คุณค่าของชีวิต

โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
(ถอดเทปโดย : อ.พรทิพย์ ชูศักดิ์ วค.นครสวรรค์)

วันนี้ท่านทั้งหลายมารับกรรมฐานบำเพ็ญศีลภาวนาให้เกิดความสุขแก่ตนเอง มิใช่คนอื่นเป็นผู้ได้ การเจริญสติปัฏฐาน ๔ เป็นการเจริญมหากุศล เป็นการสร้างอธิกุศล หรือบุญที่ยิ่งใหญ่ จะไปสร้างโบสถ์ สร้างศาลากี่ร้อยหลังก็ไม่เหมือนสร้างบุญให้แก่ตนเอง พระพุทธเจ้าสอนมาโดยเฉพาะ มิใช่ของอาตมาแต่ประการใด พระพุทธเจ้าสอนชาวโลกให้พ้นทุกข์ถึงความสุขโดยทั่วหน้ากัน

ทุกคนที่เกิดมาในสากลโลกมนุษย์ต้องการความสุข ความเจริญรุ่งเรือง วัฒนาสถาพร ต้องการความสะดวกสบาย ไม่ต้องการให้ตนเองเดือดร้อน สิ่งเหล่านี้มิใช่คนอื่นทำให้ได้ เราต้องมาสร้างเองแข่งเรือแข่งแพได้แต่ก็ต้องฝึกพายแข่งบุญแข่งวาสนาแข่งกันไม่ได้ ทุกคนมีบุญวาสนาไม่เหมือนกัน มีกฎแห่งกรรมติดตามมาไม่เท่ากัน มีสุขมีทุกข์ไม่เหมือนกัน มีสุขคนละอย่าง มีทุกข์คนละอย่างทั้งนั้น แต่ทุกคนก็ต้องการมีความสุข ไม่ต้องการมีความทุกข์ แต่เราก็ไปสร้างทุกข์กันโดยไม่รู้ตัว

ทุกคนต้องการความสะดวกสบาย ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน จึงต้องหาที่พึ่งด้วยกันทุกคน แต่ตนนั้นแลเป็นที่พึ่งของตน “อัตตาหิ อัตโน นาโถ” เราออกจากท้องพ่อท้องแม่ก็ร้องอุแว้ แม่ก็เอานมยัดปาก เราไม่ดูดเราก็ต้องตาย นี่แหล่ะที่พึ่งอันดับแรก

ที่พึ่งขั้นที่สองคือ แม่เห็นว่าลูกทารกเจริญวัยขึ้นมาแล้วก็เอากล้วยกับข้าวมาบดแล้วป้อนให้ลูกเราเป็นลูกไม่ดูด ไม่รับประทานมันจะเป็นผลงานได้หรือ นี่แหละ ถ้าเราไม่พึ่งตัวเองรับรองไปไม่รอด นอกเหนือจากนี้โตขึ้นไปอีกมีอายุอานามเข้าเกณฑ์โรงเรียนอนุบาลพ่อแม่ก็ต้องเอาไปฝาก ถ้าเราไม่เรียน ก็จะไม่ได้ผลในการแสวงหาความรู้มาจนบัดนี้ สรุปได้ว่าตนเท่านั้นเป็นที่พึ่งของตน คนอื่นเป็นที่พึ่งแก่เราไม่ได้

ถ้าเราพึ่งตัวเองไม่ได้ ช่วยตัวเองไม่ได้ สอนตัวเองไม่ได้ แล้วเราจะไปพึ่งใคร เหลียวซ้ายแลขวาพ่อแม่บางบ้านก็ตายไปแล้ว บางคนกำพร้าทั้งพ่อและแม่ตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ต้องลำบากลำบน ลำเค็ญใจ จะหันเหเข้ามาถึงปู่กับย่า ตากับยายก็ล้มหายตายจากไปหมดแล้ว ดังนั้นเราจะพึ่งคนอื่นได้เพียง ๒๐% เท่านั้น เพราะเราจะอยู่กับพ่อแม่ตลอดไปถึง ๖๐% ไม่ได้เราต้องมีครอบครัว สามี ภรรยา ต้องพึ่งตัวเอง เป็นตัวของตัวเองขึ้นมา ถ้าเราหมายพึ่งผู้อื่นตลอดไปจนชีวิตหาไม่ ก็เป็นที่น่าเสียดายเกิดมาเสียชาติเกิด ต้องพึ่งคนอื่นเขาชามเราก็พลอยกินกับเขาชาม ตามบ้านเหนือบ้านใต้ซัดเซพเนจรไปนอนตามทุ่ง ตามนา ตามศาลา กลางทุ่ง ยุ่งเหยิงจิตใจตลอดรายการ

นี่แหละคนเราต้องหาที่พึ่งด้วยกันทุกคน นั่งยอง ๆ อยู่ในท้องแม่ยังต้องพึ่งแม่พึ่งเลือดในอก พักอยู่ในกายของแม่ ดูดเลือดกินทุกวันจนกว่าจะ ๑๐ เดือน คลาดเคลื่อนจากคัพภา มีความหมายมิใช่น้อยคิดข้อนี้ก่อน เราจะได้ดีใจว่าเราพึ่งตัวเองตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ แล้วเราก็คลอดออกมาด้วยความยาก วันเกิดออกมาจากคัพภาของแม่ ต้องเป็นวันตายของแม่แน่ ๆ สงครามชีวิตคือออกลูก ส่วนสงครามของพ่อ คือ ยุทธนารักษาผืนแผ่นดินให้ลูกอยู่ กู้เกียรติยศ เกียรติศักดิ์ของชายฉกรรจ์ ทำงานสร้างสรรค์สะสมอบรมไว้ สร้างสมบัติ สร้างทรัพย์ ชื่อเสียงความรัก มอบหมายให้กับลูกตลอดมา ห่วงใยลูกตลอดมาแล้วเราก็ต้องไปห่วงลูกเราต่อเหมือนพ่อแม่ห่วงเราทั้งนั้น ต่อไปไม่ช้าอายุอานามแก่เข้าก็ไปเป็นตาเป็นยาย เป็นปู่เป็นย่า เป็นพ่อผัวแม่ผัวเขาถ้ามีลูกชาย ใครเล่าจะเป็นที่พึ่งของเราได้ คนอื่นหรือจะไปหมายพึ่งเขาก็ยากลำเค็ญใจ ต้องพึ่งฝีมือของเราเองด้วยการเจริญพระกรรมฐาน หน้าที่การงานภายใน

พี่น้องทั้งหลายเอ๋ยอย่าเกิดมาให้มันเสียชาติเกิด มาประเสริฐ มาพบพระพุทธศาสนาแล้ว เราต้องมาบวชกัน ไม่ใช่บวชชีพราหมณ์ บวชศีลจาริณี แต่บวชกาย บวชวาจา บวชใจ เข้าในวัตถุธรรม มีกิจกรรมที่ดี เราต้องวัดอารมณ์ของเราอยู่เสมอ เรียกว่า กำลังภายใน หน้าที่การงานภายในหรือพระกรรมฐาน วัดจิต วัดใจ วัดนอก วัดใน เอาตราชั่งขึ้นมาดูเอาตราชูขึ้นมาชั่ง วัดแล้ว วัดเล่าเฝ้าแต่วัด นี่คือจุดหมายอันนั้นสำหรับโยมผู้หญิงกล่าวได้ว่าแทนน้ำนมของแม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นชายโสภาภาค ไปบวชห่มเหลือง นุ่งเหลือง แล้วสึกไปเปลืองผ้าลาย ไม่ได้อะไรเลย นี่หรือทดแทนคุณของพ่อแม่

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ยากมากยิ่งถ้าขาดพระพุทธศาสนาแล้ว เราจะไปแค่ไหน จะมืดมนอาทรร้อนจิต ใช้ชีวิตเป็นหมัน นอนหลับทับสิทธิ์ไม่มีชีวิตชุ่มชื่นเบิกบานใช้ทรัพยากรชีวิตที่ผิดพลาด ไหนเลยจะมีค่าในชีวิตเล่า การเจริญสติปัฏฐาน ๔ เป็นการสร้างสายทางเดินของชีวิต ท่านจะไม่พลาดผิดในสังคม ไม่ใช่ไปนั่งบวชชีพราหมณ์ น้ำลายไหลยืด ไปสวรรค์ นิพพานไปไม่ได้ก็เห็นอยู่แล้ว เพราะคุณสมบัติของมนุษย์ไม่ได้สร้าง

คนที่มีคุณสมบัติมนุษย์ เป็นคุณสมบัติที่ล้ำค่า มีค่านิยมเป็นพื้นฐานในชีวิตของท่าน จะมีประโยชน์ต่อตนเอง “ค่า” แปลว่าราคา มันมีคุณประโยชน์เรียกว่า ค่าและทำให้มีคนนิยม เรียกค่านิยมพื้นฐาน เช่น เราเป็นพ่อค้าแม่ขายของดีอยู่ที่เรา ของดีมีราคามีค่ามันจะต้องมีคนนิยมซื้อมากมายของที่ไร้ค่าไม่มีคนนิยมแต่ประการใด ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน อยู่ที่การปฏิบัติหน้าที่การงานภายในหน้าที่การงานภายนอกประกอบกัน จึงจะเกิดสัมผัส เกิดจิต เกิดความคิด เกิดสติปัญญา สามารถจะรู้เหตุการณ์แก้ปัญหาได้ เมื่อมีปัญหา

“คน” แปลว่า ปัญหา อยู่กับคนมีแต่ปัญหา คนนี้อย่างนี้ คนนี้อย่างนั้น เอาอกเอาใจกันแย่ นานาจิตตังไม่เหมือนกัน ไม้ไผ่ต่างปล้อง พี่น้องต่างใจ บางทีลูกท้องเดียวกันยังแยกแตกต่างกันออกไปเราคนเดียวก็ยังไม่เหมือนกัน อารมณ์เช้าดี สายบ่ายไม่ดี กลางคืนดี กลับตัวไม่ทันเลย ถ้าอารมณ์ดีมีปัญญาแก้ไขปัญหาได้ ถ้าขาดสติปัญญารับรองท่านจะแก้ไขปัญหาไม่ได้

การเจริญพระกรรมฐานเรียกว่า ผลงานของชีวิต เป็นการไม่ผิดพลาดในชีวิต จะมีประโยชน์ต่อท่านเองและช่วยท่านเองได้ “ธรรม” แปลว่า ฝืน ถ้าคนไหนไม่ฝืนใจปล่อยตามอารมณ์แล้ว จะใช้ปัญญาแก้ปัญหาไม่ได้ คนนั้นจะเหลวแหลกแตกลาญ

ดังนั้นธรรมทุกอย่างต้องฝืนใจคนจะดีได้ต้องฝืนใจ ถ้าฝืนใจไม่ได้มักจะปล่อยตามอารมณ์ของตนไหลลงสู่ที่ต่ำเหมือนแม่น้ำและวารีไหลลงสู่นทีไม่มีวันกลับมา มันหมดโอกาสเวลาอันสมควรแล้วหรือ เวลามีประโยชน์มาก อาตมาตีค่า ๑ นาทีตำลึงทอง ๑ วินาทีก็ตำลึงทองประคองไว้ซึ่ง ๖๐ วินาทีเป็น ๑ นาที ๖๐ นาทีเป็นชั่วโมง ๒๔ ชั่วโมงเป็น ๑ วัน และ ๑ คืน คืนหนึ่งและวันหนึ่งนี้มันกินเราไปเรื่อย ๆ ตายผ่อนส่งไปตามเวลาต้องแก่ชราไปตาม ๆ กัน ไม่มีใครกลับเป็นหนุ่มเป็นสาวได้อีก นับวันจะเป็นผู้เฒ่า ผู้แก่ ชราพาไปพยาธิก็พาไป เจ็บระทวยป่วยไข้แล้วความตายก็พาเราไปหมดสิ้นเนื้อประดาตัว เหลือแต่ขี้เถ้าและถ่าน เหลือแต่กระดูกจมทิ้งในผืนแผ่นดิน จมลงในธาตุทั้ง ๔ ไม่มีอะไรดีแต่ประการใด

ขอฝากท่านไว้ พยายามทำกรรมฐานสร้างผลงานภายใน การงานภายนอกมันจะดีขึ้น ถ้าจิตใจไม่ดี การงานภายในไม่ดีแล้ว เหมือนบ้านนั้นทั้งบ้านใช้ไม่ได้เลย บ้านนอกมันจะดีหรือใน เมื่อบ้านในไม่ดีเสียแล้ว กรรมฐานเป็นงานภายในจิต อย่าเอางานภายนอกมาผสม จะทำให้งานภายในเสียเอาดีไม่ได้

กรรมฐานคือหน้าที่การงานที่ต้องทำภายใน คือ จิต รักษาจิต รักษาใจ เข้าวัดไม่ใช่วัดอัมพวัน แต่เป็นวัตถุธรรม มีธรรมเป็นคุณสมบัติ บ้านท่านจะสวย บ้านท่านจะรวย บ้านท่านจะดี มีปัญญาทำอะไรก็มีระเบียบ มีระเบียบแบบแผน มีแปลนมีผัง อารมณ์ของท่านก็จะดีด้วย ต้องรักษาอารมณ์โดยกำหนดจิต โกรธหนอ เสียใจหนอ หายใจยาว ๆ คิดไม่ออกก็กำหนด คิดหนอ ไม่ใช่เอาหัวคิดคนอื่นมาใช้ มันผิดหลักเขาจะรู้เรื่องกฎแห่งกรรมของเราไหม และเขาจะรู้ทิฐิสามัญญตาของเราไหม เขาไม่รู้เลย แล้วเราจะเอาหัวคิดของคนอื่นเป็นที่พึ่งได้อย่างไร คนอื่นหรือจะพึ่งได้ไม่มีแน่ ๆ

ทศกัณฐ์มีสิบเศียร ยี่สิบกร ถอดหัวใจไว้กับพระฤาษี ให้พระฤาษีเฝ้าไว้ มันหน้าโง่ ไม่เป็นตัวของตัวเอง มันจึงต้องตายเพราะลิง คือ หนุมาน เอาหัวใจของมันมาขยี้ต่อหน้าเลย นี่แหละการนั่งกรรมฐานจึงเป็นที่พึ่งของตนเอาไว้ ไม่ต้องเอาคนอื่นมาเป็นที่พึ่ง คนอื่นเป็นที่พึ่งของเราไม่ได้แน่ ๆ

“คน” แปลว่า สับสน มีมากหน้าหลายตา ต่างความคิด ความเข้าใจกัน ยิ่งคนมากปัญหายิ่งมาก เข้าใจกันผิดตลอดเวลา การที่เรามาเจริญกรรมฐานก็เพื่อไม่ให้ใจสับสน ให้จิตใจสงบอยู่ภายในเรียกว่าการงานภายใน จิตจะได้เข้มแข็ง สามารถต่อสู้กับปัญหาต่อไป เราอยู่กับคน อยู่กับปัญหา ต้องแก้ปัญหาด้วยสติปัฏฐาน ๔ ประกอบด้วย กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน

กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน กายจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน จะเหลียวซ้าย แลขวา หรือจะคู้เหยียด เหยียดขา มีสติกำหนดเป็นบทบาทของชีวิต กำหนดชะตากรรม ช่วยต่อรูปต่อนามเหมือนเวลาที่ปู่ย่าตายายเจ็บหนัก ไปนิมนต์พระมาต่อนาม แต่นี่เราไม่ต้องไปนิมนต์พระมาต่อนามเราต่อของเราเองด้วยการเจริญกรรมฐานดีที่สุด เคราะห์หามยามร้ายจะหายไปทันที ใครจะทำอันตรายก็ไม่ได้ เพราะมีพระประจำตัวประจำใจ มีพระนอกพระใน การงานภายใต้จิตดีแล้ว การงานภายนอกก็จะดีด้วย นี่คือจุดหมาย เราจึงต้องมาฝึกความอดทน มาสร้างกุศล ให้สามารถอดทน ต่อสู้กับปัญหาที่จะตามมาในวันข้างหน้าอีกมากมาย

กายานุปัสสนาสติปัฏฐานต้องการมีระบบ มีระเบียบ เป็นกิจกรรมประจำชีวิตของใครของมัน ไม่ใช่ให้คนอื่นทำให้ สร้างความดีต้องได้ดี สร้างความชั่วต้องได้ชั่ว ตายตัวโดยธรรมชาติ จิตของเรามันสับสนอลหม่าน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ไม่มีตัวตนที่จะมองเห็น และไม่สามารถเอามือคลำได้ด้วย แต่เราก็สร้างกำลังภายใน ทำให้รู้ดีรู้ชั่ว รู้บาปรู้บุญ รู้คุณรู้โทษ รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์

ปัญญาในตัวนี้ดีมาก สามารถนำไปช่วยคนอื่นได้ เพราะรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ไม่มีการอิจฉา ริษยา ขี้ร้าย ขี้โกง แต่ประการใด ขี้เกียจก็ไม่มีด้วย มีแต่ความขยันหมั่นเพียรตลอดรายการ กิจกรรมประจำชีวิตเป็นของใครของมัน คนอื่นทำให้ไม่ได้ เหมือนคนอื่นบอกให้เราดี เราจะได้ดีไหม และคนอื่นเอาสตางค์มาให้เราไปซื้อข้าวกิน เขาจะอิ่มด้วยหรือไม่ ตอบว่ามันไม่ได้ เราต้องพึ่งตนเอง จะไปหวังพึ่งเพื่อนหรือเพื่อนที่ช่วยกันน่ะหายาก ต้องหาเพื่อนคืออาวุธเสียแต่วันนี้ เข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า เพราะในป่าเต็มไปด้วยขวากหนามมากมาย ถ้าไม่มีอาวุธต้องเหยียบหนามแน่ ๆ เราอยู่ในโลกนี้เหมือนเรายืนอยู่กลางป่า ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรอื่น จึงต้องเตรียมอาวุธเสียแต่วันนี้อาวุธคือ ปัญญาของใครของมันต้องสร้างเป็นกรรมของตน

กิจกรรมข้อที่ ๑ คือ การแสวงหาความรู้ รู้นอก รู้ใน รู้จิตรู้ใจ รู้บาป รู้บุญ รู้คุณ รู้โทษ รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์ หรือไม่เป็นประโยชน์

การเจริญกรรมฐาน เป็นหน้าที่การงานภายใน อย่าเอาภายนอกมาผสมผสาน ภายนอกเอาไว้คุยกัน ต้องกินน้อย นอนน้อย พูดให้น้อย ทำความเพียรให้มาก เรามาสร้างการงานภายใน คือตั้งสติสัมปชัญญะ กำหนดจิตเป็นบทบาทของชีวิตเรียกว่า คุณสมบัติของมนุษย์ ท่านจะแสนสุดซึ้งได้ดี มีปัญญา แม้บุญวาสนาหมดไป เราก็มาต่อชะตากรรมกัน ต่อบุญให้เกิดสุข ต่อวาสนาให้เกิดผล กุศลจะได้ช่วย ถึงคราวม้วย ไม่ม้วยมรณาอย่างอาตมาถ้า ไม่มีกุศลช่วยให้มาแก้ไขปัญหา หรือมาใช้หนี้มนุษย์ก็คงจะตายไปหมด เหลือแต่ขี้เถ้า ตั้งแต่วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ เวลา ๑๒.๔๕ นาที คงหมดโอกาสที่จะมาพูดกับญาติโยมได้

เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ทั้งสุข ทั้งทุกข์ ดีใจ เสียใจ ต้องกำหนด อย่าปล่อยไว้ให้อารมณ์ค้าง เดี๋ยวมันจะเสียกาลเวลา แก้ปัญหาไม่ได้ ท่านจะเสียดายเวลาที่มีประโยชน์ อย่าใช้เวลาโดยเนื้อหาสาระที่ไม่ดี จงใช้เวลาให้มีประโยชน์ต่อการงานและหน้าที่สร้างความดีต่อไปด้วยความขยันหมั่นเพียร อยู่เฉยๆ ดีไม่ได้ เหมือนระฆังอยู่เฉย ๆ ดังไม่ได้ ต้องตีมันถึงจะดัง คนจะดีต้องสร้างความดีมีธรรม เป็นกิจกรรมของชีวิต

จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตเป็นธรรมชาติต้องคิดอ่านอารมณ์รับรู้อารมณ์ไม่ได้เป็นเวลานานเหมือนเทปบันทึกเสียง จิตเกิดทางตา ตาเห็นรูปเกิดจิต หูได้ยินเสียงเกิดจิตที่หู จมูกได้กลิ่นเกิดจิตที่จมูกลิ้นสัมผัสรสเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เกิดจิตที่ลิ้น กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งที่นั่งลงไป เกิดสัมผัสทางกายแล้วเราก็ตั้งสติขึ้นมาเท่านั้นเอง ตัวอย่างเช่น กำหนด “เสียงหนอ” “เขาด่าเราหนอ” ถ้ากำลังภายในเราเข้มแข็ง หน้าที่การงานของเราดีกว่า คำด่ามันก็ตกกลับไปหาคนด่า ถ้าเขาด่า เรารับมา หรือเขานินทาเรา เราเก็บเอามาคิด จะทำให้เศร้าหมองใจ เป็นคนวิตกจริตต่อไป ทำให้เกิดสมองฝ่อ เกิดโรคอัมพาตและลมอัมพฤกษ์ก็เกิดได้อย่างนี้เป็นต้น

จงสร้างอารมณ์ให้ดี เรียกว่า กำลังภายใน แล้วแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอกก็ต้องดีด้วย โรคาพยาธิก็น้อยลง จะต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บได้ เพราะเราเป็นรังให้โรคอยู่ ทั้งโรคกายโรคใจ มีแต่ความทุกข์ ต้องพัฒนาตนกำหนดจิต ตั้งสติเสมอ รู้ตัวเสมออย่าพลาด อย่าไปสนใจคนอื่นเขา จงสนใจตัวเองช่วยตัวเอง รักตัวเอง สงสารตัวเอง ก่อนที่จะไปรักไปสงสารคนอื่น พอรักตัวเองได้มากมายแล้ว เราก็เฉลี่ยความสุขไปให้คนอื่นต่อไปให้เขามีความสุขอย่างที่เราได้ความสุขมา อย่าให้มีความทุกข์อย่างที่เรามีความทุกข์เลย

ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธรรมเป็นกุศล ธรรมเป็นอกุศล ดีหรือชั่ว

กิจกรรมข้อที่ ๒ คือ ต้องละความชั่ว เอาตัวไปสร้างความดีมาทำบุญต้องละบาป ละทิฐิมานะมีสายสัมพันธ์ด้วยเมตตาต่อกันรักกันจะได้ไม่มีปัญหา มีแต่ประโยชน์ กำไรชีวิต อารมณ์ดีมีแต่คนเมตตา คนเกลียดกันน่ะขาดทุน อารมณ์ไม่ดีสร้างความหมายนะแก่ตน ดังนั้นเมื่อเราสร้างความดีก็ต้องละความชั่วได้ เรากำหนดที่ลิ้นปี “รู้หนอ ๆ” หายใจยาว ๆ จากจมูกถึงสะดือ ลิ้นปี่จะอยู่ครึ่งทางระหว่างจมูกถึงสะดือตั้งสติไว้ที่ลิ้นปี่นั่น จะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม กำหนดอย่างนั้น เดี๋ยวคอมพิวเตอร์ตีออกมา เช่น เสียใจ อย่าฝากความเสียใจไว้ค้างคืน ต้องแก้เดี๋ยวนี้คือ ปัจจุบันอดีตอย่ารื้อฟื้น เรื่องอื่นอย่าไปคิด กิจที่ชอบทำให้มันเสร็จไปอนาคตอย่าจับมั่นคั้นให้มันตายจะผิดหวังเสียใจตลอดชีวิต

การปฏิบัติกรรมฐาน ก็มีการเดินจงกรม กำหนดอิริยาบถ ๔ ให้ได้สติ กำหนดยืนหนอ ๕ ครั้งให้ได้ ยืนลงไปเพื่อต้องการให้สติตามจิตให้ทัน เบื้องต่ำปลายเท้าขึ้นมา เบื้องบนปลายผมลงไป ๕ ครั้ง ให้ชัดเจน ถ้าเราจะดูคนอื่น เราเห็นคนนั้นจากศีรษะลงไปปลายเท้า จากปลายเท้าขึ้นมาศีรษะ ถ้าเรามีหน่วยกิตครบคอมพิวเตอร์ป้อนข้อมูลถูกต้องมันจะบอกเราโดยอัตโนมัติว่า คนนี้นิสัยไม่ดี คบไม่ได้ โกง คนนี้กำลังมีชู้ คนนี้กำลังจะไปฆ่าเขาคนนี้ยิ้มเข้ามา เป็นมิตรตอนกู้เป็นศัตรูตอนทวง อย่าให้กู้เงินไปรับรองหักหลังแน่ ๆ คนนี้ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่จิตใจเชือดคอ มันจะบอกออกมาได้ ตำราจริงอยู่ตรงนี้เอง กำหนดเห็นหนอ เห็นด้วยปัญญา ไม่ใช่เห็นด้วยตา ใช้สติปัญญาอยู่ที่ตา ตาสัมผัสเกิดจิตที่ตา มีสติสัมปชัญญะควบคุมเป็นบทบาทของชีวิต ตัวกำหนดนี้เป็นชะตากรรม ไม่ใช่พระพรหมลิขิตมาขีดให้เราดีบ้าง ชั่วบ้าง แต่การกระทำของเราขีดตัวเราเอง ขีดดีก็ได้ดี ขีดชั่วก็ได้ชั่ว ไม่ใช่หมายความว่ารับพรแล้วเป็นคนดี ต้องสร้างพรให้เป็นพร ไม่ใช่ดวงดีแล้วใช้ได้ ต้องทำดีให้กับดวง

การเจริญสติปัฏฐาน ๔ ต้องการให้มีสติถูกอิริยาบถ จะหยิบของอะไรก็ตั้งสติไว้ที่มือ จะถ่ายอุจจาระปัสสาวะก็ตั้งสติไว้ มันจะมีประโยชน์ เมื่อเข้าห้องน้ำก็ตั้งสติไว้ จะได้ไม่ล้มในห้องน้ำศีรษะไปฟาดโถส้วมตาย หรือล้มก้นกระแทกก็ตาย

อาตมาได้ตำราตอนคอหัก ปวดก้นมาถ้าฉีดยาต้องขาลีบ เพราะเส้นประสาทรวมอยู่ที่ก้น มีลูกหลานอย่าตีก้นนะ เซลล์จะตกปัญญาจะไม่ดี ตรงนี้เรื่องจริงของกรรมฐาน ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา ไปสวรรค์ไปนิพพาน ต้องแก้ไขปัญหา

กรรมฐานเรียกหน้าที่การงานภายใน จิตภายในดีแล้วกิจกรรมก็จะดี จิตภายในดีแล้วกิจกรรมก็จะดี แสดงออกมาเป็นพฤติกรรมดี รูปสวย รวยดี มั่งมีศรีสุข แล้วก็เก่งงานด้วย รวยดี มีปัญญา งานก็เก่ง เร่งก้าวหน้า รักษาความสะอาด ฉลาดรอบคอบ ชอบระวัง ตั้งใจตรง ทรงศีลธรรมทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นกับตัวของท่านเอง มิใช่คนอื่นทำให้

นักปฏิบัติ บางที “เสียงหนอ” ไม่กำหนดเลย เขามาด่าดันผ่าไปทะเลาะกับเขา มันเลยหมดค่านิยม ยิ่งถ้าออกไปทะเลาะกับเขากลางถนนทั้ง ๆ ที่เราถูก แต่เขามาท้าทายหนัก ๆ เข้า โมโหออกไปทะเลาะกับเขา รับรองหมดค่าราคาคน ในใครเขาจะมานิยมเรา เราไปพูดใครเขาจะเชื่อถือ เพราะเราเองทำค่านิยมตก เลยหมดอาลัยตายอยาก ใคร ๆ เขาก็ไม่อยากมาอาลัยไยดีกับเรา เหมือนสินค้ามันมีค่า ใคร ๆ เขาก็ไปซื้อกันหมด ถ้าของเราไม่มีค่าขาดราคา ใครเขาจะมาซื้อเล่า ขอฝากไว้คือกรรมฐาน เหมือนเรามียาแก้โรคใดโรคหนึ่ง แต่ยากินแล้วไม่หาย เขาจะนิยมซื้อไหมแต่ถ้ายาของเรากินแล้วต้องหายรับรองคนมาซื้อกันมากมาย เพราะยาของเรามีประสิทธิภาพมีคุณภาพ ราคาคนก็เช่นเดียวกัน คนต้องมีค่าราคาคน ต้องมีค่านิยม เรามาเจริญกรรมฐานก็เพื่อต้องการให้ชีวิตมีค่า เวลามีประโยชน์ ท่านจะไม่เสียงานเสียการ ท่านจะทำงานโดยฝีมือ จะสร้างงานให้แก่ลูกหลานให้แก่ส่วนรวม ท่านจะมีมนุษยสัมพันธ์ในสังคม มีแต่เมตตา อารีเอื้อเฟื้อขาดเหลือคอยดูแขก ไม่แปลกหน้ากัน มันจะออกมาในรูปนี้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ต้องทำให้ได้

ถ้าท่านถึงธรรมเมื่อใด ท่านจะซึ้งใจมาก จะชุ่มชื่นจิตใจ ดุจพระพิรุณโปรยจากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน ท่านจะซึ้งใจ จะใฝ่ดี ไม่ใฝ่ชั่วเลย มีสัจจะความจริงออกมา มีกตัญญูรู้หน้าที่ ยินดีในธรรมสัมมาปฏิบัติ ทำอะไรอาจหาญ ไม่กลัวใคร จะทำความดีเสียอย่างใครว่าอะไรไม่สนใจ เดี๋ยวเขาก็มาผสมผสานกับเราเอง

การเจริญพระกรรมฐานเป็นการต่อชะตากรรม บางคนจะต้องตาย หัวไม่มีแล้ว บอกให้มาเจริญกรรมฐานก็ไม่มา เลยถูกรถชนตายไปแล้ว ส่วนแม่พิมพ์ใจมาทอดผ้าป่า กลับไปรถคว่ำหลายตลบ รถพังหมดทั้งคัน แต่ไม่ตายนี้บุญกุศลช่วยได้ เหมือนดูลิเกสมัยเก่า มีโม่งมาช่วยพระเอกนางเอก

โม่ง มี ๓ ตัว โม่งขาว โม่งแดง โม่งดำ อาตมาเคยถามตั้วโผลิเกว่าเรื่องนี้ทำไมมีโม่งขาวมาช่วยอีกเรื่องทำไมมีโม่งแดงมาช่วย เขาตอบว่าไม่รู้ ครูเขาฝึกมาอย่างนี้ก็เล่นไปอย่างนี้ โม่งมันไม่มีตัวตน มองไม่เห็น ถ้าใครมีโม่ง ๓ ตัวนี้ สร้างความดีได้ มาอย่างไรก็ไม่ตาย อาตมารถคว่ำลงเหวไปยังเกี่ยวเถาวัลย์ขึ้นมาได้ คงจะมีโม่งช่วยเหมือนกัน แต่มองไม่เห็นว่าใครช่วยเรา รถพังหมดทั้งคันโซเฟอร์คลานออกมา อาตมาก็ไปชวนชาวบ้านมาช่วย นี่สมัยเมื่อ ๔๐ ปีที่ผ่านมาแล้ว นี้แหละบุญกุศล

โม่งแดง คือ เชื้อชาติช่วย พ่อแม่มาช่วย ส่วนโม่งขาวคือ บุญเป็นที่พึ่ง เพราะโม่งขาวแปลว่าบริสุทธิ์ ช่วยตัวเองได้ สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง ความบริสุทธิ์หรือไม่ บริสุทธิ์ใครทำให้ใครไม่ได้ โม่งขาวคือบุญกุศลของตนเองที่ได้บวชบำเพ็ญบุญกุศล สร้างความดีให้แก่สาธุชนทั้งหลาย เป็น อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนเท่านั้นแหละเป็นที่พึ่งของตน

บางเรื่องโม่งดำ คือ วิญญาณช่วยได้ มีข้าราชการ ซี ๘ สามีภรรยาเป็นหัวหน้ากองทั้งคู่ ภรรยาฝันว่ามีวิญญาณมาขอให้ทำสังฆทานให้ แต่ไม่ทราบว่า ปู่ย่าตายายหรือใคร ภรรยาและสามีคู่นี้จึงตกลงไปถวายสังฆทานโดยทำปิ่นโต ๒ เถา คาวและหวาน นำไปถวายหลวงพ่อสมเด็จพุฒาจารย์เสงี่ยม วัดสุทัศน์เทพวราราม แล้วกรวดน้ำอุทิศบุญกุศลให้วิญญาณต่อมาสิบวันให้หลัง เขาพักร้อนเอารถตู้พาลูกไปเที่ยวเชียงใหม่ พอถึงจังหวัดตากตอนทางเลี้ยวโค้ง ตีหนึ่งครึ่ง มีเสียงประหลาดดังขึ้นในรถ เจ้านายอยู่ท้ายรถคิดว่าข้างหน้าพูด โชเฟอร์อยู่ข้างหน้าคิดว่าข้างหลังพูด เสียงนั้นบอก จอดๆ ๆ จอดชิดซ้าย โชเฟอร์คิดว่าเจ้านายจะไปเบาข้างถนนจึงรีบจอดชิดซ้ายทันที ทันใดนั้นเกิดอุบัติเหตุ รถซุงวิ่งมาข้างหลังชนรถอีกคันหนึ่ง ๕ ศพตายหมดทั้งคัน ส่วนรถของเขาโดนรถซุงเบียดออกไป บุบนิดหน่อย เท่านั้น เขาเลยขวัญหนีดีฝ่อ อยู่เชียงใหม่ได้คืนเดียวไม่อยู่ถึง ๕ วัน ตามที่ตั้งใจไว้ แต่ล่องกลับมาแวะที่วัดอัมพวันเล่าให้อาตมาฟัง นี่แหละโม่งดำ คือ วิญญาณมาช่วย มีแต่เสียง ไม่เห็นตัว โม่งดำช่วยได้ถ้าเราทำกรรมฐานอุทิศกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เปรตวิสัย สัมภเวสี มันต้องมาช่วยเราแน่ ๆ

ถ้าขับรถนะ ท่องคาถา “เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง” และแผ่เมตตามาก ๆ พวกสัมภเวสี จะมาขอส่วนบุญที่มีอยู่ในตัวเรา แล้วมันจะมาช่วยเรา รถจะคว่ำตรงไหนก็ช่วยได้ นี่คือวิญญาณของเปตชนผู้ล่วงลับไปแล้วสู่สัมปรายภาพ มาปรารภช่วยเราได้แน่นอน คือการเจริญพระกรรมฐาน

การเจริญกรรมฐานช่วยได้ขอให้ทำให้ถึง เข้าให้ถึง ท่านจะรู้กฎแห่งกรรมและระลึกชาติได้ จะระลึกถึงบุพการี ไม่ลืมพ่อแม่ที่ตายไปแล้ว และที่ยังมีชีวิตอยู่ จะไม่อดอยากปากแห้ง แต่ประการใด จะไม่ลืมคุณครูบาอาจารย์ด้วยระลึกถึงชาติของตน ชาติคือตัวเราระลึกถึงตัวเองได้สงสารตัวเองและรู้กฎแห่งกรรมของเรา ทำดีทำชั่วอะไรไว้จะรู้ทั้งนั้นและจะแก้ปัญหาได้ มันเกิดขึ้นในปัจจุบันก็แก้ไป มันยังไม่เกิดก็แก้ไม่ได้ ถ้าใครเจริญกรรมฐานสะสมเป็นหน่วยกิต ถ้าเวลาสุขมันก็นิ่งไว้ในคอมพิวเตอร์ แต่พอเวลามีทุกข์เดือดร้อนมันจะออกมาช่วยให้เกิดปัญญาแก้ปัญหาได้ตามจุดมุ่งหมายดังนั้น กรรมฐานจึงช่วยให้ระลึกชาติได้ รู้กฎแห่งกรรมได้ถ้าท่านหมั่นทำไปเรื่อย ๆ ตัวกำหนดจิตสำคัญมาก จะทำงาน เขียนหนังสือก็กำหนด จะกินน้ำก็กำหนด จะเดินก็กำหนด จะหยิบอะไรก็ตั้งสติไว้ โกรธก็เอาสติไปใส่ เสียใจก็เอาสติไปใส่ให้รู้ว่าเสียใจเรื่องอะไรโกรธเรื่องอะไร หาเหตุที่มาให้จงได้ ท่านจึงจะแก้ปัญหาได้ เราจะรู้ด้วยตัวเองเลยว่าเราสร้างกรรมอะไรมา และจะแก้ปัญหาอย่างไรตัวอย่างเช่น เราจะรู้ด้วยตัวเองว่าปาณาติบาตติดมา ๖๐% จะต้องเตรียมตัวเป็นอัมพาตถ้าไม่สร้างความดี เป็นต้น

การทำบุญทอดกฐินผ้าป่าเป็นบุญประเภทสอง ถ้าประเภทหนึ่งต้องเอาบุญมาใส่ใจ ให้เรามีความสุขในครอบครัวให้เรามีความเจริญและแก้ไขปัญหาได้ อาตมาประสบด้วยตนเอง มีปาณาติบาตติดมา ๖๐% ต้องคอหัก หรือไม่ก็ต้องเป็นอัมพาต แต่มีกุศลที่สร้างมาช่วยแก้ปัญหา จึงไม่ต้องเป็นอัมพาตปกติคอเคลื่อนหน่อยเดียว ต้องเป็นอัมพาต แต่อาตมาคอหักพับทำไมไม่เป็น นี่แหละเราสร้างกุศล ฝึกจิตให้เข้มแข็ง มีหน้าที่การงานภายใน ไม่เอางานภายนอกมาผสมให้ยุ่งเหยิงในครอบครัวและตัวของเรา

ถ้าคนไหนมีปาณาติบาตติดมา ๖๐% จะสามวันดีสี่วันไข้ ต้องสร้างบุญคือกรรมฐานแก้เสีย จึงจะได้ ถ้าไม่รีบแก้ไขในชาตินี้ ไม่รีบสะสมบุญ เราก็จะไม่มีโอกาสในอนาคต

ถ้าอทินาทานติดมา ๖๐% เราต้องถูกโกง ถูกปล้น ถูกจี้ ถูกตี ถูกแย่งชิงวิ่งราว ของหาย และไฟไหม้บ้านด้วยออกมาในรูปแบบนี้ชัดเจน

ถ้ากาเมสุมิจฉาจารติดมา ๖๐% ขอประทานโทษ โยมผู้หญิง มีสามีกี่คนต้องเป็นของเขาหมด โยมชายมีภรรยากี่คนมีชู้หมด อาตมาไปสหรัฐอเมริกาเจอด็อกเตอร์คนหนึ่งมีภรรยา ๓ คน มีชู้หมดเลย กำลังจะแต่งกับคนที่ ๔ อาตมาจึงบิณฑบาตยับยั้งไว้ ให้แก้กรรมก่อน วิธีแก้คือ ให้มาเจริญกรรมฐาน ๗ วัน ๗ คืน แล้วค่อยไปมีภรรยาใหม่ มิฉะนั้นภรรยาจะมีชู้อีก นี้คือข้อเท็จจริงที่ได้จากกรรมฐาน ไม่ใช่ไปนั่งวัดโน้นวัดนี้ ไปสวรรค์ที่โน่นไปนิพพานที่นี่ เป็นไปไม่ได้ ต้องเอาข้อนี้ก่อน ขั้นอนุบาลก่อนสำเร็จประถมศึกษาก่อน สำเร็จมัธยมแล้วจึงไปมหาวิทยาลัยจึงจะถูกขั้นตอน

ถ้ามุสาวาท หลอกลวงโลก หวังเอาลาภเขา ติดมา ๖๐% รับรองได้เลยต้องโดนโกงตลอดรายการ โกงแล้วโกงอีก รู้ว่าเขาหลอกก็ต้องยอมให้เขาหลอก เพราะมันเป็นกฎแห่งกรรม

ถ้าสุราเมรยะติดมาจากชาติก่อน ๖๐% รับรองเป็นโรคปัญญาอ่อน ถ้าขืนดื่มสุราต่อไปอีก จะกลายเป็นคนวิกลจริต ต้องเข้าโรงพยาบาล ศรีธัญญากันไม่พัก

ดังนั้นในการปฏิบัติขอฝากญาติโยม ครูบาอาจารย์ไว้ให้ยืนหนอ ๕ ครั้งให้ได้ เพราะต้องเอาสติตามจิตให้ทัน ถ้าตามไม่ทันจะไม่เกิดปัญญา เพราะสติสัมปชัญญะบวกกัน ทำให้เราเกิดปัญญาสามารถรู้เหตุผลได้ รู้จริง รู้ถูก รู้ต้อง รู้แน่ รู้นอน รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อท่านเอง ท่านเป็นผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์เอง ดีหรือชั่วประการใดเป็นเรื่องเฉพาะตัวท่าน ไม่ใช่ใครทำให้แต่ประการใด การเจริญพระกรรมฐานจึงมีประโยชน์มาก เอาบุญมาใส่ตัวเรา ใส่ไว้ในใจ ไม่ต้องไปหาพระที่ใดแล้ว ไปให้เสียเวลาทำงาน ท่านมานี่สร้างกุศลก่อน มาสร้างบารมี มารไม่มีบารมีไม่เกิด ต้องมีมารทั้งนั้น มารหัวใจ มารรัก มารแค้น แน่นหัวใจ แล้วเราก็แผ่เมตตาให้เขาอยู่ร่มเย็นเป็นสุข อย่าไปริษยาเขา เราก็มีเมตตาปราณีต่อกัน เป็นความดีของมนุษย์ปุถุชนรับรองไปไหนมีคนชอบ พูดเขาก็จะเชื่อ จะไม่เหลือวิสัยต่อไป

เดินจงกรม ต้องเดินให้ช้าต้องการให้มีสติ เป็นการฝึก ไม่ใช่เดินทำงาน แต่เป็นงานภายใน ต้องเดินให้ช้าที่สุด ยืนหนอ ๕ ครั้งให้ดี ให้ถูกต้อง แล้วกำหนดจิต กำหนดอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่อยู่ตรงนี้ เป็นบทบาทของชีวิตต่อไป

อาตมาขออนุโมทนาฝากไว้จงตั้งใจเจริญกรรมฐานทุกท่าน เป็นการสร้างบุญให้เรามีความสุข ความเจริญแก่ตนเอง แล้วตนเองก็จะไปสร้างความสุขให้แก่ครอบครัวลูกหลานในอนาคตกาลเบื้องหน้าสืบไป

ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ญาติโยม พุทธบริษัท อุบาสก อุบาสิกา ผู้ใคร่ธรรมเนกขัมมปฏิบัติขอจงเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ จะคิดสิ่งหนึ่งประการใด ขอจงสมปรารถนาด้วยกันทุกรูปทุกนาม