สัญญาณมรณะ
โดย พระภาวนาวิสุทธิคุณ
๑๔ มี.ค. ๓๒
สัญญาณแห่งมรณะมันจะบอกล่วงหน้า แต่เราก็แก้ไม่ได้ เราก็ต้องตายตามนั้น บางคนก็แก้ได้ถ้าเชื่อฟัง เรื่องกรรมแห่งนิมิตของมรณะ นิมิตแห่งความตาย ถ้าเราเชื่อเราก็แก้ได้ ถ้าเราไม่เชื่อเราก็แก้ไม่ได้ มันอยู่ที่คนเชื่อ
คนไม่เชื่อเรื่องกรรมอย่างนี้ ต้องไปตายตามสัญญาณ เรียกว่า “สัญญาณแห่งมรณะ” ต้องตายตามสัญญาณนั้น จะผลัดวันประกันพรุ่งไม่ได้แน่ แต่บางอย่างก็ผลัดได้ บางอย่างก็ผลัดไม่ได้ โดยทำนองนี้ มีความหมายมาก ขอให้ญาติโยมฟังกันต่อไป
วันนี้จะเล่าเรื่องสัญญาณของมรณะ คือนิมิตของความตายมันจะมาปรากฏแก่คนผู้ตายล่วงหน้าเป็นเวลานานถึง ๒ ปี แต่แล้วเขาก็ไม่แก้ของเขา เขาจะต้องตายอย่างนั้นจริง ๆ
คนที่จะกล่าวถึงไม่ใช่อื่นไกลกับอาตมาเลย อาตมามาอยู่ที่นี่เป็นเวลา ๓๒ ปีแล้ว มาอยู่รับหน้าที่เจ้าอาวาส รักษาการเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๙ นับตำแหน่งแห่งที่เจ้าอาวาส พ.ศ.๒๕๐๐ นับได้เป็นเวลานานถึง ๓๐ กว่าปี
มีลูกศิษย์คนหนึ่งที่รู้จักกัน ชอบพอกันอย่างดี ชื่อ นายกรู่ ทรัพย์ทอง เมื่อก่อนนี้เคยไปด้วยกันที่บ้านตายุ้ย “ความฝันของลูกยุ้ย” ที่ลงกฎแห่งกรรมของ ท.เลียงพิบูลย์ ไปแล้ว
นายกรู่ขับรถออสตินเก่า ๆ ไปบ้านตายุ้ย ตายุ้ยนั่นฝันไปว่าเขาจะเอาตัวไป ความนี้ไม่ต้องเล่า เพราะเล่าไปหลายครั้งแล้ว ตายุ้ยอยู่ข้างวัดพรหมบุรีนี่เอง นายกรู่ก็ไปที่บ้านตายุ้ยด้วยกัน หลังจากนั้นก็เล่าให้นายกรู่ฟังว่า
“กรู่ นี่แหละนิมิตความตาย ตายุ้ยมาแล้ว มะรืนนี้ต้องตายแน่” แล้วก็ตายตามสัญญาณนั้นจริง ๆ อันนี้มีความหมายของวิปัสสนาทั้งสิ้น
ที่เราเข้าใจกัน แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร แผ่ส่วนกุศลให้ท้าวเวสสุวรรณ แผ่ส่วนกุศลให้ยมบาล ข้อเท็จจริงไม่ใช่
พระแก้วพระกาฬคือกฎแห่งกรรมที่จะต้องตายตามสัญญาณ พระแก้วพระกาฬเป็นตัวสมมติ แต่ตัวด้านนามธรรมคือกฎแห่งกรรมที่จะต้องตายในระยะนั้น พระแก้วพระกาฬมาผลาญชีวิตลิดชีวิตดวงวิญญาณออกไปอย่างนี้เป็นการสมมติ แต่ตัวกฎของกรรมอันเกิดจากการกระทำนั้นเป็นความจริง ซึ่งเป็นสัญญาณมรณะบอกว่าตัวเองจะต้องตาย ในระยะนั้นทันที
รอเวลาได้ไหม ก็ได้ ถ้าเชื่อ คนเราส่วนมากไม่เชื่อ เหมือนนายกรู่ ทรัพย์ทอง เป็นต้น จะเล่าเรื่องนายกรู่ต่อไป
นายกรู่ เป็นคนมีเงินมีทองพอสมควร อาชีพแจวเรือจ้าง สิงห์บุรี-ไชโย ๑ บาท คนละ ๑ บาทแจวแทบแย่เลย ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มโสด
นายกรู่แจวเรือจ้างตลอดมาพอสมควรแล้ว อายุย่าง ๒๒-๒๓ ปี บวชเรียนเรียบร้อย ได้ชอบสาวคนหนึ่งเป็นคนจีนชื่อเจ๊ฮุ้น อยู่ในตลาดบ้านแป้ง ทางพ่อแม่ของเจ๊ฮุ้นไม่ค่อยพอใจเพราะนายกรู่ เป็นคนไทย คนจีนไม่นิยมรับคนไทยมาเป็นครอบครัว เลยทำให้กรู่ต้องลำบากใจ ผลสุดท้ายทั้งสองคนได้ทำการค้า ไปเช่าร้านสำหรับค้าขายที่หน้าวัดกลางธนรินทร์ ตลาดบ้านแห้ง ขายของโชห่วย ขายทุกอย่าง เพราะภรรยาเป็นนักค้าขาย
พอภรรยาเริ่มตั้งครรภ์คนต้น นายกรู่ก็ลงกรุงเทพฯ ไปซื้อมะพร้าวโดยเรือสินค้า มีเงินอยู่ ๓,๐๐๐ บาท สมัยนั้นมีเรือสีเลือดหมู เรือเขียว เรือแดง มาตอนหลังก็เหลือแต่เรือสินค้า
นายกรู่ เวลานั้นอายุ ๒๔ ปีแล้ว ก็ลงเรือสินค้าไปซื้อมะพร้าว เครื่องแกง พริกกะปิ หอมกระเทียม ขากลับเรือแล่นถึงจังหวัดอ่างทองตอนตี ๑ เรือเกิดชนโขดล่มทันทีที่บ้านโพธิ์ทูล
นายกรู่นอนข้างห้องเครื่อง เอาผ้าใบปิด เพราะเป็นหน้าหนาว เรือล่มไปแล้วก็ออกไม่ได้ ดิ้นอยู่ข้างห้องเครื่อง คนตายหลายศพ คนที่ตายไม่ใช่ว่ายน้ำไม่เป็น ว่ายน้ำเป็นแต่ติดผ้าใบและหลับ จึงตาย
นายกรู่ก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร เหลือวินาทีเดียวก็จะตายแล้ว เลยบอกว่า “ข้าพเจ้าขอบวชในพระพุทธศาสนาขอให้ข้าพเจ้ารอดจากความตาย ถ้ารอดข้าพเจ้าขอบวช” ก็เลยผลุดขึ้นมาได้
พอหลุดลอยขึ้นมาได้ นายกรู่ก็โล่งใจ มะพร้าวลอยไปหมดไม่มีเหลือ น้ำตาลปีปก็ละลายน้ำไปหมด
แต่ความจริงแล้วตรงนั้นน้ำก็แค่คอเท่านั้น เรือล่มตายกันได้ เพราะมันไปชนโขด มีหัวหาดอยู่ นายท้ายคงจะหลับ ชนแล้วก็คว่ำลงไป คนก็ตายหลายศพอยู่ในท้องเรือออกไม่ได้ เข่งทับบ้าง
สรุปใจความว่า นายกรู่ขึ้นมาก็กลับมาถึงบ้าน เงินที่ไปซื้อสินค้า ๓,๐๐๐ บาท หมดเลยไม่มีเหลือ แต่ก็ไม่เคยเล่าให้ใครฟังว่าจะต้องบวช อย่างเราพูดตามศัพท์ทั่วไปเรียกว่าบนบวช
ลูกในครรภ์จะต้องคลอดในปีต่อมา นายกรู่อายุ ๒๔ ปี ลูกคลอดออกมาก็เจริญวัยชันษา นายกรู่ก็ทำมาหากินเรื่อยมาตามอันดับ ไม่ได้บวช เพราะไม่ได้บอกกับคุณแม่
นายกรู่รับพ่อรับแม่ของตัวมาอยู่ด้วย ต่อมาพ่อก็ขอลาไปบวช ไปเป็นสมภารวัดคลองสายบัว จังหวัดลพบุรี อยู่หลังวิทยาลับครูเทพสตรี บัดนี้ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ก็อยู่แต่แม่อยู่ด้วยกันตลอดมา จนลูกสาวคลอดออกมามีอายุ ๒๔ ปี จะแต่งงานกับอาจารย์ ร.ร.พิบูลวิทยาลัย จ.ลพบุรี ในวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๑๗
นายกรู่ ทรัพย์ทองนี้ มาเป็นลูกศิษย์อาตมา ขับรถไปกำแพงเพชร ไปเหนือมาใต้ ไปงานต่าง ๆ ที่วัดอัมพวันยังไม่มีรถ ต้องจ้างรถนายกรู่ กรู่มีรถ ๓ คัน รถตู้ ๑ คัน ปิคอัพ ๑ คัน และรถออสตินเก่า ๆ ๑ กัน
อุดม ลูกสาวคนโตนายกรู่สำเร็จพยาบาลทำงานที่โรงพยาบาลหญิง กรุงเทพฯ จะแต่งงานปีนั้นอายุ ๒๔ ปี นายกรู่อายุ ๔๘ ปี นายกรู่เกิดฝัน ๓ คืนติด ๆ กัน อาตมาบันทึกมีหลักฐานมีพยานบุคคลด้วย
คืนแรกฝันว่า มีเทวทูตจะเอาตัวไป ในฝันก็บอกเขาไปว่า “เอาไปทำไมเล่า”
“ไม่ได้ หมดเวลาแล้ว ต้องเอาไป”
นายกรู่ตกใจตื่น วันนั้นอาตมาจะไปกำแพงเพชรเลยไม่ได้ไป กรู่ไม่ยอมขับรถ
นายกรู่มาร้องไห้ บอก “หลวงพ่อ ผมไปไม่ได้หรอกครับ ผมเสียใจมาก”
“เสียใจเรื่องะไร เล่าให้ฟังซิ” เขาก็เล่าบอกว่า
“เมื่อคืนฝันร้าย มีนายนิรบาลแต่งตัวผ้าแดง โพกศีรษะมา ๔ คน จะเอาตัวผมไป ดึงแขนดึงขาใหญ่เลย ผมบอกยังไปไม่ได้ ลูกยังเล็กอยู่” ก็เลยตกใจตื่น เสียใจ วันนั้นอาตมาเสียงานเพราะนายกรู่ไม่ยอมขับรถ
คืนที่สองฝันซ้ำอีก บอกว่าต้องเอาตัวไปให้ได้ ถือบัญชีมากางแล้ว ต้องเอาไปนะ เขาสั่งให้เอาตัวไปให้ได้ในวันนั้น กรู่ก็ขอร้องไว้ ขอร้องอย่างไรก็ไม่ได้ เขาบอกมีบัญชี นายกรู่ไม่ยอม ในเมื่อไม่ยอมเช่นนี้แล้วก็ตกใจตื่น อาตมาจะต้องไปงานที่ลพบุรี เลยไม่ได้ไปเสียงานอีก
คืนที่สามฝันอีก ฝันว่า ๔ คนมาแล้ว ถือบัญชีมาด้วยบอกว่า “กรู่รู้ไหม ที่เขาให้เอาตัวเจ้าไปเพราะเหตุใด”
“ผมไม่ทราบครับ” ตากรู่เป็นคนปากหวาน พูดจาเพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยทำบาป ทำบุญตลอดมา
กรู่ก็บอกว่า “จะเอาตัวผมไปทำไมครับ” อีกคนหนึ่งก็บอกว่า “กรู่ จำได้ไหม เมื่อเจ้าอายุ ๒๔ ปี นี่จนลูกในท้องของเจ้าคลอดออกมา จะแต่งงานแล้ว เจ้ามีอะไรหรือเปล่า” กรู่ก็นึกไม่ออก ในเมื่อนึกไม่ออกแล้วเขาก็บอกว่า
“ตอนที่เรือล่ม ลูกสาวคนหัวปีของเจ้า ยังอยู่ในท้องใช่ไหม นี่จนลูกแต่งงานอายุ ๒๔ ปีแล้ว เจ้าพูดว่าจะบวชทำไมไม่บวช นี่เสียสัจจะ เป็นกฎแห่งกรรม เจ้านายเขาให้เอาตัวไปในวันนี้ให้จงได้”
นายกรู่ก็ร้องไห้ใหญ่ ในฝันเสียใจ บอกว่าอย่าเอาผมไปเลย ลูกก็ยังเล็ก ยังเรียนหนังสืออยู่ คนโตเพิ่งจะสำเร็จเพียงคนเดียวเท่านั้น ขอเมตตากระผมเถิด นายทั้ง ๔ ก็บอกว่า “ไม่ได้ ต้องเอาตัวไป”
อีกคนหนึ่งตาโปน นุ่งผ้าแดงใส่เสื้อแดงโพกผ้าสีแดง มีผ้าห้อยคอสีขาว มีความสงสารนายกรู่บอกว่า
“กรู่เอ๋ย เอาละข้าสงสารเจ้า ลูกยังเล็กนักเอาอย่างนี้ได้ไหม ภายใน ๒ ปีนี้ บวชเสีย เจ้าบวชภายใน ๒ ปีนี่ได้ไหม บวชเสียจะได้ไม่เอาไป” กรู่ก็บอกว่า
“บวชไม่ได้ครับ หลวงพ่อผมก็บวชไปองค์หนึ่งแล้ว เป็นสมภารมีลูกชายคนเดียวคือผมเท่านั้น ผมไปช่วยอีก เขาจะหาว่ามาอาศัยข้าววัดกิน กำลังทำมาค้าขาย” เขาบอกว่า
“ตามใจนะ ไม่ได้ว่าอะไรนะ ต้องบวชเรียนภายใน ๒ ปีนี้ ถ้าไม่บวชตายนะ รถชนคอหักตายนะ ถ้าบวชแล้วคงไม่ขับรถ จะเอาอย่างไรกันแน่” แล้วก็ตกใจตื่น
เขาก็ร้องไห้มาหาอาตมา เล่าให้อาตมาฟัง อาตมาฟังแล้วก็จดบอกว่า “กรู่ บวชเถอะ” อยู่ต่อมาได้ ๑ ปี ก็ไม่บวช ขับรถให้อาตมาตลอดรายการ
ต่อมานายกรู่ฝันว่า มันปวดที่ตับ ปวดในปวดนอกจะตาย ทำนองนี้ เป็นต้น แต่แล้วมันก็เป็นจริงขึ้นมาตามลำดับ
เหลือไม่กี่วันจะแต่งงานลูกสาว นายกรู่ฝันอีก บอกว่า เจ้ามีลูกจะแต่งงานแล้วอายุ ๒๔ ปี เจ้าก็คงจะเป็น ๔๘ เจ้าจะต้องตาย ตายอย่างอเนจอนาถ เพราะเสียสัจจะ ที่บนบานสานกล่าว
ขอเจริญพรญาติโยมไว้ในที่นี้ว่า ไม่ใช่เจ้าพ่อหักคอ แต่เวรกรรมตามสนองที่เสียสัจจะอย่างแรง เพราะเอ่ยเผยวาจาออกมาอย่างแรงที่สุดแล้วไม่ทำตาม
อาตมาบันทึกไว้ว่าแต่งงานลูกสาววันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๑๗ อยู่มาปีนั้นไม่ได้บวช พอมาปีสุดท้ายอาตมาเห็นท่าไม่ดีแล้ว ก็บอกให้นายกรู่บวช เขาก็บอกว่า
“หลวงน้ามันเข้าพรรษาแล้วบวชยังไงเล่า และผมก็มีครอบครัวเขาจะว่าเอาละมั้ง” และบอกต่อไปอีกว่า
“ลูกผมก็ยังเข้างานไม่ได้และผมยังเป็นหนี้แม่อีก ๔ หมื่น เอามาซื้อรถ เพิ่งส่งให้ไป ๒ หมื่น ก็คงจะบวชไม่ได้”
อาตมาก็พยายามกล่อมเกลาและบอกให้กรู่บวชภายในเดือนสิงหาคมในปีต่อมา ถ้าไม่บวชวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๑๘ ครบอีก ๑ ปีแล้ว ต้องตายแน่ อาตมานึกไว้ในใจ
อาตมาเตรียมบาตร ผ้าไตรไว้ข้างที่นั่งที่หอประชุมที่กุฏิอาตมา จะนิมนต์ท่านเจ้าคุณพรหมโมลีเป็นอุปัชฌาย์ เตรียมเครื่องอัฐบริขาร ถวายคู่สวด อุปัชฌาย์ให้เสร็จ
กรู่บอกว่า “ไม่บวช” ทำอย่างไรก็ไม่บวช และเรื่องที่ฝันก็บอกกับอาตมาว่า อย่าบอกให้แม่รู้ อย่าบอกให้ภรรยาผมรู้โดยเด็ดขาด อาตมาก็รับปากจะไม่บอก
“หลวงน้า อย่าบอกกับเจ้าคุณพรหมโมลี บอกไม่ได้เด็ดขาด ที่ผมฝันร้ายนี้อย่าบอกนะ”
“เอ้าตกลง” อาตมาก็ถือสัจจะให้มั่นคง “ไม่บอก” ถ้าบอกเดี๋ยวก็ตายอีก ทำนองนี้ เป็นต้น
ครูหนุน ทำนองเป็นครูใหญ่ วัดกลางธนรินทร์ จดไว้ด้วยกัน
เหลืออีก ๗ วันจะครบ ๒ ปี เขาก็นิมนต์อาตมาไปฉันที่วัดกลางธนรินทร์ทุกวัน ขอทำบุญ พอวันที่ ๗ ครบ ๒ ปี เขาก็บอกกับอาตมาว่า
“หลวงน้า ผมไม่ได้ขับรถให้หลวงน้านะ ผมจะไปอำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ มีคนเขาจ้างรถไปแต่งงาน” อาตมาก็ล้มไป ลืมสองปี อาตมาไปที่บ้านเก่า ต.บ้านหม้อ อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี กับเจ้าคุณวัดกลาง แล้วกลับมาตอนบ่าย
นายกรู่ ทรัพย์ทอง ก่อนไปก็ลาแม่ ไหว้คนโน้นลาคนนี้แล้วก็ขับรถไป
วันนั้นเป็นวันครบ ๒ ปี ตามที่ยมทูตบอกไว้ พอบ่ายสองโมงอาตมากลับจากงานสักประเดี๋ยว เจ๊ลี้ ร้านช่างทองที่สิงห์บุรี มาบอกอาตมา
“หลวงพ่อ นายกรู่อยู่ไหม” อาตมาบอกว่า
“เขาไม่อยู่นะ ขับรถไปแต่งงานที่อำเภอท่าตะโก”
“ตายแล้ว!”
“เอ้า! รู้ได้อย่างไร”
“ลูกน้องของฉันไปนครสวรรค์มา เห็นรถนายกรู่คว่ำที่มโนรมย์ คอหักตาย ลูกน้องฉันเขายังไปช่วยเลย คนอื่น ไม่เป็นอะไรเลย”
ก็ได้ความว่าขับรถไป มีผู้หญิงซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ขับตัดหน้า จะให้รถคว่ำ จะได้เก็บข้าวเก็บของ นายกรู่เห็นผู้หญิงขับรถก็ชะลอ แล้วก็บึ่งแซงรถมอเตอร์ไซค์ก็ตัดหน้า นายกรู่เบรกเต็มที่โผล่ศีรษะออกมาบอกคนข้างหลังบอกให้ระวัง เลยรถคว่ำทับคอหักตายคาที่ คอหมุนได้เลย ครบสองปีพอดี ตรงกับวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๑๘ ตรงกับความฝัน และต้องตายอย่างนี้ด้วยนี่แหละเสียสัจจะ
อาตมาไปช่วยทำศพ ภรรยาของเขาคือเจ๊ฮุ้น ไม่สามารถจะไปแจกการ์ดได้ เพราะไม่รู้จักใครเลย ไม่เหมือนตากรู่
ในที่สุดอาตมาก็นำเครื่องอัฐบริขาร เครื่องผ้าไตรและเครื่องอุปกรณ์ทั้งหมด ไปติดกัณฑ์เทศน์อุทิศให้ตากรู่ ให้ยมบาลบวชให้ในเมืองโน้นต่อไป
อันนี้ชี้ให้เห็นชัดได้เลยว่าไม่ใช่บนไว้เป็นตัวกรรมเป็นที่เสียสัจจะ คนเสียสัจจะมักจะตายแบบนี้ทั้งนั้น เสียสัจจะวาจาที่ตนอ้างอิงไว้อย่างแรง บางคนบนไว้อย่างแรงเชียวนะจะตายจะขาดใจแล้วบนไม่ทำตาม ส่วนมากจะตายแบบนี้ หรือมิฉะนั้นล้มหัวฟาดน็อคพื้นตาย มีหลายรายดังที่กล่าวนี้
นี่แหละเรื่องสัญญาณมรณะของนายกรู่ ทรัพย์ทอง ผู้เป็นลูกศิษย์ที่วัดอัมพวันนี้ แล้วก็ตายพอดีตามกำหนดที่ได้ฝันนั้นทุกประการ
ถ้าหากว่าบวชตามที่อาตมาบอกแล้ว รับรองไม่ตายเนื่องจากไม่ต้องขับรถ ยมบาลเขาบอกแล้วต้องคอหักตาย ถ้าไม่บวชคุณก็ต้องไปขับรถ รถจะต้องคว่ำหรือชนตายในวันดังที่กล่าวแล้ว เป็นความจริงดังที่บันทึกไว้ทุกประการ มีพยานหลักฐาน เจ๊ฮุ้นยังอยู่
พอศพมาถึงวัด อาตมาก็เปิดเผยให้เจ้าคุณวัดกลางฟัง เจ้าคุณบอกว่าน่าจะบอก อาตมาบอกว่า
“บอกไม่ได้หลวงพ่อ ผมก็เสียสัจจะ เพราะเขาห้ามโดยเด็ดขาด ห้ามบอกเจ้าคุณ ห้ามบอกเจ๊ฮุ้น ห้ามบอกแม่ของเขา เลยก็ไม่ได้บอก”
มีอาจารย์หนุน ทำนอง อดีตครูใหญ่วัดกลางธนรินทร์ก็ทราบเรื่องนี้ดี แต่ทราบไม่ละเอียดเพราะอาตมาปิดบางข้อท่านไม่ทราบ กรู่ไม่ให้พูด จนตายแล้วก็เปิดเผยให้ฟังเป็นข้อ ๆ ย่อใจความ กรู่ก็เล่าให้ครูหนุน ทำนอง ฟัง แต่เล็กน้อยดังที่กล่าวแล้ว
อันนี้ยกตัวอย่างสัญญาณแห่งมรณะ ทุกคนจะต้องมีสัญญาณ ทุกคนจะต้องมีนิมิต รู้ว่าจะต้องตายอย่างไร แต่เราไม่ได้สนใจตัวเองแต่ประการใด นายกรู่ก็ตายตามสัญญาณนั้นทุกประการ
สุดท้ายนี้ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่บรรดาญาติพี่น้องทั้งหลาย ผู้ใคร่ธรรมสัมมาปฏิบัติ และจงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณธนสารสมบัติ จะนึกคิดสิ่งหนึ่งประการใดสมความมุ่งมาดปรารถนาด้วยกันทุก ๆ ท่าน ณ โอกาสบัดนี้เทอญ