วิธีสู้เวทนา
โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
ธรรมบรรยาย ๒๘ ส.ค. ๒๙
หอประชุม วัดอัมพวัน
อาตมาอาพาธวันนี้ไม่สบายมาก เมื่อวานนี้ไปบรรยายที่ค่ายจิระประวัตินครสวรรค์ กำลังมีเวทนามาก หมดเขาไม่ให้ไปหรอก โยมกำหนดเสียให้ได้ ปวดหนอ ปวดหนอ เอาเวทนาฝากไว้ก่อน ฝากไว้กันเสาก็ได้นะ แล้วก็ไปได้ไม่เป็นไรหรอก เอาเวทนามาฝากเป็นหรือยัง ปวดหนอ ปวดหนอเนี่ย ฝากไว้แล้วก็ไป ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทำเป็นไม่ป่วย แยกเวทนาออกเป็นสัดส่วนแล้วก็ฝากไว้ซะทำนองนี้ คงจะได้นะ
ปวดหนอ ปวดหนอ หายปวดไหม ตั้งแต่มานั่งที่นี่….(ปวดหนอ แต่ ไม่หายหนอ เจ้าค่ะ) ยิ่งปวดหนักใช่ไหม ยิ่งหนักยิ่งกำหนดหนักเข้าไป ตายก็ให้ตายต้องอย่างนั้น เดี๋ยวปวดหนอ ปวดหนอ โอไม่หาย เลิกหนอ เลิกหนออย่างนั้นไหม ….(ยังไม่ถึงขั้นเจ้าค่ะ) ยังไม่ถึงขั้นเลิกหนอหรือ งั้นก็ไปได้ซี ไปได้…(เปลี่ยนหนอเจ้าค่ะ) อ๋อ เปลี่ยนหนอ เออมีเปลี่ยนหนอเหมือนกันเดี๋ยวปวดหนอ ปวดหนอ โอ๊ยทนไม่ไหวแล้วหนอ เปลี่ยน…หนอ เปลี่ยน…หนอ เปลี่ยน…หนอ งั้นเหรอ เอ้าก็พอไป พอไปได้ แต่อย่าเปลี่ยนบ่อยนักนะ เดี๋ยวจะเคย ใหม่ๆนี้ได้ แต่หนักเข้า อย่าเปลี่ยนบ่อยนักนะ เดี๋ยวเคยชิน เปลี่ยนดี ทีแรกก็เปลี่ยนๆไปก่อน พอหนักเข้าตายให้ตายไม่ต้องเปลี่ยน ทีแรกเปลี่ยนได้ เพราะเราไม่เคยนะ โยมนะ
อุปาทาน นี่เป็นสมถะก่อน ปวดหนอนี่เป็นสมถะไม่ใช่วิปัสสนาจำไว้ให้ได้ ปวดหนอนี่ยึดบัญญัติเป็นอารมณ์ เพราะว่ามีรูปมันจึงมีเวทนา วัตถุคือรูปนี่เกิดสัมผัส เกิดสังขารปรุงแต่ง มันจึงปวด ปวดแล้วกำหนด ปวดหนอ ปวดหนอ ยิ่งปวดหนัก ถ้าเราไม่กำหนดเลยก็ไม่ปวดหรอก แต่วิธีปฏิบัติต้องกำหนดจะได้รู้ว่าเวทนามันเป็นอย่างไร นี่ตัวธรรมะอยู่ที่นี่ ตัวธรรมะอยู่ที่ทุกข์ ถ้าไม่ทุกข์จะไม่รู้อริยสิจ ๔ นะ เอ้าลองดูซิ ถ้าปฏิบัติเกิดเวทนา–แล้วเลิก โยมจะไม่รู้จักอริยสัจ ๔ รู้แต่ทุกข์ข้างนอก ทุกข์ประจำไม่รู้เลยนะ รู้แต่ทุกข์จรนะจำไว้ จะไม่รู้อริยสัจ ๔ ในภายใน โยมจะรู้อริยสัจ ๔ ภายนอก รู้แต่ทุกข์จรเข้ามาเท่านั้นเอง
ทุกข์ประจำนี่สำคัญเอาก่อนปวดหนอ ปวดหนอ นี่ทุกข์ประจำ ทุกข์ประจำเลยต้องให้เห็นธรรมะว่า ปวดหนอ ปวดหนอ โอ๊ยจะตายเลย บางคนนั่งทำไปเหลืออีก ๑๕ นาทีจะชั่วโมง หรืออีก ๕ นาทีจะถึง ๓๐ นาทีที่ตั้งใจไว้จะตายเลยทุกครั้ง ทุกคนเป็นอย่างนี้แหละ ถ้านั่ง ๑ ชั่วโมงจำไว้เหลือ ๑๐ นาทีเราจะแย่ เราไม่ต้องดูนาฬิกา พอมันจะแย่เวทนามาเราจะทายได้เลยว่าอีก ๑๐ นาทีถึงชั่วโมง ไม่เกินแน่นอน อย่างต่ำก็ ๑๕ นาทีถึงชั่วโมงแน่ ลองดูเลย จะตายเลย เอ้าตายให้ตาย-ตายให้ตาย ปวดหนอ-ปวดหนอ โอ้โฮ มันทุกข์อย่างนี้เลย พิโธ่เอ๋ยกระดูกจะแตกแล้ว กระดูกจะแตกแล้ว แล้วที่ก้นทั้งสองนี่ร้อนฉี่เลย เหมือนหนามมาแทงกัน โอ้โฮ มันปวดอย่างนี้เองหนอ ปวดหนอ ปวดหนอ กำหนดไป เป็นไร เป็นกัน พอใกล้เวลาเหลืออีก ๕ นาทีถึง ๑ ชั่วโมง ที่ตั้งสัจจะไว้จะตายเลยนะ ลองดู ลองดู ต้องทนฝืนใจ
ธรรมะต้องฝืนใจ มิฉะนั้นถาดของแม่นุชนาฏสุชาดาลอยเหนือน้ำทำไม พระพุทธเจ้าท่านก็ยังไม่รู้นะ ว่านี่เราฝึกมาจากอาฬารดาบส อุทกดาบส ก็ยังไม่สำเร็จ ได้แค่ฌาณสมาบัติมาตั้งแต่อดีตชาติ ท่านได้ฌาณมาตั้งแต่พระเวสสันดรนะ พระพุทธเจ้าของเรานี่ เจ้าชายสิทธัตถะได้ฌาณมาตั้งแต่เป็นพระเวสสันดัรนะ ที่อยู่ในป่าหิมพานต์จะไม่เล่าเรื่องพระเวสสันดรหรอกเดี๋ยววันนี้ไม่จบรายการ ได้สำเร็จฌาณมาพอเป็นกุมารก็ลอยขึ้นไปบนต้นหว้า เห็นไหมล่ะ สำเร็จตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว แต่ยังไม่สำเร็จว่าดับทุกข์ได้อย่างไร ไม่อยากจะมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ทำอย่างไรเพราะยังไม่พบ ยังไม่พบทำอย่างไร เลยทีนี้ก็ทนทุกข์ทรมาน ทุกรกิริยา ๖ ปี แล้วทำให้เกิดเทพสังหรณ์ทำให้ปัญจวัคคีย์หนีไปหมด ถ้าไม่หนีไปไม่สำเร็จจำไว้ อยู่เป็นกลุ่มมากๆไม่สำเร็จ ทำให้เกิดพิณ ๓ สายขึ้นมา ตึงจัด-หย่อนจัด-มัชฌิมาปฏิปทา ปานกลาง ในธรรมจักรนั่นเอง พระพุทธเจ้าก็คิดได้ กลับมาฉันอาหาร ทำให้ปัญจวัคคีย์ทั้งห้าคิดว่าเจ้าชายสิทธัตถะมักมาก หนีเลย ดีแล้ว อยากจะให้หนีไปตั้งนานแล้ว เลยพราะองค์ก็อยู่องค์เดียว ก็เสวยพระกระยาหารของแม่นุชนาฏสุชาดา แม่นุชนาฏสุชาดาเมื่อสมัยก่อนยังไม่มีพระพุทธเจ้า ก็ต้องไปถือเทวดา ต้องไปไหว้ต้นหมากรากไม้กัน เหมือนบางคนที่ยังไหว้อยู่จนบัดนี้ ยังถือมาอยู่ ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว ไปไหว้ต้นไม้ แล้วผ้าสวยๆนะไปห่มต้นไม้กันเดี๋ยวนี้คนยากจนไม่ให้ แหมไปห่มต้นไม้ทำไมกัน “แก้บน” เขาบอก ก็ดี อาตมาเห็นด้วย เอาเถอะไม่เป็นไรหรอกแล้วแต่อัธยาศัย เลยก็นางสุชาดาก็เห็นเทวดา บอกแหมมาบนบานศาลกล่าวทุกครั้ง ไม่เคยเจอเทวดาเลย แหมเทวดาสวยมากเลยถวาย แหมเทวดาแน่เลย ทุกครั้งกินไม่หมดต้องเอากลับบ้านทุกที แหมวันนี้ฉันซะหมดถาดเลย
แล้วก็เจ้าชายสิทธัตถะจึงขออธิษฐานว่าธรรมะบทใดหนอที่จะสำเร็จมรรผลสัมโพธิญาณในกาลต่อไปนี้ ขอให้ถาดนี้เป็นปริศนาออกมา ณ บัดนี้ ว่าแล้วก็ลอยถาดออกไปเลย วิ่งขึ้นเหนือน้ำทันทีมีที่ไหน มีแต่ลอยล่องน้ำ นี่ขึ้นไปเลย ทำให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะของเรานั้นนึกถึง ต้องฝืนใจ ต้องฝืนใจ ถ้าไม่ฝืนไม่สำเร็จ
คืนวันนั้นพระพุทธเจ้าก็อธิษฐานจิต ที่ศรีมหาโพธิ์ เอาหญ้ากุสะมาขัดเป็นบัลลังก์ “ข้าพเจ้ายอมตายเลยถ้าไม่สำเร็จมรรคผลสัมโพธิญาณ ในค่ำคืนวันนี้ข้าพเจ้ายอมตาย” ได้ธรรมะจากถาดที่ลอยขึ้นเหนือน้ำ ฝืนใจเลยตายให้ตาย-ตายให้ตาย-ตายให้ตาย สำเร็จเลย เลือดเนื้อเหือดแห้งอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ายอมตายบนหญ้ากุสะ ณ บัดนี้ ใช่ไหม เห็นด้วยไหม ต้องฝืนใจนะโยมนะ ต้องฝืนใน
ไปวัดกระซิบบอกเบาๆฟังเขาสอนชีวิตเราเกิดมาไม่ถาวร อย่ามัวนอนหลงเล่น ไม่เป็นการไฟสามกอง กองเผาเราเสมอ อย่าเลินเล่อควรทำกรรมฐาน ไหนๆชีวิตเราเกิดมาต้องตายทุกคน ในเมื่อใกล้ตายญาติมิตรบอกให้คิดถึงอรหัง รู้ได้ดีที่สุดคุณพระพุทธัง เพราะกำลังเวทนาทุกข์กล้าเอย
นี่เราทำกรรมฐานนั้นเวทนา มันสอนเรา มันแยกออกไป เวทนาแยกออกไปเป็นสัดส่วนนะ ขันธ์ ๕ รูปนามเป็นอารมณ์ เวทนาแยกออกไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ปวดหนักเข้า หนักเข้าแตกเลย มันมีจุดแตกออกมานะโยมนะ แล้วมันจะหายปวดทันที อย่างนี้ทีแรกนี่ไม่หายหรอก จะนั่งกี่ชั่วโมงทำกี่ครั้งมันก็ต้องมีหลัก ๔ ประการ ไม่ใช่ว่าเราสำเร็จแล้วได้โสฬสญาณ คำว่าสำเร็จวิปัสสนาไม่มี ทำเรื่อยๆไปเถอะ แต่เราจะไปพูดกับเขาทุกคนไม่ได้นะ โอ๊ยดิฉันสำเร็จวิปัสสนาสำเร็จกรรมฐาน เดี๋ยวเขาจะโต้เอานะ บอกฉันเป็นนักปฏิบัติธรรมะ ตั่งไม่สำเร็จ เท่านี้ พูดเท่านี้ เราก็บอกฉันเป็นนักปฏิบัติธรรมะ แต่ก็เพิ่งเริ่มต้น เราก็ต้องอ่อนน้อม ถ่อมตนไปอย่างนี้
ทีนี้ใครจะทำถึงขั้นไหนก็ตาม ต้องผ่านหลัก ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม ทุกคน ต้องมีเวทนาทุกคน แต่มีเวทนาแล้วเรากำหนดได้ ตั้งสติไว้ให้ได้ไม่เป็นอะไรเลย และเวลาเจ็บระทวยป่วยไข้จะไม่เสียสติ จะไม่เสียสติเลยนะ และเราทำวิปัสสนานี่มันมีเวทนาหนักยิ่งกว่าก่อนจะตาย เวลาก่อนจะตายมันจะหนักเหลือเกิน เราปวดมากก็กำหนดเข้าโยม กำหนดหนอ ปวดหนอ ปวดหนอ ปวดไป ตายให้ตายนี่เป็นสมถะ ยึดบัญญัติเป็นอารมณ์ ต้องจำไว้ก่อน พอกำหนดไป กำหนดไป กำหนดไป แตกพับซ่า ซู่ ซ่า หายไปเลย เบาตัวเลย พอเบาตัวนั่นแหละคืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่แหละอริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แจ้งแก่ใจทันที นี่คือเวทนา
นี่แกละอริยสัจ ๔ มาเลยทุกข์ หาที่มาได้แล้วคือสมุทัย นิโรธแจ้แก่ใจของข้าพเจ้าแล้วซ่า เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่เป็นอริยสัจ ๔ นี่ต้องฝืนใจนะ โยมนะ ต้องฝืนใจกันหน่อย ถ้าพอมีเวทนาเลิกเลย เวทนาเลิกเลย โยมจะไม่พบธรรมะในอริยสัจ ๔ รู้แต่ทุกข์จรข้างนอก คนมาด่ามาว่า ทุกข์อย่างโน้นทุกข์อย่างนี้ แต่ทุกข์ประจำไม่รู้นะ เกิดแก่เจ็บตายนี่นะโยม เกิดเวทนา เกิดเสียอกเสียใจ ในตัวในข้างใน ไม่รู้จริงนะ ต้องรู้ทุกข์ข้างใน นี่อริยสัจ ๔ มาแล้ว พอเวทนามันหายไปนะโยมนะ อนิจจังไม่เที่ยงเป็นทุกข์อย่างนี้แหละหนอ มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ นี่แหละทุกขังได้แก่ทุกข์ในอริยสัจ ๔ นะ เป็นความจริงในอริยสัจ ๔ เป็นอนัตตา ปล่อยให้สูญไปเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ไมมีรูปไม่มีนามแล้วก็หายไปตอนสุดท้ายนี้ คือนิพพานดับสนิทไม่ติดขึ้นมาเป็นเรื่องเล็กนะโยมนะ ทนนะฝืนใจด้วยนะเวทนามาก
หลวงพ่อวัดอัมพวันบอกให้ฝืนใจหน่อย ฝืนใจหน่อยเพราะธรรมะต้องฝืนใจ ถึงจะเห็นธรรมะเหมือนถาดลอยขึ้นเหนือน้ำนะโยมนะ ท่านบอกให้ฝืนใจหน่อย โอ๊ยวันนี้ก็เหนื่อยมากนะ ทำงานมามาก็ฝืนใจไม่พอก็ได้ เอาไว้ฝืนใจพรุ่งนี้ต่อไปก็ได้ ทั้ง ๒ อย่าง ให้ฝืนหน่อย เมื่อก่อนอาตมานั่งอย่างนี้ไม่ได้ ที่คอหักไปไม่ปวดเลยเห็นไหม คอหักไม่ปวดไม่เจ็บ สบายมากเพราะเรารู้เวทนา สบายมากเลย
และที่พูดเมื่อวันก่อนหายใจทางสะดือได้ พองหนอยุบหนอหายใจ ได้นะ ถ้าใครไม่เชื่อลองบิดคอหักดู ต้องหายใจได้ แต่ต้องฝึกเสียก่อนนะ เดี๋ยวไม่ฝึกแล้วคอหักตายเลย ตายเลยนะ ต้องฝึกก่อน หายใจทางสะดือได้จริงๆ เข้านิโรธนี่หายใจทางเส้นโลหิตถ่ายอากาศได้ ไม่งั้นอยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ได้หรอก อยู่ตามเส้นโลหิตนี่อากาศถ่ายเทได้เลยนะ ถ้าอ๊อกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ได้ทั้งหมด ร่างกายสังขารเรานี่ทั้งหมดนะ มันไม่ได้ถ่ายทางทวารหนักอย่างเดียวหรอก เราเข้าใจว่าถ่ายออกช่องเดียว ไม่ใช่ช่องเดียว มันทุกเส้นขุมขนเลยนะ ที่เราอยู่ได้ ทุกวันนี้น่ะ ดูในสติปัฏฐานสี่ให้ครบจะพบอย่างแน่นอน
โยมขอให้ฝืนใจต่อไปนะจ๊ะ ถ้ามันปวดเป็นตายร้ายดีอย่างไรกำหนดซะ พอกำหนดแล้ววิปัสสนามาเลย แตกพรึบ มันก็ซ่าไปเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นแหละตัววิปัสสนา เห็นชัดขึ้นมาแล้ว ขั้นแรกนี่ต้องสมถะก่อนเพราะฉะนั้นเขาถึงเรียกว่า สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานทางสายเอกสายเดียวเท่านั้น ที่จะพ้นทุกข์ และพบกฏแห่งกรรม ถ้ามโนมยิทธิ หรือเจริญอานาปานสติ ไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ๔ จะไม่พบกฏแห่งกรรม และจะไม่สามารถจะรู้กรรมที่ตนทำไว้อย่างแน่นอน
สติตัวเดียวนี้มันถอยหลังได้ รู้ครั้งอดีตชาติที่ผ่านมาได้เลย เพราะเราสงบแล้ว สตินี่สำคัญมาก สัมปชัญญะรู้ตัวได้ ถอยหลังไปได้เลย แต่วิธีปฏิบัติต้องปัจจุบัน ปัจจุบัน อดีต ไม่มารื้อฟื้น เรื่องของคนอื่นไม่คิด กิจที่ชอบทำอนาคตอย่าจับมั่นคั้นให้มันตาย จะผิดหวังเสียใจตลอดชีวิต เอาปัจจุบัน ปัจจุบัน ปัจจุบัน พอนั่งเข้าหน่อย เอ! ที่บ้านเป็นอย่างไร อ๋อเรื่องโน้นเป็นอย่างนี้ เรื่องนี้เป็นอย่างนั้น เขาไม่ให้กำหนดอย่างนั้น เอาแต่ปัจจุบันที่เราจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมานี่ ก็สรุปได้ว่าสติตัวเดียวเท่านั้นเป็นพฤติกรรมแสดงออกทางจิตใจของเรา ถ้าเราไม่พอใจใคร มันออกทางใจเราแล้วเป็นพฤติกรรม เป็นตัวธรรมะ และ ทำให้เราไม่สบายนะ แน่นอนที่สุด แผ่เมตตาก็ไม่ออกด้วย หดเลย หมดอาลัยตายอยาก ซังกะตายวันหนึ่งไม่เกิดประโยชน์ในชีวิตแน่นอน