วิญญาณเพื่อนเก่า
โดย ร.อ.เสถียร สถานพล
ศูนย์การทหารปืนใหญ่ จ.ลพบุรี
ร.อ. ชาญ สุริยันต์ เป็นเพื่อนที่รักใคร่ชอบพอกันนานที่สุดคนหนึ่งของข้าพเจ้า เคยเรียนร่วมมาด้วยกันหลายหลักสูตร
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ ปลายปีเขากลับจากสหรัฐอเมริกาแล้ว ๆ ได้รับการคัดเลือกจากกองทัพบกเป็นนักบินไปปฏิบัติการรบ ณ ประเทศเวียดนาม หลังจากจบการฝึกหลักขั้นต่าง ๆ ในประเทศไทยแล้ว ร.อ.ชาญ สุริยันต์ ก็ได้ออกเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ ณ ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๑๑ เป็นระยะเวลา ๑๒ เดือน ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสได้ไปส่งเพื่อนที่สนามบินดอนเมือง เพราะมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติ ปลีกตัวไปไม่ได้ หลังจากนั้นเราก็ได้แต่เพียงส่งข่าวถึงกันทางจดหมายเป็นประจำสัปดาห์ละ ๑ ฉบับ เป็นอย่างน้อย ร.อ.ชาญ ยังมีความห่วงใย ประสงค์จะเรียนหลักสูตรชั้นนายพันให้เสร็จสิ้นไปตามที่เจ้าตัวเคยพรรณนามาในจดหมายแทบจะทุกฉบับ และเขายังหวังไว้ว่าจะได้เรียนร่วมหลักสูตรทหารด้วยกันอีก ในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้เข้าเรียนหลักสูตรชั้นนายพัน รุ่นที่ ๑๐ เมื่อ ๑ พ.ย. ๑๑ ก่อน เพราะ ร.อ.ชาญ ยังปฏิบัติหน้าที่สงครามในเวียดนามยังไม่ครบกำหนดกลับ จึงไม่สามารถมาเรียนร่วมรุ่นเดียวกันอีกได้ ในระยะที่ข้าพเจ้าเข้ารับการศึกษาในหลักสูตรนี้นั้น ข้าพเจ้าแทบจะหาเวลาว่างไม่ค่อยจะได้ ต้องอุทิศเวลาทุ่มเทให้กับการศึกษา แต่ก็ยังได้ใช้ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่พอจะมีบ้างบางขณะตอบจดหมาย ส่งข่าวถึงกันอยู่เสมอ ร.อ.ชาญ ยังตอบจดหมายว่าเสียใจที่ไม่ได้เรียนร่วมกันในหลักสูตรนี้ จวบจนกระทั่งวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๒ ก็ได้รับของขวัญจาก ร.อ.ชาญ จำนวน ๑ กล่อง จดหมายฉบับสุดท้ายที่ข้าพเจ้าได้รับเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒ ก็ได้ทราบข่าวดีว่าอีก ๓ เดือนก็จะได้กลับเมืองไทย กำหนดวันมาแน่นอนจะแจ้งให้ทราบภายหลัง ขอให้ข้าพเจ้าไปรับที่สนามบินดอนเมืองให้ได้ มีของฝาก แต่ก่อนจะจบจดหมายฉบับนั้น ก็ยังไม่วายรำพันถึงว่า จะขอเข้าเรียนหลักสูตรชั้นผู้บังคับกองพันในรุ่นต่อไปให้จงได้ ข้าพเจ้าได้ตอบจดหมายเขาไป พร้อมกับปัญหาซักถามหลายข้อ ซึ่งกำลังรอการตอบจดหมายฉบับนั้นอยู่
ขณะที่รอตอบจดหมายอยู่นั้น จำได้อย่างแม่นยำว่าวันนั้นเป็นวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒ เวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น.เศษ ข้าพเจ้าได้เดินผ่านหน้าบ้าน ร.อ.เทียบ เสือมาพะเนา ร.อ.เทียบได้ตะโกนเรียกข้าพเจ้าให้เข้าไปหาในบ้านด้วยสุ้มเสียงที่กระเส่าสั่นผิดสังเกตนัก เมื่อเข้าไปจนใกล้ชิดแล้ว ก็ได้ทราบข่าวร้ายจาก ร.อ.เทียบว่า ทางหน่วยเพิ่งได้รับวิทยุข้ามประเทศเมื่อบ่ายวันนี้ว่า ร.อ.ชาญ ซึ่งขณะนั้นกำลังบินปฏิบัติหน้าที่อยู่เวียดนามนั้น เกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตก และ ร.อ.ชาญ เสียชีวิต เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒ เวลาประมาณ ๐๙.๐๐ น.เศษ ข้าพเจ้าตกใจและเสียใจมากที่เพื่อนรักต้องมาจากไปอย่างกระทันหันเช่นนี้ ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย แต่ก็ภูมิใจที่เพื่อนได้ตายในสนามรบ ซึ่งถือว่าเป็นเกียรติของทหาร จากนั้นข้าพเจ้าก็ลา ร.อ.เทียบกลับ ในความนึกคิด แล้วนึกเสมอว่าเขายังอยู่ เขายังไม่ตาย พร้อมกันก็รู้สึกเจ็บแค้นและเจ็บในใจ อยากจะออกไปทำการรบเพื่อแก้แค้นแทนเพื่อน แต่ก็จนใจที่ว่าข้าพเจ้ามิใช่นักบิน และยังไม่มีโอกาสไปรบ ณ ประเทศเวียดนาม เมื่อทางราชการเมื่อได้รับศพ ร.อ.ชาญ กลับประเทศไทย แล้วได้ตั้งศพบำเพ็ญกุศลไว้ที่วัดโสมนัส พระนคร กลางคืนมีสวดพระอภิธรรม ข้าพเจ้าได้เดินทางไปคำนับศพและขอขมาลาโทษที่ได้เคยล่วงเกินมา อธิษฐานขอให้วิญญาณของเพื่อนจงไปสู่ที่ชอบ ๆ ไปแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของเขา พร้อมทั้งได้ไปฟังพระสวดพระอภิธรรม ๑ คืนด้วย เป็นเรื่องน่าประหลาด ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะคิดถึงเขาทั้งเวลาตื่นหรือเวลาก่อนนอนก็ตาม ปรากฏว่าไม่เคยฝันเห็นเขาแม้แต่ครั้งเดียว จนกระทั่งการศึกษาของข้าพเจ้าจบลงเมื่อ ๘ พฤษภาคม ๒๕๑๒ ข้าพเจ้าจึงถูกส่งตัวกลับไปปฏิบัติราชการ ณ หน่วยต้นสังกัดเดิม
จากนั้นมาไม่กี่วัน ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวว่า ข้าพเจ้าได้รับความเห็นชอบจากผู้บังคับบัญชาในการเสนอชื่อให้กองทัพบก ออกคำสั่งให้ไปปฏิบัติการรบ ณ ประเทศเวียดนามกับเขาด้วยคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าบุคคลอื่นจะเห็นเป็นเรื่องร้าย แต่ข้าพเจ้าเห็นเป็นเรื่องดี ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้น โอกาสดีเป็นของข้าพเจ้าแล้วดีใจเป็นอย่างยิ่ง ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ เพียงขอให้ได้ไปเหยียบสมรภูมิเวียดนาม ซึ่งอาจจะได้แก้แค้นแทนเพื่อนได้อย่างดี พร้อมเสมอที่จะตายไม่เคยคิดหวาดกลัวอันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น ถึงตัวจะตายก็ยอม เพื่อประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่ง