มงคลชีวิต และการเวียนว่ายตายเกิด

โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

สัมโมทนียกถาในพิธีทำบุญครบรอบวันเกิด คุณแม่ผัน แซ่ตั้ง อายุ ๙๐ ปี

ขอเจริญพรญาติพี่น้องทุกคน วันนี้เป็นวันมงคลชีวิต สำหรับบุตรธิดาลูกหลานของคุณแม่ คุณย่า คุณยายผัน แซ่ตั้ง ทุกท่านที่มาพร้อมใจกัน สโมสรสันนิบาต ณ สถานที่นี้ เพื่อสร้างกุศลเทวตาพลี อุทิศส่วนกุศลคุณงามความดีให้แก่เทวดาประจำวันเกิด วันนี้ทุกคนมาร่วมทำบุญตักบาตร ไม่ใช่มาสนุกสนานเท่านั้น

วันนี้เป็นโอกาสอันมงคล ขอเชิญชวนให้ทุกคนหวนคิดถึงชีวิตในอดีตกาลที่ผ่านมาว่า บิดามารดาของท่านทั้งหลาย ได้มุ่งมาดปรารถนาเพียรพยายาม สร้างชีวิตมาด้วยความยากลำบากลำเค็ญใจ อดทนต่อความทุกข์ทั้งปวง รวบรวมพลังจิตพลังใจ เพื่อสร้างสรรค์ความรู้ ความคิด และความสุขให้กับบุตรหลานมาจนเป็นอยู่ทุกวันนี้ ท่านผู้นั้นได้แก่ คุณโยมผัน แซ่ตั้ง

ชีวิตในอดีตที่ผ่านมา จะยากดีมีจนประการใด ท่านทั้งหลายทราบดีอยู่แก่ใจแล้ว แต่บิดา มารดา ทั้งสองในบัดนี้จะอยู่ก็เฉพาะคุณย่า หรือคุณยายผัน แซ่ตั้ง เท่านั้น คุณโยมหมั่น หรือจะเป็นคุณโยมปู่ โยมตาของหลายๆ คน ได้สิ้นบุญไปแล้ว ท่านทั้งสองมีความสำคัญแก่ลูกหลานไม่ใช่น้อย แต่เราในฐานะลูกหลานไม่ค่อยเข้าใจ ยิ่งเป็นหลานๆ เหลนๆ ด้วยแล้ว ยิ่งไม่ค่อยเข้าใจใหญ่ เพราะพ่อแม่ไม่ได้เล่าให้ลูกหลานฟังว่า คุณปู่ คุณย่านั้นสร้างฐานะมาด้วยความลำบากลำเค็ญใจเพียงใด หลานๆ ไม่ได้เห็น พอเกิดมาลืมตาอ้าปาก พ่อแม่ก็มีเงินมีทองอยู่แล้ว

จึงขอเตือนใจไว้ว่าอย่าประมาท โอกาสอันดีงามในวันนี้ มาร่วมทำบุญ ให้สำนึกถึงคุณงามความดีที่ทุกคนได้รับมาจากพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ที่สร้างมาให้ แต่ลูกๆ หลานๆ ชอบสาละวนวุ่นวาย สุรุ่ยสุร่ายมิใช่น้อย ไม่มีการประหยัดเหมือนครั้งปู่ย่า ตายาย เวลากินก็อดออม ออมไว้ในลูกหลาน จะกินเข้าปากเข้าท้อง ก็ไม่ได้ลงคอเลย

ดังที่พระพุททธเจ้าทรงสอนไว้ว่าเป็นห่วง ห่วงผูกคอ ผูกมือ ผูกขานั้น คือ ทรัพย์สมบัติ ห่วงผูกแขนซ้าย–ขวาคือสามีภรรยาในครอบครัว ห่วงผูกคอคือลูก มีความหมายกินไม่ลงคอนั้นคือหากว่าลูกอยากรับประทานอาหาร พ่อแม่จะหิวอย่างไรก็ให้ลูกก่อน ไม่เช่นนั้นแล้วมันจะติดอยู่ที่คอ เปรียบเสมือนห่วงผูกคอฉันนั้น

นี่แหละท่านทั้งหลายต้องมีลูกเอง ถึงจะรู้ได้ ยิ่งลูกหลานรุ่นใหม่ในสมัยปัจจุบัน ไม่ค่อยจะนึกถึงพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ที่สร้างแบบฉบับแห่งความดีไว้ให้ ชนิดที่ต้องลำบาก ลำบน ลำเค็ญใจ อดออม อดกลั้น อดทนทุกประการ

คนโบราณท่านมีคติดี เวลาไปไหนมาไหนต้อง ๑. นิ่งได้ ๒. ทนได้ ๓. รอได้ ๔. ช้าได้ ๕. ดีได้ คนสมัยนี้นิ่งไม่ได้ ปากไม่ดี ทนไม่ได้ อยู่ไม่ได้อีก รอก็ไม่ได้ ช้าก็ไม่ได้ จึงเอาดีกันไม่ค่อยจะได้ในยุคสมัยใหม่ปัจจุบันนี้ สิ่งเหล่านี้มีความหมายมาก แต่ทุกคนไม่เคยคิด อย่าลืมว่าคุณโยมผัน แซ่ตั้ง ต่อสู้ชีวิตมาด้วยความยากลำบากที่สุด ตั้งแต่สมัยอยู่จังหวัดพิษณุโลก สุโขทัย ดำเนินงานกิจการต่างๆ มาเรื่อย ยากดีมีจนอย่างไร ลูกหลานควรจะทราบประวัติไว้ แต่ทุกวันนี้หลานๆ เหลนๆ ไม่เคยทราบ ทราบแต่จะขี่รถเบนซ์ออกเดินตามห้างสรรพสินค้า ไม่เหมือนปู่ย่า ตายาย ต้องเดินด้วยเท้า ลำบากลำบน เก็บผักบุ้ง เก็บยอดกระถินขาย กินข้าวกับเกลือไม่เหลือวิสัย สามารถจะทนได้ แต่ลูกหลานเดี๋ยวนี้จะต้องกินเห็ด กินเป็ด กินไก่ จึงจะอยู่ได้ ต้องขี่รถเบนซ์ เมื่อนึกถึงปู่ย่า ตายาย ว่าลำบากลำบนมาอย่างไร ท่านสาธุชนทั้งหลายก็สมควรจะได้ยึดถือเรื่องเก่าไว้เป็นอุทาหรณ์ บทเรียนสอนใจไว้บ้าง

จึงฝากข้อคิดนี้ไว้ด้วย ว่าอย่าเผลอ อย่าประมาท อย่าเอาแต่ฉาบฉวย อย่าเอาแต่สำรวยตัว ให้มีความอดทน คนโบราณอย่างโยมหมั่น โยมผัน ท่านกล่าวสอนไว้ดีนะว่า “ปู่ย่า ตายาย จะสั่งสอนตักเตือน ต้องนิ่ง” ต้องนึกถึงหลวงพ่อนิ่ง หลวงพ่อทน หลวงพ่อทน หลวงพ่อนิ่ง ตาดู หูฟัง ปากนิ่ง ตีนต้องรีบวิ่ง มือทำแต่ความดี จะได้มีปัญญา แต่เด็กเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเอา ถูกว่ากล่าวตักเตือนก็โกรธ คนโบราณสอนไว้ว่า พ่อแม่ตักเตือนต้องนิ่ง ต้องดุษณียภาพ ต้องรับฟัง ต้องยอมรับ ด้วยความจำนนและเหตุผลในตน คนโบราณได้สร้างความดีไว้ให้กับลูก สร้างความถูกกับหลานดังนี้ ลงทุนสร้างความดี อดทนต่อความลำบากได้ทุกประการ ผิดกับคนสมัยนี้ สร้างความชั่วไว้ในใจ ชอบลงทุน กินสบาย นอนสบาย เหลือเกิน นอนตื่นสาย หน่ายทำกิน หมิ่นเงินน้อย นั่งคอยวาสนา ให้มาหาเอง ไม่เหมือนคนโบราณที่เขาต้องวิ่งไปวาสนา คือ ทำ มือสอง เท้าสอง สมองหนึ่ง เป็นที่พึ่ง กินข้าวต้มกับหัวใช่โป๊ว ปลาทูตัวเดียว ไข่ลูกเดียว ก็กินได้ คนเดี๋ยวนี้กินไม่ได้ คนโบราณที่สร้างความดี ลงทุนความลำบากได้ทุกประการ ยกตัวอย่างเช่น โยมผัน แซ่ตั้ง อดทนเหลือเกิน ทนไว้ให้ลูก ทำถูกไว้กับหลาน ให้ลูกหลานมั่งคั่งสมบูรณ์ มีเงินมีทองเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีมาจนเท่าทุกวันนี้

โยมหมั่น แซ่ตั้ง ผู้ช่วยชีวิตหลวงพ่อ

ทำไมอาตมาจึงได้รู้ประวัติบ้านนี้ เนื่องจากอาตมาไม่เคยลืมพระคุณที่ได้รอดตายเพราะโยมหมั่น ในสมัยที่อยู่บ้านสวน ที่เรียกว่าคลองสวนอ้อย ในคลองสวนบางแวก ตั้งแต่คลองเชือกหนัง ตลอดจรดวัดบางแวกมาถึงวัดตระโหนด (โตนด) อาตมาเคยไปอยู่มาเป็นเวลา ๒ ปี เมื่อสมัยเป็นเด็กวัยรุ่น อาศัยอยู่กับคุณลุงศร ศิลปบรรเลง นี่แหละเป็นกฎแห่งกรรม แต่ครั้งอดีตเวียนพบมาบรรจบกันจึงได้มารู้จักบ้านนี้ พยานบุคคลยืนยันได้ ก็นั่งอยู่ที่นี้ด้วย คือ เจ๊ใหญ่ บุตรีโยมหมั่น ซึ่งตอนนั้นมีบุตรสาว ๓ คน รูปร่างหน้าตาสวยงาม เจ๊ใหญ่เป็นคนหุงข้าวให้เราทาน อาตมาจะไม่ขอลืมพระคุณนี้ ที่บ้านนี้มีอัธยาศัย มีน้ำใจเหลือเกิน ถึงจะยากจนเป็นบ้านกระต๊อบหลังเล็กๆ ก็มีระเบียบวินัย ในห้องครัวฝาหม้อเรียงเป็นแถว มีระเบียบ มีสัจจะ ความจริงใจ มีทั้งเมตตา อารี เอื้อเฟื้อ มีหม้อข้าวใหญ่เบ้อเร่อ ต้อนรับให้ทุกคนกินข้าวได้ ไม่หวง เรื่องราวเป็นมาอย่างไร อาตมาจะได้เล่าประวัติให้ฟัง เป็น อุทาหรณ์ ของอดีตกรรมของคนที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสาร ถ้าเราเกื้อกูลกันในวันนี้ จะญาติกันในวันหน้า ถ้าเราเกื้อกูลกันครั้งอดีตชาติ ต้องมาเป็นญาติกันในวันนี้ ขอฝากทุกคนในที่นี้ไว้ด้วย

เจ๊ใหญ่ ผู้หุงอาหารให้รับประทาน

สมัยที่อาตมาเป็นเด็กวัยรุ่น ไปอาศัยอยู่ที่บ้านบันได คนเรียกว่าบ้านใหญ่สามหลัง เป็นบ้านของหลวงธารา มีคุณนายชื่อห่วง คุณหลวงธาราผู้นี้เคยตีระนาดเอกให้รัชกาลที่ ๖ ทรงโขน อาตมาไปอยู่เพื่อเรียนเพลงดนตรี ดีด สี ตี เป่า เรียนต่อเพลงพิณพาทย์ เป็นเวลา ๒ ปี ตอนนั้นคุณหลวงธาราชรามากแล้ว อายุ ๘๐ กว่าปี ให้เงินตอบแทนท่านเดือนละ ๘๐ บาท อาตมาจำคำสอนของยายได้ว่า “หลานไปอยู่บ้านท่าน อย่าดูดายนะหลาน ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น” อาตมาจึงได้ช่วยเขาทำสวน รดน้ำ เสวียนน้ำ ต้นส้ม ทุเรียน หมาก มะพร้าว ทำมาทำไปไม่ต้องหุงข้าวกินเอง คุณหลวงอนุญาตให้ไปกินข้าวที่บ้านได้ เงินเดือนที่ให้ท่าน ๘๐ บาท ท่านก็ไม่เอา นี่คืออานิสงส์แห่งการช่วยเหลือกัน เป็นสัมพันธ์ไมตรีของจิตใจคนโบราณ ต่อมาอาตมาได้ร่วมไปบรรเลงพิณพาทย์ที่วัดโตนด ให้ลิเกนายฉอ้อนเล่นเรื่องขุนช้างขุนแผน พระที่วัดโตนดมีหลวงตา ๒ รูป ชอบดูดฝิ่น กินกัญชา ตอนนั้นอาตมาเป็นคนปากไม่ดี ปากเสียไปด่าหลวงตาว่า “หลวงตาลักกินยาฝิ่น ดูดกัญชา พระอย่างนี้เราไม่นับถือ” หลวงตาก็ผูกใจเจ็บ ผูกพยาบาทอาตมา คงจะคิดอยู่ในใจว่า “เอาละ ไอ้เด็กคนนี้ กูจะจำไว้ วันหน้าพบกะกูใหม่”

อยู่ต่อมาวันหนึ่ง อาตมาไปร่วมบรรเลงพิณพาทย์ที่วัดโตนดอีก และคุณหลวงธาราสั่งไว้ให้เลยไปเล่นพิณพาทย์ที่คลองเชือกหนังที่วัดอะไร อาตมาลืมชื่อแล้ว มีงานศพ ๗ วัน ๗ คืน เป็นศพของเศรษฐีในบ้านสวนแถบนั้น คนอื่นๆ ในวงพิณพาทย์ไปกันก่อนแล้ว เหลือแต่อาตมานอนหลับเผลอไป หลวงตาในวัดมาเห็นเข้า จึงคิดแก้แค้น ยุให้เด็กวัด ๗ – ๘ คนมารุมเตะ ต่อย ทำร้ายอาตมา อาตมาจึงวิ่งไปแพท่าน้ำ เกิดชกต่อยกันชุลมุน มีพระหลวงตาคอยเชียร์ยุยงให้รุมอาตมา จะเอาให้ตาย อาตมาตัวคนเดียว ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ สู้ไม่ไหว กำลังเสียทีอยู่

พอดีโยมหมั่นพายเรือผ่านมาพบเข้า จึงร้องตะโกนขึ้นว่า “เออ พระช่วยยุให้เด็กมันต่อยกันทำไมวะ เฮ้ย พวกนี้หยุดๆ ไปรุมเขาทำไมกันคนเดียว หยุดนะ ๆโยมหมั่นขึ้นจากเรือ ไปช่วยกันอาตมาออกมาจากกลุ่มเด็กวัด แล้วจูงมืออาตมาลงเรือ พายไปบ้าน ให้อาบน้ำอาบท่าล้างเนื้อตัวที่มอมแมมจากการถูกรุม แล้วเรียกอาตมาว่า “อาตี๋ กินข้าวกินปลาให้อิ่มก่อนนะ” ก่อนที่อาตมาจะไหว้กราบลาทุกคนจากมา อาตมายังจดจำพระคุณนี้ไม่ลืมเลือน จำได้ว่า เจ๊ใหญ่ เป็นคนหุงข้าวให้กิน บ้านนี้มีลูกสาวสามคน แม้ว่าบ้านจะเป็นกระต๊อบหลังเล็กๆ แต่สะอาดสะอ้าน จัดวางของใช้เป็นระเบียบเรียบร้อย อาตมาจากคลองสวนอ้อยมาด้วยจิตสำนึกในบุญคุณตลอดมา

เมื่อหลวงธาราและคุณนายห่วงได้สิ้นชีวิตลงแล้ว อาตมาได้เดินทางไปอยู่อาศัยกับบ้านคุณลุงศร ศิลป-บรรเลง ต่อมาก็ได้เป็นหลวงประดิษฐ์ ไพเราะ หลังวัดสระเกศ ที่เรียกกันว่าบ้านบาตร อีก ๑ ปีเศษ ซึ่งได้มารู้จักและเป็นเพื่อนกับ ดร.อุทิศ นาคสวัสดิ์ ที่นี่

วันปีได้ผ่านพ้นมานาน อาตมาก็ไม่ได้ไปที่บ้านสวนคลองบางแวกอีกเลย จนกระทั่งมาบวชในร่มกาสาวพัสตร์มีอายุเข้าสู่วัยชรานี่แล้ว ถึงคราวที่กงล้อแห่งกรรมได้เวียนมาบรรจบกันอีก โยมสุนีย์ พันธสุภร ได้นิมนต์อาตมาว่า จะทำบุญวันเกิดคุณแม่ผัน เมื่อประมาณปี ๒๕๒๙ หรือปี ๒๕๓๐ นี่แหละ อาตมาก็รับนิมนต์ เพราะเห็นโยมสุนีย์แล้วรู้สึกว่าคงจะเคยเป็นญาติของเรามาก่อน จึงได้มีโอกาสไปบ้านโยมสุนีย์ ในวันทำบุญวันนั้นมีหลวงพ่อมาหลายรูป เห็นมีหลวงพ่อวิชัย หลวงปู่บุดดา อาตมาได้เข้าไปนั่งในห้องพระของบ้านโยมสุนีย์ ได้เห็นรูปคุณโยมหมั่น ครั้งแรกก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นคุ้นหน้าที่ไหนมาก่อน นึกไปนึกมาก็จำได้ จึงถามโยมสุนีย์ว่า รูปนี้คือรูปของใคร โยมสุนีย์ตอบว่าเป็นเตี่ยของโยมสุนีย์เอง สอบถามชื่อแล้วตรงกัน เป็นคนเดียวกันแน่

นี่แหละมนุษย์เรา เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสาร ไม่ตายจากกันแล้ว ต้องได้พบ มาใช้หนี้บุญคุณกันต่อไป อาตมาไม่เคยลืมพระคุณเลย ถ้าไม่ได้โยมหมั่นผู้นี้ อาตมาต้องตายไปนานแล้ว เพราะหลวงตาวัดโตนดยุให้ลูกศิษย์เอามีดแทงอาตมาให้ตาย แล้วถีบลงน้ำไป โยมหมั่นมาช่วยไว้ จึงขอสดุดีคุณงามความดีของโยมหมั่นไว้ ณ ที่นี้ด้วย

คุณโยมหมั่นเป็นคนใจดี มีความอารีอารอบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จากคลองบางแวก คลองเชือกหนัง คลองวัดโตนด ตลอดจรดคลองนอก มีคนรู้จักโยมหมั่นตลอด เป็นทั้งหมอดูโหงวเฮ้ง หมอกวาดยา ยาจีน ยาไทย เป็นหมด ใครจะยากดีมีจนอย่างไร โยมหมั่นช่วยเหลือตลอดรายการ ขอให้หลานๆ จดจำไว้ มีน้ำใจเหมือนโยมหมั่น อายุจะได้มั่นขวัญยืนตลอดไป

คำสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกว่า เวียนว่ายตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วมาเกิด เกิดแล้วมาเจอกัน ถ้าคนไหนมีความสัมพันธ์กันทางอยู่ร่วมกัน ตักบาตรร่วมขันกัน หรือได้มาบำเพ็ญกุศลมาเป็นญาติพี่น้องร่วมกัน ก็ต้องมาเจอกัน ก็คงจะเป็นประการฉะนี้ อาตมาก็ต้องมาใช้หนี้ เพราะไปกินข้าวของโยมผัน แซ่ตั้งถึง ๓ ครั้ง แล้วโยมเจ๊ใหญ่ที่หุงข้าวให้รับประทานจำได้แม่นยำ

ท่านทั้งหลาย อดีตชาติของคนเราทำงานร่วมกันมาแล้วต้องไปพบกัน มีสายสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จิตใจตรงกันเป็นญาติกัน ถ้าจิตใจไม่ตรงกันมีความเห็นไม่ตรงกัน ส่วนมากจะเป็นศัตรูเป็นอริกัน มีอะไรขัดแย้งกันเสมอ คงจะไม่เป็นญาติกันในพระพุทธศาสนาแน่นอน

เพื่อนๆ รุ่นเดียวกันก็คงจะมีโยมผันเท่านั้น คนอื่นหมดแล้ว ล้มหายตายจากกันไป ญาติโยมทั้งหลาย คนเป็นพระเอก นางเอก ในละครชีวิต ถึงคราวอับจนต้องมีคนมาช่วย อาตมานี่ถึงคราวตายก็ไม่ตาย นี่คือสาเหตุที่อาตมามาสนิทกับบ้านนี้ จึงขอเล่าความแต่เดิมมา และเป็นมงคลแก่ลูกหลาน ได้รับรู้เรื่องของโยมผัน ที่ผจญชีวิตมาอย่างลำบาก ลำบน จนสามารถสอนลูกหลานให้มีหลักฐานมั่นคง

ท่านทั้งหลาย พ่อเปรียบเป็นรั้วบ้านให้ความแน่นหนา ไม่ให้ใครมารังแกลูกได้ แม่เปรียบเป็นอาคารมั่นคงในจิตใจ เช่นโยมผัน ลูกทุกคนเป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับบ้าน เป็นอาเสี่ยทุกคน เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี ทรัพย์สมบัติจึงมั่นคง เหมือนโยมหมั่น “ตระกูลมั่นการโชค” การตัวนี้หมายความว่า การกิจ กิจการใดๆ ให้มีชอบ ต้องโฉลกดี วันนี้เรามารวมน้ำใจส่งเสริมโยมผัน อาตมาขอชมน้ำใจของญาติพี่น้องทุกคน คือตอนที่โยมผันไปอยู่โรงพยาบาล ทุกคนมาพร้อมหน้าพร้อมตากัน จิตใจของคุณแม่ คุณย่า คุณยาย ก็ชื่นใจ แค่ละคนผลัดกันมารับประทานกับคุณโยมผันทุกวัน ความชื่นใจก็บังเกิด เป็นการต่ออายุมั่นขวัญยืนสืบต่อไปถึง ๑๐๐ ปี ด้วยกุศลบุญราศี ใครเป็นแม่เป็นพ่อ มีลูกหลานหมั่นไปมาหาสู่พ่อแม่ ก็ชื่นใจ ลูกหลานโปรดจำไว้ เมื่อแยกครอบครัวไปมีสามีภรรยาแล้ว  อย่าลืมไปหาพ่อแม่ ถึงวันว่างเมื่อไรต้องไปหาพ่อแม่ ถึงวันเกิดของลูกหลาน อย่าลืมเอาของไปให้พ่อแม่รับประทาน อย่ากินเหล้า เมาสุรา เฮโลกันเข้าโฮเต็ล ไม่เข้าเรื่อง ต้องไปหาพ่อแม่ของเราก่อน ถึงไม่มีอะไรไปฝาก แค่เห็นหน้าลูกหลานก็ชื่นใจแล้ว

ครอบครัวคุณโยมผัน แซ่ตั้ง (แถวหน้าจากซ้าย คนที่ ๒ คุณสุนีย์ พันธุ์สุภร และคนที่ ๓ เจ๊ใหญ่)

อาตมาภาพขออนุโมทนากับลูกหลานของคุณโยมผัน ที่มีสายสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และพี่น้องทุกคนรักใคร่กันดีเหลือเกิน ไม่มีการทะเลาะวิวาทกัน ปรึกษาปรองดองกัน พี่สอนน้อง น้องก็เชื่อฟังพี่ เช่น โยมสมจิตร เป็นต้น เป็นที่เชื่อถือของน้อง อาตมาขออวยพรโยมผัน ให้มีอายุมั่นขวัญยืนตลอดไป

ในพิธีวันนี้ เรียกได้ว่าเป็นมงคลชีวิต ชีวิตของท่านผู้มีกตัญญูกตเวทีรู้น้ำใจของพ่อ ของแม่ เรียกว่ากตเวที ท่านจะสมความปรารถนาทุกประการ อาตมาภาพและคณะสงฆ์วันนี้ ขออ้างอิงคุณพระศรีรัตนตรัย และบุญกุศลของท่านทั้งหลายที่บำเพ็ญมาในวันนี้ และครั้งอดีตจงมาประมวลรวมลงที่คุณโยมผัน ในวันนี้ด้วย

ขอทุกๆ ท่านที่มาบำเพ็ญกุศลได้ตั้งกัลยาณจิตอุทิศส่วนกุศลเทวตาพลีวันเกิด เทวดา ของปู่ย่า ตายาย บิดา มารดา ขอให้ท่านมีอายุมั่นขวัญยืนสืบไป และพรนั้นจะได้กลับมาสู่ลูกหลาน และขอทุกๆ ท่านที่มาร่วมงานในวันนี้ จงสวัสดีมีชัย เจริญด้วยจตุรพรชัย ๔ ประการ มีอายุขอให้ยืนนาน วรรโณผิวพรรณผ่องใส สุขขังสุขภาพกายอนามัยดีทุกท่าน โรคภัยไข้เจ็บที่มีอยู่ก็ขอให้หาย สิ่งทั้งหลายที่คิดไว้ในบัดนี้ และจะคิดต่อไปในโอกาสหน้า จงบันดาลให้เกิดความสำเร็จ สมเจตจำนงมุ่งมาดปรารถนาด้วยกันทุกรูป ทุกนามเทอญ สาธุ ขอเจริญพร

 

ถอดเทปโดย

เสาวลักษณ์ ขันติดลกวงษา

๒๓ ก.ย. ๓๓ เวลา ๒๓.๐๐ น.