว้ ยักเงินเอาไป ผมไม่ได้บอกให้รู้เลย เอาไปให้ภรรยาก็จดเงินเดือนผม ๕ หมื่น ทำงานบริษัท ได้โบนัสมาได้ไอ้โน้นมา ได้ไอ้นี่มา ผมก็ยักไว้ครึ่งหนึ่ง แล้วก็ให้ภรรยาครึ่งหนึ่ง ไม่บอกให้ภรรยารู้ ผมจะเป็นบาปไหมครับ ผมจะเป็นบาปไหม มาถาอาตมา แล้วเคยมานั่งกรรมฐานที่นี่ด้วยเป็นผู้อำนวยการกอง บัดนี้เป็นรองปลัดกระทรวง แล้วก็ปลดเกษียณไปแล้ว ทำงานบริษัท เขาตั้งบริษัทของเขาเองภรรยาไม่ทราบ แต่อาตมาก็ถามโยมผู้ชาย ที่โยมยักไว้นั่นนะที่เอาไปต่างหาก เจตนาอย่างไร โยมผู้ชายก็บอก ผมไม่ได้เจตนายังไงหรอกครับ ผมก็ยักๆไว้ เผื่อจะใช่ส่วนตัวบ้างตั้งใจซื้อรถสักคัน ผมไม่ได้เอาไปไหนหรอก อาตมาถามว่าตั้งใจนอกใจไหม ตั้งใจฉ้อราษฎร์กับภรรยาไหม เปล่าเลยครับหลวงพ่อ ต้องการรวมไว้อย่างนี้ เผื่อภรรยาเขาขาดผมก็จะเอามาเติมให้ ถ้าเขาไม่ขาด ผมก็ขอเก็บไว้ บาปไหนครับหลวงพ่อ ไม่บาป ถ้ายักเอาไปให้แฟน เอาไปให้คนอื่น นอกลู่นอกทาง นั่นอาจจะเป็นบาปได้ ถ้ายักยอกเก็บเอาไว้ เผื่อเอาไว้เติมขาดเติมเกิน มันก็ไม่บาป ไม่บาปแน่นะโยมนะ

ถ้าเรายักยอกออกไป จะเอาไปฉุยแฉกแหลกลาญ จะเอาไปให้คนอื่น โดยที่เหนื่อยยากมาด้วยกัน เห็นจะเป็นบาปแน่ เป็นบาปที่ตรงไหนล่ะ มันบาปที่การเดือดร้อน เอาไปให้คนอื่นเขาทำไมล่ะ บางคนนี่ที่กรุงเทพฯ ที่โรงเรียนสวนกุหลาบ ยักยอกสามี ยักยอกแล้วเอาไปให้เพื่อน เพื่อนรักเพื่อนเกลอกัน สามีก็ไม่รู้ ยักยอกไปเรื่อยๆ ไปให้เพื่อนเพื่อนก็เอาไปฉุยแฉกเหลกลาญ ไม่ได้มาใช้ในครอบครัวเจตนาร้ายอย่างนี้ เห็นจะไม่ถูกต้อง เอาไปให้คนอื่นเช่นนี้ได้อย่างไร ถ้าหากว่าจะไปให้ก็ต้องสามีภรรยาร่วมกัน ถ้าเราจะยักเอามาเก็บไว้ หรือฝากธนาคารไว้ก็เห็นจะไม่เป็น ไม่มีปัญหาอะไรเลย โดย เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ เมื่อเดือนที่แล้ว โยมผู้ชายเขามาถามอาตมา เงินเดือนให้ไม่หมดได้โบนัส ได้เบี้ยใบ้รายทางมาตั้งสี่แสนห้าแสน ผมไปให้ภรรยาแสนเดียว ผมเก็บไว้สี่แสน บาปไหมครับ เอ๊ะจะบาปอะไรล่ะ เราไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แต่ถ้ายักยอกมาไปให้เมียน้อย เอาไปให้คนโน้น ไปให้แฟน ไปให้นักร้องเล่นซะเปล่าๆ ก็อาจจะเป็นได้ อาจจะเป็นบาปคือเดือดร้อน ถ้าเรามีมากเกินไปตั้งร้อยล้านพันล้านไม่เดือดร้อน มันก็จะบาปหรือก็ใช้เข้าไปให้สนุก แต่จะมีความทุกข์ถนัด มันจะบาป ขอฝากญาติโยมไว้ มีคนมาถามเยอะ ก็เห็นเจตนาดีก็คงจะไม่บาปไม่เป็นเวรกรรมอะไรหรอกถ้าเราเก็บไว้เพื่อลูก เพื่อครอบครัว

วันนี้ก็ขออนุโมทนาสาธุการแก่ผู้ปฏิบัติธรรมทุกๆท่านโปรดสร้างพลังไฟฟ้าให้เกิดแสงสว่างในตัวเองให้ได้ จะไฟวงจรเท่าไหร่ ไฟ ๑๑๐ หรือ ไฟ ๒๓๐ มันจะไฟ ๒ เส้น ๓ เส้นประการใด ก็เข้ากระแสไฟได้ตามวงโคจรของกระแสเหล่านั้น เอาอย่างนั้น ถ้าเป็นหลอดไฟฟ้า เราก็เปิดให้แสงสว่าง ถ้าตาบอดหูหนวก และจมูกเป็นไซนัส ก็เห็นจะหมดทาง หมดทางที่จะรับกระแสคลื่นไฟฟ้า หมดทางที่จะรับกระแสจิตในตัวเอง ก็เป็นอัมพาต ทำอะไรไม่ได้ เรียกว่าตัวตาย ร่างกายมันตายหมดแล้ว ไม่มีความรู้สึกแต่ประการใด ก็เป็นกรรมของเขา ก็ขออย่าให้มีกรรมอย่างนั้นกันเลยจะโปรดอธิษฐานจิต ที่สร้างบุญสร้างกุศลมา ขอให้ปลอดภัยขอให้สุขภาพอนามัยดีด้วย จะทำอะไรก็ขอให้มีความสุขความเจริญให้ลูกให้หลาน และก็ก่อนที่จะตายจากโลก ขอให้ตายให้สะดวกสบาย จากโลกไปด้วยดี มีปัญญาอย่างนี้ มีปัญญา อย่าให้ถึงกับทรมานใจเลย ก็ตั้งสติกรรมฐาน ท่านจะได้ไปอย่างสมควรถ้วนกันและสบายอกสบายใจ

ขอฝากไว้ในวันนี้ ถ้าจะลากลับไป ก็ขอให้ไปชาร์ทสตาร์ทหม้อแบตเตอรี่ของท่านเอง ไม่มีใครช่วยท่านได้ ขอให้ท่านไปทำไฟฟ้าในตัวเอง คนอื่นเขาจะช่วยไม่ได้นะ จะช่วยเติมน้ำกลั่นที่โยมก็ไม่ได้ ก็ขอให้เราเติมเอง คือตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ก็ขอความเจริญรุ่งเรืองจงมีแก่ผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน ขอทุกท่านจงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ และคิดสิ่งหนึ่งประการใด สมความมุ่งมาดปรารถนาด้วยกันทุกรูปทุกนาม ณ โอกาสบัดนี้เทอญ