คติความตายคือนิยายชีวิต

โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

เรื่อง คนตายไปแล้วจะไปเกิดหรือไม่นั้น มีความเข้าใจกันไปหลายกระแส บางท่านก็เข้าใจว่าร่างกายของคนเรานี้ ประกอบขึ้นด้วยรูปหรือวัตถุ เมื่อคนตายร่างกายก็จะฝังจมดินไป ไม่สามารถจะไปเกิดอีกได้

ในบรรดาผู้ที่เข้าใจว่าตายแล้วไม่ต้องไปเกิดอีก ก็มีความเข้าใจแตกแยกออกไปมาก เช่นผู้ตายจะต้องไปอยู่ในสวรรค์หรือในนรก ก็แล้วแต่ผลของการกระทำของตน และสวรรค์หรือนรกนั้นได้มีผู้สร้างขึ้น สำหรับลงโทษหรือให้รางวัลตลอดนิรันดร โดยไม่กลับมาเป็นมนุษย์อีก

บางท่านเข้าใจว่าคนที่ตายจะต้องไปเกิดเป็นคนเท่านั้น ไปเกิดเป็นสัตว์ไม่ได้ แต่บางท่านว่าไปเกิดเป็นคนหรือสัตว์ก็ได้ บางคนว่าจิตหรือวิญญาณหรือเจตภูมินี้เป็นอมตะ เมื่อร่างกายของคนแตกดับไปแล้ว วิญญาณก็จะออกจากร่าง ล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่

บางคนที่ศึกษาวิชาการทางโลกทางวิทยาศาสตร์มามากๆ ก็เข้าใจว่า ถ้าบุคคลใดมีลูกเต้าสืบออกไปเรื่อยๆตามหลักของชีววิทยา เพราะลูกทุกๆคนนั้นก็สืบต่อมาจากเซลล์ของพ่อแม่นั่นเอง เมื่อสืบต่อไปหลายๆชั่วแล้วชีวิตเดิมก็จะปรากฏขึ้นมาอีก

แต่บางคนกลับมีความเห็นว่า ร่างกายนั้นประกอบไปด้วยรูปหรือวัตถุ ความรู้สึกนึกคิดนั้นเป็นหน้าที่ของมันสมองซึ่งได้วิวัฒนาการทีละน้อยๆมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ จนมีอำนาจการนึกคิด และรู้สึกได้ แต่เมื่อตายแล้วก็เป็นอันหมดเรื่องกันไม่สามารถที่จะไปเกิดได้อีกเลย

เรื่องนี้เป็นเรื่องมากคนก็มากความคิดเห็น แม้แต่เจ้าของลัทธิศาสนาใหญ่ๆ หลายท่านก็มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน เพราะเรื่องคนเกิดหรือคนตาย เราเห็นได้ง่ายๆ แต่เรื่องตายแล้วไปเกิดได้หรือไม่เป็นเรื่องลึกลับ เป็นปัญหาโลกแตกมาจนบัดนี้

สำหรับคำสอนของพระพุทธศาสนานั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนว่าคนตายไปแล้วไปเกิดอีกได้ และจะไปเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์อีกก็ได้ แต่อย่างไรก็ดี พระองค์มิได้สอนไว้เฉยๆหรือลอยๆว่า คนตายไปแล้วเกิดได้เท่านั้น หากแต่ให้รายละเอียดในเรื่องนี้ไว้เป็นขั้นเป็นตอนอย่างน่าพิสดาร ถึงวิธีที่ไปเกิดได้อย่างไร มีอะไรบ้าง ไปอย่างไร เกิดอย่างไร พระองค์สอนไว้ยากง่ายๆเป็นชั้นๆ แล้วแต่วุฒิของบุคคล ผู้ใดสนใจศึกษา มีพื้นฐานดี ก็สามารถเข้าใจได้ละเอียดขึ้น

แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่า คนตายแล้วไปเกิดได้อีกก็ดี แต่ความคิดเห็นของศาสนาอีกหลายศาสนานั้น ก็ตรงกันในหลักใหญ่ๆของพระพุทธศาสนาที่ว่า “เกิดอีก” เท่านั้น เช่น ศาสนาพราหมณ์ถือว่า คนตายแล้วจิตหรือวิญญาณก็ล่องลอยออกจากร่างไปปฏิสนธิใหม่ เหตุนี้จิตหรือวิญญาณก็เป็นอมตะ ไม่มีวันตายเมื่อจากคนนี้ก็ไปสู่คนนั้น เมื่อจากคนนั้นก็ไปสู่คนอื่นๆต่อไปตามลำดับ เหมือนคนอาศัยอยู่ในบ้าน เมื่อบ้านพังลงแล้วจะอาศัยอยู่ไม่ได้ ก็ต้องเดินทางไปหาบ้านอยู่ใหม่ต่อไป

แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ตรงกันข้าม พระองค์สอนว่าจิตหรือวิญญาณนั้นมิได้เป็นอมตะ ไม่มีวันตาย หากแต่เกิดดับสืบต่อไปไม่ขาดสาย และจิตใจก็ล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่ไม่ได้เลย จะเทียบคนย้ายจากบ้านที่จะพังหาได้ไม่

ยิ่งกว่านั้นความเข้าใจที่ว่าการที่ไปเกิดได้ก็ไปแต่จิตหรือวิญญาณเท่านั้น ก็เป็นความเข้าใจผิด เพราะยังมีรูปอีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า กัมมชรูป คือรูปอันเกิดแต่กรรมก็ร่วมกันในการปฏิสนธิด้วย สำหรับในข้อนี้เป็นอีกข้อหนึ่งที่ท่านจะได้เห็นความพิสดารน่าอัศจรรย์ ในพระพุทธศาสนา เพราะไม่ว่าใครหรือศาสดาองค์ไหนที่ว่าคนตายแล้วไปเกิดได้ ก็จะต้องไปแต่จิตหรือวิญญาณเท่านั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นมิได้แสดงการตาย การเกิดให้ชัดแจ้งอย่างไร

แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่า นอกจากจิตไม่ใช่ล่องลอยไปแล้ว รูปบางชนิดก็ไปเกิดได้ ส่วนจะไปได้อย่างไร รูปอะไรบ้าง มีเหตุผลหลักฐานข้อเท็จจริง อย่างไรนั้น ขอได้โปรดอ่านต่อไป

การที่เข้าใจว่า คนตายแล้วไปเกิดได้นั้น จะต้องมีความเข้าใจในเรื่องจิต เรื่องรูป เรื่องกรรม และความตายว่าเหตุใดจึงตาย ความตายมีกี่อย่าง ขณะใกล้ตายมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง มีความรู้สึกอย่างไร และจิตใจทำงานกันอย่างไร ฯลฯ ให้เข้าใจดีเสียก่อน ดังนั้นท่านก็จะเห็นได้ว่า เรื่องตายเรื่องเกิดนี้ จะกล่าวกันง่ายๆและให้เข้าใจดีด้วยนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย

ก่อนอื่นอาตมาขอย้อนไปถึงเรื่องจิตอีกครั้งหนึ่ง ตามที่ได้กล่าวมาแล้วเป็นตอนๆว่า จิตนั้นเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ รู้นึกคิด จดจำ จิตนั้นเป็นธรรมชาติที่มีความเกิด ดับ สืบต่อกันเสมอเป็นนิจ มิได้หยุดนิ่ง และจิตนั้นเป็นนามธรรมที่ไม่สามารถมองเห็นหรือจับต้องได้ แต่ก็มีอำนาจในการสั่งสมสันดานหรือสามารถเก็บเอาอารมณ์ต่างๆไว้ในจิต แล้วก็แสดงออกซึ่งอารมณ์นั้นได้

เมื่อแยกการทำงานของจิตออกจะได้เป็นสองชนิด คือ

  • การงานที่จิตกระทำ ได้แก่การที่จิตขึ้นวิถีรับอารมณ์ต่างๆ จากทางทวารหรือประตูทั้ง ๖ คือรับอารมณ์จากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เช่น เห็น ได้ยิน คิด เป็นต้น
  • จิตเป็นภวังค์ ได้แก่ จิตมิได้ขึ้นวิถีรับอารมณ์ต่างๆจากทางทวารหรือประตูทั้ง ๖ จากทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจเลย แต่จิตก็ทำงานอยู่ตลอดเวลา คือ เกิด-ดับ และมีอารมณ์ติดมาตั้งแต่ปฏิสนธิ

การที่อาตมาแยกการงานของจิตออกเป็น ๒ ชนิด เช่นนี้เพื่อจะได้แสดงให้เห็นว่า ในขณะที่รับอารมณ์ตามทวารทั้ง ๖ นั้น จิตก็ทำงานและจิตที่เป็นภวังค์มิได้ขึ้นวิถีรับอารมณ์ จิตก็ทำงานเหมือนกัน

ข้อ ๑ การขึ้นวิถีรับอารมณ์ของจิตนั้น จิตจะรับอารมณ์หรือเกิดอารมณ์ขึ้นได้ก็จะต้องอาศัย มีผัสสะ คือการตกกระทบแล้วถ้าไม่มีผัสสะจิตก็ไม่สามารถรองรับอารมณ์ได้ เช่น เสียงมิได้กระทบหู แล้วก็จะไม่ได้ยิน รูปมิได้กระทบตาแล้วก็จะไม่เห็น และอารมณ์หรือเรื่องที่จะเป็นตัวยืนให้คิด ไม่กระทบกับจิตแล้วก็จะคิดนึกไม่ได้เลย

ข้อ ๒ ภวังคจิต คำว่าภวังค์หรือจิตตกภวังค์นี้มีพูดกันอยู่เสมอโดยทั่วไป แต่ความเข้าใจของคนเป็นส่วนมากนั้นเข้าใจว่า ภวังค์หมายถึงจิตมีความสงบ คือนั่งอยู่เฉยๆ หรือนั่งใจลอย แต่ตามหลักของปรมัตถธรรมนั้นตรงกันข้าม

คำว่า ภวังค์ หมายถึงองค์แห่งภพ หมายถึงจิตตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงจุติคือตาย ขณะใดที่จิตมิได้ยกขึ้นสู่อารมณ์ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วขณะนั้นจิตก็เป็นภวังค์ ภวังคจิตที่เห็นได้ง่ายๆ ก็คือ คนกำลังหลับสนิท ขณะหลับสนิท จะไม่รู้สึกตัวเลย ขณะใดจิตมีความรู้สึกดีขึ้นในอารมณ์จากทวารทั้ง ๖ แล้ว ขณะนั้นจิตก็พ้นไปจากเป็นภวังค์ ความจริงขณะที่เราเห็นหรือได้ยินหรือคิดนั้น จิตขึ้นวิถีรับอารมณ์แล้ว ก็มีภวังค์จิตคั่น สลับอยู่ตลอดไป ทั้งนี้เป็นไปโดยรวดเร็วมาก ดังนั้นเราจึงไม่รู้สึก

การที่อาตมาแสดงจิตที่ขึ้นวิถีรับอารมณ์และภวังคจิตนั้น ก็เพื่อจะนำท่านเข้าไปสู่เรื่องของความตายว่า คนที่กำลังจะตาย จิตกำลังทำงานอะไรอยู่ เปรียบเหมือนเทปบันทึกเสียงนั้นเอง ได้แก่บุญกุศลของคนเราที่ได้กระทำไว้

อาตมาจะบรรยายเรื่องความตาย ของคุณนายผ่องศรี ชาตะสุภณ ซึ่งถึงแก่มรณกรรมเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๑๖

คุณนายผ่องศรี เป็นศรีภรรยา ท่านนายอำเภอพิริยะ ชาตะสุภณ ขณะดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรีนั้น สามีภรรยาคู่นี้ประกอบแต่บุญกุศล ประชาชนตลอดจนกระทั่งพระเถร เณร ชี รักนับถือท่านมาก เฉพาะในระหว่างครอบครัวรู้สึกมีความรู้สึกมาก เนื่องจากปฏิบัติดีต่อกันเป็นเพื่อนสุข เพื่อนทุกข์กันมาตลอด

ทั้งสองคนนี้ งานไหน งานนั้น วัดไหนวัดนั้น ไปช่วยทุกวัดทุกงานไม่เลือกหน้า เฉพาะคุณนายเป็นแม่ครัวตามงานวัดได้เลย ไม่มีถือว่าเป็นคุณนายแล้วจะไม่ทำอะไร ทำเอาเป็นอันเป็นตาย ช่วยอย่างจริงจังจนเป็นลม อาตมาเห็นหลายงาน เคยไปร่วมบำเพ็ญกุศลวัดอัมพวันแทบทุกครั้ง แทบทุกงาน ฤดูเข้าพรรษาก็เชิญชวนประชาชนหล่อเทียนพรรษา ไปถวายตามวัดวาอารามต่างๆทุกปีเป็นประจำ

และก่อนที่คุณนายผ่องศรีจะเข้าวัดอัมพวัน ก็เป็นโรคเนื้องอกในมดลูก ซึ่งหมอบอกว่าเป็นโรคมะเร็ง จะต้องรับการผ่าตัด อายุจะไม่ยืนต่อไปนั้น อาตมาก็ให้ยาขนานหนึ่งคือน้ำมันมนต์ให้คุณนายผ่องศรีไปทานก่อน

หลังจากนั้นไม่นานคุณนายได้ไปให้หมอฉายเอ็กซ์เรย์อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้หมอบอกไม่ต้องผ่าตัดแล้ว เพราะก้อนเนื้อร้ายหายวับไปกับตา คุณนายก็มีอายุยืนต่อมาตามลำดับ มาถึงวัดก็ช่วยหุงน้ำมัน ช่วยโขลกยาใส่น้ำมัน และชวนประชาชนมากระทุ้งรากโบสถ์ โบสถ์นั้นสร้างปีหลังที่ผ่านมา ในกลางปี ๒๕๑๑ ก็เริ่มทำการกระทุ้งรากโบสถ์ถึงปี ๒๕๑๒ ๑ ปี ๑๖ วันและสร้างมาก็หยุดบ้างถึง ๑ ปี ๖ เดือน โบสถ์ก็ได้สำเร็จตามเป้าหมาย อุโบสถของวัดอัมพวันในสมัย พล.ต.ต.สามารถ วายมานนท์ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี พ.ต.อ.ประจันต์ พราหมณ์พันธุ์ เป็นผู้กำกับการตำรวจลพบุรีพร้อมด้วย พ.อ. (พิเศษ) สวัสดิ์ เล็กชม เสนาธิการ จังหวัดทหารบกลพบุรี ได้มาช่วยตลอด ตามรายการที่จารึกไว้ในอุโบสถนี้

คุณนายก็หายจากโรคมะเร็ง ด้วยน้ำมันมนต์ของวัดอัมพวัน หายแล้วก็ยังช่วยงานต่อไป จนโบสถ์เสร็จเรียบร้อย ท่านนายอำเภอพิริยะ และคุณนายก็ย้ายจากอำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ไปดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมือง จังหวัดชัยนาทสืบไป

อาตมาเคยให้พร คุณนายมาแล้วหลายครั้ง ขอให้คุณนายอายุยืนถึง ๑๐๐ ปี ในเวลาต่อมาคุณนายได้มาขอคืนพร เพราะได้ไปเห็นชาวบ้านชาวเมือง ภรรยาเป็นอัมพาต สามีต้องมาเช็ดก้น ซักผ้าซักผ่อนให้ ลูกเต้าต้องลำบากลำบนถึงสองสามปี

ดิฉันขอคืนพร ถ้าดิฉันจะตายขอให้ตายทันที ขอให้บุญกุศลส่งผลดิฉันสืบไป

คุณนายก็ขอรับพรใหม่ ดิฉันไม่เอาพรเก่า ขอให้ท่านให้พรใหม่ ตรวจน้ำทีไร ขออธิษฐานให้ตายอย่างง่ายๆ อย่าตายยากอย่างที่เขาตายกันเลย อย่าให้ลูกให้ผัวเขาต้องลำบากซักผ้าซักผ่อนเราเลยค่ะ ดิฉันอธิษฐานอย่างนี้ตลอดเวลา ขอให้ท่านประสาทพรให้ไปอย่างสบายก็แล้วกัน

คุณนายก็เคยซื้อผ้าขาวเนื้อดีๆ ถวายแม่ชี วัดอัมพวัน ตลอดรายการก็ทำบุญตักบาตรเป็นประจำ

ต้นเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๑๖ ท่านนายอำเภอและคุณนายผ่องศรี ได้ไปวัดอัมพวัน ขอนิมนต์อาตมาไปในงาน วันเกิดของนายอำเภอพิริยะ ชาตะสุภณ วันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๖

“เมื่อปีที่แล้ว ท่านไม่ได้ไปงานของดิฉัน คราวนี้ท่านต้องไปงานของดิฉันให้ได้ ต้องไปให้ได้นะคะ”

คุณรายผ่องศรีถามต่อว่า “ปีนี้เป็นอย่างไรไม่ทราบเจ้าค่ะ รู้สึกสบายใจตลอดทั้งปี เป็นเพราะอะไรเจ้าคะ จะเป็นเรื่องที่หรือเรื่องปลูกบ้านไม่ดีอย่างไร”

อาตมาสอบถามดูแล้ว ก็จะเป็นด้วย นิมิตแห่งการจากโลกของคุณนายความตายจะมาถึงก็เป็นได้ตามหลักธรรม แต่ไม่ได้ตอบกับคุณนายว่ากระไร คิดว่าคุณนายต้องตายปีนี้แน่ จึงเพียงแต่แนะนำให้ตั้งใจสวดมนต์ ภาวนา ทำบุญตักบาตรดีแล้ว ไม่เป็นไรนะคุณนายต่อไปก็จะสบายดี

ในวันเดียวกันนั้นท่านทั้งสองก็ขอยาต้มบำรุงประสาท บำรุงหัวใจ ๓ หม้อ ซึ่งอาตมามียาต้มบำรุงประสาท ได้ตำรามาจากกรมหลวงชุมพร เพื่อจะนำไปให้แก่ นายทวี แรงขำ อาตมาก็จัดให้รียบร้อย

หลังจากนั้น วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๑๖ อาตมากลับจากกิจนิมนต์ถึงวัดเวลา ๒๐ นาฬิกา สรงน้ำแล้วก็ทำกิจ เสร็จแล้วก็เข้าจำวัดไม่ค่อยหลับตื่นลงมาข้างล่าง ขณะนั้นเวลาประมาณ ๒๒.๑๗ น. ก็เห็นคุณนายขับรถเข้ามา คุณนายมาคนเดียว

คุณนายผ่องศรี ชาตะสุภณ นุ่งขาวห่มขาว ผ้าขาวสะอาด วาววับใส่เสื้อแขนพองยาว (แขนหมูแฮม) คอเสื้อคล้ายคอปกเสื้อของทหารเรือ ผ้านุ่งทับจีบทับหน้า มีกระเป๋าถือมา ๑ ลูก คลานคุกเข่าถือพานดอกไม้เข้ามากราบนมัสการแบบเบญจางคประดิษฐ์ แล้วประเคนพาน

อาตมาถามว่า “นายอำเภอไม่มาหรือ” “คุณนายเคยมาคู่กัน วันนี้ทำไมมาคนเดียว”

คุณนายตอบว่า “ไม่ได้มาค่ะ ดิฉันมาคนเดียว”

อาตมาถามต่อไปว่า “คุณนายจะบวชชีทำไมไม่โกนผมเล่า”

คุณนายตอบว่า “ไม่สำคัญที่ทรงผมเจ้าค่ะ สำคัญที่ใจปฏิบัติเจ้าค่ะ”

คุณนายผ่องศรีพูดว่า “ดิฉันมานี่มีเหตุผล ๒ ประการ

๑. ที่ดิฉันกับคุณมานิมนต์ท่านไว้ วันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๖ สวดมนต์ ฉันเพล สวดธรรมจักร ในวันเกิดนายอำเภอ ดิฉันไม่ได้อยู่แล้วนะเจ้าคะ ขอกราบนมัสการลาไปบำเพ็ญกุศลแล้ว”

“อ้าว! คุณนายจะไปไหนเล่า”

“ดิฉันจะไปบำเพ็ญกุศลเจ้าค่ะ ดิฉันหมดทุกข์แล้วค่ะ ท่านจะต้องถามคุณก่อนว่าจะทำบุญหรือเปล่า ดิฉันแม่ครัวไม่อยู่แล้ว ขอท่านจงไปถามก่อนนะเจ้าคะ เดี๋ยวท่านก็จะไปเสียเวลา ดิฉันเป็นผู้นิมนต์ท่าน ดิฉันเป็นผู้นิมนต์ท่าน ดิฉันต้องมาเรียนให้ท่านทราบ เพราะเป็นห่วงเรื่องนิมนต์นี้ค่ะ”

“และ ๒. เรียนให้ท่านทราบอีกเรื่องคือเรื่องยา ดิฉันเป็นห่วงยาที่ไปให้คุณทวี แรงขำ กับภรรยา เขารับยาถูกดีเจ้าค่ะ และหายแล้วเจ้าค่ะ ดิฉันเลิกรับแล้วเจ้าค่ะ ดิฉันไม่ต้องรับแล้วเจ้าค่ะ ดิฉันหายหมดแล้วเจ้าค่ะ ขอกราบลาเจ้าค่ะ”

และเล่าเหตุการณ์ให้อาตมาฟังอีก ๒ เรื่อง หลังจากเล่าแล้วก็รีบกราบลาด่วน

“ดิฉันต้องรีบไปให้ทันเวลานะเจ้าคะ เพื่อจะไปบำเพ็ญกุศลและจะไปหาลูกชายตามสัญญา” (ลูกชายเป็นนายอำเภออยู่ที่ อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน) แล้วกราบนมัสการลาอย่างเศร้าๆ พระปลัดประสิทธิ์อยู่ด้านหลังก็ได้ยินคำสนทนานี้ด้วย

คุณนายกราบแล้วยกเข่าตั้งลุกขึ้นยืน และออกไปขึ้นรถเสียงรถดังขึ้น อาตมาลุกขึ้นไปมองดู รถไม่อยู่แล้ว อาตมาตกใจออกไปส่งคุณนายแล้ว กลับมาบันทึกหลักฐาน ไม่เคยมีอย่างนี้เลย พานดอกไม้ก็หายไปด้วย จึงได้หยิบสมุดบันทึก มาบันทึกเข้าไว้ ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปในโอกาสหน้า

ในวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๖ เวลา ๒ โมงเช้าก็หยิบสมุดบันทึกอ่านให้ทายกทายิกาวัดอัมพวันฟัง เรื่องที่ผ่านมาแล้วนั้น พอดีขณะนั้นได้รับจดหมาย ๑ ฉบับ ลงวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๖ มีใจความว่า คุณนายผ่องศรี ชาตะสุภณ ได้ถึงแก่กรรมเสียแล้วเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๖ เวลา ๒๒.๑๕ น. ณ โรงพยาบาลชัยนาท โดยคุณสมพร ไทยมณี ร้านมณีภัณฑ์ จังหวัดลพบุรี เป็นผู้ส่งจดหมายข่าว อาตมาขอขอบพระคุณคุณสมพรมากที่กรุณาส่งข่าว ขณะนั้นมีญาติโยมอยู่ด้วยกันหลายคน ทุกคนเศร้าสลดใจ ก็พากันนึกถึงแต่ท่านนายอำเภอพิริยะ ชาตะสุภณ เท่านั้น ว่าจะว้าเหว่มากทีเดียว คนตายเขาก็ไปมีความสุขแล้ว คนอยู่ก็ต้องลำบากกันไป

นี่แหละท่านทั้งหลาย จิตเท่านั้นที่รวบรวมทุนบุญกุศลไว้ ใครทำใครได้ เหมือนเทปบันทึกเสียง และเปรียบเหมือนกระแสไฟฟ้า คือจิตไวมาก เหมือนเรากำลังคิดถึงเรื่องอะไร จะไปไหน จิตไวถึงก่อนเสมอ ขณะจิตจะดับไป ถ้าคิดถึงทุกข์ เดือดร้อนใจ เป็นห่วงเป็นใยแล้ว จิตก็ไปสู่อบายได้ ถ้าคิดถึงบุญกุศลที่ได้สร้างสมเข้าไว้ สวรรค์เป็นที่ได้แน่นอน

ขณะที่คุณนายจะจากโลกไปกำลังทำครัวและเตรียมของไว้ใส่บาตรตอนเช้า จิตก็เป็นบุญ จิตก็เป็นกุศล อันนี้สวรรค์เป็นที่ได้แน่นอน นิสัยของคุณนายที่มีอยู่ว่า ทำอะไรก็อยากจะให้เรียบร้อย ไม่ให้ตกค้างพาเป็นห่วงเป็นใย จะจากไปแล้วจิตจดจ่อว่า มีอะไรเรียบร้อยหรือไม่ จะใส่บาตรตอนเช้าพร้อมแล้วหรือยัง ขณะนั้นคงติดอยู่ในจิตใจ จึงรีบจัดการให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงรีบเดินทางต่อไป อุตส่าห์ไปบอกอาตมาในเวลาเดียวกันเรื่องการนิมนต์ และมี ๒ เรื่องที่เล่าให้ฟัง ยังบันทึกไว้ จะเปิดเผยต่อไปในวันหน้า เพราะบอกเรื่องความลับวันนั้นยังมาไม่ถึง

ท่านนายอำเภอได้ต้งศพคุณนายไว้ที่วัดวิชัยวัฒนาราม ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ชัยนาทนั่นเอง เขาสวดได้สองคืนแล้ว อาตมาจึงไปงานศพ เอารถสองแถวไปเลย ไปถึงก็ให้พวกเราที่ติดตามไปกราบศพ สวดพระอภิธรรมจบเดียว เขาเคยสวดคืนละ ๙-๑๐ จบ เพราะเป็นนายอำเภอ มีเจ้าภาพเยอะ อาตมาก็เอาบันทึกให้นายอำเภออ่าน อ่านไปอ่านมาร้องไห้เลย ทุกคนเงียบไม่ต้องสวดพระอภิธรรมล้อมกันมาฟังกันหมด อาตมาก็เทศน์เรื่องนี้ เขาอัดเทปไว้แล้วเอามาพิมพ์แจกงานศพ

คุณนายเคยไปเยี่ยมลูกชายเมืองเหนือ จ.ลำพูน เห็นเขาเผาศพมีปราสาท บอกกับลูกชายว่า “นี่ลูกรับปากแม่ได้ไหม”

“รับอะไรคุณแม่”

“ถ้าแม่ตายเอาอย่างี้แหละ”

และทีนี้คุณนายจากเราไป ไปหาลูกชาย บอก “ลูกเอ๋ย อย่าลืมตามสัญญา” รุ่งเช้าลูกก็ได้รับโทรเลข กลับมาทำงานศพ บอกกับคุณพ่อว่า “คุณพ่อครับ ผมต้องทำตามที่ให้สัญญาคุณแม่”

เลยไปหาเมรุปราสาทล้านนาจากลำพูนมาราคา ๒ หมื่น ตั้งที่ลานวัดเลย ในวันเสาร์ที่๑๙ พฤษภาคม ๒๕๑๖ เวลาจุดมีไปลูกหนูวิ่งปุบปับๆ แล้วเผาหมด มีสังกะสีล้อมศพไว้ เหลือแต่กระดูกแล้วนำไปลอยน้ำ

ท่านสาธุชนทั้งหลาย อุตส่าห์สร้างแต่คุณงามความดีบุญกุศลที่ติดตามตนไปได้เท่านั้น สมกับพระบาลีอ้างอิงว่า “อสาธรณ มญฺเญสํ อโจรหรโณ นิธิ กยิราถ ธีโร ปุญฺญานิโย นิธิ อนุคามิโก” ขึ้นชื่อว่าขุมทรัพย์คือบุญนี้เป็นของไม่สาธารณะทั่วไปแก่ชนเหล่าอื่น โจรก็มาแย่งเอาไปไม่ได้ ผู้มีปัญญาควรกระทำบุญญนิธิไว้ อันจะเป็นของติดตามตนไปได้ในภพหน้า

เหมือน คุณนายผ่องศรี ชาตะสุภณ ได้สร้างบุญญนิธิและคุณงามความดีไว้มาก อย่างอื่นก็นำเอาไปไม่ได้นอกเหนือจากบุญกุศลเท่านั้น

 

บันทึกประกอบเรื่องเกี่ยวกับคุณนายผ่องศรี

พระปลัดประสิทธิ์ สิรพปญฺโญ*
๖ พ.ค. ๓๑

 

มีผู้มาถามอาตมาเกี่ยวกับเรื่องของคุณนายผ่องศรี ชาตะสุภณ ผู้มาปรากฏตัวหลังตายแล้วว่ามีความเป็นจริงเพียงไร อาตมาจำได้ว่าคุณนายผ่องศรี เป็นภรรยาของท่านนายอำเภอพิริยะ ชาตะสุภณ ได้มาปรากฏกายและมาลาจากไป ด้วยความเป็นห่วงเรื่องที่นิมนต์หลวงพ่อพระครูภาวนาวิสุทธิ์ ไปในงานของท่านนายอำเภอพิริยะ ผู้เป็นสามี ว่า “ดิฉันจะต้องจากไปแล้วทางคุณ (หมายถึงท่านนายำเภอพิริยะ) นั้นจะทำบุญหรือไม่นั้นก็แล้วแต่ เมื่อถึงเวลาดิฉันก็ต้องมาลาหลวงพ่อไป” (หมายถึงท่านพระครูภาวนานวิสุทธิ์)

คุณนายผ่องศรี แต่งชุดนุ่งขาวห่มขาว ถือกระเป๋ามาด้วย

นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากจริงๆ ไม่เคยพบอย่างนี้มาก่อนเลย ในโลกของมนุษย์นี้จะมีอะไรแปลกๆซ่อนอยู่ มันเป็นความลี้ลับมหัศจรรย์จริงๆ

อาตมามาขอรับรองว่าเป็นเรื่องที่อาตมาได้เห็นจริงๆ

 

*(อดีต)รองเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน