พระญวนแก้กรรม

โดย พระภาวนาวิสุทธิคุณ

วิปัสสนากัมมัฏฐานแก้กรรมได้อย่างไร กรรมเก่าต้องใช้หนี้ทั้งนั้น แต่เรื่องใหม่นี่เราคงไม่ได้ทำกันอีก คนที่สร้างกรรมไว้แล้ว เมื่อสำนึกได้รับผิดได้ก็ต้องยอมรับใช้กรรม ไม่มีอะไรที่จะแก้ได้ ต้องใช้ทั้งนั้น ต้องใช้กรรม ไม่ใช่บุญบาปล้างกันได้นะ เราทำบุญไปแล้วล้างบาปที่ทำไว้คงไม่ได้ เป็นกฎตายตัวเลย บุญไปตามบุญ บาปไปตามบาป น้ำกับน้ำมันเข้ากันไม่ได้ ต้องแก้อย่างไร วันนี้อาตมาจะเล่าให้โยมฟังสักเรื่องหนึ่ง เรื่องของพระญวน พระญวนมาแก้กรรมที่นี่ โดยที่ไม่รู้จักอาตมาเลยนะ เขาคงมีบุพเพกตปุญญตา เมื่อชาติก่อน คงจะมาแก้กรรมกันที่นี่ เพราะวัดนี้เก่าแก่จริง ๆ นะ

เมื่อประมาณ ๑๐ กว่าปีมาแล้ว ยุวพุทธิกสมาคมฯ จัดการฝึกอบรมพัฒนาจิต โดยให้ชวนเชิญนักศึกษามาเข้าค่ายกันที่วัดอัมพวัน คุณสมพร  เทพสิทธา เป็นประธาน อาจารย์วิศาล อดีตผู้อำนวยการวิทยาลัยครูมหาสารคาม ปลดเกษียณแล้วก็มาช่วยยุวพุทธ จัดงานอบรมพัฒนาจิต

บริเวณป่ามะม่วงที่กางเต้นท์อบรมนักศึกษา

ที่วัดอัมพวันนี้ ตอนนั้นยังไม่มีหอประชุมเลยก็ใช้ผ้าใบขึงเอา ศาลาก็ยังไม่เรียบร้อย ห้องน้ำห้องส้วมก็ยังมีน้อยไม่เหมือนปัจจุบันนี้ ให้นักศึกษาอยู่กลด ยุวพุทธซื้อให้คนละอัน เดี๋ยวนี้ยังฝากไว้ที่นี่

นายบัวเฮียว เป็นชาวญวน เดิมทำงานรับจ้างฆ่าวัวฆ่าหมู อยู่ทางสกลนครอะไรนี่แหละจำไม่ค่อยได้ ก็รับจ้างฆ่าวัว ฆ่าควายก่อน เงินเดือนก็ไม่พอ เงินที่จะเลี้ยงยังชีพไม่พอ ก็ไปอยู่กับเถ้าแก่คนจีน รับจ้างฆ่าหมูต่อไป ฆ่าวันละ ๔ ตัว ๕ ตัว บอกว่าทางภาคอีสาน ถ้ามีงานก็ต้องฆ่าวัวก่อน เขาเล่าให้อาตมาฟัง

 

เริ่มหมดกรรม

วันหนึ่งเขาจะถึงบุญกุศล จะหมดเวรหมดกรรมของเขา เขาก็เดินกลับไปที่พัก ก็ไปเจอพระธุดงค์องค์หนึ่งปักกลดอยู่ เขาไม่เคยมีศรัทธากับพระแต่ประการใด วันนั้นเห็นพระธุดงค์ก็นึกเลื่อมใสอยากจะไปไหว้ เมื่อไปถึงแล้วก็ไปไหว้กราบพระธุดงค์ ตักน้ำถวายท่าน พระธุดงค์องค์นั้นก็ถามว่า คุณชื่ออะไร มีอาชีพการงานอะไร บัวเฮียวเล่าถวายทุกประการ พระท่านคงสงสารว่ามีอาชีพฆ่าวัวฆ่าควายฆ่าหมู ท่านก็แสดงธรรมให้ฟัง ชี้ให้เห็นข้อผิดข้อถูก ชี้บุญบาป บัวเฮียวก็ซึ้งในธรรมะ พระท่านก็แนะนำบอกว่าไปหาอาชีพอย่างอื่นเถิด เป็นบาปเป็นกรรมเหลือเกินนะ ถ้าเชื่อก็ควรปฏิบัติตาม บัวเฮียวเล่าว่า นึกเลื่อมใสกับพระธุดงค์องค์นี้มาก ไม่เคยไหว้พระ ไม่เคยเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เดิมที อาตมาก็ไม่ได้ถามว่า ท่านนับถือศาสนาอะไรมาแต่เดิมที ก็กลับไปบ้านนอนไม่หลับ คืนนั้นฆ่าหมูไม่ลง ต้องแข็งใจฆ่าไปสักคืนหนึ่ง รุ่งเช้าขอลาออกจากเถ้าแก่ ไปบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา

บวชแล้ว ก็ไปศึกษาเรื่องวิปัสสนา เดินธุดงค์ไปตามสภาพ ๑๐ กว่าปี แล้วเจริญอานาปาณสติ พุทหายใจเข้า โธหายใจออก ทำมาโดยมีสมาธิคร่าว ๆ ดิ่งเข้าไปโดยเอกัคตารมณ์ เวลานั่งแล้วจะเห็นหมูเห็นแต่วัวแต่ควายที่เคยฆ่า มันทำให้สำนึกสมัญญาในจิตใจเศร้าหมองตลอดเวลา ไม่สามารถจะแก้ได้เลย แล้วท่านก็เดินธุดงค์ไปเรื่อย ภาคอีสานไปกระทั่งเชียงใหม่ ถ้ำเชียงดาวท่านก็ไป ก็ไปเจออาจารย์องค์โน้น องค์นี้ร้อยแปดพันประการ

 

นิมิตเกิด

ในที่สุดมาปักกลดอยู่ภาคอีสาน จะเป็นสกลนครหรือหนองคายหรือจังหวัดใดก็ไม่ทราบ ก็เดินธุดงค์มาเรื่อย ๆ วันหนึ่งท่านเกิดนั่งสมาธิเกิดนิมิตขึ้นมา จิตสบายก็เกิดนิมิตว่า นี่คุณจะแก้กรรมเอาไหม ที่คุณทำบาปทำกรรมเอาไว้นี้คุณยังแก้กรรมไม่ได้เลย ทำไมจะแก้กรรมได้ ถามตามนิมิต ๆ ก็เปิดฉากขึ้นมาว่า วันที่ ๑๖ เขาจะเปิดอบรมนักศึกษากันที่วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี

บริเวรณศาลพระภูมิที่พระบัวเฮียวปักกลด

แล้วฉากที่ ๒ ก็เปิดออกมา รูปร่างวัดเป็นอย่างนี้ ให้เดินทางมาโดยด่วน แล้วพระคุณเจ้าจะแก้กรรมได้ จากการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานดังที่กล่าวแล้ว แล้วรูปร่างสมภารเป็นอย่างนี้ ๆๆ ว่าอย่างนี้ มันก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ดลบันดาลอีกประการหนึ่ง เลยท่านก็มาหวนระลึกนึกถึง เอ! วัดอัมพวัน อยู่ที่ไหน สิงห์บุรีไม่เคยผ่าน ก็เดินธุดงค์ไม่เคยเดินผ่านทางภาคกลางนี้เลย ไปแต่ภาคอีสานภาคใต้และภาคเหนือ และส่วนใหญ่นี้เราก็คำนวณได้ว่า พระกัมมัฏฐานที่เชี่ยวชาญจริง ๆ มี ๒ ภาค ภาคเหนือและภาคอีสาน ภาคกลางนี่ภาคหัวหมอ พระหัวหมอไม่ใช่พระวิปัสสนานี่ อาตมานึกเอาเอง

รุ่งเช้าท่านก็ไปบิณฑบาต ฉันเสร็จแล้วก็มุ่งตรงมาวัดอัมพวัน ถามเขาเรื่อยมา จากนครราชสีมา มาสระบุรี เดินเรื่อยมาไม่ขึ้นรถ มืดที่ไหนก็ปักกลดนอนที่นั่น เช้าต่อมาเรื่อย ๆ ก็นับได้ ๓ วันมาถึงที่วัดอัมพวันนี้ มาถึงก็มานมัสการอาตมา เล่าเหตุการณ์ให้ฟังยังไม่ได้เล่าละเอียด บอกเพียงผมมีนิมิตมาถึงวัดนี้ ว่าจะมีการอบรมนักศึกษาจริงหรือไม่ บอกว่าจริง นี่เตรียมแล้วปักกรดแล้ว รอนักศึกษามาวันมะรืนนี้ พระบัวเฮียวมาถึงนี่ก่อนกำหนดที่นักศึกษาจะเข้าวัดนี้ ๓ วัน ท่านปักกลดตรงที่มีศาลพระภูมิ เดิมทีตรงนี้เป็นต้นสัตบรรณสูง ๒๐ วา อีกต้นเป็นต้นพิกุล ที่เทวดาเคยมาสอนแม่ชีสวดมนต์ ต้นเล็กนี้อายุตั้งร่วมพันปี หลวงสมานวนกิจ อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ท่านบอก มีต้นสัตบรรณต้นสูงมาก แล้วมีมะม่วงอยู่ ๔ แถว

ในพิธีเปิดการอบรมนักศึกษาได้นิมนต์พระเถรานุเถระผู้ใหญ่มา มีอธิบดีสมพร  เทพสิทธา แล้วยังมีนายอภัย  จันทวิมล สมัยก่อนเป็นอะไรไม่ทราบ ก็เชิญมาในพิธีนี้เหมือนกัน

กุฎิที่พระบัวเฮียวเจริญกรรมฐาน

พระบัวเฮียวมาถึงก็เล่าให้อาตมาฟังว่า ท่านนิมิตว่าจะมาแก้กรรมที่นี่ แต่ยังไม่เล่ารายละเอียดว่าท่านเคยทำบาปอะไรนะ เพียงแต่ว่าจะมาแก้กรรม จะแก้อย่างไรก็ไม่ทราบ ท่านก็ขอรับกัมมัฏฐาน อาตมาก็ให้แนวสติปัฏฐาน ๔ บอกว่า พุทโธก็ดี แต่ใช้สติแทรกเข้าไป บอกให้ท่านตั้งสติปัฏฐาน ๔ ท่านก็เข้าใจ ก็เริ่มปฏิบัติเลยที่กุฏิหลังเล็ก แล้วให้ท่านอยู่บนกุฏิ

 

กรรมแสดง

พอนั่งปฏิบัติได้คืนนั้นผ่าน คืนที่ ๒ มาแล้วเริ่มแสดงอภินิหาร สติดีเข้า แล้วกำหนดเวทนาเข้า ตอนที่ท่านเดินธุดงค์นั้น ท่านเล่าให้อาตมาฟังไม่เคยกำหนดเวทนา ปวดเมื่อยก็ทนเอาเฉย ๆ พุทหายใจเข้า โธหายใจออก ท่านว่าอย่างนี้แล้วก็ดิ่งไป แต่ไม่มีสติท่านว่า สติไม่มี ใช้สติปัฏฐาน ๔ ขันธ์ ๕ รูปนามเป็นอารมณ์เพิ่มขึ้น แต่ก็นั่งตรงกลด เดินจงกรมขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ท่านก็ใช้สติกำหนด

คืนที่ ๒ แสดงอภินิหารแล้ว คือร้องเป็นหมู เป็นวัว เป็นควายหมดเลย ร้องมาชนเสากุฏิแล้วชนเสาต้นสัตบรรณหัวร้างข้างแตกเลือดไหลออกมา ไหลใหญ่เลย แล้วทีนี้ก็มัดเป็นหมู นอนงอเป็นหมู แล้วร้องอี๊ด ๆ ร้องอย่างหมูเลย แล้วเลือดไหล เห็นกันหลายองค์ พอดีนักศึกษาเข้ามา แล้วก็มายืนดูเป็นกลุ่มเป็นก้อนหมด พวกอาจารย์สมเดชด้วย ตอนนั้นยังเป็นนักศึกษา ป.กศ. อยู่ที่ยืนดูก็ท้อใจ บอกโอพระปฏิบัติเป็นอย่างนี้ละก็ไม่เอาแล้ว เราเสียภาพพจน์เสียแล้ว อาตมาก็ยังไม่ทันรู้ เขาก็เลยตามหมอมาตรวจ หมอบอกว่าหัวใจก็ดี ความดันก็ปกติไม่มีโรค หมอบอกว่าไม่เป็นอะไร

นักศึกษาก็ตกลงกันว่า นั่งวิปัสสนาเป็นอย่างนี้ น่ากลัวบอกไม่เอาแล้วจะกลับกัน พอดีอาจารย์วิศาลก็มาห้ามไว้ว่า ยังกลับไม่ได้ก็ต้องประชุมชี้แจงให้เข้าใจ นี่เป็นการเสียภาพพจน์ไปเหมือนกัน

 

กำหนดสติแก้

คืนต่อมานักศึกษามาเข้าประชุมแล้วรับกัมมัฏฐานก็ไปนั่งปฏิบัติ พระองค์นี้มาแสดงอีก วิ่งมาตรงนี้อีกละที่ต้นสัตบรรณวิ่งชนเลย เอาศีรษะชนเป้ง ๆ ๆ ถอยหลังไปถอยหลังมา จีวรสบงขาดหมด แล้วก็ร้องเป็นวัวเป็นควายเลือดไหลเป็นกอง ๆ เลย เลือดไหลออกมาเป็นกระโถนเลย คอเป็นแผล เลือดก็ออกมาทางตาบ้าง ทางหูบ้าง เลือดออกทางปากบ้าง อาเจียนออกมาบ้าง แล้วถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ตลอด ๓ คืน ๓ วันไม่ได้นอน อาตมาไปก็ไปดูท่านแล้วก็บอกว่า บัวเฮียวตั้งสติกำหนดเวทนา ปวดหนอ ๆ กำหนดไป กำหนดใหญ่เลย พอได้สติ กำหนดไป ๆ วันที่ ๓ ที่ ๔ ก็ลุกนั่งได้แล้ว ลุกนั่งได้ก็เจริญสมาธิ

สติปัฏฐาน ๔ เข้าพลสมาบัติได้ทันที

พอเข้าพลสมาบัติ ออกมาแล้วก็เล่าถวายอาตมาถึง ๓ ชั่วโมง บอกพระเดชพระคุณหลวงพ่อครับ ผมจะเล่าเหตุการณ์ของผมถวาย ผมเป็นญวนครับ ไม่ใช่เป็นคนไทย ก็เล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนอวสาน ตามที่อาตมาได้เล่าผ่านไปแล้ว เล่าว่าได้ไปฆ่าวัวฆ่าควาย นี่เป็นกรรมต้องใช้ พอได้สติขึ้นมานะ กำหนดเวทนา เพราะฉะนั้น โยมอย่าได้ทิ้งเวทนานะ บางคนไปฆ่าผักฆ่าปลามา ปวดแข้งปวดขา

มีนักศึกษาเคยมาที่นี่ เวลาปฏิบัติบอกปวดจะตายแล้วเจ้าข้า บ้านอยู่รู้สึกจะเป็นอุดรธานี เขามาเรียนวิทยาลัยครูที่อยุธยา เดี๋ยวนี้สำเร็จไปแล้ว เลยบอกให้กำหนดเวทนา กำหนดหนักเข้า ๆ เคยไปหักขาเขียดขากบตอนเป็น ๆ เอามาทำอย่างนั้น ๆ เขาเล่าละเอียด พอรู้เรื่องว่าตัวทำกรรมมาแล้วกำหนดและแผ่เมตตาแล้วหายทันที ๆ และจะไม่ปวดแข้งปวดขาอีก

แล้วก็ย้อนมาเล่าถึงพระบัวเฮียว พอท่านได้สติดีบอกว่าผมเองนี่ปฏิบัติมา ๑๐ ปี แก้กรรมมิได้เลย ก็นั่งนิ่งไปเฉย ๆ และไม่รู้เวทนาในเวทนา ท่านก็บอกว่าผมทราบแล้วครับว่าเวทนาในเวทนา เราไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเราจะต้องทรมานอย่างนี้แหละหนอ พอได้สมาธิพลสมาบัติแผลไม่มีที่คอนี่ แล้วเลือดหายไป และศีรษะที่เป็นแผลก็หายไปทันที มันเป็นเรื่องแปลกอยู่เหมือนกัน เลยในที่สุดก็เข้าพลสมาบัติได้

วันสุดท้ายพวกนักศึกษาเห็นว่าอ้อแก้กรรมได้ เลยท่านสามารถจะบรรยายได้อย่างสวยงาม ตั้งแต่ต้นอวสาน ทำให้นักศึกษาต้องตื่นเต้นในเรื่องการปฏิบัติธรรมนี่อย่างพระบัวเฮียวก็มาทำเป็นตัวอย่างให้นักศึกษาได้ทราบว่า วิปัสสนาแก้กรรมได้ โดยวิธีรับใช้กรรม โดยที่เอาหัวไปชนโน้นชนนี่

อันนี้ขอเจริญพรว่า เวทนาสำคัญมากนะ จับให้ได้กำหนดให้ได้ บางครั้งมันเป็นกรรมวิธีในตัวเองที่เราไปทำเขาไว้ กำหนดไว้ให้หายโดยสติสัมปชัญญะ โดย สติปัฏฐาน ๔ และการกำหนดอย่างนี้ พระบัวเฮียวเวลากลับไปถึงบ้าน รื้อที่ ชวนญาติโยมไปสร้างวัด ญาติโยมนุ่งขาวปฏิบัติวิปัสสนา เจริญสติปัฏฐาน ๔ ท่านก็เลยเลิกใช้พุทโธ ใช้เวทนากำหนดเป็นการใหญ่ เป็นการแก้กรรมของเวทนาทุกขเวทนาที่เราทำไว้ที่ทรมานเหลือเกินคือเวทนา จึงจะรู้กฎแห่งกรรม จากคำว่าเวทนา ตัวนี้ ถ้าคนไหนไม่ทนต่อเวทนากำหนดไม่ได้ จะมีกฎแห่งกรรมที่เราทำเขาไว้ อย่าไปหนีเวทนา หนีไม่ได้

ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พระบัวเฮียวก็พาญาติโยมมา ๒-๓ คันรถบัส อาตมาก็รับเลี้ยงพักที่วัดนี้ ๑ คืน ก็พาโยมมาดูว่าแก้กรรมได้ที่ไหน ก็มาที่ต้นสัตบรรณให้ญาติโยมดู มาชี้ที่พระบัวเฮียวมาปักกลดตรงนั้น แล้วก็กลับไปหายเงียบไปอยู่สัก ๑ ปี ญาติโยมชุดนั้นมาที่นี่ บอกอยากจะกราบเรียนถามหลวงพ่อว่าพระบัวเฮียวของฉันนั้น ท่านสร้างวัดเสร็จแล้ว สอนเรียบร้อยดีมีตัวแทนแล้ว ท่านหายไปเลย โดยธุดงค์ไปก็ไม่ทราบจนบัดนี้ อาตมาก็พยายามสืบทราบหาไป ก็รู้ว่าท่านอยู่ที่ไหน ก็อยู่จำวัดแล้ว พระบัวเฮียวที่เป็นญวน เดี๋ยวนี้ไปอยู่ภาคเหนือ อาตมาก็ยังไม่ได้ไปพบท่าน แต่รู้ในญาณว่าท่านไปอยู่ภาคเหนือ แต่ไปเปลี่ยนชื่อ ไม่ชื่อบัวเฮียว แต่ชื่อจริงของพระญวนนั้นชื่อบัวเฮียวชัด

อย่าลืม อย่าทิ้งเวทนา โยมต้องสู้ ถึงจะรู้กัน อย่างทหารมาอบรมที่นี่ ไว้หนวดหน่อยเป็นสิบเอก นั่งไปนั่งมาบอกกำหนดเวทนา จะลุกไปลุกมาทำไม พอบังคับเข้า นั่งเวทนาได้ก็กำหนดได้ แสดงออกแล้ว พร่ำ ๆๆ เดินรอบวัดเลย เสียอกเสียใจ อาตมากำลังบรรยายไปเรียก หลวงพ่ออธิบายที ๆ จับได้เลยไปฆ่าเขาหลายศพ มันมาปรากฏในเวทนาทันที เวทนานี่ตัวสำคัญนะ จะบอกวิธีปฏิบัติให้แล้วหนักเข้านึกได้ ว่าเมาเข้าไปพ่อก็มาห้าม ทะเลาะกับเมีย เตะตกท่อลงใต้ถุนไป เล่าให้อาตมาฟัง อาตมาบอกไม่ว่าง เดี๋ยว ๆ ไปนอนก่อน รู้จากเวทนา ตัวกรรมที่รู้จากเวทนาคือตัวทุกข์ถึงรู้ว่าตัวเองทำอะไรไว้ บอกเคยรู้ไหม เคยจำได้ไหม เคยนึกได้ไหมไปฆ่าเขานี่ ตอนหนุ่ม ๆ น่ะ รุ่นเป็นจ่าน่ะ ตอนนี้อายุมากแล้ว บอกผมลืมไปแล้วหลวงพ่อ แล้วตกท่อตกใต้ถุนไป นี่ก็ลืมไปแล้วนะ ผมเมาผมไม่รู้ จำไม่ได้ แต่มาได้เวทนาที่นี่ กำหนดเวทนาได้ปั๊บก็ยังนึกเหตุการณ์ได้ขึ้นโดยอัตโนมัติของตนเองว่าเคยไปฆ่าเขามา อย่างนี้อาตมาติดต่อตามไปว่าเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวนี้ดีปกติ ไม่เป็นไรเลยนะ

อีกคนหนึ่งผ่าไปอยู่ในกอไผ่ เห็นไหมพอรู้ตัวทุกข์ขึ้นมา เห็นกรรมของตัวที่ทำมาดันออกเดินไปเลย เดินไปอยู่ในกอไผ่น่ะ อนุศาสนาจารย์ก็กลุ้มอกกลุ้มใจ หลวงพ่อเขาไม่ตกน้ำตายไปแล้วหรือนี่ คนนี้น่ะ อาตมาบอกว่า เฉย ๆ กินข้าวซะก่อน เดี๋ยวไปตาม จะเจออยู่ในกอไผ่ ต้องผ่าจากกอไผ่ออกมา เห็นไหม ผ่าไปอยู่ในกอไผ่ที่อยู่เหนือสุดเขตบ้านที่พระไปบิณฑบาต เดินไปกลางคืนนะ เวลาเข้าไม่รู้เข้าไปอย่างไรออกลำบาก ผ่าเข้าไปในกอไผ่ นี่เวรกรรมต้องไปใช้นะ เคยเอาเขาเข้าไปในกอไผ่ มันก็ต้องไปเข้าซี

นี่คนลืมนึกกฎแห่งกรรมไม่ได้ เข้าไปประสบทุกข์มีเวทนาวิปัสสนาสติปัฏฐาน รู้กรรมตอนเวทนา นั่งสบายไม่รู้หรอกว่าทำกรรมอะไรไว้ ขอฝากเทคนิควิธีปฏิบัติไว้ด้วย ถ้าทนต่อเวทนาไม่ได้เลย เลิก ๆ โยมจะรู้กรรมแล้วใช้กรรมไม่ได้ ต้องตอบปฏิเสธกันเรื่อยไป นายจ่าคนนี้บอกหลวงพ่อ ผมรู้แล้วผมเสียใจมาก แล้วก็เอาหัวไปชนกับลูกกรงนี่บ้าง เสียใจมาก ตี ๔ พังประตูไปเลย คอกกัมมัฏฐานพังเลย นี่เป็นภาพกฎแห่งกรรมต้องระวัง เพราะฉะนั้นการปฏิบัตินี้ บางอย่างมันท้อมันถอย อย่าม้วนเสื่อหนี

เพราะฉะนั้น พวกญาติโยมในระดับวิทยากรที่จะไปสอนเขา ต้องควบคุมดูแลไว้ก่อนนะ ถ้าคนไหนมีกรรมมากต้องควบคุมให้มาก เดี๋ยวมันแสดงฤทธิ์อย่างนี้ ถ้าคนไม่เคยสร้างกรรมมาไม่เป็นไร ๆ เลยนะ ถ้าคนไหนสร้างกรรมไว้ในอดีตชาติหรือในปัจจุบันนี้ต้องควบคุมให้ดี หนีได้ง่าย ฟุ้งซ่านได้ง่าย บ้าบอคอแตกไปก่อน บ้างก็ไปชนโน่นชนนี่ โดดโน่นโดดนี่ อะไรไปอย่างนี้นะ นี่กรรมชัดต้องใช้เขาก่อน เพราะฉะนั้นญาติโยมก็ดีในฐานะเป็นวิทยากร ต้องควบคุมไว้เลยนะ  ถ้าเห็นว่าคนนี้มีกรรมอะไรมา ควบคุมดูแลไว้ก่อนนะ นี่มีวิธีแก้หลายอย่าง