ชีวิตลำบาก…
เมื่อพบหลวงพ่อจรัญแล้วสบาย
โดย ประเสริฐ ศรีทับทิม
ชีวิตของผมหากจะพูดไปแล้ว อาจจะเหมือนกับนิยายเรื่องหนึ่งก็ไม่ปาน จากชีวิตต้องสู้ของเด็กบ้านนอกคอกนาจนๆ คนหนึ่ง ย่านรังสิต ปทุม-ธานี ต่อสู้กับชีวิตด้วยความยากลำบากนานับประการ อดมื้อกินมื้อ ทำงานทุกอย่างที่สุจริตชนจะพึงกระทำได้ ล้มลุกคลุกคลาน บ้าง ประสบความสำเร็จบ้างปะปนกันไป
และแล้ววันหนึ่ง เหมือนบุญกุศลของผมยังมีอยู่ ได้พาให้ผมมาพบแสงธรรมแห่งชีวิตที่ช่วยส่องเป็นแนวทางให้ผมได้ยึดถือปฏิบัติ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ทำให้ชีวิตของผมเป็นผู้เป็นคนได้ก็เพราะ “คำสอนของพระเดชพระคุณ ท่านพระราชสุทธิญาณมงคล” ครับ
ผมขอเริ่มเรื่องชีวิตความลำบากของผมตั้งแต่เด็กจความได้ มีดังนี้ครับ
ผมเกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่๑๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๗ ณ ท้องทุ่งรังสิต ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ ๔ หมู่ ๖ ซอยอยู่ดี ถ.รังสิต-นครนายก ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญญบุรี จ. ปทุมธานี โทร. (๐๑) ๙๘๙-๑๑๒๙
ชีวิตในเยาว์วัยนั้นพ่อแม่ต้องแยกทางกันอยู่ พ่อเป็นคนมีกรรมถูกเขารังแกจนทนไม่ไหวฆ่าเขาตาย จึงต้องขายนา ๔๐ ไร่ มาสู้ความ ผลสุดท้ายต้องติดคุกชดใช้หนี้กรรม ส่วนแม่แต่งงานใหม่ ตัวผมเองอยู่กับคุณตาบ้าง แม่บ้าง ตอนนั้นอายุประมาณ ๕ ขวบ ลำบากมาก พออายุประมาณ ๗ ขวบ ไปอาศัยวัดแสงสรรค์อยู่ ก็ไปมาระหว่าง บ้านกับวัด เมื่อแม่แต่งงานใหม่จึงอาศัยร่มใบบุญของหลวง ปู่ปลั่ง อุตตโม วัดอาวาสวัดแสงสรรค์เป็นที่พึ่ง วันหนึ่งในขณะที่บวชเณรอยู่ อายุประมาณ ๑๖ ปี ลงสรงน้ำที่คลองหน้าวัด เห็นโยมแม่เกี่ยวข้าวก็รู้สึกสงสารโยมแม่มากเพราะตัวเราเองไม่ได้ช่วยท่าน
เช้าวันหนึ่งขณะที่บิณฑบาตมาถึงบ้านโยมคนหนึ่ง
โยมคนนั้นกำลังใส่บาตรพระอยู่ เมื่อผมเดินไปถึงเพื่อจะรับบาตร โยมคนนั้นเห็นผมเป็นลูกคนจน จึงไม่ยอมใส่บาตรและเก็บขันข้าวกลับเข้าบ้านไป ตัวของผมมีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมาก และนึกในใจอยู่เสมอมาว่า ชีวิตเราจะต้องทำให้ดีให้ได้
ผมบวชเณรอยู่๒ ปี ทนเห็นโยมแม่ลำบากเกี่ยวข้าวหน้าน้ำไม่ไหว จึงตัดสินใจเข้าไปกราบลาหลวงปู่ปลั่งหลวงปู่ท่านสอนว่า “ให้ทำแต่ความดี” และก่อนจะสึกท่านถาม ๒ ครั้งว่า
“เจ้าออด (ชื่อเล่นของผม) มะนาวกลมใครกลึงวะ ?”
ผมตอบ “เกิดจากธรรมชาติครับ”
หลวงปู่ “หนามแหลมใครเสี้ยม”
ผมตอบ “เกิดจากธรรมชาติครับ”
หลวงปู่ “เออ เอ็งไปเถอะ เอ็งมีปัญญาอยู่กับตัวไม่ตายหรอก”
เมื่อสึกออกมาช่วยน้าสาวน้าเขยเดินเรือข้าวอยู่ครึ่ง
ปี ก็มานอนคิดว่าถ้าทำอย่างนี้ เห็นทีตัวเราคงไม่มีอนาคตแน่ จึงบอกกับน้าว่าจะไปกรุงเทพฯ น้าทั้งสองก็โกรธมากไม่อยากให้ไป และผมได้เดินไปหาแม่ที่บ้านพ่อใหม่ บอกแม่ว่า “แม่ครับผมจะไปกรุงเทพฯ ผมยังไม่ได้กินข้าวเลย”แม่จะให้กินข้าว แต่ผมเกรงใจพ่อใหม่ แม่ตักข้าวกับไข่ต้มมาให้๑ ฟอง เมื่อกินข้าวเสร็จ ผมได้กราบเท้าแม่ ๓ หนและบอกว่า “แม่ครับผมขอไปตายเอาดาบหน้า”
ระหว่างเดินผ่านวัดแสงสรรค์ที่เคยบวชเณร ได้เข้าไปกราบหลวงพ่อเพ็ชรในโบสถ์ และบอกกับท่านว่า “ถ้าไม่ได้ดีแล้วจะไม่กลับรังสิต” ซึ่งรังสิตในสมัยนั้นไม่มีความเจริญเลย เมื่อประมาณ ๕๐ ปีที่แล้วมีแต่ท้องนาและต้นไม้ ระหว่างเดินจะมาปากคลอง ๒ มีก้อนดิน ๑ ก้อนเดินออกมาจากบ้านแม่ด้วยความคับแค้นใจ จึงใช้เท้าเตะ ก้อนดินอย่างแรงเพื่อให้เจ็บ และจำได้ว่ารสชาติของความจนเป็นอย่างไร เมื่อเดินมาถึงบ้านยายชุ่ม เอมอ่อง คุณยายได้แนะนำให้ไปหาลูกชายของคุณยายชื่อ น้าสำราญเอมอ่อง อยู่แถวดินแดง
ตอนนั้นประมาณปี ๒๔๙๕ มาหางานทำในกรุงเทพฯแต่ยังไม่ได้งานทำ จึงรับจ้างแบกปูนก่อสร้างโรงพยาบาลสงฆ์ (ในสมัยนั้นเพิ่งจะมีการเริ่มสร้าง รพ. สงฆ์ขึ้นเป็นครั้งแรก) ได้รับค่าแรงวันละ๑๒ บาท ตกกลางคืนได้อาศัย ข้างศาลาวัดสะพาน ดินแดง เป็นที่พักแรม
ยู่มาวันหนึ่งชีวิตของผมผันแปร น้าสำราญได้แนะนำให้รู้จักกับ นายทุ้ย เฉลิมฉัตร์ หัวหน้างานเทศบาลแผนกกำจัดอุจจาระ ได้ช่วยให้ผมเข้าทำงานที่เทศบาลเป็นพนักงานตัดหญ้ารายวันๆ ละ๑๙ บาท ในช่วงนี้ผมได้อาศัยเวลาว่าง ไปเรียนกวดวิชาที่วัดสุทัศน์ เสาชิงช้า โดย มีอาจารย์เพทาย อมาตยกุล เป็นเจ้าของและอาจารย์ใหญ่ผมได้เข้าไปกราบท่านและบอกกับท่านว่า “จะขอเรียนกวดวิชาความรู้” ท่านถามผมว่า “บ้านอยู่ที่ไหน” ผมตอบท่านว่า “ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดครับ บ้านอยู่รังสิต ปทุมธานีผมเป็นลูกคนจน พ่อติดคุก แม่มีพ่อใหม่ ตัวผมอาศัยวัดอยู่ อยากมีวิชาความรู้ครับ แต่ไม่มีเงินค่าเล่าเรียนครับ”อาจารย์เพทายฯ ท่านเมตตาให้ผมเรียนฟรี ไม่เก็บค่าเล่าเรียน จนกระทั่งจบ ม. ๓ บางครั้งท่านยังให้เงินใช้ด้วยผมได้ตอบแทนบุญคุณท่านด้วยการปัดกวาดเช็ดถู ทำความสะอาดโรงเรียน กวาดพื้น ล้างส้วม ระหว่างนั้นท่านอาจารย์ได้ซื้อรถมาใหม่ ยี่ห้อซิมคาร์ มาจากเชียงใหม่เป็นรถพวงมาลัยซ้าย ท่านสอนให้ขับ นับว่าเป็นบุญอันยิ่งใหญ่ที่ท่านอาจารย์เพทยฯ ได้สอนผมให้รู้อะไรใหม่ๆ
ปี ๒๔๙๖ ปลายปี ได้พบพี่เสน่ห์ เป็นนักพากษ์หนังขายยาเปอร์รี่วิท เชิงสะพานเหลืองสอนให้ขับรถ เป็นคนโฆษณาขายยา กรอหนัง แบกยาส่งตามร้าน เพราะผมอยากได้วิชาความรู้ ชีวิตประสบความสำเร็จ พูดเก่ง พูดเป็น พากษ์หนังได้ สินค้าก็ขายดี
ปี ๒๔๙๘ ระหว่างทำงานโดนเกณฑ์ทหาร อยู่ที่โรงพยาบาลเสนารักษ์ พระมงกุฎเกล้าฯ และถูกส่งไปเรียนวิชาพลพยาบาล ที่โรงพยาบาลอนันท์ ลพบุรี อยู่ประมาณ ๖ เดือน และไปสอบใบประกอบโรคศิลป์ได้ สามารถฉีดยา รักษาคนไข้ ปลูกฝี เป็นบุรุษพยาบาลคอยช่วยเหลือแพทย์ คนที่ให้วิชาความรู้ในสมัยนั้นคือ ร.อ. สัดดาเนตร บุญญรัตน์พันธ์, น.พ. อโณทัย แย้มยิ้ม และอีกหลายท่านจำชื่อไม่ได้ รับใช้ท่านมาโดยตลอด ขับรถให้บ้าง เช็ดรถ บ้าง ท่านก็เมตตารักใคร่
เมื่อปลดประจำการ จึงไปสมัครทำงานที่ บริษัทดีทแฮมล์ จำกัด โดยสมัครเป็นพนักงานขาย แต่บริษัทฯ มีการสอบภาษาจีนจึงสอบไม่ได้ ก็เลยสมัครเป็นพนักงานขับรถ ได้เงินเดือนประมาณ๗๐๐ บาท อยู่ได้ ๔-๕ เดือน ไปช่วยเซลล์ขายของโชห่วย เช่น นมตราหมี โอวัลติน น้ำมันใส่ผมไบรท์ครีม สบู่หอมคาเมย์ แชมพูลีน ผ้าอนามัยโกเต็กซ์ เป็นต้น เหตุที่ขายก็เพราะว่า เซลล์กลับไปแต่งงาน ผมจึงต้องขายเอง เก็บเงินเอง จนเมื่อ มร.เซ็นต์เฮา-เซอร์ ชาวสวิส พอพูดไทยได้บ้างมาทำการตรวจตลาดระหว่างที่ขายอยู่นั้น มร. เซ็นต์เฮาเซอร์ไปพบเข้าได้สอบถามถึงเซลล์ ผมก็เลยบอกว่า “องอาจ (เซลล์) ไปห้องน้ำครับ” เพราะผมไม่กล้าบอกความจริง ระหว่างนั้นผมก็ขาย สินค้าและเก็บเงินไปเรื่อยๆ จนเวลาประมาณ ๑๐ โมงเช้า มร. เซ็นต์จึงถามว่า “ประเสริฐ องอาจไปตกส้วมตายแล้วหรือ” และก็ขอตรวจสอบใบเสร็จรับเงิน ปรากฏว่าเป็นลาย มือของผม จึงได้สั่งให้เอารถกลับสำนักงานใหญ่ที่ถนนเจริญกรุง เพื่อพบกับผู้จัดการใหญ่ และเลื่อนตำแหน่งเป็น ผู้จัดการฝ่ายขาย ได้ปฏิบัติงานขายเรื่อยมา จนกระทั่งสามารถปลูกบ้านได้ ๑ หลัง ส่งลูกเรียนหนังสือจนจบ ๒
คน จนวันหนึ่งได้ยื่นความประสงค์ขอลาออกต่อผู้จัดการใหญ่ ท่านได้เรียกเข้าพบเพื่อเกลี้ยกล่อมตั้งแต่วันจันทร์-วันศุกร์ วันสุดท้ายจึงโกหกว่า “แม่ให้ไปบวช” จึงได้ลาออกสมใจ
เมื่อลาออกแล้วจึงไปสมัครทำงานกับสายการบินแพนแอมที่ดอนเมือง แผนกยกกระเป๋า ในสมัยนั้นสายการ บินนี้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ทำงานได้ประมาณ ๓ ปี สามารถเก็บเงินซื้อรถเฟียต ๑๕๐๐ ซึ่งเป็นรถคันแรกใน ชีวิตที่ผมซื้อใช้เอง เพื่อทำเป็นรถแท็กซี่ป้ายดำ ต่อมาเปลี่ยนเป็นโตโยต้าและดัทสัน ผมขับรถแท็กซี่อยู่นานหลายปี ชีวิตก็ยังมีความทุกข์
อยู่มาวันหนึ่งประมาณปลายปี ๒๕๐๙ ได้มีผู้โดยสารว่าจ้างผมไปส่งที่จังหวัดสิงห์บุรี ได้ค่าโดยสาร๒๕๐ บาท เมื่อไปส่งผู้โดยสารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมตั้งใจไว้ว่าจะหาพระที่ดีๆ สักองค์ เพื่อทำให้ชีวิตของผมได้มีความสุขขึ้นมา บ้าง คงจะเป็นบุญเก่าของผมที่ดลใจให้มาพบพระผู้ประเสริฐที่ทำให้ชีวิตของผมมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ผมได้ไปสอบถามคุณป้าร้านขายข้าวแกงที่รถ บขส. ว่า “คุณป้าครับ แถวนี้มีพระดีๆ ที่ไหนบ้าง” คุณป้าก็บอกว่า “จะมาขอหวยหรือว่าจะเอาความดีล่ะ ถ้าเอาความดีก็ให้ไปหาหลวงพ่อจรัญ” ผมจึงได้สอบถามเส้นทางที่จะไปวัด และมาทราบชื่อคุณป้าในภายหลังว่าชื่อ คุณป้าโปรยเปล่ง-ศรีงาม และได้ไปกราบขอบคุณท่านที่ได้แนะนำให้ผมได้รู้จักกับพระดี
การเริ่มต้นคันพบทางสว่างของผมจึงเริ่มตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมได้ขับรถแท็กซี่ป้ายดำคู่ชีพลัดเลาะไปตาม คันคลองชลประทานบางจาก ในสมัยนั้นการคมนาคมไม่สะดวก ไม่มีถนนสายเอเชีย การเดินทางจะต้องขับรถไปทางจังหวัดอ่างทองเข้าตัวเมืองสิงห์บุรี แล้วข้ามแม่น้ำสิงห์มาทางปากบาง ขับเรื่อยมาคันคลองชลประทาน ซึ่งถนนก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก ขับมาถึงหน้าวัดอัมพวัน ถ้าจำไม่ผิดเวลาประมาณ ๕ โมงเย็น เมื่อเข้าไปในวัดไปพบกับ พี่ปุ่น ลุงฮุย ลุงหล่ำ ทิดกู่ แม่ชีมะลิ หลวงน้าประสิทธิ์ และอีกหลายท่านที่จำชื่อไม่ได้ นั่งสนทนาอยู่กับหลวงพ่อ
เมื่อผมได้พบกับหลวงพ่อจรัญแล้ว ท่านนั่งอยู่เฉยๆ ผมเองยังนึกว่าเข้าวัดผิดแล้ว ท่านได้แต่นั่งมองอยู่เฉยๆไม่ถามอะไรทั้งนั้น นั่งอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงเศษ หลวง พ่อท่านจึงได้ถามว่า ชื่ออะไร ผมจึงตอบท่านไปว่า “ผมชื่อประเสริฐ ศรีทับทิม ครับ บ้านอยู่รังสิต ปทุมธานี ขับรถแท็กซี่ป้ายดำมาส่งผู้โดยสารที่ตัวเมืองสิงห์บุรีครับ” ในสมัยนั้นหลวงพ่อจรัญอายุประมาณ ๓๕ ปี ฐานานุกรมที่พระครูภาวนาสุทธิคุณ เจ้าคณะอำเภอพรหมบุรี
หลวงพ่อได้สอนธรรมะในเรื่องของกฎแห่งกรรม ผมและคนอื่นๆ ได้นั่งฟังท่านสอนอยู่จนมืด ไฟฟ้าก็ยังไม่มี มีแต่โบสถ์และกุฏิหลังเก่าๆ เวลามีฝนตกลงมาหลังคาจะรั่วพระจะเปียกฝน ผมเห็นว่ามีดค่ำแล้ว จึงลาท่านกลับหลวงพ่อท่านบอกว่า “มืดแล้วอย่ากลับเลย” ผมก็เลยถือโอกาสนอนค้างที่วัด และสนทนากับหลวงพ่อจนถึง ๒ ทุ่มเศษ หลวงพ่อขอเวลาไปสรงน้ำ และให้แม่ชีมะลิไปต้มข้าว ต้มมาเลี้ยง มีเต้าหู้ยี้ กระเทียมดอง ไข่เค็ม หลวงพ่อบอกว่า “ทุกคนต้องทานข้าวต้ม ถ้าไม่ทานหลวงพ่อจะโกรธ” ในสมัยนั้นจะมีท่าน ท. เลียงพิบูลย์ รวมอยู่ด้วย หลวงพ่อมีอัธยาศัยไมตรีเอื้อเพื้อเผื่อแผ่ เมตตากับญาติโยมและลูก ศิษย์ที่ไปเยี่ยม ท่านให้ทานข้าวทุกครั้งเมื่อมีโอกาส ท่านบอกว่า “ถ้าทานข้าววัดอัมพวันของหลวงพ่อแล้วจะรวย” หลวงพ่อพูดอยู่เสมอ
เมื่อหลวงพ่อสรงน้ำเสร็จเรียบร้อย ท่านลงมานั่งสนทนาต่อจนถึงตี ๔ หลวงพ่อจึงขึ้นไปเคาะระฆังเองและไปทำวัตรที่โบสถ์หลังเก่า ผมจึงตามหลวงพ่อไปนั่งฟัง ท่านทำวัตรเช้าในโบสถ์ด้วย โดยมีหลวงน้าประสิทธิ์ ท่านเพิ่งจะบวชเป็นพรรษาแรกถ้าจำไม่ผิด พอรุ่งเช้าก็ลาหลวง พ่อกลับ และหลวงพ่อท่านให้ศีลให้พรและพูดว่า “ประเสริฐถ้าคิดถึงกันก็แวะมาเยี่ยมกันอีกนะ”
ตั้งแต่นั้นเรื่อยมา ผมได้ชักชวนบุคคลหลายๆ ท่านไปพบหลวงพ่อจรัญ เช่น พี่ชนินทร์ วรรักษา, พื่อรุณ สุพรศรี, พี่ประจำ ช่อทับทิม, นายช่างสงเคราะห์ รุ่งบัว, คุณหมอวีระยุทธ บุตรวงศ์ คุณป้าละมูล เจ้าของปั้มเชลล์รวมแล้วเป็นร้อยๆ คน บางท่านก็ให้ค่าน้ำมัน บางท่านก็ไม่ได้ให้ เพราะถือว่าผมมาเยี่ยมหลวงพ่อ
ในช่วงนั้น โบสถ์หลังเก่าชำรุดทรุดโทรมมาก จึงต้อง รื้อเพื่อก่อสร้างหลังใหม่ ระหว่างนั้นได้พาญาติโยมที่เดือด ร้อน และคนที่จะเลื่อนตำแหน่งมาให้หลวงพ่อผูกดวงให้ทำพิธีให้ เช่น ถ้าโยมอายุ ๔๐ จะทำบุญครบรอบอายุ ท่านจะเอาสายสิญจน์วงที่ศีรษะ๔๑ รอบ และทำเทียนชัยให้ในช่วงนั้นหลวงพ่อเหนื่อยมาก เพราะมีญาติโยมมาหาหลวงพ่อเยอะมาก
เมื่อมีการก่อสร้างถนนสายเอเชียเข้าทางสิงห์บุรีบริษัท อิตาเลี่ยนไทย ได้ทำทางเข้าวัดถวายหลวงพ่อ เมื่อโบสถ์ก่อสร้างแล้วเสร็จ ทางบริษัทฯ ได้จัดทอดกฐินถวายหลวงพ่ออีกด้วย
ในระหว่างการก่อสร้างโบสถ์อยู่นั้น ผมได้พาคนไปวัดเพื่อทำบุญ จัดทอดผ้าป่าบ้าง แจกซองบ้างเท่าที่จะทำได้ จนโบสถ์แล้วเสร็จ ได้รู้จักกับท่านทองย้อย ชโลธร ท่านเป็นคหบดี ได้มาช่วยสร้างพระประธานในโบสถ์ให้การก่อสร้างโบสถ์ใช้เวลาไม่ถึง ๑ ปี ใช้เงินประมาณ ๘แสนบาทเศษ หลวงพ่อได้เน้นการก่อสร้างแบบประหยัดและใช้งานได้ทุกประเภท จึงจัดงานฝังลูกนิมิตโดยหลวงพ่อจะจัด ๗ วัน ๗ คืน มีลูกศิษย์หลวงพ่อหลายคนมาช่วย กัน ตัวของผมเองยังรับหน้าที่เป็นโฆษก เมื่อจัดงานไปได้ ๓ วัน ๔ คืน หลวงพ่อได้สอบถามผมว่า “ได้ยอดเงินเท่าไหร่แล้ว” ผมจึงให้ท่านถามคณะกรรมการได้ความว่าได้เงินประมาณ ๑ ล้านเศษ พอใช้หนี้ค่าวัสดุก่อสร้างโบสถ์แล้ว หลวงพ่อบอกว่า “เลิกงาน” และทำการตัดลูกนิมิตเลย เพราะหลวงพ่อไม่อยากรบกวนญาติโยม
ผมได้พาคนที่มีทุกข์ไปพบหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อสอนว่า คนที่มีทุกข์เราต้องช่วยเขา ผมได้ทำตามที่หลวง พ่อสอน ท่านสอนให้สวดมนต์นึกถึงคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณบิดา คุณมารดา พระอินทร์ พระยม พระกาฬ ผีปู่ผีย่า ผีตาผียาย ผีสางนางไม้ เจ้ากรรมนายเวร คุณครูบาอาจารย์ ๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นดินแม่พระธรณี แม่พระคงคา ท้าวพยายม ฯลฯ
เมื่อสวดมนต์แล้ว ท่านให้แผ่เมตตาแก่ทุกชีวิตให้มีความสุขกายสบายใจ ผมถือปฏิบัติมาโดยตลอด วันหนึ่งหลวงพ่อไปเตือนผมว่า “ให้ระวังหน่อยนะประเสริฐ” แต่หลวงพ่อก็ไม่ได้บอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต่อมาผมได้ขับรถไปชนคนตายและไปปรึกษากับหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านบอกว่า “ประเสริฐ ขอจงไปรอที่เกิดเหตุ เวลาประมาณ ๘ โมงเช้า จะมีคนมาช่วย” แล้วก็เป็นจริงอย่างที่หลวงพ่อบอกไว้ในเวลานั้นคุณพี่อรุณ สุพรศรี ได้แนะนำให้รู้จักกับท่าน อัยการศาลธัญญบุรี คือ ท่านสหัส แสงฉาย อัยการจังหวัด ท่านจะไปจังหวัดอ่างทอง พื่อรุณแนะนำให้รู้จักท่านที่จ.อ่างทอง ซึ่งเป็นเรื่องแปลก ท่านอัยการนั่งอยู่เบาะหลังผมก็ขับรถไปเรื่อยๆ ไม่ได้พูดอะไรกัน พอเลยบางขันต์ท่านพูดว่าให้จอดรถ ท่านจะมานั่งข้างคนขับ และก็พูดคุย กับผม และได้ช่วยเรื่องคดีจนจบ
ต่อมาปี ๒๕๑๔ ผมได้บวชพระที่วัดอัมพวัน โดยมีหลวงพ่อจรัญเป็นพระอุปัชฌาย์ บวชได้ ๑๕ วันจึงลา สิกขา หลวงพ่อได้ดูดวงชะตาให้ผมอีก หลวงพ่อได้พูดว่า “ประเสริฐ ระวังยังมีคลื่นใต้น้ำอีก ยังไม่หมดเคราะห์” และ ก็เป็นจริงดังที่ท่านได้พูดไว้ เพื่อนของผมชื่อ โกชุ้น ขับรถแท็กซี่ป้ายดำด้วยกัน ขับรถชนกับรถตำรวจทางหลวงโกชั้นตาย ตัวผมบาดเจ็บสาหัสมาก ลูกเมียบ้านแตกสาแหรกขาด หมดทุกอย่างผมได้บอกกับ นพ.พ.อ.ประกอบ ซึ่งเป็นผู้ทำการรักษาผมว่า “ถ้าคุณหมอถอดสายออกซิเจนเมื่อไหร่ ผมคงตายแน่”
เมื่อผมหายดีแล้ว เงินทองก็ไม่มีจึงต้องจุดธูป ๙ ดอกที่วัดไชโย บอกหลวงพ่อโตว่า “ลูกขอเอาทองที่เลี่ยมไปขายเพื่อยังชีพ” จากนั้นได้เอาพระสมเด็จโตเก็บโดยใช้ผ้าเช็ดหน้าพันพระและพันไว้ที่แขน และไปปรึกษากับหลวง พ่อ หลวงพ่อบอกว่า “ประเสริฐ เธอหมดเวรกรรมแล้ว”หลวงพ่อแนะนำให้ไปทำงานเกี่ยวกับการขาย ท่านบอกว่า จะขายอะไรก็ได้ ขอให้ทำจริงๆ แล้วจะรวย
ผมจึงได้ไปสมัครเข้าทำงานที่บริษัทสยามกลการ จำกัด โชว์รูมพญาไท ซอยรางน้ำ ประมาณปี ๒๕๑๘ ก่อนที่ผมจะมาสมัครผมได้ถามหลวงพ่อว่า “ผมจะเปลี่ยนงานไปขายรถยนต์ จะดีหรือเปล่าครับ” หลวงพ่อบอกว่า “ดี ไปได้เลย ประเสริฐเรามีดีอยู่แล้ว” ชีวิตของผมเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ทุกครั้งที่ผมมีทุกข์ผมจะได้รับคำแนะนำจากหลวงพ่อเสมอ ผมได้ทำงานที่บริษัทฯ นี้ได้เงินเดือน ๙๐๐ บาท จนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการ ได้รับรางวัลเดินทางไปดูงานต่างประเทศหลายประเทศ ในช่วงนี้ผมได้ห่างหลวงพ่อไปประมาณ ๕-๖ ปี ที่ไม่ได้ไปพบท่านบ่อยๆเหมือนเมื่อก่อน อาจจะเป็นเพราะผมมีงานมาก หรือลืมที่จะนึกถึงท่าน หรือประมาทในชีวิตหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ประมาณปี ๒๕๒๕ เดือนตุลาคม ชีวิตของผมเริ่มตกอับโดยเจ้านาย เพื่อนฝูง กลั่นแกลัง ใส่ร้ายป้ายสี ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ทำการค้าทุกอย่างไม่เจริญ ผมเกือบจะต้องหนี้ไปบวชพระ เพราะผมห่างหลวงพ่อไป
ในขณะนั้นเวลากลางคืน ประมาณเดือนมิถุนายน ๒๕๓๐ ผมฝันเห็นท่านหลวงพ่อมาเยี่ยมผม ท่านพูดว่า “ประเสริฐลืมเราแล้วหรือ ไม่เห็นไปวัดอัมพวันบ้างเลย” ผมตกใจสะดุ้งตื่นขึ้นมา ดูรูปล็อกเกตรุ่นแรกสมัยที่ท่านยังหนุ่ม ซึ่งคล้องคอติดตัวผมอยู่เสมอ ผมพูดกับแฟนว่า “ผม มีหลวงพ่ออยู่องค์หนึ่ง ผมรักและเคารพนับถือท่านมาก ท่านเป็นเสมือนพ่อแม่ของผม” แล้วผมก็เอารูปของท่านขึ้นมาอธิษฐานว่า “ถ้าบุญบารมีของผมมีจริงแล้ว ขอให้ได้พบ กับหลวงพ่ออีก”
รุ่งขึ้น ผมจึงขับรถไปพบกับท่าน หลวงพ่อดีใจมาก ท่านพูดว่า “ประเสริฐ หายไปอยู่ไหนมาหรือ แทบจำกันไม่ได้” ขณะนั้นท่านกำลังสอนอุบาสกอุบาสิกาที่มาปฏิบัติธรรมอยู่บนศาลา พอสบโอกาสว่างคน ผมจึงเข้าไปกราบนมัสการหลวงพ่อใกล้ๆ และถามท่านว่า “หลวงพ่อครับผมดวงตกมากเลยครับ ตกมาหลายปีแล้ว เมื่อคืนผมได้ฝันเห็นหลวงพ่อมาเยี่ยมผม” ท่านยิ้มแล้วพูดว่า “คิดถึงกัน น่ะ” ท่านสอนให้เข้าวัดปฏิบัติธรรมบ้างแล้วจะเจริญ ผมได้ถามหลวงพ่อว่า ผมจะเปลี่ยนงานมาขายประกันจะดีหรือไม่ ท่านบอกว่า “ดีทั้งนั้นแหละประเสริฐ งานทุกอย่างที่สุจริต ไม่คดไม่โกงเขา ขอให้เราทำจริงๆ”
ผมทำงานอยู่ที่บริษัท สยามกลการ มาประมาณ ๒๐ ปี จึงได้ตัดสินในลาออก แล้วเดินเข้าไปสมัครเป็นตัวแทนขายประกันชีวิต ที่บริษัทไทยประกันชีวิต จำกัดสาขาธนบุรี ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ท่าพระ โดยไม่มีใครชักชวนผมเข้าสู่ธุรกิจนี้ ผมมาสมัครด้วยตัวของผมเอง ผมได้พบกับท่านผู้จัดการ ฝ่ายฯ คุณวิเชียร อยู่พิทักษ์ และผู้จัดการเขต คุณพี่สุรพล เดชศักดา ท่านได้แนะนำให้ผม รู้ถึงความสำคัญของการประกันชีวิต ได้แนะนำถึงอาชีพการเป็นตัวแทนว่า เป็นเสมือนนักบุญที่จะคอยเข้าไปช่วยเหลือเขาในยามที่เขาทุกข์ยาก ในยามที่ครอบครัวของเขา มีการสูญเสีย หรือเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ตรงกับคำสอนของหลวงพ่อ ที่ให้ช่วยเหลือคนที่มีทุกข์ ผมได้ตั้งใจทำงานนี้อย่างจริงจัง โดยยึดเอาคำสอนของหลวงพ่อมาเป็นหลักชัยในการประกอบอาชีพ จนถึงทุกวันนี้ ทำให้ชีวิตของผมและหน้าที่การงานมีความก้าวหน้า ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เป็นผู้จัดการเขต ได้รับความไว้วางใจจาก ลูกค้าและเพื่อนร่วมงานเป็นจำนวนมาก มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ มีบ้านให้คนเช่า มีรถยนต์ มีทรัพย์สินเงินทอง มีชีวิตที่สุขสบายมีฐานะการเงินที่ดีพอสมควร ซื้อ ที่ดินและปลูกบ้านให้ลูกสาวทั้ง๒ คน คนละแปลง ได้รับรางวัลเดินทางไปทัศนศึกษาต่างประเทศหลายประเทศ
ชีวิตของผมนายประเสริฐ ศรีทับทิม ได้มีความสุขความสบายอยู่จนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าในยามที่อยู่ดีมีสุขหรือตกอับ ผมจะนึกถึงคำสอนที่หลวงพ่อได้พร่ำสอนอยู่เสมอผมมีความรุ่งโรจน์ในอาชีพก็เพราะหลวงพ่อ ผมไม่เคยลืมคำสอนของหลวงพ่อที่ว่า ‘งานอะไรก็ดีทั้งนั้นแหละ ขอให้เราทำจริง ๆ เถอะ”
ชีวิตของนายประเสริฐ ศรีทับทิม ในชาตินี้นับว่าเป็นวาสนาอย่างยิ่งแล้ว ที่ได้มีบุญบารมีมาพบพระเถรานุเถระพระเดชพระคุณ “พระราชสุทธิญาณมงคล” (หลวงพ่อจรัญ) แห่งวัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ที่ท่านได้น้อมนำคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มา สั่งสอนให้ผมและศิษยานุศิษย์ทุกคน ตลอดจนญาติโยมพุทธบริษัทฯที่มีความทุกข์ และยังไม่พ้นจากกองกิเลส ได้ขัดเกลาจิตใจของเราให้บริสุทธิ์ ปราศจากสิ่งเศร้าหมองกระทำแต่คุณงามความดี มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
ชีวิตของนายประเสริฐ ศรีทับทิม ถ้าไม่ได้พบแสงทองจากหลวงพ่อในวันนั้น ในวันนี้ชีวิตของผมคงจะไม่ได้เป็นอยู่อย่างนี้ ผมภูมิใจและดีใจที่สุดในชีวิต เมื่อผมพบหลวงพ่อจรัญ….แล้วชีวิตสบายครับ…