ธัมโมวาทวันสงกรานต์
โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
๑๓ เมษายน ๒๕๓๙
ท่านผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน ทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ท่านนุ่งขาวห่มขาวมาบวชเนกขัมมปฏิบัติ ไม่ใช่มาบวชชีพราหมณ์อย่างที่ตั้งใจกันมาอย่างนั้น มาหาทางสงบให้กับชีวิต ทำจิตใจให้สบาย ทำจิตให้สงบ ท่านจะปรารภธรรมขึ้นมาเอง คนเราส่วนมากไม่แสวงหาบุญอย่างนี้ ไปทำบุญสงเคราะห์อย่างอื่นกันมากหลาย บุญที่จะมาใส่ในตัวเองให้เจริญรุ่งเรื่องในชีวิตนี้หายากมาก ไม่มีใครจะแสวงหาแต่ประการใด ไปแสวงหาความสุขนอกตัวเอง นอกจิตใจเสียมาก หาความสนุกในสังคมกัน เป็นที่น่าเสียดายมาก
โอกาสอำนวยให้ท่านแล้ว ระยะว่างในมหาสงกรานต์เขาหยุดงานกัน บางท่านก็ไปเที่ยว น่าจะไปสงกรานต์บิดามารดาตามประเพณีพระพุทธศาสนา จะจากบ้านเมืองไปไกลอยู่ถึงสหรัฐอเมริกาหรืออยู่ประเทศใดก็ตาม ถึงเวลามหาสงกรานต์มารายงานให้พ่อแม่ทราบว่า กิจการของลูกนี้ได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ประการใด นี่คือจุดมุ่งหมายของสงกรานต์
คนรุ่นใหม่ไม่ซึ้งในรสพระธรรม สงกรานต์ไปเที่ยวสาดน้ำกันเป็นบาปเป็นกรรม ไม่น่าจะทำ คนที่รู้จริงเขาจะไปหาพ่อแม่ปู่ย่าตายายของเขา ยามตรุษจีน สารทจีน บางคนไม่ไปเที่ยว มาเจริญกรรมฐาน ได้เงินแตะเอียก็เก็บไว้เป็นทุน ก็จะได้ประโยชน์แก่ตัวเขาเอง ทุกคนได้ประโยชน์ไม่เหมือนกัน
ขอท่านทั้งหลายโปรดพิจารณาเถิดว่า เวลากาลอันใดที่เราเกิดมาในสากลโลกนั้นเท่ากันหมด ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบต่อกันเลย แต่ท่านผู้ใดหนอจะใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์แก่เวลาอันนี้บ้าง แม้แต่นาทีเดียวก็หาด้วยความลำบากมากที่จะสร้างประโยชน์ให้ชีวิต
อาตมากล่าวมาเป็นเวลานานแล้ว เรื่องจริงที่ฝากไว้ในกฎแห่งกรรมจากการกระทำของท่านทั้งหลายเอง ไม่มีอะไรลักลั่นและเสียเปรียบกว่ากัน เกิดมามีเวลาเท่ากัน แต่เวลาที่มีประโยชน์แก่ชีวิตของท่านไม่ค่อยแสวงหา ไม่มีการทำจิตทำใจให้เกิดความสุข สนุกในการทำงาน แก้ไขปัญหาชีวิตที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า บุญอย่างนี้ไม่มีใครทราบ หาคนทำไม่ได้ มีแต่ทัวร์บุญกันทั่วไป เข้าวัดโน้นออกวัดนี้ ทะลุไปไม่ได้ เสียเวลากาลที่ท่านจะต้องเกิดมาในสากลโลกมนุษย์นี้แน่นอนที่สุด ชีวิตเลยหมดค่า เวลาจึงไม่มีประโยชน์
คนสมัยนี้หาความเจริญในด้านจิตใจได้ยากมาก เจริญในด้านวัตถุ เทคโนโลยีกันมากหลาย แต่พุทโธโลยีที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแก้ไม่ตกปลงไม่ตก ไม่เจริญ ท่านจะไปได้อะไรหรือ ความสุขทางใจไม่ค่อยจะมีใครไปหาแต่ประการใดท่านได้กล่าวไว้ว่า
เวลาใดทำใจให้ผ่องแผ้ว
เหมือนได้แก้วมีค่าคือ ราศี
เวลาใดทำใจให้ราคี
เหมือนมณีแตกหมดลดราคา
อันความสุขทางใจนี้หายาก
คนส่วนมากไม่ค่อยจะแสวงหา
แสวงหาแต่ความสุขสนุกเพียงหูตา
มันจะพาชักจูงให้ยุ่งใจ
จึงแก้ปัญหาไม่ได้ ขอเจริญพระอย่างนั้น
การเที่ยวเตร่สรวลเสเฮฮา เป็นประเภทคนไร้ปัญญาคนที่มีปัญญาจะเที่ยวต้องได้ผลประโยชน์ เสียเพื่อได้ถึงจะถูกต้อง ช้าเพื่อไว จะทำอะไรก็ขอให้คล่องแคล่วว่องไว รวดเร็วทันใจ ถูกต้อง เป็นธรรม จะเป็นประโยชน์ต่อกิจกรรมของท่านทั้งหลายมาก
เรามาฝึกนี่มันต้องช้า เพื่อต้องการสำรวมสติให้อยู่กับจิตใจตลอดรายการ สำรวม แปลว่า ระลึกได้ สังวร แปลว่า รู้ตัว รู้นอกรู้ใน รู้เหนือรู้ใต้ รู้กาลเทศะ รู้กิจจะลักษณะ รู้บาปรู้บุญ รู้คุณรู้โทษ รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์ และไม่เป็นประโยชน์ ถึงจะรู้ถูกต้อง
ความรู้ของคนเดี๋ยวนี้ไม่ใช่รู้ถูกต้อง มันรู้ถูกใจ เอาแต่อารมณ์ของเราตลอดรายการ ไม่ฝึกฝืนใจ ให้เข้าสู่จุดมุ่งหมายแห่งความดีอันนี้ ท่านจะมีความสุขเจือในไปด้วยความทุกข์ ท่านจะระทมขมขื่นในชีวิตในอนาคตวันข้างหน้าเป็นกฎแห่งกรรม เวียนวนตลอดรายการ ไหนเลยจะได้ความสุขที่มันถูกต้องและแน่นอน ที่เราได้จากการเจริญพระกรรมฐาน
การเจริญพระกรรมฐานที่เรามาฝึกในวัดนี้ หรือจะฝึกวัดไหนเหมือนกันหมด แต่ขอให้ฝึกให้ดี ๓ ประการ คือ
- ๑. ระลึกชาติของชีวิตได้ไหม
- ๒. รู้กฎแห่งกรรมแล้วหรือยัง
- ๓. แก้ปัญหาได้ไหม
ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าอย่างจะระลึกกฎแห่งกรรมว่า ทำเวรกรรมอะไรไว้ จะได้แก้กรรมจากที่เราทำนั้น ไม่ใช่ให้คนอื่นไปแก้ให้เรา เราเป็นคนผูกเราก็ต้องแก้เอง เราเป็นคนสร้างกรรม เราก็เป็นคนแก้ไขกรรมเวรของเราเอง ไม่ใช่คนอื่นมาแก้ บางคนก็ให้หลวงพ่อช่วยแก้กรรมแผ่เมตตาเป็นไปไม่ได้
ท่านทั้งหลาย เราต้องแก้กรรมของเราเอง มานั่งเจริญพระกรรมฐานต้องการจะรู้เวรรู้กรรม ถ้าจิตของท่านสงบจะระลึกเหตุการณ์ได้ ชีวิตนี้จะมีความสุขเราต้องมีทุกข์มาก่อน ความสุขได้มาจากความทุกข์ คนที่จะมีสุขแท้ต้องผ่านทุกข์ระทมขมขื่นตลอดรายการถึงจะรู้จริง มันยังไม่รู้จริงกันหรอก รู้กันสั้นๆแค่หัวบันได ไม่มีการรู้ตลอดไปยาวนานแต่ประการใด ถึงอนาคตวันข้างหน้านั้น
ท่านสาธุชนทั้งหลาย เรามาบวชเนกขัมมะไม่ใช่บวชชีพราหมณ์ เนกขัมมปฏิบัติ แปลว่า มาหาความสงบของชีวิต เราสงบจิตของเรา อย่าไปสนใจกับคนอื่น อย่าไปสนใจกับเรื่องที่มันเลวร้ายในชีวิต จะทำให้เสียเวลา ชีวิตท่านจะเป็นหมัน ทรัพยากรชีวิตท่านจะหมดไปตามกฎแห่งกรรมนั้น อันนี้มีความหมายมาก
การเจริญพระกรรมฐานต้องการเอาบุญมาใส่ที่จิตของโยม ไม่ต้องไปวุ่นวาย ตัดปลิโพธิกังวล มาฝึกให้อดทน ฝึกให้ฝืนใจ ถ้าคนเราฝืนใจไม่ได้ ปล่อยไปตามอารมณ์ ตามใจตัวเองแล้ว ชีวิตท่านจะแร้นแค้น ชีวิตท่านจะไม่มีแปลนและแผนผัง ทำอะไรจะไม่รู้หน้าที่การงาน ไม่รับผิดชอบด้วยประการทั้งปวง
ขอเจริญพรว่า คนเราดีทุกคนไม่ได้ และชั่วทุกคนก็ไม่ได้ ทุกคนอยากดีทั้งนั้น แต่การจะดีได้หรือไม่ดีได้นั้น ถ้าท่านไม่ปฏิบัติธรรมรับรองว่าดีได้ยาก แต่ฝรั่งเขาไม่ได้ปฏิบัติธรรม ทำไมเขาได้ดี ข้อเท็จจริงเขาปฏิบัติทีเดียว เขามีธรรมะประจำจิตประจำใจของเขา ไม่ต้องไปไหว้พระในถ้ำในเหว เขาก็ยังเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีได้ เพราะวิธีสร้างความดีมีหลายวิธีด้วยกัน ไม่จำต้องมานั่งปฏิบัติธรรมเท่านั้น แต่จิตของท่านจะถึงขึ้นหรือไม่ จิตของท่านจะดีมีปัญญาไหม จะมีสติควบคุมจิตเข้าไว้ได้หรือไม่ คนที่ขาดสติจะว้าวุ่น วุ่นวายฟุ้งซ่าน ทำอะไรก็ไร้ผล ไม่ได้อานิสงส์ของชีวิตแต่ประการใดปัญญาก็ไม่เกิด ชีวิตล้ำเลิศไม่ได้
ปัญหามันอยู่ที่ ยืนกำหนด ตั้งสติไว้ก็ยังทำกันไม่ค่อยได้ ยืน เดิน นั่ง นอ เหลียวซ้าย แลขวา คู้แขน เหยียดขา มีสติควบคุมเข้าไว้นั่นแหละเป็นตัวธรรมะ คนไร้สติก็ขาดเหตุผล ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ไม่มีการแก้ปัญหาได้แน่นอน เพราะใจไม่สะอาด
การเจริญพระกรรมฐาน ต้องการทำใจให้สะอาด ทำใจให้บริสุทธิ์ ยุติแค่นี้ ถ้าจิตใจท่านสะอาดเมื่อใด ท่านจะพบความสว่างเมื่อนั้น จิตใจท่านยังมืด ยังสกปรกลามกอยู่ตลอดรายการ ท่านจะพบกับความมืดบอด จะไม่พบแสงสว่างแต่ประการใด มันเกิดแสงสว่างและก็เกิดความสงบชีวิตท่านจะปรารภธรรม มีกิจการงานก็ราบรื่น ร่ำรวยสวยดี มั่งมีศรีสุขตลอดชีวิตนี้ และชีวิตหน้าตลอดไป ตรงนี้แหละทำกันไม่ได้แล้วท่านจะไปเอาญาณ ๑๖ อะไรกัน
อาตมาถามหลายคนแล้ว บอกว่าไปปฏิบัติมาหลายวัดได้โน่นนิดนี่หน่อย แต่ถามไปถามมาก็ระลึกชาติไม่ได้ ไม่มีสติระลึก ไม่มีความคิดเป็นประโยชน์ต่อชีวิตแต่ประการใดไหนเลยล่ะสติจะดีอยู่กับจิตได้ จิตก็ไม่ดี ใจก็ไม่สบาย มีแต่ทุรนทุราย ฟุ้งซ่านนานาประการ ไหนเลยล่ะท่านจะเกิดแสงสว่าง คือปัญญา ที่จะสามารถแก้ไขปัญหา เพราะท่านไม่มีปัญญา ขาดความสะอาด ขาดความบริสุทธิ์
เรามาปฏิบัติธรรมต้องการชำระจิตให้สะอาด ต้องการทำใจให้สบาย ทำใจให้สงบ จะได้ปรารภธรรม มีหลัก ๓ ประการ คือ สะอาด สว่าง สงบ พระพุทธเจ้าสอนเน้นหลักในการที่เอาบุญมาไว้ที่จิตทำใจให้สบาย ทำใจให้สงบ ชีวิตท่านจะรุ่งโรจน์โชติช่วงนานาประการ จะเกิดแสงสว่างส่องทางมรรคมรรคา ท่านจะเดินทางถูกต้อง คือ มรรคแปด ที่เราทำกันอยู่ ณ บัดนี้ คือ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เจริญสติปัฏฐานสี่ ทางสายเอกของพระพุทธเจ้า แต่ส่วนใหญ่แล้วคนทำไม่ได้ ไม่ได้สนใจในการปฏิบัตินั้นสักเท่าไร
คนไม่ปฏิบัติธรรมจะทำอะไรก็ไม่เกิดประโยชน์ เช่นรับศีล ตั้งแต่ปาณา…ถึงสุรา…เป็นองค์ศีล รับแล้วปากมันก็รับแต่จิตไม่รับ จิตไม่ยอม ถ้าปฏิบัติธรรมควบคุมจิตไว้ให้ได้ทำสติให้ดี แล้วควบคุมจิตไว้จิตดีเมื่อไรแล้วก็ยอมรับ เป็นการสอนตัวเองได้ดีที่สุด
การเจริญพระกรรมฐานต้องการมีกิจกรรม ๔ ประการ คือ
- ๑. สิ่งที่ต้องแสวงหา
- ๒. สิ่งที่ควรจะละ
- ๓. สิ่งที่ควรทำให้แจ้งถึงใจ
- ๔. สิ่งที่ต้องพัฒนา
สิ่งที่ควรแสวงหา ได้แก่ ความรู้ คือ ความรู้นอก ความรู้ใน ความรู้ในจิต ในใจ รู้แจ้งเห็นจริง ดังเขาว่าแล้วถึงจะรู้ถูกต้อง
สิ่งที่ควรละ ได้แก่ ความชั่วร้ายสามานย์ ละอบายมุขไม่หาความสุขในสังคมอีกต่อไป ชีวิตท่านจะเกิดเป็นทรัพย์อันประเสริฐ จะมีอริยทรัพย์ประจำจิตประจำใจของท่าน คิดเงินไหลนอง คิดทองไหลมา เพราะมีทรัพย์ มีคุณสมบัติด้วยการปฏิบัตินั่นเอง จะมีชื่อเสียง มีความรักเกิดขึ้นแน่นอน
คนเราไม่มีทรัพย์ ไม่ได้รับความสะดวกสบายจริงๆทรัพย์ภายในไม่มีจิตใจดีไม่ได้ อริยทรัพย์ก็ไม่มี คุณสมบัติก็ไม่มีแล้ว ทรัพย์ภายนอกจะไม่ค่อยเข้ามาในบ้าน ไม่เข้ามาถึงจิตใจเพราะไม่มีแร่ดึงดูดแต่ประการใด ออกมาอย่างนี้ชัดเจนมาก
คนเราจะได้ชื่อเสียงเพราะคนเขาไว้ใจ คนไม่ไว้ใจจะมีชื่อเสียงไม่ได้หรอก เพราะไม่มีความเข้าใจ ไม่มีใครเลื่อมใสศรัทธา พูดอะไรไปใครเขาจะเชื่อได้ เขาจะไม่เชื่อฟังเราอีกต่อไป ไปไหนก็ไม่มีเมตตา ขาดเมตตาจิต ขาดเมตตาธรรมใครเขาจะสมัครสมาน รักสามัคคี ปรองดองกับเรา คงไม่มีปรองดองเป็นญาติพี่น้องกับเราแน่นอน
ขอฝากไว้อย่างนี้ นี่แหละกรรมฐานไม่ใช่มานั่งปิดหูหลับตานิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ฉันไปสวรรค์นิพพาน ญาณโสฬสขึ้น ไม่ใช่แน่ ญาณทัสสนวิสุทธิ คือ ทำใจให้สะอาดนั่นเองจิตใจไม่เศร้าหมอง จิตใจปรองดองดัน กายก็สามัคคี จิตก็สามัคคี ท่านถึงจะสะอาดนอก สะอาดใน สะอาดจิต สะอาดใจ และท่านจะเกิดแสงสว่างส่องทางมรรคมรรคา นั่งแหละ คือ ตัวปัญญา ความสงบจะเกิดขึ้น เกิดความสุขทางโลกุตระเป็นความสุขที่ไม่เจือปนด้วยความทุกข์ จะไม่มีทุกข์ระทมขมขื่น จะไม่มีรักแค้นแน่นในทรวง หึงหวงหนักหน่วงในหัวใจต่อไป จะมีแต่รักด้วยเมตตา มีความปรารถนาดีต่อทุกๆคน จะไม่มีอคติต่อท่านผู้ใด
ธรรมะ แปลว่า ฝืนใจ ธรรมมะ แปลว่า ธรรมชาติ ธรรมะ แปลว่า สร้างความดี ไม่เจือปนไปด้วยความชั่ว ไม่พาตัวไปในทางชั่วร้ายอีกต่อไป ธรรมะ แปลว่า ความสนใจด้วยจิตเป็นมหากุศล มีแต่เมตตาธรรมตลอดรายการ ท่านจะไม่เป็นคนใจดำอำมหิต ไม่ทรุณโหดร้าย ไม่ยอมฆ่าสัตว์ตัวเป็นให้จำตายแน่นอน ท่านยังมีใจดำอยู่ท่านจะฆ่าสัตว์ได้ลงคอ ปราศจากเมตตา ไหนเลยล่ะท่านจะมีกรรมฐานตั้งอยู่ในจิตใจให้มั่นคง แก้ไขปัญหาด้วยปัญญาของท่านเองได้
อาตมาพูดมานานแล้วว่า คนที่จิตไม่สงบมีอยู่ ๘ ประการคือ
- ๑. มีไม่พอ
- ๒. ใช้เวลาว่างเกินไป จิตหลั่งไหลไปสู่ที่ต่ำ ไม่มีงานทำจิตใจก็ลอยละล่องออกไปนอกเหตุผล ไม่มีกุศลแต่ประการใด
- ๓. ถูกเบียดเบียนจิตใจ
- ๔. อวัยวะตั้งอยู่ในความไม่ปรกติ ถ้าธาตุทั้ง ๔ ขาดไปธาตุใดธาตุหนึ่ง ท่านจะไม่มีความสงบแต่ประการใด
- ๕. โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ต้องเข้าโรงพยาบาลไม่พัก ถ้าไม่ฝึกปฏิบัติแล้วจิตท่านจะไม่สงบ จะโวยวาย อ่อนใจตลอดรายการ เวทนาเกิดขึ้นก็ไม่สามารถทำจิตให้สงบได้
- ๖. ถูกสิ่งแวดล้อมดึงไปในทางชั่ว อยู่บ้านคนชั่ว อยู่บ้านคนอันธพาล ก็จะดึงเราไปในทางชั่วร้าย สามานย์ จิตท่านจะไม่สงบ ปรารภธรรมไม่ได้แน่นอน
- ๗. ครอบครัวไม่มีความสุข ทะเลาะกันทุกวัน ความเห็นไม่ตรงกัน มัวหลงระแวงกันตลอดรายการ ไม่ปรึกษาหารือกัน รับรองจิตท่านไม่สงบ
- ๘. มัวเมาในอบายมุข หาความสนุกในสังคม เล่นการพนันตลอดรายการ คนนั้นจิตไม่สงบ ไม่ต้องฝึกปฏิบัติธรรม ไม่ได้ผลอย่างแน่นอน ถ้าท่าน ลด ละ เลิก หลุด วิมุตติได้ ท่านถึงจะมีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตของท่าน
ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมต้องเอาจริงจังด้วย ถึงจะมามากด้วยกันแต่ก็ต่างคนต่างทำ คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก เหมือนเรารับประทานเปรี้ยวหวานมันเค็มไม่เหมือนกัน แต่เราก็นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันได้ ต่างคนต่างเติมตามชอบ คนที่จิตใจดี ไม่ดี สามารถทำงานร่วมกันได้ ถ้าคนนั้นต่างคนต่างทำ ตั้งจิตตั้งใจทำงานก็สามารถทำงานร่วมกัน
คนเราจิตใจไม่เหมือนกันแน่นอน เพราะคนเราต่างสร้างเวรกรรมมาไม่เหมือนกัน เรามีเวรมีกรรมติดตัวมาแล้วจะแก้ไขอย่างไร ถ้าไม่เจริญพระกรรมฐาน จิตใจท่านจะไม่เข้าสู่จุดนี้ จิตจะไม่สงบ ถ้าเราตั้งสติไว้ได้จิตท่านก็จะสงบพบความสว่างแน่ ความสว่างตัวนี้ แปลว่า โล่งใจ คนไหนทำความสงบได้ สะอาดจิตสะอาดใจ สะอาดนอก สะอาดใน ที่กินสะอาดที่ถ่ายสะอาดแล้ว นี่แหละปัญญามันจะเกิด สะอาดแล้วสว่างก็เรียกว่า ปัญญา เกิดความสงบก็ปรารภธรรมขึ้นถ้าเจริญกรรมฐานทำได้อย่างนี้ได้ผลแน่ๆ
ไม่ใช่มาต่างคนต่างมาคุยกัน แล้วมาท้าวความหลังกันเล่าเรื่องโน้นเล่าเรื่องนี้ ของเก่าอย่ามารื้อฟื้น เรื่องของคนอื่นอย่าไปคิด กิจที่ชอบทำไมไม่ทำเล่า อนาคตอย่างจับมั่นคั้นให้ตาย จะผิดหวังจะเสียใจไปตลอดชีวิต ชีวิตท่านจะเป็นหมัน นี่แหละชีวิตเราจึงไม่เหมือนกันทุกคน บางคนก็ขยันหมั่นเพียรไปในทางที่ไม่ถูกต้อง บางคนก็ขยันหมั่นเพียรไปในทางที่ถูกต้องเสมอ บ้านเขาถึงมีความสุข มีความเจริญบางบ้านก็สวดมนต์ไหว้พระเป็นนิจ อธิษฐานจิตเป็นประจำอโหสิกรรมก่อนแล้วค่อยแผ่เมตตา ได้ผลอย่างสมคาดปรารถนา
บางคนไม่สนใจสวดมนต์ มานั่งเจริญกรรมฐานได้นิดหน่อย กลับไปก็เลิกแล้ว ย่อท้อ ท้อถอยใจ ท่านจะได้อะไร หรือ เรียน ม.๑ ถึง ม.๖ ต้องใช้เวลาถึง ๖ ปี แต่เรามาปฏิบัติเล็กๆ น้อยๆ แล้วจะได้อะไร สร้างความดีน้อยมากแต่สร้างความไม่ดีมากหลาย ท่านจะแก้กันไม่ได้ ท่านจะติดลบและติดหาร ไม่ติดบวกติดคูณแต่ประการใด ขอให้ติดบวกติดคูณบริบูรณ์ด้วยธรรมะ เจริญด้วยศีล สมาธิ ปัญญา จะได้แก้ปัญหาได้ ไม่ใช่นั่งกรรมฐานแล้วฉันจะไปสวรรค์ชั้นโน้นไปนิพพานชั้นนี้ เป็นไปไม่ได้
ขอฝากท่านผู้ปฏิบัติธรรมไว้ การที่ปฏิบัติไม่ได้ผลเป็นเพราะเหตุดังต่อไปนี้
- ๑. ไม่ตั้งใจทำ
- ๒. ไม่ทำติดต่อไปเรื่อยๆ ขาดตกบกพร่องมาก
- ๓. ทำๆ หยุดๆ แล้วก็เลิกไป ท่านจะได้อะไรหรือ อันนี้เป็นของตายตัว
- ๔. อ่อนแอท้อแท้ใจ นิวรณ์เข้ามาครอบงำแล้วก็เลิกเลย ถ้าท่านอ่อนแอท้อแท้ใจไม่ได้เจริญกรรมฐาน อีก ๑๐๐ ปี ท่านก็ไม่ได้อะไรติดตัวท่านไป
ถ้าไม่เต็มใจทำ ไม่มีศรัทธา ไม่ตั้งใจทำ มากับเขาเรื่อยๆเท่านั้นเอง รับรองไม่ได้อะไรเลยอย่างแน่นอนที่สุดคนที่ได้ต้องตั้งใจ สนใจปฏิบัติในหน้าที่ กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ทำความเพียรให้มาก ไม่ต้องไปสนใจกับใคร เดินจงกรม ยืนหนอ ๕ ครั้งให้ได้ ถ้าใครยืนหนอ ๕ ครั้งได้แล้วจะได้หมดเลย ได้อย่างไม่ท้อแท้ใจ
เราต้องฝึกปฏิบัติให้อดทน เรามาแสวงหาความอดทนกันในหมู่ของคนผู้ใจประเสริฐนุ่งขาวห่มขาว ทำใจให้ประเสริฐก็คือการทำกรรมฐาน ทำใจให้สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ถ้าบริสุทธิ์ได้เมื่อใดจะเกิดแสงสว่าง สว่างนอก สว่างใน สว่างจิต สว่างใจ จิตใจก็เป็นมหากุศล จิตใจท่านจะสงบ ไม่วุ่นวายไม่ฟุ้งซ่าน จะไม่คิดร้าย จะคิดแต่ความดี ท่านจะมีแต่ปัญญา ทำอะไรก็ได้เงินได้ทอง ประคองไว้ซึ่งชีวิตจิตใจมั่นคงและถาวร ท่านจะเกิดผลของท่านเอง นี่แหละท่านทั้งหลาย บางคนอยากรวย อยากสวย อยากดี อยากมี ไม่อยากจน แต่เสียใจทุกคนไม่อยากทำ ไม่อยากสร้างกิจกรรมให้มีประโยชน์
สิ่งที่ควรทำให้แจ้งถึงใจ ได้แก่ การกำหนดจิตให้ถึงจิตใจ ตั้งสติไว้ที่จิต อย่างทิ้งสติ อย่าทิ้งสัมปชัญญะ รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ยืน เดิน นั่ง นอน เดินจงกรมเดินให้ช้าที่สุดท่านจะรวบรวมสติไว้ในเครื่องคมพิวเตอร์ตลอดรายการ จะนั่งก็หายใจให้มันยาวที่สุด คนหายใจสั้นนะโมโหเก่ง ใจร้อนรนทนไม่ไหว ทำอะไรไม่เอางานเอาการ เอาแต่อารมณ์ของตัวเอง เอาแต่ใจของตัวเอง ไม่เอาใจคนอื่นเขาบ้าง
คนที่เขารู้จริง รู้แจ้ง เห็นจริง เห็นแจ้ง จะรู้ตัวเองจะอ่านตัวออก จะบอกตัวได้ จะใช้ตัวเป็น จะเห็นตัวตาย จะคลายทิฏฐิ จะดำริชอบ จะประกอบกุศล ได้ผลอนันต์ เป็นหลักฐานอันสำคัญยิ่ง
คนที่ไม่เห็นตัว ทำไปก็ไม่เห็นตัวเอง กลับไปเห็นคนอื่นทำชั่ว จะเอาตัวไม่รอด เขาให้ดูตัวเอง ให้ฝึกฝน ให้จิตใจดูตัวเองว่า ตัวเองทำอะไรถูกผิดประการใด สติจะบอกสัมปชัญญะจะทำให้เรารู้ซึ้งไปถึงจิตใจ ทำให้แจ้งถึงใจได้
สิ่งที่ต้องพัฒนา เมื่อเราทำให้แจ้งถึงใจแล้ว มีมือสองเท้าสอง สมองหนึ่ง เป็นที่พึ่งแล้ว เราต้องพัฒนาตัวเอง พึ่งตัวเอง ช่วยตัวเอง สอนตัวเองให้ได้ ถ้าท่านทำได้ตามหลักที่กล่าวมาแล้วนั้น รับรองท่านได้ผลแน่ ได้ผลถึงลูกของท่านด้วย มีบุตรธิดาจะว่านอนสอนง่าย
บางบ้านดีเหลือเกิน นุ่งขาวห่มขาว สวดมนต์ทุกวันอย่างนี้หายากแล้วได้ดีหมดทุกคน มีเถ้าแก่คนหนึ่ง มีลูกเขยลูกสะใภ้ อยู่ในกงสี ตอน ๕ โมงเย็นตีระฆังสวดมนต์ เถ้าแก่เป็นคนนำสวดมนต์ ไหว้พระ ตักบาตรทุกวัน บำเพ็ญบุญ บำเพ็ญกุศล มีลูกหลานเป็นด๊อกเตอร์หมด พอพ่อตาแม่ยายตาย แยกไปกินเหล้าเมายา เล่นการพนัน มีลูกใหม่อีก ๒ คน ว่านอนสอนยาก นี่เป็นกฎแห่งกรรมชัดเจนมาก ที่พ่อแม่นี่เองสร้างความไม่ดีให้กับลูก ทำไม่ถูกไว้กับหลาน พ่อแม่เท่านั้นที่สร้างรักให้ถูกวิธี ทำความดีให้ลูกดู นี่ตายตัวเป็นกฎแห่งกรรมที่ชัดเจนมาก ถ้าท่านเจริญกรรมฐานจะเห็นด้วยกับอาตมา ถ้าไม่เจริญกรรมฐาน ที่พูดไปนี้ท่านเองคงไม่เข้าใจ ท่านคงไม่รู้เรื่อง ก็จะเปลืองเวลาเปล่าๆ จะเอาแต่ใจตัวเองตลอดรายการ
ขอเจริญพร ขอกล่าวคำนี้ไว้สักคำหนึ่งว่า
“ผู้หญิงที่น่าเกลียด คือ ผู้หญิงที่ทำตามใจตัว
ผู้ชายที่น่ากลัว คือ ผู้ชายที่ไม่รู้จักเกรงใจคน”
คนประเภทนี้น่ากลัวมาก ไร้ธรรมะ ขาดเหตุผล
การเจริญกรรมฐานต้องตัดปลิโพธิกังวล อย่างไปสนใจไม่ต้องไปห่วงใยบ้านเรือน จิตใจจะได้สงบ ท่านจะได้มีปัญญาไปแก้ไขปัญหาในชีวิตและครอบครัวของท่าน ไม่ใช่มานั่งคุยกัน ขอฝากญาติโยมไว้
อาตมาพูดอยู่เสมอว่า
“คนโง่ชอบเอาสติไว้ที่ปาก คนฉลาดชอบเอาสติไว้ที่ใจ”
มีอะไรเกิดขึ้นก็มีสติสัปชัญญะ จะแก้ปัญหาได้ต่อหน้าต่อตา คือ ปัจจุบันนั่นเอง ปัจจุบันถึงจะเป็นความจริงอดีตเป็นความฝัน อนาคตไม่แน่นอน อย่างจับให้มั่นคั้นให้ตาย ท่านผิดหวังจะเสียใจตลอดชีวิต
การเจริญกรรมฐานทำให้รู้กฎแห่งกรรมว่า เราทำอะไรไว้ จะได้แก้กรรมของตัวเอง ไม่ใช่คนอื่นมาแก้ให้ เราไปขอยืมเงินขอยืมทองเขามาแล้วให้คนอื่นรับใช้ มันจะถูกต้องไหมคงจะไม่ยุติธรรมกระมัง กฎแห่งกรรมนะท่านทั้งหลาย บางคนด่ากัน ว่ากัน พ่อบางคนเตะลูกทั้งรองเท้า เป็นเวรกรรมเจริญกรรมฐานไม่ได้หรอก ต้องอโหสิกรรมกันก่อน บางคนด่าสามี ทำกรรมฐานไม่ได้ผล เพราะไม่ได้อโหสิกรรมก่อนบางคนคิดกับพ่อไม่ดี คิดกับแม่ไม่ดี ไม่ต้องทำกรรมฐานะไม่ได้ผล ถ้าไม่อโหสิกรรมก่อนไม่ได้ผล เหมือนเราไปแจ้งความที่โรงพัก ถ้าไม่ถอนแจ้งความมันก็มีความผิดต่อไปเป็นกฎแห่งกรรมนะ เราต้องถอน เราไปพูดด่าเขา ก็ขออโหสิกรรม ถอนคำพูดออกจากการด่าเขาเสีย ถึงจะไม่มีเวรกรรมติดตัวไป อันนี้มีประโยชน์มาก ผู้ที่เจริญกรรมฐานถึงจะรู้ได้
ขอฝากนักกรรมฐานไว้ด้วย ยืนหนอ ๕ ครั้ง ต้องกำหนดให้ได้ กำหนดให้ช้าที่สุด ถ้าสติผนึกบวกกับจิตได้ ท่านจะได้รู้จริง รู้แจ้ง ถึงใจท่านเอง อารมณ์นี้เป็นอย่างไรอารมณ์นั้นเป็นอย่างไร เห็นนอน… คนโน้นเดินมามองจากศีรษะลงปลายเท้า ปลายเท้าขึ้นถึงศีรษะ มันจะบอกออกมาได้ว่า นิสัยดี นิสัยไม่ดี มีประโยชน์มาก มีประโยชน์สำหรับทำธุรกิจด้วย เราจะได้ดูคนออก
ในเมื่อเราอ่านตัวเราไม่ออก บอกตัวไม่ได้ ใช้ตัวไม่เป็น ไม่เห็นตัวตาย ยังประมาทในชีวิตอยู่ จะไปอ่านคนอื่นออกหรือ จะไปดันเอาไปว่าเขาเสียหาย พระพุทธเข้าไม่ใช้ให้ไปดูคนอื่น ให้ดูจิตใจของเราเองว่า จิตใจของเราตั้งแต่เช้ามาถึงบัดนี้น่ะได้กำไรตรงไหนบ้าง ขาดทุนตรงไหนบ้าง คิดดีหรือไม่ดี อย่างนี้เป็นต้น
พระพุทธเจ้าถึงสอนว่า จงทำใจเราให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ ถ้าใจดีอารมณ์มันก็ดีด้วย อารมณ์ดีทำอะไรก็ดีหมด ถ้าอารมณ์เสียอารมณ์ค้างทำอะไรเสียหมด อย่าทำด้วยอารมณ์จงทำด้วยสติ ทำด้วยสัมปชัญญะ
โกรธหนอ… กำหนดที่ลิ้นปี่ หายใจยาวๆ มันจะแก้ได้ แต่ไม่กำหนดกัน ไปโกรธฝังในจิตใจ แถมผูกพยาบาท ฆาตพยาเวร อิจฉาริษยาเขาต่อไป ท่านจะได้อะไรหรือ ท่านจะไม่ได้อะไรเลย
กรรมฐานแก้กรรมได้ กรรมเรามีอยู่อย่างนี้ ข้าพเจ้าผูกพยาบาทน้อง ข้าพเจ้าจะต้องเป็นความกับเขา แย่งสมบัติกัน ถ้าเรากำหนดโกรธหนอๆ ถ้าสติดี สัมปชัญญะดี มันจะอโหสิกรรมไปในตัว อย่างไปโกรธน้องเลย ช่วยน้องต่อไปเถิดมีอะไรก็ช่วยกัน มีอะไรก็แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ เดี๋ยวก็ตายจากกันไป มันจะบอกได้อย่างนี้
เสียใจหนอ… เสียใจเรื่องสามี เสียใจเรื่องลูก เสียใจเรื่องภรรยา มันจะบอกเราไม่ได้ แต่กรรมฐานบอกเราได้แน่เราก็กำหนด เสียใจหนอ… ที่ลิ้นปี่นี่ ไม่ใช่ที่หัวใจ ไปสอนไว้ที่หัวใจ บางคนบอกให้กำหนดไว้ที่หัวสมอง มันจะถูกเรื่องอะไรเล่า สูดลมหายใจ กำหนด เสียใจหนอ… เสียใจหนอ… นี่คือวิธีแก้ปัญหา
แต่เราก็ไปสร้างแต่ปัญหา เสียใจก็ไม่แก้ โกรธก็ไม่แก้แกลียดก็ไม่แก้ เลยปล่อยสะสมไว้ในจิตใจ ท่านจะเป็นบาปท่านจะมีเวรมีกรรมติดตามตัวไป ตายไปในขณะนั้นท่านจะไป นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เวลามีโลภะ ท่านตายขณะนั้นท่านจะเป็นเปรต มีโทสะท่านจะลงนรกเป็นอสุรกายมีโมหะท่านจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ออกมาเป็นผลงานอย่างชัดเจนมาก แต่วิธีแก้ไขวิธีทำ ท่านก็ไม่ทราบ ท่านจะไม่ค่อยแก้กัน
ปวดศีรษะจะแตกก็กำหนด ปวดหนอ… ปวดหนอ ช้าๆ มีสมาธิดี สติดี ปวดนั้นมันก็จะหายไป จะได้รู้กฎแห่งกรรมว่า ปวดศีรษะเรื่องอะไรกัน ปวดมาตั้ง ๗ ปี ๘ ปีแล้วปวดมาตลอด ก็เนื่องมาจากไปทุบหัวปลาขาย ลูก ๓ คนปวดทั้งหมดทั้ง ๓ คน เป็นโรคประสาท อยู่ที่สิงห์บุรีนี่เองเขามาเจริญกรรมฐานรู้กฎแห่งกรรมแล้ว เลยเลิกทุบหัวปลาขาย เปลี่ยนไปขายผัก ขายสิ่งอื่นที่ชอบธรรม สร้างอาชีพการงานด้วยความถูกต้อง จะไม่กลับไปหาอาชีพอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว ก็จะเกิดประโยชน์ต่อท่านทั้งหลาย
ไม่ใช่ว่าปวดหัวก็ไม่กำหนด ปวดขาก็ไม่กำหนด ทำอะไรก็ไม่กำหนด ตัวกำหนด แปลว่า ชะตากรรม ไม่ใช่พระพรหมลิขิตให้เรา พระพรหมบนสวรรค์จะมาลิขิตได้อย่างไร เราลิขิตเอง เราขีดเส้นตายของเราเอง เราสร้างกรรมของเราเอง เราขัดตัวเองใช่หรือไม่ ขอให้ท่านทั้งหลายโปรดให้ทราบความนี้ไว้
โยมบางคนมีความรู้มากกว่าอาตมาอีก แต่แก้กรรมไม่ได้เสียใจด้วยนะ บางคนลูกเกเรไม่เรียนหนังสือ มาบอกให้หลวงพ่อแผ่เมตตาให้ลูกเรียนหนังสือ ให้หลวงพ่อแผ่เมตตาให้ลูกว่านอนสอนง่าย หลวงพ่อจะไปแผ่ได้อย่างไร มันอยู่ที่พ่อแม่ของเขาไม่แก้กรรม ด่าลูก จู้จี้กับลูก จะแก้ลูกไม่ได้หรอก นอกจากพ่อแม่จะมีความปรารถนาดี แผ่เมตตาด้วยกรรมฐานแล้วสวดมนต์ พาหุง มหากาฯ แผ่ให้ลูก ลูกกลับร้ายกลายดีได้ เลิกติดยาเสพย์ติดก็เยอะแยะ แค่ตรงนี้แก้กันไม่ได้
สามีเจ้าชู้ เล่นการพนัน ดื่มเหล้า ไม่ต้องไปตาม อย่าไปตาม เกลียดยิ่งเข้าใกล้ รักยิ่งออกห่างไกล เกลียดเราก็แผ่เมตตา อย่างไปเกลียดเขา แผ่เมตตา เกลียดออกไป รักเข้ามาแทนที่ สร้างความดีต่อไป เดี๋ยวเขาก็เลิกไปเอง แต่เราไปคิดว่าสามีไม่ดีอย่างโน้น ไม่ดีอย่างนี้ ข้อเท็จจริงดูตัวเราเองเถอะ เรามานั่งกรรมฐานดูตัวเราว่า เราดีไม่พอหรืออย่างไร มันจะบอกกฎแห่งกรรมออกมาชัด อย่างไปด่าสามี อย่างว่าสามีเจ้าชู้
เขามาเล่าให้อาตมาฟังทั้งนั้น ลูกไม่ดี สามีไม่ดี ตัวเองดีคนเดียว อาตมาบอกให้มาเจริญกรรมฐาน ไม่พูดกับใครเลย จะรู้เอง ปรากฏว่า เดินร้องไห้มาหาแล้วบอกว่า ฉันไม่ดีเองหลวงพ่อ นั่นจับจุดได้แล้ว คือ กฎแห่งกรรม ถ้าตัวดีจริงดังเขาว่าแล้ว สิ่งทั้งหลายดีทั้งบ้าน ดีทั้งลูก ดีทั้งสามีขอฝากไว้ด้วย
ถ้าสามีดีแสนจะดี ภรรยาไม่ดี บ้านนั้นเอาไว้ไม่ได้เพราะภรรยานั้นเป็นแม่ใหญ่ แม่บ้านสำคัญกว่าพ่อบ้านพ่อบ้านจะเที่ยวไปงานสังคมช่างเขา เราเอาลูกไว้ให้ได้ ตั้งสติอารมณ์ ชวนลูกสวดมนต์ไหว้พระ เดี๋ยวพ่อเขาก็กลับมาเอง ขอฝากไว้นี่คือ แก้กรรมด้วยการกระทำ
ไม่ใช่เอาความร้ายไปแก้ความร้าย เขาร้ายมาอย่าร้ายตอบ เขาไม่ดีมาจงเอาความดีเข้าไปแก้ไข คนตระหนี่ให้ของที่ต้องใจ คนพูดเหลวไหลเอาความจริงใจเข้าไปสนทนา ถึงจะแก้ได้ ไม่ใช่เหลวไหลต่อเหลวไหลด้วยกันสนทนากันสามีไม่ดีแถมภรรยาไม่ดีอีก เลยต่างคนต่างแก้กรรมกันไม่ได้อยู่ด้วยกันไม่ได้แน่นอน แก้ปัญหาไม่ตก
ขอฝากนักกรรมฐานไว้แก้ปัญหาทางอายตนะ ธาตุอินทรีย์ เห็นหนอ… เห็นด้วยปัญญาอะไรเกะกะเก็บ คนมีสติมักจะเก็บของไม่ให้เลอะเทอะรุงรังไม่ให้สกปรก เสียงหนอ… เสียงเขาด่า เขาว่าอะไรก็ช่างเขาปะไร เขาด่าตัวเขาเอง ไม่ได้ด่าเรา มันไม่เจ็บเหมือนเอามีดมาแทงแต่ประการใด เขาด่า อย่าไปรับการด่าเอามาไว้ในจิตใจทำไมเล่า ทำให้เรากลุ้มอกกลุ้มใจ ทำให้เราเสียการงาน เสียหน้าที่ เสียการรับผิดชอบ เสียผู้ใหญ่ เสียการปกครอง เสียการแก้ปัญหา
ขอฝากท่านทั้งหลายที่เป็นพ่อแม่ไว้ ตามดูลูกด้วย นำลูกดีแล้วตามดูลูกด้วยถึงจะถูกต้อง ถ้าต้องการดีชวนลูกสวดมนต์ไหว้พระ อย่าไปสอนลูกกำลังทานข้าว อย่าไปสอนลูกขณะที่ดูหนังสือ อาตมาได้ตำรามาจากกรุงเทพฯ พ่อเป็นนายพล แม่เป็นอาจารย์ ลูกหนีไปดูชักพระที่นครศรีธรรมราชกับเพื่อนที่เป็นลูกนายตำรวจ ซึ่งเป็นนายพลเหมือนกัน ไปเจ็ดวันก็กลับมาแต่ไม่ได้บอกพ่อแม่เพราะกลัวจะไม่ให้ไป อาตมาไปบ้านนั้นพอดี
ลูกกลับมาก็เข้าครัวไปทานข้าว แม่กลับมาถึงตรงเข้าไปหยิกหูลูกเลย ด่าลูกว่าไปไหนมา ไม่ลาไม่ไหว้อะไร พอเห็นอาตมาเข้าเลยเงียบ มานั่ง สักประเดี๋ยวพ่อมา ตรงเข้าไปตบลูกเลยว่า ไปไหนไม่บอก เลยจานข้าวลอยออกเป็นสองเสี่ยง ลูกวิ่งร้องไห้เข้าห้องไป ลูกกำลังเรียนปริญญาโทนะเขาทำต่อหน้าอาตมาเลย
ถ้าพ่อเป็นคนดี แม่เป็นคนดี ก็จะเข้ามากอดลูก เอาขนมมาให้ลูก ให้ลูกมีกำลังใจ แต่พ่อแม่ทำอย่างนี้ไม่มีน้ำใจเลย รักลูกไม่ถูกทาง ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ ตั้งแต่วันนั้นลูกเลยไม่กลับบ้าน เขาเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อแม่ด้วย เขากลับไปอยู่บ้านนายพลตำรวจตรีที่เป็นเพื่อนกับพ่อ เขาก็รักเหมือนลูกเขา จะไม่กลับบ้านพ่อแม่อีกต่อไป
การเจริญกรรมฐาน คือ การสร้างกุศลจิตอันดับหนึ่งทางพระพุทธศาสนา เอาบุญมาใส่ใจให้มีความสุขความเจริญรุ่งเรืองทั้งบ้าน จะพูดจาก็ไพเราะเพราะพริ้ง พูดวาจาสัตย์เป็นวาจาที่ไม่ตาย พูดจริง ทำจริง ทุกสิ่งก็ได้ผล ได้อานิสงส์ดังที่กล่าวมาแล้วทุกประการ
ถ้าลูกเกเรเกเสไม่สนใจกับพ่อแม่ ก็ขอให้คุณพ่อคุณแม่นั่งกรรมฐาน แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้กับเขาได้ผลแน่ๆ ให้เขามีความสุข ความเจริญ ใครหนอไม่รักลูก ทุกคนรักลูกดั่งแก้วตาด้วยกันทุกคน แก้วตาขาว คือ ลูกชาย แก้วตาซ้าย คือ ลูกสาวหน้าขาวๆกันทุกคน ทุกคนหวงแหนลูกตามาก
ชีวิตจิตใจนี่คือ สามีภรรยา เป็นเพื่อนคู่คิดเป็นมิตรคู่บ้านกัน มีอะไรก็หนักเอาเบาสู้ หนักนิดเบาหน่อย ให้อภัยกันเถิด บ้านนั้นจะประเสริฐ ญาติโยมที่มานี่ตั้งใจทำใจให้ประเสริฐในหมู่คน ผู้มีใจประเสริฐจะมีพระประจำใจ มีขันติความอดทน ต่อสู้ต่อเหตุการณ์
ขอฝากนิสิตนักศึกษาที่นี่ด้วยว่า
ความอดทน เป็นสมบัติของนักต่อสู้
ความรู้ เป็นสมบัติของนักปราชญ์
ความสามารถ เป็นสมบัติของนักประกอบกิจ
ความมีระเบียบทุกชนิด เป็นสมบัติของผู้ดี
ถ้าคนขาดระบบ ไม่มีระเบียบ ทำอะไรไม่เพียบด้วยวินัย ไม่เป็นชาติผู้ดีหรอก คนผู้ดีจะจัดบ้านเรียบร้อย ทำอะไรก็เรียบร้อยไปหมด ไม่ขวางหูขวางตาแต่ประการใดกรรมฐานต้องการตรงนี้
ตาเห็นหนอ… เห็นเกะกะไปหมด ตามีปัญญา ตามีทรัพย์ ตามีศีล ก็เก็บเรียบร้อย เสียงหนอ… เสียงเขาด่า เขาว่าอะไรกัน เราก็ไม่รับฟัง หูฟังด้วยปัญญา ให้มีศีลอยู่ที่หูมีสติสัมปชัญญะในการฟัง ฟังแต่เรื่องที่ดี อย่าไปฟังเรื่องเลวร้ายของคนอื่นต่อไป คนเรานี่ก็แปลก ที่ดีไม่ค่อยจะฟังกันตาก็เหมือนกันชอบไปดูเขาตีกัน ชอบไปดูรถค่ำ รถชนกันละชอบไป ออกไปช่วย ช่วยแกะนาฬิกาบ้าง ช่วยปลดสร้อยบ้างใช้ไม่ได้ ขาดเมตตา ถ้าเจริญกรรมฐานท่านจะทำไม่ลง ท่านจะมีแต่ให้กับช่วย ท่านจะรวยมหาศาล ยิ่งให้ยิ่งรวยยิ่งสวย ยิ่งดี ยิ่งมีปัญญา
ขอฝากญาติโยมไว้
“ยิ่งให้ก็ยิ่งได้ ยิ่งหวงก็ยิ่งอด หมดไม่มา
เราไม่หวง เราไม่อด หมดมาเรื่อยๆ”
รวยแน่ๆ โยมหญิง โยมชาย อยู่กับอาตมาเป็นพันก็ยอมเลี้ยง ขอให้อยู่จนข้าวสารหมดค่อยกลับบ้าน จะอยู่ไหมรับรองไม่ได้กลับหรอก ข้าวสารวัดนี้ไม่มีหมด ข้าวสารจากภาคอีสานจะมาอีแล้ว
ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ท่านทั้งหลาย และขอทุกท่านจงเจริญไปด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ นึกคิดส่งหนึ่งประการใดสมความมุ่งมาดปรารถนา ด้วยกันทุกรูปทุกนาม ณ โอกาสบัดนี้เทอญ
ผู้ถอดเทป : รัชดา แมลงภู่
๑๖ พฤษภาคม ๒๕๓๙