เปรตหลวงพ่อขำ
โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
ต่อไปนี้จะชี้แจงเรื่องกฎแห่งกรรมว่าพระเป็นเปรตได้อย่างไร เมื่อพ.ศ. ๒๕๑๗ อาตมาได้รับอาราธนาจากพระครูสุวัฒน์คณาภิบาล เจ้าคณะอำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย ไปงานมหาพุทธาภิเษก เพื่อรวบรวมจตุปัจจัยสร้างอุโบสถ และปลุกเสกประชาชนที่วัดโพธาราม อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย
เมื่ออาตมาไปถึง มีคณาจารย์จากภาคเหนือ ภาคอีสาน นั่งกันอยู่หลายองค์ โยมคนหนึ่งจำชื่อไม่ได้แน่ชัด อยู่บ้านเหนือวัดโพธาราม มีอาชีพทำนากับทำไร่ยาสูบ อายุประมาณ ๖๐ ปีเศษ ได้มาคุยถึงยารักษาโรคบ้าว่า รักษาโรคบ้ามาเยอะทั้งสาวแก่แม่หม้ายหลายคน หายทั้งนั้น เลือดทำพิษก็รักษาหาย วิตกกลจริตก็หาย อาตมานึกในใจว่าเดี๋ยวต้องขอจดตำราจากโยมคนนี้ให้ได้
พอเขาว่างแล้ว อาตมาก็เรียกโยมคนนี้มาคุย อาตมาถามว่า “โยม ที่โยมคุยว่ารักษาโรคบ้าหายมาหลายคนแล้วนั้น โยมเป็นหมอหรือเปล่า” เขาตอบว่า
“โอ ผมไม่ได้เป็นหมอหรอก แต่พ่อผมเป็นหมอโบราณ ผมเรียนจากพ่อไว้เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้รักษาใคร” อาตมาถามว่า “ทำไมโยมถึงมีชื่อเสียงรักษาโรคบ้าได้” โยมคนนั้นเล่าว่า “ผมได้ตำราจากผีพระมาเข้าฝัน มีผีพระมาบอกยาแก้โรคบ้า เป็นพระจากจังหวัดสิงห์บุรี” อาตมาขอจดตำรายา โยมบอกว่า “ผมอยากให้จังเลย ไปให้ทานต่อ แต่นี่ยาพระผีบอก คงห้าม บอกไปแล้วคงไม่ขลัง ผมก็ถือคำโบราณอย่างนี้ ท่านอยากได้ ผมจะเล่าเรื่องถวายให้ฟัง”
อาตมาถามว่า “โยมเคยไปจังหวัดสิงห์บุรีหรือเปล่า” เขาบอกว่า “ไม่เคยไปเลย” และก็เล่าเรื่องความฝันว่า ดังนี้
วันหนึ่ง ไปเลี้ยงควาย ไปดูไร่ยาสูบด้วย มีพระองค์หนึ่งร่างกายใหญ่โต ห่มผ้าขาดร่องแร่ง อายุประมาณ ๗๐ ปี เดินไปเดินมาก็มาแวะนั่ง บอกว่า
“พ่อทิดเอ๊ย หลวงพ่อหิวน้ำจัง ขอบิณฑบาตน้ำหน่อยได้ไหม” ผมก็ไปตักน้ำมาถวายในขณะที่เลี้ยงควาย เมื่อถวายเสร็จแล้ว หลวงพ่อองค์นี้ก็นั่งคุย
ผมก็ถามว่า “หลวงพ่ออยู่ที่ไหน มาทำไมที่นี่” ท่านบอกว่า “พ่อทิดเอ๊ย ที่มานี่ มาทวงหนี้เขานะ เขาขอยืมเงินมา ๑ ชั่ง และอีก ๒ บ้าน ขอยืมมา ๒ ชั่ง แล้วไม่ให้ หลวงพ่อก็ตามทวง ทวงแล้วก็ไม่ให้ด้วย ไม่รู้หายไปไหน นี่ก็เดินวนเวียนอยู่แถวนี้มาเป็นเวลานานแล้ว มาทวงหนี้”
ผมถามอีกว่า “หลวงพ่อชื่ออะไร อยู่ที่ไหน” ท่านบอกว่า “ชื่อหลวงพ่อขำ อยู่ที่วัดเสาธงทอง บ้านแป้งไทย” และเล่าต่อไปว่า “บ้านเกิดเมืองนอนหลวงพ่ออยู่เยื้องวัดชะลอน มีท่าควายใหญ่ อยู่เหนือวัดอัมพวัน” ท่านบอกว่า ท่านเป็นพระนักเทศน์ ได้เงินทองมากมาย แต่ไม่ได้ทำบุญสุนทานแต่ประการใด ได้มีญาติและเพื่อนของญาติมาขอกู้เงิน กู้มาแล้วก็อพยพมาทำไร่ยาสูบ ที่จังหวัดสุโขทัย อยู่ที่อำเภอนี้แหละ
ผมถามว่า “หลวงพ่ออยู่อย่างไรล่ะ” ท่านตอบว่า “เออ! หลวงพ่อตายมา ๕๐ – ๖๐ ปี แล้วยังมาทวงหนี้ พ่อทิดเอ๊ย หลวงพ่อเดินอยู่แถวนี้ ไม่มีใครมีลักษณะดีกว่าพ่อทิด พ่อทิดมีอัธยาศัยดี ใจบุญ ใจกุศล อุตส่าห์เอาน้ำมาให้หลวงพ่อฉันในวันนี้ เอาละ! หลวงพ่อมีของดีให้ หลวงพ่อเป็นหมอรักษาโรคบ้าอยู่วัดเสาธงทอง พ่อทิดเอ๊ย จดนะ จำไว้นะ ยานี้มี ๓๒ สิ่ง เป็นยาหม้อใหญ่ แก้โรคบ้า หลวงพ่อเคยรักษาบ้ามา จำเอาไว้นะ พ่อทิดนะ หลวงพ่อไม่มีอะไรตอบแทน”
โยมคนนี้ก็จดจำได้หมด เพราะเคยเป็นลูกมือของพ่อเขา ช่วยเก็บยาสมุนไพร เลยจำชื่อยาได้มากมาย และตื่นขึ้นมาก็จดยาไว้ทั้งหมด ๓๒ สิ่ง เป็นยาที่ใช้ปีบต้ม ทานแล้วหายทุกราย
อาตมาฟังแล้วก็ไม่น่าเชื่อ ต้องสืบสาวเรื่องราวดูก่อน
หลวงพ่อท่านเล่าได้ถูกต้องเป็นตุเป็นตะ บอกว่า
“พ่อทิดเอ๊ย เป็นเวรเป็นกรรมของหลวงพ่อเหลือเกิน ตอนหลวงพ่อเป็นเจ้าอาวาสวัดเสาธงทอง เป็นนักเทศน์ เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชนาคไม่พัก หลวงพ่อตายแล้ว เขาทำศพแล้ว ๕๐ – ๖๐ ปีผ่านไป หลวงพ่อยังต้องไปทวงหนี้เขา อดอยากเหลือเกิน วันนี้ทั้งวันไม่ได้ฉันข้าวเลย ไม่มีจะฉัน และหิวน้ำ น้ำลายไหลยืด พ่อทิดก็ใจดี มีจิตเป็นกุศล อุตส่าห์เอาน้ำมาถวาย หลวงพ่อฉันหมดกาเลย พ่อทิดมีเงินมีทองหมั่นทำบุญทำทานนะ อย่าไปให้ใครกู้อย่างนี้เลย”
และก็บอกต่อไปอีกว่า “สมภารองค์ปัจจุบัน ยังรักษาโรคบ้าอยู่ชื่ออาจารย์พวง”
โยมคนนี้ได้เล่าให้อาตมาฟัง แล้วก็ถามว่า
“หลวงพ่อครับ วัดอัมพวันอยู่ใกล้วัดหลวงพ่อพวงไหม” อาตมาบอกว่า “อยู่ใกล้กัน วัดอยู่ในเขตอำเภอพรหมบุรี” โยมบอกว่า “เอาละหลวงพ่อ ไปขอยากับหลวงพ่อพวงก็แล้วกัน ผมก็อยากจะจดให้เหลือเกิน แต่จดไปแล้ว กลัวว่าจะไม่ขลัง”
อาตมากลับจากงานมหาพุทธาภิเษกแล้วก็ไปกราบเรียนหลวงพ่อพวง ท่านหัวเราะ บอกว่า จริง อาจาย์ของท่านเอง ขี้เหนียวที่สุด เก็บจนเก่าทั้งนั้น นมก็แข็ง ร่มก็ลุ่ย เสื่ออ่อนมีเป็นมัดๆ พอท่านมรณภาพแล้ว นำออกมาเปื่อยยุ่ยหมดเลย ร่มแต่ละคันผุหมด มีเงินทองมากมาย เขาเอาไปสร้างวัด สร้างศาลาจนปัจจุบันนี้
หลวงพ่อพวงยืนยันว่าเป็นความจริง ท่านก็จดยาให้ แต่อาตมาไม่ได้เอาไปรักษานะ ไม่ได้เป็นหมอ ไม่ได้รักษาใครเลย และได้ยาแก้เลือดลมไม่ดีด้วย หลวงพ่อพวงก็รักษาต่อเนื่องจากครูบาอาจารย์มา บัดนี้หลวงพ่อพวงมรณภาพไปแล้ว อายุถึง ๘๐ พรรษาเศษ อาตมายังไปงานพระราชทานเพลิงศพ เพราะอยู่ในเขตอำเภอพรหมบุรี อาตมาได้เป็นเจ้าคณะอำเภอ จึงได้ยานี้มา แต่ไม่ได้ตั้งตัวเป็นหมอแต่ประการใด
อาตมาได้ถามโยมที่อำเภอศรีสำโรงว่า “โยมคุยกับท่านนานไหม” เขาบอกว่า “นาน ท่านบอกว่าสอนลูกสอนหลานนะ อย่าทำเลย อย่าขี้เหนียวเลย นี่แหละหลวงพ่อลำบากเหลือเกิน บัดนี้ยังหาที่เกิดไม่ได้เลย ไปเที่ยวทวงหนี้เขา ทวงแล้วเขาก็ไม่ให้เลย ก็ตามทวงตลอดไป สบงจีวรขาดร่องแร่งมาอย่างนี้แหละ”
ที่วัดอัมพวันก็ยังมี ชื่อหลวงตาเฟื่อง เดี๋ยวนี้ยังอยู่ด้วย ตอนบวชไม่ทำกิจวัตรอะไร ขนแต่ของวัดเข้าบ้าน ตายแล้วเป็นเปรตอยู่ที่วัดนี้ มีคนนับถือศาสนาคริสต์คนหนึ่ง นั่งทางในเก่ง ได้มาที่วัดนี้ ยังเห็นนั่งอยู่บนศาลา
ขอชี้แจงให้โยมฟัง พระเป็นเปรตได้แน่ ที่เล่านี่เพื่อเป็นตัวอย่างของพระภิกษุสมัยนี้ อาตมาไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะโยมคนที่ฝันรับตำรายาไว้ ไม่เคยมาสิงห์บุรีเลย
ขอฝากญาติโยมไว้เพียงนี้นะ นี่เป็นกฎแห่งกรรมไม่จำเป็นต้องกล่าวว่าเป็นพระภิกษุเท่านั้น เป็นฆราวาสก็มีมาก ขอพระสงฆ์องค์เจ้าไว้ อำนาจโลภะ อยากได้ไม่ทำบุญสุนทาน เลยต้องไปทวงหนี้ที่เขาให้กู้ เวลาตายไม่นึกถึงอรหัง พุทโธ ไม่เคยเจริญพระกรรมฐาน ตายไปวิญญาณก็ออกจากร่าง ไปทวงหนี้เรียกว่าเปรต เปรตวิสัย ๖๐ ปีแล้ว ตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นเวลา ๑๖ ปี แล้วที่อาตมาไปนั่งมหาพุทธาภิเษกที่วัดโพธาราม อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย
อันนี้เป็นตัวอย่างได้ อาตมาเกิดไม่ทันหลวงพ่อขำ โยมคนนั้นบอกต้องเชื่อ ๑๐๐% เพราะว่าไม่เคยมาสิงห์บุรี และอาตมาได้บอกไว้ว่า โยมผ่านมาแวะวัดอัมพวันหน่อย
ในเวลากาลต่อมา โยมคนนั้นก็พาลูกมาที่วัดนี้ หลายปีผ่านมาแล้ว มาบอกให้พาไปวัดเสาธงทอง อาตมาก็พาไป ตอนนั้นหลวงพ่อพวงยังไม่มรณภาพ ได้บอกกับหลวงพ่อพวงว่าฝันอย่างนี้จริง หลวงพ่อพวงถามว่า “ยามีอะไรบ้าง บอกให้ฟังซิ”
โยมผู้ที่ฝันได้รับยาไว้ ก็บอกยา หลวงพ่อพวงบอก “ถูกต้อง” ไม่ขาดแต่ละสิ่ง หนักเท่านั้นบาท เข้ายาดำด้วย เข้าฝักคูน ใบมะกานี่แหละ แต่ทั้งหมดมี ๓๒ สิ่ง หลวงพ่อพวงจึงให้ตำรายาอาตมาเป็นยาแก้โรคบ้า
นับประสาอะไรกับโยมผู้หนึ่งเป็นเศรษฐี ๘๔ ปี รักษาอุโบสถมา ๓๐ ปี ทอดกฐินเก่ง ทอดผ้าป่าเก่ง แต่ตายเป็นเปรตไปเที่ยวเข้าเขา เพราะอำนาจโลภะ เอาทรัพย์สมบัติของลูกชายคนโตมาให้คนเล็ก ลูกเขยเล่นการพนันหมด ผลาญหมดก็เสียใจ ถึงแก่กรรมตายไปเป็นเปรต เพราะโยมคนนี้ไม่เคยเจริญวิปัสสนากรรมฐานเลย อำนาจโลภะตายไปเป็นเปรต อำนาจโทสะตายลงนรก อำนาจโมหะตายไปต้องไปเกิดเป็นเดรัจฉาน
อาตมาเคยเล่าให้โยมฟังแล้ว สมภารที่จังหวัดสุพรรณบุรี ติดต่อจังหวัดกาญจนบุรี เป็นอุปัชฌาย์พระครูสัญญาบัตร ตายไปแล้ว ๓ ปี อาตมาไปงานศพนี้ สมัยก่อนนานแล้ว ตายไปเกิดเป็นวัว วัวนั้นเข้าไปในวัดนั้นเรื่อย เจ้าของเลยปล่อยให้อยู่ในวัด นี่เห็นได้ชัด
อาตมาได้ชี้แจงกฎแห่งกรรมได้มาพอสมควรแก่เวลาแล้ว ขอญาติโยมทั้งหลาย จงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณธนสารสมบัติ นึกคิดสิ่งหนึ่งประการใด สมความมุ่งมาดปรารถนาด้วยกัน ทุกรูป ทุกนาม ณ โอกาสบัดนี้เทอญ